ช่วงที่ผมกับคณะไปติดตามการดำเนินงานตามกลยุทธ์ของ สพฐ.ที่จังหวัดพิษณุโลกทั้ง 4 เขตพื้นที่ เมื่อต้นเดือนตุลาคม ซึ่งอยู่ในช่วงที่จังหวัดพิษณุโลกและหลายๆจังหวัดกำลังประสบอุทกภัยครั้งยิ่งใหญ่อยู่นั้น โรงเรียนในแต่ละเขตพื้นที่ก็ถูกน้ำท่วม ได้รับความเสียหายและปิดเรียนกันไปหลายแห่ง ซึ่งทาง สพฐ.ก็ได้จัดงบประมาณไปช่วยเยียวยาเบื้องต้นผ่านเขตพื้นที่ไปแล้วนั้น
ขณะที่ผมไปเยี่ยมสำนักงานเขตพื้นที่การประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 ท่าน ผอ.สุรินทร์ แก้วมณี และคณะ พาพวกเราจาก สพฐ.ไปเยี่ยมโรงเรียนแห่งหนึ่งที่ประสบอุทกภัยมานานเป็นแรมเดือนแล้ว คือ โรงเรียนวัดเมมสุวรรณาราม อยู่ในเขตอำเภอพรหมพิราม เดินทางจากพิษณุโลกไปตามถนนพิษณุโลก-สุโขทัย ราว 22 กิโลเมตร
พอไปถึงเรามองจากถนนใหญ่เห็นอาคารโรงเรียนอยู่ไกลลิบราว 300 เมตร มีน้ำเจิ่งนองเหมือนท้องทะเลครอบคลุมทั่วพื้นที่ไปจนสุดสายตา ผอ.วัชรินทร์ ทับทองหลาง ผูบริหารโรงเรียน ส่งเรือท้องแบนสองลำมารับเราและชาวเขตพื้นที่ เรานั่งเรือพายที่มีความรู้สึกว่าปลอดภัย และไม่มีอาการโยกเอียง แต่ถึงกระนั้นท่าน ผอ.สุรินทร์คงเห็นอาการหวาดๆของพวกเรา ที่มาจาก สพฐ.เลยส่งเสื้อชูชีพตัวจิ๋วของนักเรียนให้แต่ละคน ซึ่งผมเองก็ใส่ไม่ได้
ผมรู้สึกเย็นสบายขณะขณะนั่งเรือพายตรงไปที่อาคารเรียนอย่างช้าๆ เราเห็นสองข้างทางที่น้ำเจิ่งนองมีผักบุ้งทอดยอดเลื้อยไปตามน้ำแผ่ขยายเป็นวงกว้าง ที่บอกให้รู้ว่าถูกน้ำท่วมมานานแล้ว พอถึงอาคารเรียนที่มีสองชั้น ชั้นล่างเป็นใต้ถุนโล่งจึงไม่มีอะไรเสียหาย ผอ.วัชรินทร์รอต้อนรับเราด้วยรอยยิ้มไม่เห็นริ้วรอยของความเดือดร้อนจากอุทกภัย
หลังจากทักทายเจ้าของบ้านตามธรรมเนียม ผมก็เดินเข้าไปในห้องเรียน เพื่อทักทายและปลอบโยนนักเรียนที่ประสบกับอุทกภัย แต่เมื่อเห็นครูกำลังสอนนักเรียนอย่างเป็นปกติ นักเรียนทุกคนต่างตั้งใจเรียน อ่านหนังสือออกเสียงดังฉะฉาน ดูสนุกสนานกันทุกคน ไม่เห็นแววของความอนาาทรร้อนใจใดๆ ผมเลยไม่ปริปากถามไถ่เรื่องน้ำท่วม ก็ทักทายในฐานะแขกผู้มาเยือนตามปกติ แล้วเฉไปหลังห้อง ลองสุ่มเปิดหนังสือเรียนหน้าท้ายๆให้นักเรียนอ่านให้ฟังเป็นบางคน ก็พบว่านักเรียนสามารถอ่านได้อย่างถูกต้องและคล่องแคล่ว
ก่อนออกจากห้องเรียนอดไม่ได้ ที่จะถามนักเรียนเรื่องน้ำท่วมว่า “บ้านใครน้ำไม่ท่วมบ้าง” นักเรียนทั้งชั้นร่วม 20 คน มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ยกมือบอกว่าน้ำไม่ท่วม ทำให้ผมแปลกใจว่าทำไมทั้งครูและเด็กๆดูไม่อนาทรร้อนใจในเรื่องนี้กัน
ออกมาดูแผ่นป้ายจำนวนนักเรียนของโรงเรียนที่หน้าห้อง พบว่า นักเรียนทุกชั้นมี 85 คน มีครู 9 คน สถิติวันนี้ไม่มีนักเรียนขาดเรียนแม้แต่คนเดียว ด้วยความสงสัยเลยออกมาคุยกับ ผอ.วัชรินทร์ จึงทราบว่า ที่นักเรียนมาเรียนอย่างมีความสุข สนุกสนานก็เพราะว่า พอโรงเรียนได้เรือท้องแบนมา 2 ลำ จากองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบให้ และเสื้อชูชีพที่สำนักงานเขตพื้นที่การประถมศึกษา
พิษณุโลก เขต 3 มอบให้ 22 ตัว ผู้ปกครองนักเรียนก็ไม่อยากปล่อยให้ลูกอยู่กับบ้าน เกรงจะไม่ปลอดภัย และเห็นว่าลูกอยู่ที่โรงเรียนปลอดภัยกว่า เพราะมีทั้งอาหารการกินให้ลูก และได้เรียนหนังสือด้วย จึงไม่อยากให้ปิดโรงเรียน อยากให้ลูกมาโรงเรียน เด็กๆก็สนุกสนานเมื่อน้ำท่วมตามนิสัยของเด็ก อากาศที่โรงเรียนก็ไม่ร้อน เย็นสบายดี เด็กๆได้นั่งเรือไปกลับเที่ยวละ 15 คน พร้อมมีเสื้อชูชีพใส่ มีครูคอยดูแลความปลอดภัยทุกเที่ยว ดูลงตัวไปหมด ผมจึงถึงบางอ้อ
ผมถาม ผอ.วัชรินทร์ต่อว่า “เรื่องผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนเป็นอย่างไร” ท่านก็นำประกาศนียบัตรเหรียญทองของสำนักงานเขตพื้นที่การประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 มาให้ดู ที่ระบุว่าสามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน โดยมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยระดับประเทศ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้ พร้อมทั้งเล่าถึงผลงานด้านอื่นๆที่ดีให้ฟังอีกหลายเรื่อง
ก่อนลากลับพวกเราทุกคนในที่นั้นต่างพูดพร้อมกันว่า นี่แหละคือ “โรงเรียนวัดเมมสุวรรณารามโมเดล” ถึงแม้จะไม่ยิ่งใหญ่โด่งดังเหมือน “บางระกำโมเดล” แต่ก็เป็นโมเดลเล็กๆ ที่สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมแบบพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส และทำให้ทุกฝ่ายมีความสุขอย่างลงตัว
เราจึงอยากให้ “โรงเรียนวัดเมมสุวรรณารามโมเดล” มีความยั่งยืน และขยายผลไปสู่โรงเรียนอื่นๆอีก โดยอยากเสนอแนะให้หน่วยงานระดับนโยบายจัดเรือท้องแบนเช่นเดียวกัน พร้อมเสื้อชูชีพจำนวนหนึ่ง ไว้ที่สำนักงานเขตพื้นที่ฯที่มีแววว่าจะเกิดอุทกภัยทุกปี หากโรงเรียนใดประสบอุทกภัย ก็มายืมเรือไปใช้ จนพ้นวิกฤติก็เอาเรือมาคืน เป็นการป้องกันไว้ก่อน ไม่ใช่พอวัวหายแล้วจึงล้อมคอก ดีไหมครับ...
ขอร่วมชื่นชมรร.เข้มแข็งปรับสภาพความเป็นอยู่อย่างไม่ท้อถอยบนการพึ่งพาตนเอง ขอให้กำลังใจในการเป็นแบบอย่างที่ดีเช่นนี้ค่ะ