วิญญาณของความเป็นครู3


วิญญาณของความเป็นครู
              โดย พุทธทาสภิกขุ 
ตอน คอยดูกันต่อไปเถิด การจัดการศึกษาของประเทศไทย
        หรือของโลกทั้งโลกนี้ จะเป็นไปในรูปไหน ?
         รา คงไม่ตายเสียเร็วเกินไป อีก ๒๐ - ๓๐ ปี ใกล้ ๆ นี้ จะรู้ ว่าคนในโลกจะมีวิญญาณสูงขึ้นหรือไม่ ? ถ้าว่ามีวิญญาณตกต่ำลงไปถึงระดับเป็นภูติผีปีศาจ ก็บูชาความสุขทางเนื้อทางหนังทางกามารมณ์นั่นเอง ; แล้วก็เพิ่มอำนาจของเครื่องจักร หรือวิชาเทคโนโลยี่ ให้คนจมอยู่ใต้วัตถุ ได้ความสุขทางเนื้อหนังนี้ อย่างยิ่ง อย่างเร็ว, แล้วโลกจะเป็นอย่างไร. พวกเราที่เป็นครูนี้ คอยดูกันต่อไป ในระยะ ๒๐ - ๓๐ ปีข้างหน้านี่เอง ยังไม่ทันตาย.
          ตรงนี้อยากจะพูด ว่า เรามีความรับผิดชอบร่วมกัน : อาตมาก็เป็นครู เพราะว่า พระพุทธเจ้าท่านเป็นครู และเป็นบรมครู ศิษย์ของพระพุทธเจ้าทุกคนต้องเป็นครู มีหน้าที่ยกวิญญาณของสัตว์ในโลกให้สูงขึ้น. อาตมาก็ครู, ท่านทั้งหลายก็เป็นครู, เพราะฉะนั้น ก็ควรจะพูดอะไรกันตรง ๆ ตรงไปตรงมา คือว่าเราคอยดูกันในระยะไม่นานนัก โลกนี้จะเป็นอย่างไร ? วิญญาณของคนในโลกจะเป็นอย่างไร ? นั่นคือผลของการที่ครูทั้งหลายในโลก กำลังทำหน้าที่ของตน ในการยกสถานะทางวิญญาณของคนในโลก.
          เท่า ที่กล่าวมานี้ ทุกคนก็พอจะสรุปความหมายได้เองแล้วว่า ครูนั้นคืออะไร ? ตาม spirit ตามเจตนารมณ์ของคำ ๆ นี้นั้น คืออะไร ? แล้วเราเป็นกันมากน้อยเท่าไร หรือมีพิธีรีตอง ; แล้วความรู้ที่กำลังพูดเกี่ยวกับคำว่าครูนี้ จะมีประโยชน์หรือจะไม่มีประโยชน์ ก็ขอเอาไปวินิจฉัยเอาเองโดยอิสระ.
          นี่ เราพูดถึงคำว่า ครูคืออะไร แล้ว ก็จะพูดโดยหัวข้อที่ ๒ ต่อไปว่า มันเนื่องมาจากอะไร สิ่งที่เรียกว่าครู หรือคนที่เรียกว่าครูนี้ จึงเกิดขึ้นในโลก ? ด้วยเหตุอะไร จึงเกิดครูขึ้นมาในโลก ? เป็นความต้องการของใคร ?
          การที่ ต้องเกิดบุคคลประเภทครูขึ้นมา จนเป็นสถาบันอันหนึ่งในหมู่มนุษย์ของโลกนี้ มันตอบได้ง่ายนิดเดียว ก็เพราะว่า หน้าที่อันนี้มันพิเศษ ชาวไร่ ชาวนา ทำไม่ได้. ผู้ที่จะสามารถยกวิญญาณของคนให้สูงขึ้นนั้น เป็นหน้าที่พิเศษ ต้องอบรมศึกษา อบรมกันโดยเฉพาะ ชาวไร่ชาวนาทำไม่ได้ ; ฉะนั้น จึงต้องมีบังคับอยู่โดยในตัวเองให้เกิดสถาบันครูขึ้นมา เพื่อรับภาระอันนี้ รับหน้าที่อันนี้ : คือหน้าที่อันสูงสุด ที่น่าภาคภูมิใจนี้. พูดได้ว่า เพราะว่ามันเหลือวิสัยที่ทุกคนจะเป็นครูได้ ; ฉะนั้น จึงต้องมีบุคคลประเภทหนึ่ง ซึ่งศึกษาอบรมฝึกฝนกันมาสำหรับเป็นครู.
