พี่สาวคนนั้น เมื่อตุลาคม 2519


ที่เขาให้เหตุการณ์นี้เป็น "Massacre" นั่นนับว่ามีเหตุผล คงไม่ใช่ได้มาเพราะจับฉลากได้เป็นแน่

เธอเป็นเด็กสาวหน้าตาดีผิวขาว บุคลิกท่าทางและการแต่งกายแค่มองผ่านๆก็พอเดาออกว่าเป็นคนที่มีรสนิยมที่ทันสมัยในยุคนั้น หากเดาจากอายุ ก็คงจะเป็นนักศึกษาสถาบันดังในกรุงเทพฯ ไม่เช่นนั้นก็คงเป็นสาวน้อยในวัยเริ่มต้นการทำงานและก็น่าจะมีตำแห่งแห่งหนหรือหน้าที่การงานที่ดีไม่น้อยเลยทีเดียว

อำเภอเล็กๆที่เป็นบ้านเกิดของผมโดยเฉพาะแหล่งใกล้เคียงกับสถานที่ราชการนอกจากชาวบ้านที่เป็นคนท้องถิ่นกับพ่อค้าชาวจีนที่เดินทางจากบ้านเกิดในผืนแผ่นดินใหญ่มาแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าในบ้านเราแล้ว ที่เหลือก็คงจะมีแต่ครอบครัวข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ประจำหน่วยงานต่างๆทั้งบนที่ว่าการอำเภอซึ่งเป็นแหล่งรวมข้าราชการจากหลากหลายกระทรวงทบวงกรม สถานีตำรวจภูธร สถานีอนามัย รวมถึงข้าราชการครูที่ย้ายมาจากที่อื่นที่ไม่ใช่คนพื้นที่มารวมกันเช่าบ้านอยู่รอบๆอาณาบริเวณสถานที่ราชการเหล่านี้

จากการที่ชุมชนมีขนาดเล็ก ส่วนใหญ่ก็จะรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี ความสัมพันธ์ของผู้คนที่นี่แทบจะเป็นเหมือนพี่เหมือนน้องกันจริงๆ มีอะไรก็พึ่งพาอาศัยกันอยู่ตลอดมา นอกเสียจากมีข้าราชการย้ายมาใหม่ (ซึ่งเกือบทั้งหมดก็จะย้ายมากันทั้งครอบครัว) อาจจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งเพื่อทำความคุ้นเคย แต่ก็ใช้เวลาไม่นานนัก

ต้องบอกตามตรงครับว่าผมไม่คุ้นหน้าเธอเลย ฟังจากเสียงที่เธอทักทายกับพ่อผมแล้วท่านถามว่าเป็นลูกใคร(แสดงว่าพ่อผมก็ไม่รู้จักเหมือนกัน) ถึงได้รู้ว่าเธอเป็นลูกของข้าราชการระดับสูงของอำเภอคนหนึ่งที่ย้ายมาได้ไม่นานนัก พ่อแม่ผมคงรู้จักกับครอบครัวของเธอดี แต่การที่ผมเข้าไปเรียนต่อระดับมัธยมในตัวจังหวัด แม้จะเป็นการไปกลับแต่การที่ต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้าเพื่อให้ทันรถโดยสารและกว่าจะกลับถึงบ้านก็จวนจะค่ำทุกวันทำให้ผมเหินห่างจากคนในชุมชนไปมาก หากใครย้ายมาใหม่บางทีก็จะไม่รู้จักหรือไม่คุ้นหน้าโดยเฉพาะถ้าหากบ้านอยู่ห่างกันมากสักหน่อย

ในตอนนั้นบ้านผมเองเรียกได้ว่าเป็นสถานที่เปิดครับ เพราะหลังจากที่พ่อเจ็บมาจากเวียดนามจนต้องออกมากินบำนาญเป็นนายทหารผ่านศึกพิการ ท่านก็ลงเล่นการเมืองท้องถิ่นจนได้เป็นสมาชิกสภาจังหวัด ที่บ้านจึงมีผู้คนเข้าออกมานั่งพูดคุยกันทุกวัน การที่เธอเดินเข้ามาในบ้านจึงไม่เป็นเรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด ยกเว้นหลังจากที่พ่อกับคนข้างบ้านที่กำลังนั่งคุยกันอยู่รู้ว่าเธอเป็นใครดูเหมือนทุกคนให้ความสนใจกันเป็นพิเศษต่างจากเวลาที่ลูกหลานข้าราชการคนอื่นๆเวลาที่กลับจากกรุงเทพฯหรือจากสถาบันการศึกษาทั่วไปทักทายเวลาเดินผ่านหน้าบ้าน

มีการสอบถามเธอถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งทุกคนทราบมาว่าเธอเรียนอยู่ที่นั่น ถามว่าเธออยู่ร่วมกับกลุ่มนักศึกษาหรือเปล่า ได้รับบาดเจ็บหรือโดนลูกหลงอะไรบ้างหรือเปล่า คำตอบของเธอก็ไม่ต่างจากเหตุการณ์ที่ผมได้ดูจากทีวีเมื่อตอนบ่ายวันที่ 6 ตุลาคม แตกต่างกันเพียงเธอบอกว่าพวกเธอไม่ใช่คอมมิวนิสต์แต่ถูกล้อมฆ่าอย่างโหดร้ายโดยไม่มีทางต่อสู้และเพื่อนๆของเธอหลายคนเสียชีวิต

ตอนนั้นผมนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะทำงานของพ่อ ซึ่งตรงนี้ถ้าท่านไม่มีงานอะไรที่ต้องใช้ผมก็จะจองไว้เป็นที่นั่งประจำ เพราะมันตรงกับพัดลมเพดานและจะเป็นบริเวณที่เย็นสบายที่สุดของบ้าน วันนั้นผมสนใจสิ่งที่เธอพูดคุยกับพ่อและเพื่อนบ้านเหมือนกันแต่เพราะกำลังอ่านหนังสืออยู่ อีกอย่างก็ไม่แน่ใจว่าเธอมีส่วนร่วมสำคัญอะไรในเหตุการณ์ หรือเพียงแค่เรียนอยู่ที่นั่นพอมีเรื่องก็กลับบ้านรอให้เรื่องราวสงบมหาวิทยาลัยเปิดก็คงกลับไปเรียนต่อ สักพักเธอจึงเปลี่ยนที่นั่งมานั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานที่ผมนั่งอ่านหนังสืออยู่พร้อมกับพูดคุยกับผู้ใหญ่ไปด้วย เธอทักทายผมถามเรื่องทั่วๆไปเหมือนรุ่นพี่คุยกับรุ่นน้องนั่นแหละครับคงเป็นเพราะเห็นว่าแก่กว่าผมหลายปีผมก็ได้พูดคุยไปตามมารยาทเพราะส่วนใหญ่เธอจะต้องคอยตอบคำถามของผู้ใหญ่เสียมากกว่า ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมาเธอก็ลากลับ

หลังจากนั้นไม่นานพ่อก็มีธุระต้องเดินทางจึงเดินมาหากุญแจรถยนต์ที่วางไว้ในตะกร้าใส่เอกสารบนโต๊ะข้างหน้าที่ผมนั่งอยู่นั่นแหละ หาอยู่นานก็ไม่พบผมก็ไม่เคยได้หยิบหรือย้ายที่ไปไหน สักครู่ไม่รู้ว่าพ่อคิดอะไรได้ท่านรีบเดินไปที่บ้านของเธอบอกกับพ่อแม่ของเธอให้เธอคืนกุญแจรถมาให้เสีย เกลี้ยกล่อมอยู่นานเธอจึงคืนให้โดยดี แต่สภาพของเธอเวลานั้นเปลี่ยนไปแทบไม่เหลือเค้าของสาวน้อยน่ารักเลย เธอกรีดร้องคร่ำครวญก่นด่าทหารตำรวจที่เข่นฆ่าเพื่อนๆของเธอ เรียกหาความยุติธรรม เวลานั้นเธอไม่ต่างอะไรกับคนเสียสติ พ่อแม่ของเธอก็ตกใจทำอะไรไม่ถูกได้แต่ขอโทษกับเข้าไปปลอบโยนลูกสาวด้วยความตื่นตระหนก ตอนหลังจึงรู้ว่าเธอเพียงต้องการยานพาหนะในการพาเพื่อนๆหนีซึ่งทุกคนก็ไม่รู้ว่าเธอต้องการที่จะหนีใครไปที่ไหนก็ได้แต่คอยเฝ้าระวังเท่านั้น

เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วผมถามพ่อว่ารู้ได้อย่างไรว่าพี่คนนี้แกเอากุญแจรถไปเพราะผมนั่งอยู่ยังไม่ทันเห็นเลย แล้วไม่โกรธเธอหรือเพราะตอนนั้นผมโกรธเธอมาก ท่านบอกว่าสงสัยตั้งแต่ตอนที่เธอเข้ามาคุยแล้วว่าน่าจะมีจุดประสงค์อะไรสักอย่าง เรื่องที่เธอเล่าพ่อบอกว่าจากประสบการณ์แล้วท่านรู้ว่าเธอไม่ได้โกหก ดวงตาของเธอเหมือนคนอดนอนหรือผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก เวลาพูดคุยเธอมักจะหลบสายตา และมักแสดงให้เห็นถึงความเคียดแค้นกดดัน พ่อไม่โกรธเธอแต่สงสารมากกว่าท่านเคยผ่านสงครามมาแล้วรู้ดีว่าคนที่ผ่านสถานการณ์แบบนี้มา โดยเฉพาะเป็นผู้ที่สูญเสียและเป็นฝ่ายถูกไล่ล่ามีความรู้สึกเป็นอย่างไร

ผมถามพ่อว่าถ้าเธอเป็นพวกคอมมิวนิสต์จริงๆอย่างที่วิทยุทีวีบอกล่ะ พ่อบอกว่าคอมมิวนิสต์ก็หน้าตาเหมือนพวกเรานี่แหละ พวกเวียดกงที่เราบอกว่าเป็นคอมมิวนิสต์กลางวันเขาก็ทำมาหากินเหมือนคนทั่วไป เป็นชาวบ้านธรรมดา เป็นคนดีมีน้ำใจในหมู่พวกเขา ก่อนที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยจะประกาศสงครามเต็มรูปแบบกับทางการไทยก่อนวันเสียงปืนแตก พ่อยังเป็นนายสิบเคยออกลาดตระเวณในพื้นที่สีแดงบริเวณภาคเหนือต่อกับภาคอีสานเอายาเอาเวชภัณฑ์ไปแจกชาวบ้านพวกเขาก็รับไว้ อีกสองวันกลับมาใหม่ปรากฏว่ายาพวกนั้นถูกโยนทิ้งไว้เกลื่อนลานบ้าน เขาไม่ศรัทธา พวกข้าราชการเวลาเข้าไปในหมู่บ้านชอบแสดงอำนาจ เบียดเบียนรังแกแล้วก็ไป ปล่อยให้พวกทหารในพื้นที่ต้องรับหน้ารับความเสี่ยงบนความคั่งแค้นของพวกเขาในที่สุดก็เกิดเป็นสงครามต้องสูญเสียกันทั้งสองฝ่ายทั้งๆที่เป็นคนไทยด้วยกัน

เหตุการณ์ที่เล่ามานี้เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 เหตุการณ์ที่ฝรั่งเรียกวันนี้ว่า The Thammasat University Massacre, หรือ Massacre of 6 October 1976 http://en.wikipedia.org/wiki/Thammasat_University_massacre เพียงแค่วันหรือสองวันผมไม่แน่ใจแต่ไม่น่าจะนานกว่านั้น วันนั้น (6 ตุลาคม) ครอบครัวของผมและเพื่อนบ้านนั่งดูทีวีถ่ายทอดการล้อมปราบนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย ภาพตำรวจคาบบุหรี่พร้อมกับยิงปืนพกอัตโนมัติเข้าไปในรั้วมหาวิทยาลัยมันไม่ได้ทำให้คนดูรู้สึกว่าเป็นการต่อสู้กันเหมือนกับที่รัฐบาลบอกกับประชาชนเลย การใช้อาวุธสงครามนานาชนิดทั้งอาวุธประจำกายอย่างเอ็ม.16 เอช.เค.33 ไปจนถึง ปสบ.87 และปืนพกประจำตัวระดมยิงเข้าไปก็เกินบรรยายแล้วยังมีการเอาอาวุธหนักอย่างเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม79 และยิ่งกว่านั้นทุกคนยังเห็นภาพทหารแบกเครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถัง(คจตถ)ที่ชาวบ้านเรียกติดปากว่าปืนบาซูก้ามาใช้อีกด้วยทำให้บริเวณสนามหลวง ท่าพระจันทร์กลายสภาพเป็นเหมือนสนามรบ แต่ก็คงเป็นสนามรบที่มีคนกระทำฝ่ายเดียวมากกว่าจะเรียกว่าการต่อสู้

ไอ้ที่เขาให้เหตุการณ์นี้เป็น "Massacre" นั่นนับว่ามีเหตุผล คงไม่ใช่ได้มาเพราะจับฉลากได้เป็นแน่

พ่อบอกว่าทำไมต้องทำกันขนาดนั้น แม้หากนักศึกษาผิดจริงมีการต่อสู้จริงแต่เมื่อปราศจากอาวุธหรือยอมแพ้แล้วก็ไม่ควรไปฆ่าไปทำร้าย ในสงครามยังไม่มีใครทำกันขนาดนี้ ทีวียุคนั้นเรื่องนี้ไม่มีเซ็นเซอร์หรอกครับเขาจะทำเฉพาะตอนดารานุ่งกระโปรงสั้นเท่านั้น ภาพนักศึกษาถูกทำร้าย ถูกลากไปแขวนคอ ถูกเผาคนทั่วประเทศได้เห็นหมด วันนั้นเราทุกคนไม่ได้คิดว่านักศึกษาเป็นปีศาจที่น่ากลัวเหมือนที่มีการยุยงปลุกปั่นผ่านสถานีวิทยุกันนานนับปีแต่อย่างใดไม่ ถ้าจะเห็นปีศาจคงเป็นอีกฝ่ายนั่นต่างหาก แล้วก็เชื่อว่าผู้คนทั่วประเทศรู้สึกเวทนา สลดหดหู่ แม้ว่าจะมีบางคนสะใจก็ตาม

นึกถึงตอนนี้ผมจึงพอเข้าใจว่าถ้าพี่สาวคนนั้นเธออยู่ในเหตุการณ์นรกนี่จริงทำไมเธอจึงมีสภาพเป็นเช่นนั้น

วันรุ่งขึ้นทุกคนก็ได้ข่าวว่าเธอหนีไปแล้ว เข้าใจว่าจะหนีเข้าป่าไปพร้อมกับเพื่อนๆของเธอ พ่อแม่เธอกำลังออกตามหาด้วยความเป็นห่วง ไม่นานนักครอบครัวของเธอก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น

ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ผ่านมา 35 ปีแล้วผมยังไม่เคยได้ยินข่าวของพี่สาวคนนั้นอีกเลย วันนั้นผมอาจจะจำอะไรไม่ชัดเจนนักเพราะไม่อยากจดจำความรู้สึกน่าสะอิดสะเอียนของพวกกระหายอำนาจ แต่วันนี้หากพี่สาวคนนั้นยังมีชีวิตอยู่และได้อ่านเรื่องราวจากบันทึกนี้...

...ส่งข่าวให้ทราบบ้างก็ดีนะครับ !

(มีภาพถ่ายและคลิปวิดีโอเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้มากมายเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต แต่มีหลายคลิบที่การแสดงความเห็นหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดกฎหมาย ผมจึงขอไม่ทำลิงค์ไว้ หากสนใจหาชมลองใช้คีย์เวิร์ด "Thammasat University Massacre" หาดูเอาเองนะครับ)

หมายเลขบันทึก: 463892เขียนเมื่อ 6 ตุลาคม 2011 02:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม 2012 16:23 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

สวัสดีค่ะ

Ico64

ในยุคสมัยนั้นการรับรู้ข่าวสารยังไม่เปิดกว้างเท่ายุคสมัยนี้...ผู้ที่ได้รับข้อมูลก็มีความแตกต่างกันตามความรู้ความเข้าใจและทัศนคติของแต่ละบุคคล...แม้แต่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์...การรวมตัวของกลุ่มคนขนาดใหญ่ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ...หลายคนที่มีบทบาทสำคัญในครั้งนั้นกลับออกมาจากป่าและปัจจุบันมีตำแหน่งหน้าที่การงานอยู่ในวงการศึกษา...เอาใจช่วยให้อาจารย์พบพี่สาวคนนั้นนะคะ...

  • อืมมมม์ เล่าเรื่องสมกับเป็นนักอ่านมากเลยครับ
  • เดินเรื่องและค่อยๆพลิกให้สัมผัส จนได้ความคิดหลากหลายมุม เกิดอรรถรสหลายอารมณ์ เป็นคนหนังสือมากเลยครับ
  • ทำให้ได้คิดใคร่ครวญไปด้วยตลอดการอ่านครับ 

ท่านอาจารย์ ดร.พจนา

ข่าวสารยุคนั้นถ้าไม่มาจากสื่อผูกขาดของรัฐก็เป็นข่าวลือ แต่ก็ยังมีสื่อหนังสือพิมพ์บางฉบับที่พอจะมีข้อมูลความเป็นจริงอยู่บ้าง

ที่น่าเสียใจก็คือ เพียงเพื่อแย่งชิงอำนาจกันไม่น่าทำกันถึงขนาดนี้

ท่านอาจารย์วิรัตน์ คำศรีจันทร์

ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมครับ

ขอบคุณ อีกมุมหนึ่งที่เกิดบาดแผลของยุคสมัย

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท