เมื่อผมมาทบทวนดู ช่วงที่เราอายุน้อย เดินตามหลังผู้ใหญ่ ได้พบอะไร ๆ หลาย ๆอย่างที่เป็นประโยชน์ แต่เรายังเด็กไม่ได้คิดอะไรมากมาย เพียงแต่เห็นและให้มันผ่านไป เมื่อมาเปรียบเทียบกันแล้วกับปัจจุบัน ที่เรารับอะไร ๆ หลาย ๆ อย่างจากภายนอกเข้ามาทำให้เราสูญเสียสิ่งดี ๆ ไปมากมาย โดยเฉพาะเราสูญเสียน้ำใจความเอื้ออาทรต่อกันในสังคมไปมาก ปัจจุบันนี้
ทุกอย่างต้องการแลกเป็นตัวเงิน เพราะสังคมที่นิยมวัตถุต้องเอาเงินไปแลกวัตถุมา สมัยนี้เอานับแค่เริ่มตื่นนอน เราจะเห็นว่าเราต้องจ่ายเงินแทบทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่ไม่ซื้อครับ ลองทบทวนครับ ตื่นมาจับแปรงสีฟันซื้อ ยาสีฟันซื้อ สบู่ซื้อ แชมพูซื้อ ฯลฯ ต่าง ๆ อีกมากมาย ผมเริ่มที่ชื่อเรื่องอาจดูไม่ค่อยสัมพันธ์กันเท่าไหร่กับการขึ้นต้นบันทึก แต่ก็คงนำเข้าเรื่องได้โดยการเลี้ยวหักมุมเอาครับ
ตอนนั้นผมอายุสัก 10 ขวบครับ บ้านผมก็อยู่ในชนบท ตั้งอยู่ที่สูงหน่อยน้ำท่วมไม่ถึงที่บ้านทำสวนยางพาราและทำนาปลูกข้าวกินด้วยครับ ช่วงนั้นสภาพป่าดั้งเดิมตามที่พ่อเล่าให้ฟังว่าท่านกับปู่มาหักร้างถางพง เพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว สภาพป่าที่ว่าที่ผมเห็นคือยังมีกอไผ่ใหญ่ ๆ เยอะมาก ไม้ต้นใหญ่ 3 - 4 คนโอบก็ยังมีให้เห็นในช่วงนั้น และมันก็ร่มรื่นดีผมกับเพื่อน ๆ และญาติ ๆ จะทำลานเล่นใต้ร่มไผ่ แต่ละกอใหญ่โตมากรัศมีตั้ง 2-3 เมตรครับ ลำไผ่ก็โตแข็งแกร่งมาก การจะเอากอไผ่ออกจากพื้นที่เพาะปลูกยากมากครับ เพราะใช้เวลาฟันทั้งพร้า ทั้งขวาน แต่ละกอเป็นวัน ๆ เลยครับ ผมเห็นเวลาผู้ใหญ่เขาฟันกอไผ่นั้นทำลำบากมากเพราะเมื่อฟันไปแล้วมันไม่ล่มลงมันจะค้างอยู่และต้องคอยระวังถ้าเผลอมันเลื่อนลงมาทิ่มเอา ความแหลมของลำไผ่เมื่อโดนพร้าฟันไปแล้วจะคมมากครับ นึกแล้วเสียววาบเลยครับ
เมื่อฟันกอไผ่แล้วปล่อยตากแดดไว้หลาย ๆ วัน แห้งดีแล้วก็จะเผาไฟโดยเอาลำไผ่ฟันเป็นท่อน ๆ สุมไว้ที่ตอไผ่แล้วจุดไฟเผา ซึ่งเมื่อไฟติดแล้วเสียงจะดังเหมือนยิงปืนในหนัง เพราะปล้องลำไผ่เมื่อร้อนจะระเบิดออกมาเป็นเสียงดังสนั่นป่าเลยครับ เมื่อเผาตามปกติแล้ว วันหลัง ๆ ก็เอาเศษไม้ ใบไม้ไปสุมไฟต่อเพื่อต้องการไม่ให้มันขึ้นมาอีก เมื่อเวลาผ่านไป ย่างเข้าเดือนหกทุกคนก็ต้องผิดหวังทุกปี เพราะหน่อไม้ไผ่จะเจริญงอกงามออกมาอีกเขียวชะอุ่มครับ ก็ต้องปล่อยให้มันขึ้นตามธรรมชาติของมันอีกไว้ค่อยว่ากันใหม่ในช่วงแล้งปีหน้า
มีอยู่ครั้งหนึ่งครับไผ่กอเดิมนี่แหละที่พ่อกับผมได้พบเรียนรู้กันและหลาย ๆ คนได้เอาภูมิปัญญานี้ไปใช้จนถึงปัจจุบัน ครั้งนั้นเราฟันกอไผ่กันอีกเมื่อถึงหน้าแล้ง และสุ่มไฟกันเหมือนเดิม วันนั้นตอนเย็น ลมพัดค่อนข้างแรง พ่อผมบอกว่าจำเป็นต้องดับไฟที่สุมไว้เพราะลมแรงเดี๋ยวจะลามไปติดสวนยาง จึงช่วยกันขนน้ำมารดกองไฟซึ่งขณะนั้นติดถึงขั้นเป็นถ่านแดงอร่ามเลยครับ
เมื่อโดนน้ำรดราดลงไปไฟก็แพ้น้ำ แต่กว่าจะแพ้ก็สู้กันพอสมควรครับไม่ยอมง่าย ๆ ทั้งควันทั้งไอน้ำพุ่งส่งกลิ่น(ผมว่าหอมนะครับ) ออกมาจนไฟสงบลงเราก็กลับบ้านกัน
จนเข้าหน้าฝนเราก็ไม่ได้สังเกตครับ มาวันหนึ่งลุงเพื่อนของพ่อมาที่บ้านและถามพ่อว่า พ่อใช้ยาอะไร(สารเคมี) ฉีดพ่นที่กอไผ่ที่มันไม่งอกขึ้นมาอีก เขาจะหาซื้อมาทำบ้าง พ่อก็บอกเปล่าเพื่อนพ่อทำท่าไม่เชื่อ ก็เลยมาช่วยกันนั่งคิดทบทวนสาเหตุ ก็น่าจะเพราะน้ำที่ราดรดตอนที่ไฟกำลังเป็นถ่านแดงแน่ ๆ ลุงก็ไม่ค่อยเชื่อนักแต่ก็จะลองไปทำดูแต่ก็บ่นว่า "หน้าแล้งน้ำก็หายาก" แต่ลุงก็ลองทำนะครับ และก็ได้ผลครับกอไผ่ในสวนลุงไม่ขึ้นมาอีกเหมือนกัน และหลาย ๆ คน แถว ๆ บ้านผมก็นำวิธีการนี้ไปใช้กันครับ
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นตอนหลายปีที่แล้ว ภูมิปัญญาที่ได้มาก็เอามาแบ่งกันใช้ไม่ปกปิดและไม่ได้คิดว่าเพื่อนจะลอกเลียนอะไร ไม่ได้จดลิขสิทธิ์อะไรเหมือนสมัยนี้เพราะไม่ได้วัดกันที่ตัวเงินแต่ทำกันแบ่งปันเพื่อความอยู่รอดของเพื่อนบ้านครับ
เป็นความรู้แปลก ๆ ที่น่าสนุกดีครับ