พระโพธิสัตว์บนดิน


ขอให้เรามีหัวใจรับใช้เพื่อนมนุษย์ หัวใจเต้นเพื่อคนอื่น ถ้าเมื่อไหร่ก็ตาม คนไทยเห็นแก่ตัวน้อยลง เมื่อนั้นความสุขในหัวใจคนไทยก็จะเพิ่มขึ้น วิกฤติทั้งหลายก็จะลดลง
        เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2554 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันก่อตั้งหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ก้าวขึ้นสู่ปีที่ 16 หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ได้อาราธนาพระมหาวุฒิชัย (ว.วชิรเมธี) แสดงธรรมเทศนา  เห็นว่ามีคุณประโยชน์ จึงได้นำส่วนสำคัญบางส่วนมาถ่ายทอดไว้ดังนี้

        "วันนี้ถือเป็นวาระหนึ่งที่ได้มา พบปะสังสรรค์กัน ในโอกาสที่เหมือนเป็นวันคล้ายวันเกิด วันก่อตั้งของหนังสือพิมพ์ที่หยัดยืนอยู่ข้างประชาชนฉบับนี้ ปีที่แล้วประเด็นที่เราเสวนากัน ก็มีหลากหลาย โดยเฉพาะเรื่องบ้านเมือง ปีนี้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องเหตุการณ์ บ้านน้ำ   เรารู้สึกเหมือนกำลังถูกคุก คามด้วยข้าศึก ที่มีแสนยานุภาพเข้มแข็ง ไม่เลือกหน้าอินทร์หน้าพรหม รบอย่างไม่มีมนุษยธรรม ข้าศึกของเราไม่ใช่คน แต่ธรรมชาติเราติดสินบนไม่ได้ นี้คือภัยจากธรรมชาติ ที่มีมนุษย์เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด โดยตรงและโดยอ้อม  สุดท้ายผลลัพธ์กลับเป็นผลโดย ตรงต่อมนุษย์ เพราะอะไร เพราะว่าเราอยู่ในโลก ก็เหมือนกับว่าเราอยู่ใต้ฟ้า อย่างไรฝนก็ต้องตก เราทำลายโลกอย่างไร เราก็ต้องได้รับผลของกฎแห่งกรรมที่เราทำไว้อย่างไม่มีทางเลี่ยง    ดังนั้นสถานการณ์ผลของกฎแห่งกรรมที่เราทำไว้อย่างไม่มีทางเลี่ยง
        ดังนั้นสถานการณ์บรรดามีทั้งหมดจึงหลอมรวมมาเป็นสถานการณ์น้ำท่วมอย่างที่เห็น และน้ำท่วมคราวนี้มีสาเหตุอยู่มากมายหลายประการ เป็นต้นว่าความผันผวนปรวนแปรของสภาวะอากาศที่เรียกว่าclimate  change คือ โลกนี้ตกอยู่ในสภาวะโลกร้อน  global  warming ปัญหานี้เกิดขึ้นจากน้ำมือมนุษย์นั้นเอง เป็นเหตุให้ดินฟ้าอากาศผันผวนปรวนแปร อากาศวิปริต พระพุทธองค์ตรัสว่า เมื่อคนไม่มีศีลไม่มีธรรม พระอาทิตย์ พระจันทร์ ก็จะเคลื่อนคล้อย ขึ้น ลง ตก ไม่เป็นเวลา ฝนฟ้าอากาศก็จะวิปริตผันผวน ด้วยความเป็นเณรน้อย อาตมามองไม่ออกว่ามันเกี่ยวกันอย่างไร คนไม่มีศีลไม่มีธรรม พระอาทิตย์ พระจันทร์ จะแปรปรวนได้อย่างไร ได้อย่างไร