          เป็น ความต้องการของใคร ? ก็เป็นความต้องการของคน หรือเป็นความต้องการของพระเจ้า หรือเป็นความต้องการของธรรมชาติ. ถ้าพูดอย่างหลักธรรมดาสามัญ หรือพูดตามวิธีการวิทยาศาสตร์ มันก็ความต้องการของสังคมนั่นแหละ. สังคมที่ค่อยวิวัฒนาการขึ้นมาเป็นพัน ๆ ปี เรื่อย ๆ มา มันมีความคิด ความนึก มองเห็นว่าจะต้องมีบุคคลกลุ่มหนึ่งทำหน้าที่อันนี้ เพื่อความต้องการของคน หรือของสังคม : กระทั่งมองให้ลึกลงไปอีก มันกลายเป็นว่า ความต้องการของธรรมชาติ. มันบีบบังคับให้คนรู้สึกอย่างนี้ มันบีบบังคับให้คนทุกคนในสังคมรู้สึกอย่างนี้ ; นี่ขอให้มองให้ลึกว่า มันเป็นความต้องการของธรรมชาติ.
          เดี๋ยว นี้เรามองข้ามธรรมชาติ เหยียบย่ำธรรมชาติ เหยียดหยามธรรมชาติไม่มองดูในฐานะเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด หรือจะต้องเคารพ. เคารพ หมายความว่าเอาใจใส่และเชื่อฟัง ; เราคอยแต่จะทำฝืนกฎธรรมชาติ เราก็จะต้องได้รับผลตอบแทน คือปัญหายุ่งยากและความทุกข์.
          ตอน นี้ฟังยาก อาจจะเข้าใจต่างกัน เพราะมันลึกกว่าที่จะมองเห็นกันได้ง่าย ๆ เมื่ออาตมาพูดว่า เราทำฝืนกฎธรรมชาติ เราจึงเป็นทุกข์ ; แต่คนอาจจะพูดว่า ทำไปตามธรรมชาติ เหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน ; ซึ่งนั้นเป็นเรื่องคนละระดับ. เป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็ยังเป็นทุกข์น้อยกว่าคน ไปมองดูให้ดี : คน ตีตนออกห่างธรรมชาติเป็นความเจริญทางวัตถุ ทางเนื้อหนังมากขึ้น นับตั้งแต่มีบ้านมีเรือนอยู่ ไม่เหมือนสัตว์เดรัจฉาน แล้วทำนั่นทำนี่ขึ้นมามากมาย ; เดี๋ยวนี้จนกระทั่งมีอะไรในเวลานี้. บ้านหลังหนึ่งจะต้องมีอะไรบ้าง ; อย่างนี้คือทิ้งธรรมชาติ สละธรรมชาติ, อย่างนี้เรียกว่าผิดกฎธรรมชาติ หรือว่าเกินความจำเป็นที่ธรรมชาติต้องการ. ธรรมชาติไม่ต้องการมากอย่างนี้, ธรรมชาติไม่ต้องการให้เรากินน้ำแข็ง, ธรรมชาติไม่ต้องการให้เรามีโทรทัศน์ หรืออะไรเหล่านี้.
          นี่ เราก็ฝืนธรรมชาติไกลออกมา ไกลออกมาแล้ว เราจึงได้รับปัญหายุ่งยาก คือมีความต้องการมากจนสนองความต้องการไม่พอ เราจึงต้องรบราฆ่าฟันกัน. นี่ไปมองดูก็แล้วกัน ที่มันคอยจี้รถจักรยานยนต์อยู่ข้างถนนเอาไปยิงตาย ชิงรถไปนี้มันก็เพราะเหตุอันนี้, ที่มันรบกันทั้งโลก ระหว่างคอมมูนิสต์กับประชาธิปไตย มันก็เพราะเหตุอันนี้ คือมันมีความต้องการเกินกว่าธรรมชาติ เกินกว่าความเป็นธรรม หรือเกินกว่าความถูกต้อง. ยิ่งไกลธรรมชาติออกไปเท่าไร มนุษย์จะประสบปัญหายุ่งยากมากขึ้น มีความทุกข์มากขึ้น, ยิ่งเจริญทางสมัยใหม่อย่างที่พวกฝรั่งเขาเป็นกันเท่าไร ก็ยิ่งจะมีปัญหามากขึ้น ตามความเจริญ ; เพราะ ความเจริญแปลว่ารกรุงรัง รกรุงรังไปด้วยปัญหา ปัญหาก็คือความทุกข์.
          เรา คอยดูไปจนตลอดชีวิตเถิด พวกเราที่นั่งอยู่ที่นี่ ว่าฝรั่งจะแก้ปัญหาของโลกได้อย่างไร ฝรั่งที่เจริญด้วยการศึกษาวิชาความรู้ ที่เรากำลังจะไปหลงบูชาเขานั่นแหละ เขาจะไปแก้ปัญหาของโลกนี้ได้อย่างไร.
          ใจ ความสำคัญ มันอยู่ที่ว่า พวกนี้หนีธรรมชาติไปไกล ไม่เชื่อฟังธรรมชาติ ไม่เอาตามที่ธรรมชาติต้องการให้เอา ให้มี ให้เป็น ให้ยึดครอง ให้กิน ให้ใช้ คือพอสมควร. พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องนี้ว่า กินอยู่พอดี คือพอเหมาะตามธรรมชาติ แล้วความทุกข์จะไม่เกิดขึ้น ; เดี๋ยวนี้ เราไปว่า กินดีอยู่ดี กินดีอยู่ดี ขยายออกไปเรื่อยไม่มีที่สิ้นสุด มันไม่ใช่กินอยู่พอดีเสียแล้ว ; ฉะนั้นต้องมีความทุกข์ ต้องมีปัญหาเกิดขึ้น : อย่างน้อยที่สุดก็คือเงินเดือนไม่พอใช้ จะขึ้นเงินเดือนอีกสักกี่ครั้งกี่หนเท่าไร มันก็ยังไม่พอใช้อยู่นั่นเอง เพราะขยายความกินดีอยู่ดีขึ้นไปเรื่อย.
          นี้ เราจงมองให้เห็นว่า ธรรมชาตินั้นแหละคือสิ่งที่มีอำนาจเหนือสิ่งใดหมด ; ถ้าเราเป็นนักวิทยาศาสตร์ เราเรียกธรรมชาติ ถ้าเราเป็นนักศาสนา เราเรียกว่าพระเจ้า หรือพระธรรม. เมื่อพูดถึงธรรมชาติ มันก็พูดโดยวิชาความรู้ธรรมดาในฐานะเป็นวิทยาศาสตร์. แต่ถึงอย่างนั้น ก็อย่ามองกันแคบ ๆ นัก เมื่อพูดถึงธรรมชาติจะต้องมองถึง ๔ อย่างด้วยกันคือ.
(๑) ตัวธรรมชาติแท้ ๆ. Phenomena ทั้งหลายนี่ ปรากฏการณ์ทางตา ทางหู …ฯลฯ … เรียกว่า ตัวธรรมชาติ.
(๒) คือกฎของธรรมชาติ มันคนละอันกับตัวธรรมชาติ the body of nature แล้วนี่เป็น the law of nature นี้.
(๓) คือหน้าที่ที่สัตว์มีชีวิตทั้งหลาย จะต้องทำให้ถูกกฎของธรรมชาติ duty หรือหน้าที่ with the law of nature คือถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ.
(๔) คือผลของมัน ผลที่จะเกิดขึ้นจากหน้าที่อันนั้น.
          ธรรมชาติ อย่างหนึ่ง, กฎของธรรมชาติ อย่างหนึ่ง, หน้าที่ตามกฎธรรมชาติอย่างหนึ่ง, แล้ว ผลที่จะเกิดขึ้นจากหน้าที่ตามกฎธรรมชาติ อย่างหนึ่ง ; นี้คือธรรมชาติ แล้วมีอำนาจมากน้อยเท่าไร ไปคิดดู. เพียงแต่คำว่า กฎธรรมชาติคำเดียวเท่านั้น มันก็คือสิ่งสูงสุดที่ไม่มีใครต่อต้านได้, และนั่นแหละ คือเขาเรียกกันว่า พระเจ้า หรือพวกเราเรียกกันว่า พระธรรม.
          พระ ธรรมไม่มีอะไรมากไปกว่ากฎของธรรมชาติ พระพุทธเจ้าท่านสอนกฎของธรรมชาติ เรื่อง ความทุกข์ เรื่อง ความดับทุกข์ เรื่อง เหตุให้เกิดทุกข์ เรื่อง วิธีให้ถึงความดับทุกข์ หรือพระธรรม, ทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ไม่หลีกหนีไปจากกฎของธรรมชาติ แล้วก็เรียกว่าพระธรรม. พวกที่ไม่เรียกว่าพระธรรมก็เรียกว่าพระเจ้า หรือจะเรียกอย่างอื่นอีกก็ตามใจเขา ; แต่เมื่อไม่ถือศาสนา ไม่ใช้ทางภาษาศาสนา ก็เรียกว่าธรรมชาติอันสูงสุด ครอบงำสิ่งทั้งปวงอยู่.
          มนุษย์ เรายิ่งไม่รู้จักธรรมชาติ ในทางที่ถูกต้อง ไปรู้ในทางที่ผิด ; แต่เข้าใจว่าถูกต้อง คือความเจริญอย่างสมัยปัจจุบัน. ไม่มีใครพอใจจะสันโดษ อยู่ในเรือนเล็ก ๆ กระท่อมน้อย ๆ, มีแต่อยากอยู่ดี ๆ อยากอยู่ตึก อยู่วิมาน อยู่ปราสาท, ไม่มีใครพอใจที่จะเป็นอยู่เท่าที่จำเป็น ; แต่พอใจที่จะมีกินมีใช้ มีเล่นมีหัว เกินกว่าความจำเป็น ; อย่างนี้ก็เรียกว่า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า คือธรรมชาติ ปัญหาก็ต้องเกิดขึ้น.
          ที่ เอามาพูดนี้ มุ่งหมายแต่เพียงว่า ต้องการให้รู้ว่ามันเป็นความต้องการของธรรมชาติ ทั้งที่ธรรมชาตินั้นไม่ได้เป็นคน แต่มันยิ่งกว่าคน. ธรรมชาตินี้ไม่ได้เป็นคน เป็นอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งเรียกว่าพระเจ้า, เป็นอะไรไม่มีใครรู้ ; หรือ พระธรรมนี้ เป็นอะไรไม่มีใครรู้ เป็นผีก็ไม่ใช่ เป็นคนก็ไม่ใช่ แต่เป็นพระธรรมเป็นพระเจ้า. ตัวธรรมชาติก็เหมือนกัน มันจึงมีอำนาจชนิดที่มนุษย์ต่อต้านไม่ได้ มนุษย์ทำผิดเท่าไรมันก็ตบหน้าให้เท่านั้น ; แล้วยังหลอกให้มนุษย์ทำผิดมาก ๆ ด้วย. เรายิ่งไปไกลไปในทางผิด โลกก็ยิ่งมีแต่ความทุกข์มากขึ้น ; จะเชื่อหรือไม่เชื่อ กรุณาช่วยเอาไปคิดหน่อยว่า โลกกำลังจะมีความทุกข์มากขึ้น เพราะว่าเหยียดหยามธรรมชาติ ไม่เชื่อฟังกฎธรรมชาติ ไปแก้ไขหรือไปอะไร เอาตามกิเลสตัณหาของตัว.
          อยาก จะพูดว่า ธรรมชาติที่ไม่รู้ว่าอะไรนี้ มันต้องการให้มนุษย์เป็นอย่างนี้ ๆ : ธรรมชาตินี่ต้องการครู ธรรมชาติต้องการให้ครูมีอยู่ในโลก เพื่อคุ้มครองโลก, ต้องการให้ครูทำหน้าที่ของครูอย่างถูกต้อง คือยกวิญญาณของมนุษย์ให้สูง แล้วโลกเราก็จะมีความสงบสุข. ถ้าเราไม่แยแสกับธรรมชาติ ไม่เคารพกฎธรรมชาติ ไปทำอะไรตามชอบใจ เราเป็นครูไม่ตรงตามที่ธรรมชาติต้องการ ; ฉะนั้น ปัญหาก็ต้องเกิดขึ้น โลกนี้จะร้อนเป็นไฟ.
          ใคร ๆ ก็ต้องยอมรับว่า เด็กทุกคนในโลก ถูกนำไปโดยครู เพราะว่าครูมีหน้าที่นำเด็กไป.
          ที นี้ ครูในโลกทุกคนนำเด็กไปทางไหน ? ไปในทางที่ว่าจะให้มีความสงบสุข หรือว่าให้ยุ่งมากขึ้น ? ถ้าไม่เอื้อเฟื้อแก่กฎของธรรมชาติ ไปเห็นบูชาความสุขทางเนื้อหนังแล้ว ; มันก็ต้องไปในทางยุ่งมากขึ้น เป็นทุกข์มากขึ้น เหมือนพวกฝรั่งซึ่งไปก่อนเรา ไปสู่ความยุ่งและความทุกข์ ก่อนหน้าเรา ; และเรากำลังจะตามก้นเขาไป ถ้าไม่ระวังให้ดี.
          อยาก จะบอกว่าธรรมชาติ หรือพระธรรม หรือพระเจ้า นั้นต้องการความเป็นครูที่ถูกต้อง เพื่อประโยชน์แก่ความสุขสวัสดีของมนุษย์ทุกคนในโลก, เราอย่าคิดว่ารัฐบาลต้องการเรา หรือใครต้องการเรา ; ที่แท้พระเจ้าต้องการเรา พระธรรมต้องการเรา, คือพูดภาษาวิทยาศาสตร์ก็ว่า ธรรมชาติอันไม่รู้ เข้าใจได้ยากนั้นต้องการเรา. ถ้าครูไม่มีในโลก โลกนี้ก็ฉิบหาย หรือว่า ถ้าครูเป็นครูไม่จริง โลกนี้ก็ฉิบหายเหมือนกัน.
          อีก ประการหนึ่ง ถ้าจะพูดกันแล้ว ความต้องการของสังคมก็คือธรรมชาติ ธรรมชาติก็คือพระเจ้า พระเจ้าก็คือพระธรรม, ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเดียวกัน ; ต้องการให้คนเป็นไปแต่ในทางสุขสวัสดี แต่ต้องทำอย่างนี้ ๆ อย่างนี้ ๆ ; ถ้าไปทำฝืนกฎธรรมชาติแล้ว จะไปสู่ความทุกข์ ความยุ่งยากลำบากมากขึ้น. เราจะต้องมีอะไรที่จะต้องทำมากขึ้น กว่าแต่ก่อน งานในหน้าที่มีมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ; แต่แล้วก็ไม่เป็นไปเพื่อความสุข หรือสันติภาพ เป็นไปเพื่อซับซ้อน ยุ่งยากในทางที่จะให้เราเบียดเบียนซึ่งกันและกันมากขึ้น.
          นี่คำตอบของคำถามที่ว่า ครูมาจากไหน ? เป็นความต้องการของอะไร ? ที่บันดาลให้ครูเกิดขึ้นในโลก.
          คำตอบก็คือ ความต้องการของพระเจ้า หรือพระธรรม หรือธรรมชาติ หรือความต้องการของสังคม ที่เกิดขึ้นตามกฎของธรรมชาติ.
          นี้ ก็เห็นได้ในข้อต่อไป ถ้าจะถามว่า มีครูเพื่อประโยชน์อะไร ? ครูก็ เพื่อให้คนในโลกมีความสุข ; นี่ตอบอย่างกำปั้นทุบดิน ไม่มีทางผิด. มีครูในโลกเพื่อประโยชน์อะไร ? เพื่อประโยชน์ให้คนทุกคนมีความสุข, ให้แต่ละคนมีความสุข ; เรียกว่ามีความสุขในทางใจ มีศานติ มีศานติในจิตใจ แล้วก็มีสันติภาพในโลก คือทางสังคมก็มีความสุข ; ก็แปลว่ามีความสุขทั้งทางกายและทางใจ และให้มนุาย์มีประสิทธิภาพในการที่จะสร้างความสุข.
          การ มีครู หรือสถาบันของครูในโลกนี้ เพื่อให้มนุษย์มีประสิทธิภาพในการทำหน้าที่ของตน คือในการสร้างความสุขส่วนบุคคล และสร้างสันติภาพของโลกเป็นส่วนรวม เพื่อประโยชน์อย่างนี้ ; จะรับผิดชอบหรือไม่รับผิดชอบ มันไม่เป็นปัญหาอะไร. พระเจ้าหรือพระธรรม ย่อมศักดิ์สิทธิ์มากพอที่จะลงโทษ คนที่ไม่รับผิดชอบ หรือจะรางวัลคนที่รับผิดชอบ ที่ตั้งใจจะทำหน้าที่ให้ถูกต้องและสมบูรณ์.
          รวม ความแล้วก็ว่า ความมีครูอยู่ในโลกนี้ ก็เพื่อให้มนุษย์มีประสิทธิภาพ ในการที่จะสร้างสันติสุขส่วนตัวและส่วนสังคมทั้งโลก.
          ที นี้ ก็อยากจะพูดเป็นข้อที่ ๔ ว่าจะทำได้โดยวิธีใด ครูจะเป็นครูได้โดยวิธีใด ที่จะให้ถูกต้องตามความต้องการของธรรมชาติ ? ; นี่ก็ตอบอย่างกำปั้นทุบดิน ขอให้รักษาอุดมคติของครู คือทำให้ตรงตามอุดมคติของครู; ครูบริสุทธิ์ทำให้ถูกให้ตรง ให้สมบูรณ์ ตามอุดมคติของครู แล้วก็บริสุทธิ์ ทั้งนี้เพราะว่าเรายังมีครูที่ไม่บริสุทธิ์ จนเราอาจจะมองเห็นกันได้ทุกคนว่า ครูประเภทลูกจ้างก็มี ครูประเภทเรือจ้างก็มี แล้วก็ครูประเภทครูจริง ๆ บริสุทธิ์ก็มี.
          ครู ประเภทลูกจ้างนั้น คือครูจำเป็น ไม่มีปัญญาหากินอย่างอื่น ก็มารับจ้างเป็นครู นี่เรียกว่าครูลูกจ้าง. ครูเรือจ้าง หมายความว่าไม่มีปัญญาจะเดินไปทางอื่นได้ด้วยกำลังแข้งของตัว ต้องมาแฝงความเป็นครู เป็นสะพาน เป็นครูไปพลาง เรียนกฎหมายไปพลาง แล้วก็ไปเป็นอื่น ๆ ที่มันไม่ใช่ครู โดยอาศัยครูนี้เป็นเรือจ้าง ซึ่งก็มีอยู่มาก ; เป็นครูเท่าที่ความจำเป็นบังคับ แล้วก็เรียนกฎหมาย แล้วก็ไปเป็นผู้พิพากษา หรือไปเป็นอะไรก็ตามใจ นี่อย่างนี้เขาเรียกว่า เป็นครูอย่างเรือจ้าง.
          ส่วนครู แท้ ๆ นั่นไม่เป็นอย่างนี้ ทำหน้าที่ยกวิญญาณของมนุษย์ หรือของเด็ก ๆ นี้ให้สูงตะพึด ก้มหน้าก้มตาแต่จะทำหน้าที่นี้ ; ไม่คำนึงถึงประโยชน์เป็นเงินเดือนหรือเป็นอะไร. นี่ตรงกับครู ความหมายของคำว่าครูดั้งเดิมโบราณกาลหลายพันปีมาแล้ว : เขาไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับตอบแทน จะคำนึงแต่หน้าที่ที่จะยกวิญญาณของสัตว์ในโลก ให้สูงขึ้นเท่านั้น, แล้วยังถือว่าเอาบุญให้ฟรี เมื่อครูมีข้าวกินโดยทางอื่นแล้ว ก็สอนให้ฟรี.
          พระ พุทธเจ้าก็เป็นครู แล้วก็สอนฟรี คำว่าสอนฟรีนี้ ที่แท้ก็ไม่ค่อยถูกนัก, เพราะว่า พระพุทธเจ้าท่านมีอาหารฉัน ก็เพราะความเป็นครูของท่านเหมือนกัน. หรือว่าภิกษุที่สืบอายุพระศาสนามากระทั่งเดี๋ยวนี้ มีอาหารฉัน นั่นก็เพราะทำหน้าที่ครูเหมือนกัน อยู่เฉย ๆ คงไม่มีใครเอาข้าวมาให้กิน ; แต่เนื่องจากว่าเขาทำไว้แต่ก่อนโน้นดีจนเป็นสถาบัน ฉะนั้น เป็นพระก็เลยมีข้าวกิน. จะทำงานหรือไม่ทำงานก็ตามใจ จะเป็นครูหรือไม่เป็นครูก็ตามใจ เป็นพระละก็มีข้าวกิน มันเกิดเป็นสถาบันอย่างนี้ ; แต่ว่าเนื้อแท้นั้น มันมาจากการที่ทำประโยชน์ คือช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้มีความรอดในทางวิญญาณ.
          ความ รอดทางวิญญาณ เป็นภาษาศาสนา แท้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เป็นภาษาทางศาสนา : ภาษาศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอะไรก็ตาม เขามีความมุ่งหมายอยู่ที่ "ความรอดทางวิญญาณ". อย่างพุทธศาสนาก็เรียกว่า วิมุตติ หลุดพ้นไปจากกองทุกข์ หรือรอดในทางวิญญาณ สอนวิชานี้ ทำหน้าที่นี้ พระก็มีข้าวกินก็เพราะเหตุว่าสิ่งที่สอนให้ไป นั้นมีค่ามาก และสูงมาก, ส่วนข้าวปลาอาหารจาน ๆ หนึ่งนี้ มันไม่กี่สตางค์ ; แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้า หรือสาวกของพระพุทธเจ้าให้ไปนั้นมันมาก.
          นี้ ก็เลยเรียก เป็นโวหารอย่างใหม่ ขึ้นมาว่า "ท่านบริโภคอย่างเจ้าหนี้" คือท่านให้ไปมากเหลือเฟือ ล้นหล้าฟ้าเขียวไปเลย แล้วที่รับมาฉันบิณฑบาต มาเช้า ๆ วันหนึ่ง มันไม่กี่สตางค์ เรียกว่าท่านบริโภคอย่างเจ้าหนี้ ; เพราะว่าสัตว์โลกเป็นหนี้บุญคุณของท่าน แต่รวมความแล้วก็ต้องทำงาน.
          นี่ เราเป็นครูสมัยนี้ สอนหนังสือก็อย่าได้ถือว่ามันเป็นค่าจ้าง หรือว่าเป็นอะไร ; ถือว่าเหมือนกับของใส่บาตร ที่ประชาชนหรือสังคมเขาใส่บาตรให้ครูได้ เลี้ยงชีวิตรอดอยู่ได้ คิดอย่างนี้ดีกว่า. ถ้าคิดเป็นอย่างอื่นแล้วกลายเป็นลูกจ้าง เป็นเรือจ้างไปทันที เป็นครูประเภทลูกจ้าง ประเภทเรือจ้างไปทันที. แต่ถ้าในใจคิดแน่วแน่อยู่ที่ว่า ครูทำหน้าที่ของครูในการยกวิญญาณของเด็ก อย่างนี้แล้ว เงินเดือนก็กลายเป็นของบูชา เหมือนกับชองใส่บาตร ในลักษณะที่เป็นการบูชา.
          การใส่ บาต นี้เขาไม่เรียกว่าให้ทาน ให้ทานนั้นผู้รับเลวกว่า ผู้รับด้อยความสามารถกว่า ; อย่างขอทานอย่างนี้ ก็เรียกให้ทาน ; แต่ถ้าเอาของไป ถวายพระพุทธเจ้านี้ กลายเป็นของบูชา เพราะพระพุทธเจ้ามีหนี้บุญคุณอยู่เหนือบุคคลที่ให้ทาน. ครูนี่ก็เหมือนกัน ถ้าทำหน้าที่ของครูบริสุทธิ์ และสมบูรณ์แล้ว ก็กลายเป็นเจ้าหนี้ ; ฉะนั้นเงินเดือนก็กลายเป็นขี้ฝุ่น คือบูชาอยู่ที่แทบฝ่าเท้า ไม่มาอยู่บนหัวเรา. แต่ถ้าเราไปหลงเงินเดือนแล้ว เงินก็มาอยู่บนหัวเรา แล้วเราก็กลายเป็นลูกจ้าง ; นี่ความหมายของคำว่า ครูประเภทลูกจ้าง ประเภทเรือจ้าง ประเภทอุดมคตินั้นเป็นอย่างนี้.
          เรา จะทำหน้าที่ครูได้ดี ก็ด้วยการบูชาอุดมคติ รักษาอุดมคติ ; ยิ่งมีเงินเดือนน้อย เรายิ่งเป็นครูมากขึ้น. ขอให้ฟังดูให้ดี ยิ่งได้เงินเดือนน้อย นั่นแหละจะยิ่งเป็นครูสมบูรณ์และบริสุทธิ์มากขึ้น. เอาละพูดกันตรง ๆ ว่า ยิ่งไม่เป็นข้าราชการจะยิ่งเป็นครูมากขึ้น, ฉะนั้น เขาจะให้เป็นข้าราชการหรือไม่เป็น ไม่ใช่เป็นเรื่องสำคัญ ยิ่งไม่เป็นข้าราชการยิ่งเป็นครูมากขึ้น, และยิ่งเป็นข้าราชการ ก็ยิ่งเป็นอย่างอื่นไปมากขึ้น ; แล้วยิ่งลำบากมากนั่นแหละยิ่งเป็นครูมากขึ้น หรือเป็นครูที่มีอุดมคติมากขึ้น. ฉะนั้น ชื่อว่าครูแล้วต้องลำบาก เพราะเป็นงานของปูชนียบุคคล. เขาว่าครูบาอาจารย์มีพระเดชพระคุณอยู่เหนือเกล้าเหนือเศียร เป็นปูชนียบุคคล ไม่ใช่ลูกจ้าง. ทีนี้ครูไปทำผิดเสียเอง จนไปกลายเป็นลูกจ้าง.
******
ปลายชอล์กจาก http://www.buddhadasa.org

หมายเลขบันทึก: 470086เขียนเมื่อ 2 ธันวาคม 2011 13:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2012 21:18 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
  • ขอบคุณมากครับ
  • ที่ทำให้ตามไปอ่านใน website ของอาจารย์พุทธทาสและ blogsport
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท