มหาวิทยาลัยที่เคยอยู่ใน 200 อันดับแรกของการจัดอันดับในปี 2010 แต่หล่นหายไปจาก 200 อันดับในปีนี้มี 21 แห่ง เช่น University of Adelaide ซึ่งหล่นจากอันดับที่ 73 ไปอยู่อันดับที่ 201-225 นอกจากนี้ยังมี National Tsing Hua University ร่วงจากอันดับที่ 107 ไปอยู่อันดับที่ 201-225, Hong Kong Baptist University ขยับจากอันดับ 111 ไปอยู่อันดับที่ 276-300, Nanjing University ก็ร่วงจากอันดับที่ 120 ไปอยู่ที่อันดับ 251-275, Middle East Technical University หล่นจากอันดับ 183 ไปอยู่ที่อันดับ 276-300 ส่วนมหาวิทยาลัยอื่นๆที่เคยอยู่ใน 200 อันดับแรกของปีที่ผ่านมาแต่ในปีนี้หลุดไปจาก 200 อันดับแรก ผมได้รวบรวมมาไว้ในตารางด้านล่างครับ
University/Institute |
2010 Rank |
2011 Rank |
University of Adelaide |
73 |
201-225 |
National Tsing Hua University |
107 |
201-225 |
Hong Kong Baptist University |
111 |
276-300 |
Nanjing University |
120 |
251-275 |
University of Barcelona |
142 |
201-225 |
Alexandria University |
147 |
301-350 |
Hong Kong Polytechnic University |
149 |
251-275 |
National Sun Yat-Sen University |
163 |
251-275 |
University of Würzburg |
168 |
201-225 |
Sun Yat-sen University |
171 |
276-300 |
Bielefeld University |
173 |
251-275 |
University of Bonn |
178 |
over 400 |
National Chiao Tung University |
181 |
226-250 |
Middle East Technical University |
183 |
276-300 |
Yonsei University |
190 |
226-250 |
Drexel University |
190 |
226-250 |
Dalhousie University |
193 |
226-250 |
Kent State University |
196 |
301-350 |
Zhejiang University |
197 |
301-350 |
Simon Fraser University |
199 |
226-250 |
Swedish University of Agricultural Sciences |
199 |
226-250 |
เป็นที่น่าสังเกตและผมเองก็ค่อนข้างสงสัยนะครับว่าทำไมมหาวิทยาลัยบางแห่งถึงมีการหลุดอันดับไปค่อนข้างมาก เช่น University of Adelaide ซึ่งหล่นจากอันดับที่ 73 ไปอยู่อันดับที่ 201-225 หรือหล่นไปประมาณร้อยกว่าอันดับเลยทีเดียว นอกจากนี้มหาวิทยาลัยอื่นๆที่หลุดจาก 200 อันดับแรกดังกล่าวและหล่นไปกว่าร้อยอันดับยังมี National Tsing Hua University, Hong Kong Baptist University, Nanjing University, Alexandria University, Hong Kong Polytechnic University, National Sun Yat-Sen University, Sun Yat-sen University, University of Bonn, Middle East Technical University, Kent State University และ Zhejiang University โดยเฉพาะกรณีของ University of Bonn นั้นนอกจากหลุดจากอันดับที่ที่ 178 ของ 200 อันดับแรกแล้ว ยังพบว่าไม่ติดอยู่ใน 400 อันดับของการจัดอันดับในครั้งนี้ด้วย ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่าภายในเวลาแค่ปีดียว จะทำให้มหาวิทยาลัยที่เคยติดอันดับโลก หายไปจากการจัดอันดับในครั้งนี้ จึงทำให้น่าคิดว่าการรวบรวมข้อมูลในส่วนของมหาวิทยาลัยบอนน์นั้นมีความผิดพลาดหรือไม่ได้ถูกนำมารวมในการจัดอันดับในปีนี้หรือเปล่า นอกจากนี้ในส่วนของ University of Adelaide ซึ่งหล่นจากที่เคยอยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรกของปีที่แล้วไปอยู่ในอันดับที่สองร้อยกว่าของปีนี้ก็เช่นกันครับ คืออยู่ดีๆทำไมมหาวิทยาลัยต่างๆเหล่านี้ถึงได้หล่นอันดับไปเยอะมาก ซึ่งผมอ่านดูก็ยังไม่พบคำอธิบายของทาง THE แต่อย่างใด ทั้งๆที่หากการจัดอันดับของ THE ใช้หลักเกณฑ์ที่ไม่ได้แตกต่างจากเดิมและมความคงเส้นคงวา (Consistency) ของการจัดอันดับ มหาวิทยาลัยดังกล่าวก็ไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอันดับมากนัก แต่การเปลี่ยนแปลงถึงร้อยกว่าอันดับของบางมหาวิทยาลัยสะท้อนให้เห็นถึงการขาดความคงเส้นคงวาของการจัดอันดับโดย THE ซึ่งอาจมีผลต่อความน่าเชื่อถือ (Credibility) ของการจัดอันดับอีกด้วย
ไม่เพียงแค่มีมหาวิทยาลัยที่หล่นหายไปจาก 200 อันดับแรกเท่านั้นนะครับ จากผลการจัดอันดับในปีนี้ยังพบว่า มีหลายมหาวิทยาลัยที่ขยับเข้ามาอยู่ใน 200 อันดับแรก เป็นจำนวนมาก โดยที่ในปีที่ผ่านมานั้นไม่ได้อยู่ในสองร้อยอันดับแรกหรือไม่เคยติดอยู่ใน 200 อันดับแรกด้วยซ้ำ
University/Institute |
2011 Rank |
2010 Rank |
University of Texas at Austin |
29 |
NA |
University of Rochester |
81 |
NA |
University of Bern |
112 |
NA |
Hebrew University of Jerusalem |
121 |
NA |
University of Florida |
125 |
NA |
Brandeis University |
150 |
NA |
Chinese University of Hong Kong |
151 |
NA |
Freie Universität Berlin |
151 |
NA |
University of Warwick |
157 |
NA |
Radboud University Nijmegen |
159 |
NA |
Medical University of South Carolina |
162 |
NA |
University of Reading |
164 |
NA |
Texas A&M University |
164 |
NA |
Tel Aviv University |
166 |
NA |
Université Catholique de Louvain |
169 |
NA |
Université Paris Diderot - Paris 7 |
169 |
NA |
University of Miami |
172 |
NA |
Queen's University |
173 |
NA |
University of São Paulo |
178 |
NA |
University of Oslo |
181 |
NA |
University of Ottawa |
185 |
NA |
University of Western Australia |
189 |
NA |
City University of Hong Kong |
193 |
NA |
University of Leicester |
197 |
NA |
NA คือไม่อยู่ใน 200 อันดับแรกในปี 2010
ที่น่าสนใจและสร้างคำถามให้ตัวผมเองก็คือในปีนี้ University of Texas at Austin ซึ่งครองอันดับที่ 29 ของมหาวิทยาลัยโลกในปีนี้ แต่ในปีที่ผ่านมานั้นมหาวิทยาลัยแห่งนี้ไม่อยู่ใน 200 อันดับแรกด้วยซ้ำไป ทั้งๆที่ใน 6 ปีย้อนหลังตั้งแต่ปี 2004-2009 นั้น University of Texas at Austin ติดใน 100 อันดับแรกของมหาวิทยาลัยโลกที่จัดอันดับโดย THE กับ QS มาโดยตลอดคือ อยู่ในอันดับที่ 15, 26, 32, 51, 70 และ 76 ตั้งแต่ปี 2004-2009 ตามลำดับ ส่วนปี 2010 กลับไม่ติดใน 200 อันดับแรก (ปี 2010 เป็นปีแรกที่ THE แยกจาก QS มาจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกเพียงลำพัง) และในครั้งนี้กลับเข้ามาอยู่ใน 200 อันดับแรกอีกครั้งด้วยอันดับที่ 29 ดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีมหาวิทยาลัยอีกหนึ่งแห่งที่ไม่อยู่ใน 200 อันดับแรกของผลการจัดอันดับในปี 2010 แต่ปีนี้กระโดดเข้ามาอยู่ใน 100 อันดับแรกคือ University of Rochester ซึ่งก็เหมือนกับ University of Texas at Austin คือมหาวิทยาลัยแห่งนี้เคยติดอันดับมาตั้งแต่ปี 2004-2009 ในอันดับที่ 86, 73, 48, 95, 119 และ 141ตามลำดับซึ่งถือว่าเป็นการก้าวกระโดดเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกับหลายๆมหาวิทยาลัยที่เพิ่งเข้ามาอยู่ใน 200 อันดับแรกของปีนี้ ซึ่งก็สร้างความน่าสงสัยว่าผลการจัดอันดับดังกล่าวจะมีความน่าเชื่อถือได้มากขนาดไหน และทำไมภายในระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งปีจากการจัดอันดับในปีที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยเหล่านี้ซึ่งไม่ติดอันดับมาก่อน ถึงสามารถพัฒนาตนเองจนสามารถเข้ามาอยู่ใน 200 อันดับแรกได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งในความจริงแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งจะสามารถพัฒนาชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับอย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียงหนึ่งปี หรือผลงานวิจัยจะถูกนำไปอ้างอิงแซงหน้าที่อื่นได้ในระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งปี