        เรานึกเถียงพระพุทธเจ้าเหมือนกัน เพราะมันไม่เป็นเหตุไม่เป็นผล แต่มาถึงวันนี้อาตมาได้มีเวลาไตร่ตรองนึกดู มันจริงเสียยิ่งกว่าจริง เมื่อคนคนหนึ่ง ไม่มีศีลไม่มีธรรม สั่งตัดต้นไม้มโหฬารเลย สังเกตให้ดี น้ำท่วม ซุงไหลมาตามน้ำมโหฬาร เพราะอะไร เพราะมีคนไม่มีศีลไม่มีธรรมไปสั่งตัดต้นไม้เอามากองไว้ในป่า รอไม้มันแห้ง ระหว่างที่ไม่ทันขน น้ำป่าไหลมาก็พัดพาเอาลงซุงทะลักลงมา เราก็ได้เห็นผลงานของมนุษย์
        พอคน ไม่มีศีลไม่มีธรรม ไปตัดไม้ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ช่วยอุ้มน้ำเอาไว้ ป่าของเราบางไปเลย พอพื้นที่ป่าที่จะคอยช่วยอุ้มน้ำอย่างดีถูกตัดไปหมด เห็นหรือไม่คนไม่มีศีลไม่มีธรรมไปตัดต้นไม้ กระทบเมฆ กระทบฝน พอเมฆฝนไม่ผ่านมา ความแห้งแล้งก็มาเยือน ดินแห้ง แตกระแหง มันไม่มีป่าเลย ดินแห้ง แตกระแหง มันไม่มีป่าเลย มันไม่มีป่าผลิตออกซิเจน เห็นหรือยังว่ามัน วิปริต อย่างนี้ฉะนั้นที่พระพุทธองค์ตรัสเอาไว้ว่า คนไม่มีศีลไม่มีธรรม จะเป็นเหตุให้ธรรมชาติ ฤดูกาล ผันผวนปรวนแปรนั้น มาคิดในเวลานี้ก็จริงทุกประการโยม เพราะอะไร เพราะว่าโลกนี้นั้น ทุกสิ่งทุกอย่างมันพึ่งพาอาศัยกัน ตาม หลักอิทัปปัจจยตา ตาม หลักปฏิจจสมุปบาท สรรพสิ่งล้วนอิงอาศัยกัน ฉะนั้นในน้ำหนึ่งหยด มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของต้นไม้ มันอาจเป็นส่วนหนึ่งของก้อนเมฆ มันอาจเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าพระยา มันเป็นส่วนหนึ่งของน้ำในขวด เมื่ออาตมาดื่มเข้าไป น้ำนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของตัวอาตมาด้วย เห็นหรือยัง อาตมาดื่มมีแรง แล้วมาเทศน์ที่นี่ น้ำนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของคำสอนของอาตมาซึมซาบเข้าไปอยู่ในจิตในใจของโยม มันระเหยไปเป็นธรรมะอยู่ในใจโยมแล้วด้วย โยมกลับเอาไปบอกลูกบอกหลานมันซึมไป
        ถ้ามองทางมุมพระพุทธศาสนา ปัญหาทั้งหมดล้วนมีที่มาที่ไป มีเหตุหลากหลาย มีปัจจัย จะสรุปเป็นอย่างเดียวไม่ได้ ในฐานะเราศึกษาธรรมะ มองปัญหาน้ำท่วมอย่าไปมองตื้นๆ ว่าเป็นเรื่องเคราะห์เรื่องกรรม เราต้องมองว่าเหตุปัจจัยของมันนั้นมีเป็นอเนกอนันต์ เหตุหลากหลาย ปัจจัยอเนกเช่น ความผันผวนปรวนแปรของสภาวะอากาศนั้น ก็ใช่ น้ำมือของมนุษย์ที่ตกอยู่ใน ลัทธิทุนนิยม บริโภคนิยม สูบดินสูบฟ้า เอามาปรนเปรอกันอย่างไม่ปรานีปราศรัย เราปฏิบัติต่อโลกและธรรมชาติดังประหนึ่งว่าธรรมชาติเหล่านี้เขาจะมีอายุกันไม่จบไม่สิ้น หารู้ไม่ว่าโลกนี้ มีวันเวลาจำกัดเหมือนกับคนเรานี้เอง
        เหตุปัจจัยประการที่สอง คือ ลัทธิวัตถุนิยม บริโภคนิยม ซึ่งกระตุ้นให้อยากแล้วหลอกให้ซื้อ พอคนมีความอยากมากๆ เราก็ต้องบริโภควัตถุ บริโภคทรัพยากรเกินความจำ เป็น มนุษย์ทุกวันนี้บริโภคเกินความจำเป็น แต่บางทีมันสะสมเกินจำเป็น การสะสมสิ่งที่ตัวเองไม่จำเป็นต้องใช้เกินความจำเป็น เป็นรูปแบบหนึ่งของอาชญากรรม เพราะอะไร เพราะมันทำให้คนมากมายเข้าไม่ถึง ทำให้คนมากมายเข้าไม่ถึง
        เหตุปัจจัยประการที่สามก็คือความอยาก ของมนุษย์ ซึ่งถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้วไม่มีการควบคุม มนุษย์จำนวนมากก็ไม่รู้เท่าทันธรรมชาติของความอยาก พระพุทธองค์ตรัสเอาไว้ว่า ความอยากไร้ขีดจำกัด นัตถิ ตัณหา สมานที แม่น้ำเสมอด้วยตัณหาไม่มี คือแม่น้ำยังมีวันแห้ง ความอยากปล่อยไปมันแห้งหรือไม่ อายุมากขึ้น กิเลสยังหนุ่มยังสาว 70-80 แล้วยังปล่อยไม่ลง ความอยากทำให้มนุษย์ลืมตาย ใครมีความอยากมากๆ ลืมตาย คือไม่คิดหรอกว่าตัวเองมีเวลาจำกัด ความอยากที่ถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้นมาแล้ว มนุษย์ควบคุมมันไม่ได้ ธรรมชาติของความอยากคือไม่รู้จุดจบ หรือไม่สิ้นสุด
        พระพุทธองค์จึงตรัสถึงธรรมชาติของความอยากว่า  อิจฉา หิ อนันตโคจรา ความอยากไร้ขีดจำกัด โลกทั้งโลก ณ เวลานี้ ถูกขับเคลื่อนด้วย มวลแห่งความอยาก ขนาดใหญ่ มวลน้ำกระจอก เจอมวลแห่งความอยาก ขนาดใหญ่ที่มันกำลังไหลท่วมทับไปทั่วโลก ในนามของโลกาภิวัตน์ หรือบางครั้งเราก็เรียกว่า ทุนนิยม ทุกสิ่งทุกอย่างแปรรูปเป็นสินค้าขายกันหมดเลย ในแต่ละวันเงินจำนวนมหาศาลไหลผ่านระบบการโอนเงินระหว่างประเทศ เป็นมวลเงินมหาศาลขนาดใหญ่มวลแห่ง ก้อนความอยาก ขนาดใหญ่ไหลท่วมโลกเลย
        จนกระทั่งมนุษย์เราทั้งโลกนี้ไม่ทำอะไรแล้ว ทำอย่างเดียวคือ หาเงิน  เงิน  เงิน ทุกอย่างพูดกันด้วยเงินทั้งหมดทั้งสิ้น ทีนี้พอโลกของเราถูกมวลอยากขนาดใหญ่ไล่ต้อนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทำอย่างไรมนุษย์จะสมอยาก ก็ต้องไปสูบดิน สูบฟ้า เอามาปรนเปรอความอยาก โดยที่แทบไม่มีใครมาบอกมนุษย์อย่างเราเลยว่า มนุษย์เอ๋ย ความอยากนี้เติมอย่างไรก็ไม่เต็ม เสียงแห่งสติของโลกนี้ นับวันจะแผ่วเบาลงไป ดังนั้นโลกจึงเข้าสู่วิกฤติอย่างน่าประหวั่นพรั่นพรึงที่สุด เมื่อโลกของเราถูกทำร้ายมากขึ้นๆ อาการผิดปกติทีละขั้น เดี๋ยวก็อากาศผันผวนปรวนแปร เดี๋ยวก็สึนามิ แผ่นดินไหว มหาอุทกภัยถล่ม วิกฤติอาหาร พลังงาน เศรษฐกิจ เป็นระยะๆ เห็นหรือยังว่ามวลแห่งความอยากนี้เป็นภัยที่น่ากลัวเพียงไร ภัยที่น่ากลัวเพียงไร
        และที่สำคัญที่สุด ไม่เปลี่ยนแปลงวิธีที่เราคิดต่อธรรมชาติ โลกก็ยังวิกฤติอยู่แบบนั้น คือมนุษย์มีความเชื่ออย่างผิดๆ มาตลอดว่า มนุษย์นั้นเป็นนายของธรรมชาติ มนุษย์มีสิทธิ์ที่จะช่วงใช้ ฉกชิง จากธรรมชาติอย่างเต็มที่ พอเรามีความเห็นผิดอย่างนี้ เรามองธรรมชาติเรามองเป็น ศัตรูพอมนุษย์มีทัศนคติที่ว่า มนุษย์คือ นายเหนือธรรมชาติ นี้คือ มิจฉาทัศนะ ที่มาถึงจุดตีบตันในการพัฒนาเวลานี้ อยู่ในสภาวะโลกาวินาศ เพราะโลภาภิวัตน์ ความโลภ มันครอบโลก วันนี้ขอบัญญัติศัพท์ใหม่คือ โลภาภิวัตน์ ความโลภมันเชื่อมโยงถึงกัน เพราะมนุษย์ถูกกระตุ้นว่าต้องเอาอย่างบริ โภคนิยม ทุนนิยม  การที่เราปฏิบัติต่อโลก ต่อสิ่งแวดล้อม ต่อทรัพยากร อย่างไม่ปรานีปราศรัย อย่างขาดสติ เรากำลังทำลายบ้านของตัวเอง ฉะนั้นปรากฏการณ์ต่างๆ ที่มันได้เกิดขึ้น และเรากำลังได้รับความเดือดร้อนอยู่ขณะนี้ กล่าวอย่างตรงไปตรงมาที่สุด มนุษย์ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธความรับผิดชอบ ภัยประชาชนเกิดขึ้น
        ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมต่อการเป็น กลียุค อย่างนี้ สิ่งหนึ่งจะช่วยเราได้คือการ ปลูกจิตสำนึก  พระโพธิสัตว์  ที่สวนโมกข์ของท่านพุทธทาส จะมีพระปฏิมา อวโลกิเตศวร ตั้งตระหง่านอยู่ จะมีสักกี่คนไปถอดรหัสว่าท่านปั้นไว้ทำไม ถ้าเราทำความเข้าใจพระโพธิสัตว์ให้ดีๆ บางทีประเทศไทยอาจจะรอดก็ได้ เพราะอะไร เพราะหัวใจของการเป็นพระโพธิสัตว์ก็คือ การอุทิศตนรับใช้เพื่อนมนุษย์
        มีสุภาษิตอยู่บทหนึ่ง ไพเราะเหลือเกิน สันโต สัตตะ หิเตระตา แปลตรงตัวว่า คนดี ยินดี ในการช่วยเหลือสัตว์อื่น อาตมาขอแปลใหม่ว่า ขอให้เธอเบิกบานกับการรับใช้เพื่อนมนุษย์ หรือ ความเบิกบานในการรับใช้เพื่อนมนุษย์คือจรรยาสูงสุดของการเป็นคนดี นี้คือหัวใจของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์นั้นไม่ว่าจะไปเกิดในสภาวะชีวิตแบบไหน ที่ยังไม่บรรลุ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณนั้น แต่พระโพธิสัตว์ไม่รอให้เป็นพระพุทธเจ้าถึงจะช่วยคน เกิดในสภาวะชีวิตแบบไหน พระโพธิสัตว์จะฝังจิตฝังใจลงไปเลยว่า พระโพธิสัตว์จะฝังจิตฝังใจลงไปเลยว่า ทุกภพทุกชาติ ฉันต้องได้ช่วยคนอื่น ทุกภพทุกชาติฉันต้องเบิกบานในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ไม่มีชาติไหนที่เห็นว่าพระโพธิสัตว์เห็นแก่ตัว
        พระเวสสันดร คือ พระโพธิสัตว์แห่งการให้ ชูชก เป็นตัวอย่างของคนที่เห็นแก่ตัว เพราะมันกินจนท้องแตกตาย เนื้อหาสาระของชาดกทั้งหมด กระตุ้นเตือนให้เราดำรงชีวิตอยู่ด้วยการโน้มตัวลงรับใช้เพื่อนมนุษย์ โลกรอดเพราะความไม่เห็นแก่ตัว สังคมไหนก็ตามที่ถูกกระตุ้นให้ โลภโมโทสัน กระตุ้นให้เอาตัวเองเป็นใหญ่ ให้คำนึงถึงความสำเร็จส่วนตัว โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อส่วนรวม นั้นคือสังคมที่จะถูกมวลแห่งหายนะเข้าท่วมทับ และเป็นสังคมที่จะตกอยู่ใน ความทุกข์มวลรวมประชาชาติ อย่างยั่งยืนต่อไป
        ในสถานการณ์ที่สังคมไทยยุ่ง เหยิงด้วยปัญหามากมายอย่างนี้ อุดมคติพระโพธิสัตว์ ควรได้รับการกระตุกให้ตื่นขึ้นมา และนำมาเผยแพร่ออกมาให้คนไทยทั้งประเทศได้คิดถึงหัวอกหัวใจของเพื่อนมนุษย์ แล้วคิดถึงตัวเองเป็นอันดับสุดท้าย เราชาวพุทธถ้าอยากจะกู้สังคมไทยให้เป็น สังคมสันติสุข เราจะต้อง กระตุ้น ให้เอาหัวใจพระโพธิสัตว์ให้คืนกลับมา คือทำอย่างไรที่จะทำให้คนไทยคิดถึงคนอื่น เป็นกิจหนึ่ง และคิดถึงตัวเองเป็นกิจสุดท้าย
       เราจะทำอย่างไรให้คนไทยเอาเรื่องส่วนรวมเป็นหลัก แล้วเอาส่วนตัวไว้ทีหลัง นี่คือ อุดมคติ เพื่อที่จะฝ่าฟันวิกฤติ บ้านเมืองเราที่มันเสียหายอันที่จริงไม่ใช่น้ำหรอก แต่จะเสียหายหนักก็เพราะคน ไม่สามัคคีแต่จะเสียหายหนักก็เพราะคนยังนึกถึงตัวเองทั้งๆ ที่น้ำกำลังจ่อคอยอยู่ ถ้าเราอยากให้สังคมไทยของเราเป็นสังคมที่มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน จะต้องกระตุกเอาหัวใจของพระโพธิสัตว์คืนกลับมาเป็นอุดมคติของสังคมไทย
        เหล่านี้เป็นคำถามที่ต้องตั้งเป็น วาระแห่งชาติ เพื่อที่เราคนไทยจะได้ร่วมกันสร้างสรรค์พัฒนาประเทศไทย ให้ไปสู่ความรุ่งโรจน์อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต อาตมาขอสรุปว่า ขอให้เราเบิกบานในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ และหัวใจทีเต้นเพื่อคนอื่นคือหัวใจของพระโพธิสัตว์ เราคลำหัวใจตัวเองและหัวใจทีเต้นเพื่อคนอื่นคือหัวใจของพระโพธิสัตว์ เราคลำหัวใจตัวเองสิ คิดเพื่อใคร สู้เพื่อใคร หรือเพื่อตัวกู ของกู ของฉัน นั้นไม่ใช่พระโพธิสัตว์ นั้นเป็นสัตว์เฉยๆ เราอยู่ไหนก็ตาม เราอย่าไปทำให้ใครเดือดร้อน อยู่ที่ไหนก็ตามเพื่อประโยชน์คนอื่น คิดเพื่อประโยชน์คนอื่น ทำเพื่อประโยชน์คนอื่น ทำอย่างนี้เราจะกลายเป็น พระโพธิสัตว์บนดิน
         ฉะนั้นข่าวดีท่ามกลางข่าวร้ายก็คือ เราเห็น พระโพธิสัตว์บนดิน มากมาย อุทิศตนเป็น อาสาสมัคร อยู่ตามศูนย์ต่างๆ เหมือนกับที่เกิดสึนามิในประเทศไทยหลายปีก่อน ช่วงนั้นมีพระโพธิสัตว์เยอะมากเลย จนต่างชาติเอาไปชม แสดงว่าแท้ที่จริงแล้วคนไทยมีหัวใจพระโพธิสัตว์ อยู่ เราก็หลงลืมสิ่งเหล่านี้ไปเพราะ โลภนิยม คือ ความโลภ คือความอยากที่ครอบงำเราไปจนลืม แก่นสาร ที่แท้จริงของคนไทย คนไทยนั้นเป็น ชาติพันธุ์แห่งการให้ ทุกปีเรามีประเพณีเทศน์มหาชาติตัวเอกคือ พระเวสสันดร นั้นแสดงว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่สั่งสมอุดมคติแห่งการให้มาอย่างยาวนาน
        มันเพิ่งมาวิปริตไม่กี่ปีมานี้เอง   สัญลักษณ์ก็คือ    การบูชาชูชก    จิตวิญญาณแห่งพระโพธิสัตว์หายไป เราไม่ได้คิดถึงคนอื่น เพราะเราไม่เหลือหัวใจของพระโพธิสัตว์แล้ว เรา เห็นแก่ตัว เอาตัวเองเป็นตัวตั้ง วันหนึ่งหายนะทั้งหลายประดามีก็เลยประเดประดังเข้าสู่คนไทยเพราะอะไร เพราะเราเริ่มสูญเสียจิตวิญญาณส่วนที่ดีงามที่สุดไปมากขึ้นๆ การที่จะกู้ประเทศไทยให้คืนมาเป็นปกติ วิธีการที่ขอเสนอก็คือ ขอให้เราคนไทยช่วยกันเผยแผ่อุดมคติแห่งพระโพธิสัตว์ให้มากที่สุด
        ขอให้เราคนไทยมีหัวจิตหัวใจคิดถึง ประโยชน์สุขของเพื่อนมนุษย์ มากกว่าการคิดเรื่องส่วนตัว ขอให้จำอุดมคติของพระโพธิสัตว์มาไว้ในใจ แล้วนำมาประพฤติปฏิบัติในชีวิตจริงให้ได้ อยู่ที่ไหนก็ตาม ขอให้เรามีหัวใจรับใช้เพื่อนมนุษย์ หัวใจเต้นเพื่อคนอื่น   ถ้าเมื่อไหร่ก็ตาม คนไทยเห็นแก่ตัวน้อยลง เมื่อนั้นความสุขในหัวใจคนไทยก็จะเพิ่มขึ้น วิกฤติทั้งหลายก็จะลดลง ยังมีความหวังทีเดียว".

 

 

ที่่มา.....หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- เสาร์ที่ 22 ตุลาคม 2554
ดาวน์โหลดไฟล์ .pdf http://www.ebooks.in.th/ebook/1050/

 

หมายเลขบันทึก: 469007เขียนเมื่อ 22 พฤศจิกายน 2011 11:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มีนาคม 2012 02:11 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (13)

มาส่งความคิดถึงและอาหารอร่อยมาฝากนะคะ

 

  • บันทึกนี้เหมือนกำลังบอกถึง ดัชนีชี้วัดความเห็นแก่ตัวของคน ที่มีมากหรือน้อย อาจดูได้จากผลกระทบจากภัยธรรมชาติโดยรวมที่ทำให้เกิดความเดือดร้อน..
  • ไม่ทราบว่า..ผมคิดไปเองหรือเปล่า

                                     *** ...มาศึกษาธรรมะ และมอบความปรารถนาดีให้ค่ะ... ***


 
                                  
        
                             A Very Happy Christmas & A Happy New Year 2012

 

สวัสดีค่ะน้องnamsha

มาฟังธรรมจากท่านว.วชิรเมธี

ขอบคุณที่นำมาฝากค่ะ

ได้ข้อคิดเตือนใจมากค่ะ

ธรรมชาติ ช่วยเตือนเรา

ทำลายเขาเราเดือดร้อน

สบายดีนะคะ

ขอบพระคุณค่ะ พี่ดา   คุณสามสัก   K.Pually   พี่อุ้ม  

และสวัสดีปีใหม่พี่ๆเพื่อนๆ  ทุกคนค่ะ

                  

สวัสดีปีใหม่ค่ะน้องnamsha


พี่ครับ หายไปนานมากๆๆ ไปงาน HA ไหมครับ

กลับมาแล้วค่ะ อ.ขจิต

ขอบคุณค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท