ความพยายาม.......เพื่อมาทำงาน..โรงพยาบาลสนาม ตอนที่1


ความพยายาม

 

 

หลังจากที่น้องน้ำได้ตีเกาะเมือง และ โรงพยาบาลของเราแตกไปแล้ว ซึ่งน้องน้ำก็ใช้เวลาในการล้อมไว้นานเกือบเดือน เขื่อนดินที่สูงท่วมหัวก็อ่อนตัวลงและพังทลายทำให้เกาะเมืองทั้งเกาะรวมทั้งโรงพยาบาลของเราจมอยู่ใต้น้ำเป็นที่เรียบร้อย เราและครอบครัวหนีเข้าไปอยู่แฟลตทหารที่ดอนเมือง ซึ่งก็เป็นครั้งแรกที่ต้องมาใช้ชีวิตครอบครัวอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมสที่ไม่คุ้นเคย

เราติดตามข่าวโรงพยาบาลน้ำท่วมมาโดยตลอด ความรู้สึกมันบอกไม่ถูก เสียใจ สงสารโรงพยาบาล สงสารผู้ป่วย อยากจะไปช่วย แต่ไม่สามารถเดินทางเข้าเกาะเมืองได้ แล้วน้ำตามันก็ไหลออกมาเองเป็นบางช่วงที่รู้สึกสะเทือนใจมากๆ ..... เรารับราชการมา 20 ปี ใช้ชีวิตในโรงพยาบาลนี้อาจจะเท่ากับ หรือ มากกว่าที่บ้านเสียอีก.....เราตอบไม่ได้ว่าเรารัก หรือ ผูกพันกับโรงพยาบาลมากแค่ไหน แต่ทุกวันนี้ที่เดินผ่านเศษของที่มันระเกะระกะ เรายังรู้สึกเศร้าใจอยู่ลึกๆ

เราเป็นผู้ประสบภัยมีแม่ที่จะต้องล้างไตไม่สามารถห่างจากโรงพยาบาลได้ มีลูกวัยรุ่นที่ไม่เคยรู้จักการใช้ชีวิตในห้องสี่เหลี่ยมและสภาพสังคมของคนกรุงเทพว่าเป็นอย่างไร คืนวันจันทร์ที่11 ตุลาคมเราดูข่าวและทราบว่าโรงพยาบาลของเรามาเปิดบริการเป็นโรงพยาบาลสนามที่ ตึกรุ่งเจริญ ตรงข้ามโลตัส อยุธยา เราบอกกับครอบครัวทันที่ว่า พรุ่งนี้จะไปทำงานที่โรงพยาบาลสนาม ทุกคนในครอบครัว อึ้ง และเงียบ ไม่ยากให้เรามาทำงาน เพราะไม่รู้ว่าการเดินทางจากดอนเมืองมาโรงพยาบาลสนามจะเป็นอย่างไร สายเอเซียมีน้ำท่วมเป็นระยะๆ รวมทั้งแม่ กับ ลูก จะอยู่กันเพียงลำพังในแฟลตทหารได้อย่างไร แต่ เรายืนยันว่า วิชาชีพของเราเป็นวิชาชีพที่ต้องช่วยเหลือผู้อื่น เราเรียนมาเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น เราต้องไปปฎิบัติหน้าที่ของเรา เมือครอบครัวเราปลอดภัยแล้ว ก็ให้เราได้ทำหน้าที่ของเราเถอะ

เราโทรศัพท์นัดกับพี่หว่องซึ่งเป็นพี่ระหัส และ ทำงานอยู่โรงพยาบาลเดียวกัน พรุ่งนี้จะไปทำงานด้วยกัน พี่หว่องบอกให้เก็บเสื้อผ้าไปนอนค้างๆๆคืน แต่เราบอกว่า หนูจะเดินทางไปกลับ ค้างไม่ได้เป็นห่วงแม่  เราขึ้นถเมล์จากหน้าโรงพยาบาลภูมิพล มาลงที่รังสิต และต่อรถตู้จากรังสิตมาลงที่โลตัส ซึ่งก็ถือว่าเป็นการเดินทางที่สะดวกไม่ลำบากอะไรมากนัก  เราเดินข้ามสะพานลอย โทรถามพี่หัวหน้าตึกว่าโรงพยาบาลอยู่ที่ไหน เราเดินผ่านที่พักของผู้อพยพ ทำไม่ผู้คนที่ประสพภัยถึงมากมายขนาดนั้น ทุกอย่างสับสนวุ่นวายไปหมด มีหน่วยแพทย์คลื่นที่หลายโรงพยาบาลมาตั้งให้บริการหลายแห่ง

วันนั้นเรารับเวรกับน้องพยาบาลที่สถานีอนามัย เราเป็น Incharge ซึ่งก็ยุ่งมาก เพราะทุกอย่างไม่เป็นระบบ มีผู้ป่วย ทั้งหมด 20 เตียง แต่ต้องประสานงานกับหลายที่เพื่อส่งผู้ป่วยไปรักษาต่อบ้าง ไปอยู่บ้านพักคนชราบ้างในรายที่เป็นผู้สูงอายุและไม่มีญาติ รับใหม่ จำหน่าย วุ่นวายไปหมด หาญาติไม่พบบ้าง เป็นการทำงานที่แสนจะสับสน แต่ทุกอย่างก็ผ่านไป เราส่งเวร ให้เวรบ่าย และรีบเดินทางกลับดอนเมือง เนื่องจากกลัวรถหมดแดนทางกลับไม่ได้

เมื่อมาถึงที่พัก แม่ และลูก ก็สบายดี ทุกอย่าง OK 1830 น. กำลังดูข่าวน้ำท่วมอยู่เหมือนเดิม โทรศัพท์ดังนึ้น เป็นชื่อพี่หว่อง..... เรารีบรับทันที่ คำแรกที่ได้ยินก็คือ โรงพยาบาลสนามไปทางไหนกูพึ่งเดินทางมาถึง มันจะมืดแล้วกูไปไม่ถูก เราถามว่าทำไมพี่พึ่งมา แกตอบว่าก็กว่ากูจะพายเรือออกจากบ้านมาเกือบ10กิโลแล้วมาต่อรถแบบอ้อมโลก.............ออกเดินทางตั้งแต่  7.00น.  มาถึงโรงพยาบาลสนามก็เกือบ 19.00 น. รวมเวลาในการเดินทางก็ 12 ชั่วโมงพอดี

จริงซินะเกือบทุกคนในโรงพยาบาลเป็นผู้ประสบภัยหมด แต่ด้วยจิตสำนึกความรับผิดชอบที่มันถูกปลูกฝังมาตั้งแต่นักเรียนพยาบาลปี 1 จนถึงพยาบาลปฏิบัติการณ์ที่ทีอายุราชการ20กว่าปี ที่ผ่านมา มันเป็นตัวผลักดันให้เราทำอะไรๆ ได้อีกหลายอย่างที่บางครั้งเราเองก็ไม่รู้ว่าทำลงไปได้อย่างไร

ขอสดุดี ในการเดินทางเพื่อมาทำงานที่ยาวนานของพี่หว่องไว้ ณ.ที่นี้ด้วย ................. น้องระหัส สุดที่รัก 3076 ชลบุรี

 

หมายเลขบันทึก: 471240เขียนเมื่อ 14 ธันวาคม 2011 17:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2012 08:56 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ตอนนี้น้ำลดหมดแล้วใช่ไหมครับ...

ลดแล้วค่ะอาจารย์ แต่ทุกอย่างมันสับสนไปหมด

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท