จากตอนที่ 2 ที่ผู้เขียนได้กล่าวถึง 7 อาชีพในอาเซียนไปแล้วนั้น ในตอนนี้ขออนุญาตเล่าประสบการณ์ตรงที่เป็นการปูพื้นฐานให้กับเด็กมีความพร้อมสู่อาเซียนน่ะค่ะ โดยท่านจะหาอ่านตอนที่ 2 ย้อนหลังได้ที่ http://www.gotoknow.org/blog/niparat/469021
ชีวิตในวัยเด็กของลูกเริ่มต้นที่อำเภอเล็ก ๆ ในจังหวัดสกลนครซึ่งสมัยนั้นค่อนข้างกันดารมาก ไม่มีห้างสรรพสินค้า ไม่มีโรงหนัง สิ่งบันเทิงหลักคือ ทีวี ศูนย์รวมที่ใหญ่ที่สุดของอำเภอคือ ตลาด ก่อนเข้าเรียนชั้นอนุบาลผู้เขียนหัดให้ลูกทั้งสอง บวก ลบ เลข ทำอะไรทุกอย่างเน้นการสอนให้รู้จักการคำนวณทุกครั้ง ชีวิตวัยอนุบาลและประถมศึกษาของลูกทั้งสองเริ่มต้นที่กันดารแห่งนี้ ทุกสิ้นเดือนผู้เขียนมักหอบลูก ๆ ขึ้นรถโดยสารประจำทางเข้ามาในตัวเมือง ใช้เวลาเดินทางรวมระยะทางไปกลับครึ่งวันพอดี สถานที่ ๆ ชอบพาลูกไปคือ ร้านหนังสือ โดยจะอนุญาตให้เขาซื้อหนังสือที่อยากอ่านได้อย่างไม่อั้น สุดท้ายเราสามคนแม่ลูกมักจะได้หนังสือติดมือมาคนละ 3-4 เล่ม ทุกครั้ง นับว่าเป็นความโชคดีของเด็กทั้งสองคนที่ได้มีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ในอำเภอที่กันดาร ซึ่งแวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ ที่คอยหล่อหลอมให้เขาเข้าใจผู้อื่น เอื้ออาทรและสมรรถะ ไม่มีสิ่งยั่วยุ
เมื่อครั้งลูก ๆ ยังเล็ก ผู้เขียนมักใช้วิธีวางหนังสือระเกะ ระกะไว้ทั่วบ้าน ยิ่งบนหัวเตียงไม่ต้องพูดถึง จะมีกองหนังสือขนาดย่อม ๆ วางไว้ข้างหมอนเสมอ ซึ่งเป็นเทคนิคเรียกร้องให้ลูกสนใจหนังสือทางอ้อม
ย่างเข้าสู่ชั้นมัธยมศึกษา ลูกสาวสอบเข้าเรียนห้องกิ๊ปเต๊ด(คิงส์) โรงเรียนสตรีราชินูทิศ ได้เป็นตัวแทนเยาวชนจังหวัดไปเข้าค่ายวิทยาศาสตร์ของกระทรวงวิทยาศาสตร์ โดยคัดเลือกจากนักเรียนที่ส่งโครงงานวิทยาศาสตร์ชนะเลิศ 20 อันดับแรกของประเทศ ลูกจบจากโรงเรียนนี้ โดยได้รับเข็มและเกียรติบัตร นักเรียนเรียนดี เกรดเฉลี่ย 3.75, เกียรติบัตรนักเรียนความประพฤติดี, เกียรติบัตรนักเรียนมารยาทดีและแต่งกายเรียบร้อย ทั้งยังชอบไปปฏิบัติธรรมที่วัดภูย่าอู่ กับวัดป่านาคำน้อยของหลวงพ่ออินทร์ถวาย, เป็นนักกีฬาเปตองและวิ่งระยะสั้นของโรงเรียน ปัจจุบันศึกษาอยู่ที่ คณะสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น ปี 2
ส่วนเจ้าลูกชายคนเล็ก ผู้เขียนใช้สูตรเลี้ยงลูกแบบเดียวกับพี่สาวเขา แต่จะเพิ่มวิธีการ ให้พี่สาวเป็นคนอาบน้ำ แต่งตัวให้น้อง และตักข้าวใส่จาน พาน้องกินข้าว แม้กระทั่งล้างก้นน้อง เวลาไปโรงเรียนคนพี่จะเป็นคนปั่นจักรยานแล้วเอาน้องชายซ้อนท้ายไปโรงเรียนด้วยกันทุกวันเช้า-เย็น .......ทุกครั้งที่คิดถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้รู้สึกสงสารลูกสาวมาก เพราะเขาจะผอมกะหร่องกะแหร่ง น้ำหนักต่ำเกณฑ์ จนได้กินอาหารกลางวันของโรงเรียนฟรี แต่ส่วนเจ้าน้องชายอ้วนเป็นหมูตอน จนผู้เขียนเรียกเขาว่า "ลูกหมู" ติดปากจนทุกวันนี้
ภาระกิจอันใหญ่หลวงที่พี่สาวต้องรับผิดชอบตั้งแต่อายุยังน้อยคือ... มีหน้าที่สอนและพาน้องทำการบ้านให้เสร็จทุกวัน เขาถึงจะได้ทำการบ้านของตนเอง ........เพราะผู้เขียนถือว่ายิงปืนนัดเดียวได้นก 4 ตัว คือ
นกตัวแรก คนพี่จะได้ทบทวนบทเรียนที่ผ่านมาไปในตัว ไม่ต้องไปเสียเงินจ้างเรียนพิเศษแพง ๆ
นกตัวที่สอง คนน้องจะได้มีคนสอนการบ้าน
นกตัวที่สามคือ สองพี่น้องจะได้มีสายใยผูกพันกันมีเวลาทำกิจกรรมร่วมกันมากขึ้น เพราะหากโตเข้ามหาวิทยาลัย ต่างคนต่างมีเส้นทางของตนเอง เวลาให้กันและกันจะลดน้อยลงไป และที่สำคัญคือ
นกตัวสุดท้าย เบาแรงผู้เขียนไปเยอะ ไม่ต้องมาเสียเวลาสอนการบ้านเจ้าคนเล็ก.......
.....ทุกวันนี้เจ้าคนเล็กจะกลัวและรักพี่สาวมาก ทั้ง ๆ ที่ตัวโตกว่าพี่สาวเยอะ และอายุเขาห่างกันแค่ 4 ปี เดินไปไหนมาไหน ไม่เคยห่างกายกันเลย คลอเคลีย หยอกล้อกันไปตลอดทาง พี่สาวนั่งตรงไหน เจ้าคนเล็กจะต้องไปนอนหนุนตักพี่สาวทันที และหากทำผิด พี่สาวแค่มองหน้าเขาจะจ๋อย ไม่กล้าหือเลย........
พอลูกชายขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ผู้เขียนจะสอนให้เล่น และค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ใน Internet .......ซึ่งช่วงนั้นการสะกดคำภาษาไทยเขายังไม่คล่อง ยิ่งภาษาอังกฤษไม่ต้องพูดถึง ชีวิตวัยเด็กของลูกทั้งสองคนที่เรียนโรงเรียนต่างอำเภอที่กันดาร ค่อนข้างจะขาดโอกาสในหลายด้าน ไม่เหมือนเด็กที่เรียนโรงเรียนในตัวเมือง จะมีความพร้อมมากกว่ากันเยอะ......
เมื่อเข้าสู่ชั้นมัธยมต้น สังเกตเห็นพัฒนาการของลูกทางด้านคอมพิวเตอร์เป็นไปอย่างรวดเร็ว ลูกสามารถสอบเข้าค่ายโอลิมปิกวิชาการ วิศวะคอมพิวเตอร์ได้ถึงค่ายสองตั้งแต่เรียนชั้น ม.2 นับว่าเขาเป็นเด็กที่อายุน้อยที่สุดของค่ายในปีนั้น ที่ยังใช้คำนำหน้าว่า ..."เด็กชาย"...
ความสามารถพิเศษทางด้านการเขียนโปรมแกรม ลูกศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเองจากการซื้อหนังสือมาอ่าน และค้นคว้าจาก Internet ไม่เคยเข้าคอร์สอบรมหรือเรียนที่ไหนเลย ได้รับเกียรติบัตรนักเรียน เรียนดีเมื่อจบ ม.3 ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.89
ปัจจุบันลูกเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ห้องคิงส์ โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล เกรดเฉลี่ยเทอมนี้ 3.47 ได้เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งขันการเขียนโปรแกรมค่ายต่าง ๆ ลูกวางแผนอนาคตไว้ว่าจะ entrance เข้าคณะวิศวกรรม คอมพิวเตอร์ แต่ผู้เขียนอยากให้เรียนหมอ เพราะผิดหวังจากลูกสาวคนแรก แต่เขาปฏิเสธและขอเลือกทางเดินชีวิตเอง ผู้เขียนจึงพูดกับลูกทั้งสองคนว่า
ถ้างั้นแม่ขอแค่......... ดร.นำหน้าชื่อ .....คนละใบมาฝากแม่ก็พอ ส่วนใครอยากจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ แม่ไม่ห้าม
ถึงอย่างไรก็ตาม ผู้เขียนมิอาจหยุดเฝ้ามองพัฒนาการของลูกทั้งสองที่ตั้งเป้าหมายไว้เพียงแค่นี้ ยังต้องคอยให้กำลังใจ เพื่อให้ลูกทั้งสองไปสู่เป้าหมายที่ตั้งใจ
หลายท่านอาจคิดว่าผู้เขียนช่างโชคดีที่มีลูกเรียนเก่งทั้งคู่ แต่ผู้เขียนไม่เคยคิดว่าลูกทั้งสองเรียนเก่งแม้แต่นิด... เพียงแต่เขาได้รับการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านมาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์... ซึ่งผู้เขียนมองเห็นความสำคัญของวิชานี้ เป็นวิชาที่สามารถนำไปต่อยอดในสาขาวิชาอื่นได้อีกมากมาย
ติดตาม เตรียมตัวสู่.......อาเซียน ตอนที่ 4 เรื่อง "3 เสาหลักในอาเซียน" ได้ที่ http://www.gotoknow.org/blog/niparat/469623 น่ะค่ะ
เจ้าคนเล็ก
เรียน ดร.ขจิต ฝอยทอง
ขอบพระคุณค่ะ แต่คงยังต้องลุ้นอีกหลายปีน่ะค่ะ
อยากเก่งเหมือนเจ้น้องจังอ่ะค่ะ ทำไงล่ะค่ะ
ทั้งเลี้ยงลูก ทั้งเรื่องงาน
ทำทุกอย่างด้วยความทุ่มเทค่ะ