สวัสดีครับ อ.บุษยมาศ
เข้ามาแวะเยี่ยมเยียนกันนะครับ ได้รับผลกระทบมากไหมครับ? ของผมเองยังนั่งลุ้นบ้านที่กรุงเทพฯอยู่ ส่วนบ้านที่ตัวอยุธยาก็เรียบร้อยไปแล้วโดยไม่ทันได้แม้แต่จะเก็บข้าวของเลยครับ ยังเข้าไปในพื้นที่ไม่ได้เลย ดีว่าลูกสาวปิดเทอมไปอยู่บ้านคุณตาคุณยายที่ผักไห่ ก็หายห่วงหน่อย ที่ผักไห่ท่วมก่อนแล้วล่วงหน้าเลยครับ ตอนนี้น้ำก็ยังไม่ลง ทรงๆตัวอยู่ แล้วบ้านที่ผักไห่โชคดีอยู่ในที่สูงจึงไม่ได้รับผลกระทบ แต่ลำบากเรื่องเดินทาง ตอนนี้โดนน้ำล้อมหมดเลย ไม่มีถนนเข้าได้แล้ว แถมสายหลักเอเซียก็ล่มด้วย ไม่ได้กลับไปหาครอบครัวมาประมาณเดือนหนึ่งแล้วครับ
เนื้อหาที่เขียนมาผมเห็นด้วยอย่างยิ่งครับ ไม่ใช่เรื่องตลกเลยครับ แต่เป็นสิ่งที่ อ.บุษยมาศ เองเกิดความตระหนักมากกว่า ผมใช้คำนี้นะครับ เพราะผมเองได้บทเรียนจากวิกฤตครั้งนี้มาแชร์ให้ฟังเหมือนกันครับ ผมเองอาจจะไม่ได้ลงมือสัมผัสหน้างานมากนัก เพราะแค่ยกถุงทรายไปครั้งหนึ่งหลังก็แย่แล้วครับ ความคิดของผม (ไม่มีเจตนาจะตำหนิ หรือกล่าวหาใครนะครับผม) ผมคิดว่าพวกเราเอาแต่กั้นๆกัน ต่างคนต่างกั้น และเราก็จะเข้าใจแต่ในความต้องการของเรา โดยน้อยคนนักที่จะไปทำความเข้าใจกับพฤติกรรมของน้ำ นี่แหละสำคัญมากๆเลยครับแล้วมันก็สอดคล้องกับความเห็นของ อ.บุษยมาศด้วย ผลสุดท้ายก็พัง ยิ่งกั้นก็ยิ่งพัง พอพังยก็ไหลพรวดทะลักด้วยความรุนแรง ความรุนแรงของแรงดันจากมวลน้ำมหาศาล เกิดความสูญเสียแบบไม่ทันตั้งตัว (๓๐-๔๐ นาที บ้านจมไปทั้งหลัง) มนุษย์เราใช้ความต้องการคือ ความไม่ยากที่จะสูญเสีย (แม้แต่เล็กน้อย) มาเป็นตัวตั้ง แบ่งเป็นโซน เป็นพื้นที่ ต่างฝ่ายต่างก็ต้องรักษาพื้นที่ตนเอง ทำทั้งคันดิน กระสอบทราย กั้นมวลน้ำที่เขาไม่ได้ต่างฝ่ายต่างมา เขามารวมกันเป็นมวลเป็นก้อนน้ำมหาศาล ผมเปรียบเทียบว่ามันไม่ต่างอะไรไปจากการตั้ง "ระเบิดเวลา" รอเวลาที่มันจะพัง ประวิงเวลา หน่วงเวลาอยู่ได้ แต่ท้ายที่สุดก็ต้องพัง เพราะอย่างที่ อ.บุษยมาศ ว่าน้ำเขาไม่ทรงตัว เราก็ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนด้วย หนักเข้าไปใหญ่เลย เจอข้อมูลลวง ข้อมูลที่เป็นเท็จเข้าไปอีก
แนวทางที่ผมพิจารณา หากจะต้องกั้นทำได้อยู่บ้าง แต่เราต้องยอมเสียบ้าง คือ ปล่อยช่องให้เขาระบายได้บ้าง อาจใช้ท่อต่อออกมาแล้วกำหนดทิศทางปล่อยออกได้ เพื่อลดแรงดันของน้ำลงบ้าง (ให้นึกถึงเขื่อนนะครับ การกั้นน้ำของเราเหมือนเขือน แต่เขื่อนเขามีรากฐานที่แข็งแรงมากๆนะครับ) คันดิน กระสอบทรายเรามีรากฐานหรือเปล่า? เขือนเขายังต้องเจาะช่องระบายช่วงที่ระดับน้ำสูงถึงขั้นวิกฤตเลยนะครับ ไม่อย่างนั้นเขือนแตก รุนแรงเป็นหมื่น เป็นแสนเท่า ของคันดิน กระสอบทรายพังเสียอีก
สรุปบทเรียนจากวิกฤตครั้งนี้ก็คือ พฤติกรรมน้ำ เขาสอนให้มนุษย์อย่างพวกเราต้องรู้จักปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ บางอย่างเสียบ้าง หากเราต้องการให้สังคมของเรายืนหยัดอยู่ต่อไปครับ
ขอบคุณที่เปิดโอกาสให้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ มีโอกาสจะแวะเข้ามาเยี่ยมอีกครับผม
แต่ก็จะไหลไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก คือ ไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ...
หลายๆฝ่ายจะเข้าใจธรรมชาติข้อนี้กันแค่ไหน
ขอบคุณคะ เป็นข้อเขียนที่ให้ข้อคิดอย่างมีพลัง และเห็นด้วยกับ อ.ธนาภรณ์คะ น้ำย่อมไหลลงสู่ที่ต่ำ เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร ตามธรรมชาติ แต่เรามักพยายามฝืน ด้วยการกั้น หลังน้ำลด เราคงต้องหันมาเอาจริงเรื่อง การระบาย ทำแหล่งน้ำให้ลึกขึ้น ผู้อาศัยรอบแหล่งน้ำ ซึ่งได้รับผลกระทบเต็มๆ คงต้องช่วยดูแล รื้อถอนสิ่งกีดขวางออกไป อย่างไรก็ตาม การร่วมแรงร่วมใจ ก็มีข้อดี คือละลายความรู้สึกแบ่งแยก ตามความเชื่อส่วนบุคคล เพราะภัยพิบัติ มิได้เลือกว่าใครเชื่อแบบไหน ชอบแบบไหน ขออนุญาตนำบทความ อ.นพ.ประเวศ วะสี ถึงวาระแห่งชาติหลังน้ำท่วมมาฝากคะ
สวัสดีค่ะ..อ.บุษยมาศ...ยายธีคิดว่า..เด็กรุ่นต่อๆไป..คงจะต้องเรียนรู้เรื่องของความเป็นอยู่กับสิ่งแวดล้อมรอบๆด้าน ทั้งใกล้ตัวและไกลตัว...เขาคงเรียนอ่านเพียงตัวหนังสือ..อย่างเคยไม่ได้...และระบบการเรียนที่..ทำให้สังคม..ภายในบ้านหายละลายไป..เวลาเรียน..และการลงทุน..ที่เรียกว่า..ไม่คุ้มทุนเวลานี้..จะเป็นไปอีกนานแค่ไหน..หากเราไม่เริ่ม..ที่จะ..แก้ไขเสียแต่เนิ่นๆ..(ถ้า)เด็กที่จะเป็นผู้รับเคราะห์..ของการกระทำ..จากผู้ใหญ่ในวันนี้..และเขาไม่ถูกสร้างให้เป็น"ผู้คิดเป็น..ให้ความเห็นได้..และรับผิดชอบตัวเองได้ในเร็ววัน."..สังคมจะอยู่ได้อย่างไร...และถ้าเราจะเพียงคิดว่า "มันเป็นเวรเป็นกรรมช่างหัวมัน"อย่างเคยๆ..และ อยู่กันแบบลูบหน้าปะจมูก...อิอิ...ยายธี.(เอง).ก็เลย..แอบคิดว่า..เป็น.."งู" ที่กำลัง..จะลอย..ตามน้ำไปเหมือนกัน..อ้ะ..(โดนธรรมชาติลงโทษ..กะเขาเหมียนกัน..อ้ะ..)....ยายธีเจ้าค่ะ
สวัสดีค่ะอาจารย์
เป็นกำลังใจค่ะ
หวังเช่นกันที่จะมีการป้องกันแก้ไขในระยะยาวด้วยค่ะ