อีกเหตุผลคือตามหลักของการวัดและประเมินผล เมื่อมีข้อมูลและสารสนเทศเพิ่มขึ้นจากการวัดหลายครั้งจะยิ่งทำให้การประเมินมีคุณภาพด้านความถูกต้อง ความเที่ยงและความตรง คือมีความคงเส้นคงวามากขึ้น นั่นคือหากผลการจัดอันดับที่ผ่านมามีกระบวนการวัที่เหมาะสมจริง ผลการจัดอันดับจะไม่แกว่งหรือมีการก้าวกระโดดของอันดับมากนัก ซึ่งผลการจัดอันดับของ THE ในปีนี้ขัดแย้งกับหลักการดังกล่าวเป็นอย่างมากเพราะอย่างที่เห็นว่ามีหลายมหาวิทยาลัยที่อันดับเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดด
สำหรับมหาวิทยาลัยของไทยเองในปี 2010 นั้น มีเพียงมหาวิทยาลัยสองแห่งที่ติดใน 400 อันดับแรกคือมหาวิทยาลัยมหิดลในอันดับที่ 306 และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในอันดับที่ 341 ส่วนในปีนี้พบว่ามีมหาวิทยาลัยของไทยเพียงแห่งเดียวคือมหาวิทยาลัยมหิดลเท่านั้นที่ติดใน 400 อันดับคือ อยู่ในช่วงอันดับที่ 350-400 หล่นไปกว่า 50 อันดับ
มหาวิทยาลัยที่เคยอยู่ใน 200 อันดับแรกของการจัดอันดับในปี 2010 แต่หล่นหายไปจาก 200 อันดับในปีนี้มี 21 แห่ง เช่น University of Adelaide ซึ่งหล่นจากอันดับที่ 73 ไปอยู่อันดับที่ 201-225 นอกจากนี้ยังมี National Tsing Hua University ร่วงจากอันดับที่ 107 ไปอยู่อันดับที่ 201-225, Hong Kong Baptist University ขยับจากอันดับ 111 ไปอยู่อันดับที่ 276-300, Nanjing University ก็ร่วงจากอันดับที่ 120 ไปอยู่ที่อันดับ 251-275, Middle East Technical University หล่นจากอันดับ 183 ไปอยู่ที่อันดับ 276-300 ส่วนมหาวิทยาลัยอื่นๆที่เคยอยู่ใน 200 อันดับแรกของปีที่ผ่านมาแต่ในปีนี้หลุดไปจาก 200 อันดับแรก ผมได้รวบรวมมาไว้ในตารางด้านล่างครับ
University/Institute |
2010 Rank |
2011 Rank |
University of Adelaide |
73 |
201-225 |
National Tsing Hua University |
107 |
201-225 |
Hong Kong Baptist University |
111 |
276-300 |
Nanjing University |
120 |
251-275 |
University of Barcelona |
142 |
201-225 |
Alexandria University |
147 |
301-350 |
Hong Kong Polytechnic University |
149 |
251-275 |
National Sun Yat-Sen University |
163 |
251-275 |
University of Würzburg |
168 |
201-225 |
Sun Yat-sen University |
171 |
276-300 |
Bielefeld University |
173 |
251-275 |
University of Bonn |
178 |
over 400 |
National Chiao Tung University |
181 |
226-250 |
Middle East Technical University |
183 |
276-300 |
Yonsei University |
190 |
226-250 |
Drexel University |
190 |
226-250 |
Dalhousie University |
193 |
226-250 |
Kent State University |
196 |
301-350 |
Zhejiang University |
197 |
301-350 |
Simon Fraser University |
199 |
226-250 |
Swedish University of Agricultural Sciences |
199 |
226-250 |
เป็นที่น่าสังเกตและผมเองก็ค่อนข้างสงสัยนะครับว่าทำไมมหาวิทยาลัยบางแห่งถึงมีการหลุดอันดับไปค่อนข้างมาก เช่น University of Adelaide ซึ่งหล่นจากอันดับที่ 73 ไปอยู่อันดับที่ 201-225 หรือหล่นไปประมาณร้อยกว่าอันดับเลยทีเดียว นอกจากนี้มหาวิทยาลัยอื่นๆที่หลุดจาก 200 อันดับแรกดังกล่าวและหล่นไปกว่าร้อยอันดับยังมี National Tsing Hua University, Hong Kong Baptist University, Nanjing University, Alexandria University, Hong Kong Polytechnic University, National Sun Yat-Sen University, Sun Yat-sen University, University of Bonn, Middle East Technical University, Kent State University และ Zhejiang University โดยเฉพาะกรณีของ University of Bonn นั้นนอกจากหลุดจากอันดับที่ที่ 178 ของ 200 อันดับแรกแล้ว ยังพบว่าไม่ติดอยู่ใน 400 อันดับของการจัดอันดับในครั้งนี้ด้วย ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่าภายในเวลาแค่ปีดียว จะทำให้มหาวิทยาลัยที่เคยติดอันดับโลก หายไปจากการจัดอันดับในครั้งนี้ จึงทำให้น่าคิดว่าการรวบรวมข้อมูลในส่วนของมหาวิทยาลัยบอนน์นั้นมีความผิดพลาดหรือไม่ได้ถูกนำมารวมในการจัดอันดับในปีนี้หรือเปล่า นอกจากนี้ในส่วนของ University of Adelaide ซึ่งหล่นจากที่เคยอยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรกของปีที่แล้วไปอยู่ในอันดับที่สองร้อยกว่าของปีนี้ก็เช่นกันครับ คืออยู่ดีๆทำไมมหาวิทยาลัยต่างๆเหล่านี้ถึงได้หล่นอันดับไปเยอะมาก ซึ่งผมอ่านดูก็ยังไม่พบคำอธิบายของทาง THE แต่อย่างใด ทั้งๆที่หากการจัดอันดับของ THE ใช้หลักเกณฑ์ที่ไม่ได้แตกต่างจากเดิมและมความคงเส้นคงวา (Consistency) ของการจัดอันดับ มหาวิทยาลัยดังกล่าวก็ไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอันดับมากนัก แต่การเปลี่ยนแปลงถึงร้อยกว่าอันดับของบางมหาวิทยาลัยสะท้อนให้เห็นถึงการขาดความคงเส้นคงวาของการจัดอันดับโดย THE ซึ่งอาจมีผลต่อความน่าเชื่อถือ (Credibility) ของการจัดอันดับอีกด้วย
ไม่เพียงแค่มีมหาวิทยาลัยที่หล่นหายไปจาก 200 อันดับแรกเท่านั้นนะครับ จากผลการจัดอันดับในปีนี้ยังพบว่า มีหลายมหาวิทยาลัยที่ขยับเข้ามาอยู่ใน 200 อันดับแรก เป็นจำนวนมาก โดยที่ในปีที่ผ่านมานั้นไม่ได้อยู่ในสองร้อยอันดับแรกหรือไม่เคยติดอยู่ใน 200 อันดับแรกด้วยซ้ำ
University/Institute |
2011 Rank |
2010 Rank |
University of Texas at Austin |
29 |
NA |
University of Rochester |
81 |
NA |
University of Bern |
112 |
NA |
Hebrew University of Jerusalem |
121 |
NA |
University of Florida |
125 |
NA |
Brandeis University |
150 |
NA |
Chinese University of Hong Kong |
151 |
NA |
Freie Universität Berlin |
151 |
NA |
University of Warwick |
157 |
NA |
Radboud University Nijmegen |
159 |
NA |
Medical University of South Carolina |
162 |
NA |
University of Reading |
164 |
NA |
Texas A&M University |
164 |
NA |
Tel Aviv University |
166 |
NA |
Université Catholique de Louvain |
169 |
NA |
Université Paris Diderot - Paris 7 |
169 |
NA |
University of Miami |
172 |
NA |
Queen's University |
173 |
NA |
University of São Paulo |
178 |
NA |
University of Oslo |
181 |
NA |
University of Ottawa |
185 |
NA |
University of Western Australia |
189 |
NA |
City University of Hong Kong |
193 |
NA |
University of Leicester |
197 |
NA |
NA คือไม่อยู่ใน 200 อันดับแรกในปี 2010
ที่น่าสนใจและสร้างคำถามให้ตัวผมเองก็คือในปีนี้ University of Texas at Austin ซึ่งครองอันดับที่ 29 ของมหาวิทยาลัยโลกในปีนี้ แต่ในปีที่ผ่านมานั้นมหาวิทยาลัยแห่งนี้ไม่อยู่ใน 200 อันดับแรกด้วยซ้ำไป ทั้งๆที่ใน 6 ปีย้อนหลังตั้งแต่ปี 2004-2009 นั้น University of Texas at Austin ติดใน 100 อันดับแรกของมหาวิทยาลัยโลกที่จัดอันดับโดย THE กับ QS มาโดยตลอดคือ อยู่ในอันดับที่ 15, 26, 32, 51, 70 และ 76 ตั้งแต่ปี 2004-2009 ตามลำดับ ส่วนปี 2010 กลับไม่ติดใน 200 อันดับแรก (ปี 2010 เป็นปีแรกที่ THE แยกจาก QS มาจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกเพียงลำพัง) และในครั้งนี้กลับเข้ามาอยู่ใน 200 อันดับแรกอีกครั้งด้วยอันดับที่ 29 ดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีมหาวิทยาลัยอีกหนึ่งแห่งที่ไม่อยู่ใน 200 อันดับแรกของผลการจัดอันดับในปี 2010 แต่ปีนี้กระโดดเข้ามาอยู่ใน 100 อันดับแรกคือ University of Rochester ซึ่งก็เหมือนกับ University of Texas at Austin คือมหาวิทยาลัยแห่งนี้เคยติดอันดับมาตั้งแต่ปี 2004-2009 ในอันดับที่ 86, 73, 48, 95, 119 และ 141ตามลำดับซึ่งถือว่าเป็นการก้าวกระโดดเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกับหลายๆมหาวิทยาลัยที่เพิ่งเข้ามาอยู่ใน 200 อันดับแรกของปีนี้ ซึ่งก็สร้างความน่าสงสัยว่าผลการจัดอันดับดังกล่าวจะมีความน่าเชื่อถือได้มากขนาดไหน และทำไมภายในระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งปีจากการจัดอันดับในปีที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยเหล่านี้ซึ่งไม่ติดอันดับมาก่อน ถึงสามารถพัฒนาตนเองจนสามารถเข้ามาอยู่ใน 200 อันดับแรกได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งในความจริงแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งจะสามารถพัฒนาชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับอย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียงหนึ่งปี หรือผลงานวิจัยจะถูกนำไปอ้างอิงแซงหน้าที่อื่นได้ในระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งปี
อีกเหตุผลคือตามหลักของการวัดและประเมินผล เมื่อมีข้อมูลและสารสนเทศเพิ่มขึ้นจากการวัดหลายครั้งจะยิ่งทำให้การประเมินมีคุณภาพด้านความถูกต้อง ความเที่ยงและความตรง คือมีความคงเส้นคงวามากขึ้น นั่นคือหากผลการจัดอันดับที่ผ่านมามีกระบวนการวัที่เหมาะสมจริง ผลการจัดอันดับจะไม่แกว่งหรือมีการก้าวกระโดดของอันดับมากนัก ซึ่งผลการจัดอันดับของ THE ในปีนี้ขัดแย้งกับหลักการดังกล่าวเป็นอย่างมากเพราะอย่างที่เห็นว่ามีหลายมหาวิทยาลัยที่อันดับเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดด
สำหรับมหาวิทยาลัยของไทยเองในปี 2010 นั้น มีเพียงมหาวิทยาลัยสองแห่งที่ติดใน 400 อันดับแรกคือมหาวิทยาลัยมหิดลในอันดับที่ 306 และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในอันดับที่ 341 ส่วนในปีนี้พบว่ามีมหาวิทยาลัยของไทยเพียงแห่งเดียวคือมหาวิทยาลัยมหิดลเท่านั้นที่ติดใน 400 อันดับคือ อยู่ในช่วงอันดับที่ 350-400 หล่นไปกว่า 50 อันดับ
อนึ่ง ในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกของ Times Higher Education ตั้งแต่ปี 2004 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไม่ได้อยู่ใน 200 มหาวิทยาลัยแรกของการจัดอันดับโดยในปี 2005-2010 จุฬาฯอยู่ในอันดับที่ 121, 161, 223, 166, 138 และ 341 ตามลำดับ ส่วนมหาวิทยาลัยมหิดลไม่ติดอันดับในปี 2004-2005 ตั้งแต่ปี 2006-2010 มหาวิทยาลัยมหิดลอยู่ในอันดับที่ 322, 284, 251, 220 และ 306 ตามลำดับ
เมื่อดูจากผลการจัดอันดับของทั้งสองแห่งแล้วพบว่า การจัดอันดับขาดความคงเส้นคงวาในผลการจัดอันดับค่อนข้างมาก
ไม่มีความเห็น