ถือเป็นความผิดหรือไม่ เมื่อเรามีความรู้สึกที่อึดอัดต่อพี่น้องมุสลิมด้วยกัน บ่อยครั้งทนไม่ไหวกับพฤติกรรม ความเลวที่คนเหล่านี้กระทำอยู่ อึดอัด และอยากจัดการแต่ทำไม่ได้ ไม่มีองค์กรไหน หรือใครจัดการ นิสัย สันดานที่เลวร้ายเหล่านี้ และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่คนเหล่านี้จะมีสำนึก ซึ่งกว่าคนเหล่านี้จะมีสำนึก สังคม ชุมชนเสียหายไปแล้ว เราเชื่อมั่นว่า บรรดาการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์แด่พระองค์อัลลอฮ์ และตามหลักคำสอนของอิสลามมีไว้ว่า
สิ่งที่มุสลิมควรจะทำก็คือ การงดเว้นจากการรู้สึกเกลียดชังหรือเคียดแค้นต่อพี่น้องมุสลิมด้วยกัน ดังที่พระองค์อัลลอฮ์ ได้ทรงตรัสต่อบรรดาปวงบ่าวผู้ศรัทธาของพระองค์ในซูเราะฮฺ al-Hashr ว่า
“และบรรดาผู้ที่มาหลังจากพวกเขาโดยพวกเขากล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของเราทรงโปรดอภัยให้แก่เราและพี่น้องของเราผู้ซึ่งได้ศรัทธาก่อนหน้าเรา และขอพระองค์อย่าได้มีการเคียดแค้นเกิดขึ้นในหัวใจของเราต่อบรรดาผู้ศรัทธา ข้าแต่พระเจ้าของเราแท้จริงพระองค์ท่านเป็นผู้ทรงเอ็นดู ผู้ทรงเมตตาเสมอ” (ในซูเราะฮฺ al-Hashr 59:10)
นอกจากนี้ฮะดีษที่รายงานโดยท่านอนัส บิน มาลิก (ขอความโปรดปรานจากพระองค์อัลลอฮฺ ทรงมีแด่ท่านด้วยเทอญ) ได้รายงานว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ได้กล่าวว่า
“โอ้ปวงบ่าวของอัลลอฮฺ พวกท่านจงอย่าเกลียดชังกัน อย่ามีความอิจฉาต่อกัน อย่าหันหลังหนีจากกัน และจงเป็นพี่น้องกันเถิด ไม่เป็นที่อนุญาตสำหรับพวกท่านที่จะหมางเมินต่อพี่น้องของท่านเกิน 3 วัน”
(รายงานโดยอัล-บุคอรีย์ 5718 และมุสลิม 2559)
ท่าน Ibn ‘Abd al-Barr ได้กล่าวว่า คำว่า “พวกท่านจงอย่าเกลียดชังกัน” นั้นถือเป็นข้อห้ามสำหรับมุสลิมที่พวกท่านตั้งใจว่าจะไม่รักกันและกัน (Al-Istidhkaar, 8/289)
แต่สำหรับความรู้สึกไม่ชอบที่มีต่อบุคคลหนึ่งนั้น จนทำให้ท่านไม่สามารถจะเป็นเพื่อนสนิทกันได้ แม้ว่าท่านจะได้นำสิ่งที่อิสลามได้สั่งใช้ นำมาปฏิบัติต่อพี่น้องมุสลิมด้วยกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการตอบสลาม การกล่าว ยัรฮัมมุกัลลอฮฺ (ขอความเมตตาจากพระองค์อัลลอฮฺ จงมีแด่ท่านด้วยเทอญ) เมื่อมีผู้จาม หรือการให้ความช่วยเหลือต่อพี่น้องมุสลิมที่ต้องการความช่วยเหลือ และการกระทำอื่น ๆ แต่ท่านก็ยังคงรู้สึกไม่ชอบพี่น้องของท่านอยู่ ซึ่งในกรณีนี้ไม่ถือว่าท่านได้ห่างเหินหมางเมินต่อพี่น้องของท่านหรือมีความรู้สึกต้องการที่หลีกเลี่ยงไปจากพี่น้องของท่าน ซึ่งเราหวังว่าพระองค์อัลลอฮฺ จะทรงอภัยให้แก่ท่าน (อินชาอัลลอฮฺ)
มีฮะดีษที่รายงานโดย ท่านหญิงอาอิชะฮฺ ว่าท่านนบีมุฮัมมัด ได้กล่าวเอาไว้ว่า
“กลุ่มวิญญาณนั้น คือกลุ่มก้อนของวิญญาณหลาย ๆ วิญญาณที่มาอยู่ร่วมกัน (ซึ่งกลุ่มก้อนของวิญญาณนี้จะอยู่ในอาณาเขตหนึ่งก่อนที่จะมาอยู่ในตัวของมนุษย์ในโลกนี้) ถ้าในโลกของวิญญาณ กลุ่มวิญญาณเหล่านี้มีความเข้ากันได้ เมื่อวิญญาณมาอยู่ในตัวมนุษย์ในโลกนี้ มนุษย์เหล่านี้ก็จะมีความเข้ากันได้ แต่ถ้ากลุ่มวิญญาณที่เข้ากันไม่ได้ตั้งแต่ในโลกของวิญญาณ เมื่อวิญญาณเหล่านี้มาอยู่ในตัวของมนุษย์ในโลกนี้ มนุษย์เหล่านี้ก็จะยังคงเข้ากันไม่ได้เช่นเดิม”
(รายงานโดยอัล-บุคอรีย์ 3158 และมุสลิม 2638)
ท่าน Al-Khattaabi ได้กล่าวว่า สิ่งที่กล่าวในขั้นต้นนั้น สามารถเข้าใจได้ว่า วิญญาณและมนุษย์นั้นมีความคล้ายคลึงกันกล่าวคือ ทั้งวิญญาณและมนุษย์นั้น มีทั้งดีและไม่ดี มีทั้งความถูกต้องและความผิดศีลธรรม ดังนั้นคนที่ดีนั้นก็จะชื่นชอบและอยู่กับคนที่ดีเหมือนกัน ส่วนคนที่ไม่ดีนั้นก็จะชื่นชอบและเลือกอยู่กับคนที่ไม่ดีเหมือนกัน ดังนั้นวิญญาณของมนุษย์นั้นก็คือความเป็นตัวตนของแต่ละคน ซึ่งบ่งบอกว่าใครคือคนดีหรือคนไม่ดี ซึ่งคนที่เหมือนกันก็จะเข้ากันได้และคนที่มีความแตกต่างกันก็จะเข้ากันไม่ได้
ท่าน Al-Qurtubi ได้กล่าวว่า จากพื้นฐานที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น เราจึงพบว่า ผู้คนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันเขาก็จะสามารถเข้ากันได้ดี แต่สำหรับบุคคลที่มีความแตกต่างกัน พวกเขาก็จะเข้ากันไม่ได้ นั่นเป็นเพราะแต่เดิมนั้นวิญญาของเรามีความแตกต่างกัน
From above, it seems that all muslims must forgive or tolerate wrong-doers among them within 3 days.
It is not clear that this rule applies to non-muslims living in the same community.
It may even suggest that this rule only applies among muslims, but not for muslims to forgive or tolerate non-muslims (within the same comunity).
I am a buddhist. I tolerate muslims' calls to pray 5 times a day every day.