ล้างหน้าไก่


ตัณหา อุปาทาน

ล้างหน้าไก่    เป็นคำพังเพย ที่โดยทั่วๆไปไม่ค่อยได้ใช้ แต่ส่วนใหญ่จะใช้พูดกระทบกันระหว่างเพื่อนๆเพื่อรู้สึกขบขันกันเสียมากกว่า ซึ่งหมายถึงคนที่ลุกขึ้นมาทำอะไรกันตอนไก่ขัน ซึ่งสมัยที่บ้านช่องในชนบทยังไม่มีไฟฟ้าใช้ แน่นอนว่าเวลาที่ปลุกได้ดีที่สุดก็คือตอนไก่ขัน   ผมจำได้ว่าเมื่อตอนเด็กๆ พอไก่เริ่มขันแม่ก็ตื่นและกุลีกุจอจากที่นอนไปทำธุระส่วนตัว แล้วก็จัดการในครัวเพื่อหุงข้าว  พ่อก็ตื่นขึ้นตามติดๆ แต่พ่อนั่งสวดมนต์ไหว้พระพึมๆพำๆ  ส่วนเราก็ถูกเรียกให้ลุกขึ้นอ่านหนังสือ ภายใต้แสงตะเกียงวับๆแวมๆ แต่ส่วนใหญ่จะเอาหนังสือปิดหน้าแล้วหลับต่อเสียมากกว่า

         แต่เมื่อโตขึ้นเป็นหนุ่มก็ได้ยินบ่อยในการพูดหยอกกันในระหว่างเพื่อนผู้ชาย     ที่มีแฟนใหม่ๆ หรือข้าวใหม่ปลามัน โดยเฉพาะที่ตอนเช้าคนที่ถูกล้อเลียนมีท่าทางอิดโรย ไม่ค่อยกระปรี้กระเปราว่าเฮ้ยเมื่อคืนเอ็งล้างหน้าไก่หรือเปล่าว่ะ  แล้วก็ฮากันครืน  

         สมัยปัจจุบันไก่ขันไม่เป็นเวลาแน่นอน เพราะแม้แต่ไก่ก็ยังเหินห่างกับธรรมชาติสัตว์หลายประเภทเห็นรถยนต์เห็นมอร์เตอร์ไซด์ เป็นสิ่งปกติ แต่ถ้าคนเดินเท้าดูจะไม่ปกติ มันจะไล่เห่า หรือเห็นคนปั่นจักรยานมันก็ไล่ เพราะโดนด้วยตัวเอง พยายามเดินเท้าเข้าไปในสวน แต่หมามันออกมาเห่าไล่จนรำคาญ 

          เอาคำว่าล้างหน้าไก่มาใช้เป็นหัวเรื่องก็เพราะมันเป็นเวลาที่ต้องรู้สึกตัวตื่นเป็นประจำประมาณตีสี่กว่าๆ จนเป็นนิสัย เมื่อตื่นขึ้นมาก็ต้องทำอะไรซักอย่างเมื่อก่อนก็ดูข่าวทีวีช่องสามข่าวเช้าวันใหม่  หลังๆก็หาหนังสือธรรมะมาอ่านเพราะข่าวบางข่าวดูแล้วไม่ค่อยมีมงคล  หลังจากอ่านย้ำไปยำมาเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับ

อุปาทาน ที่เกาะติดกับขันธ์ห้า ประเภทฝังในว่างั้นเถอะ  โดยพยายามเชื่อมโยงว่าขันธ์ 5 ที่มีรูปะขันโธ ขันธ์ที่เป็นรูปร่าง 1  ขันธ์  และขันธ์ที่ไม่มีรูปร่าง อีก 4 ขันธ์ คือเวทนา  สัญญา สังขาร วิญญาณ      ก็นั่งย้อนถึงกายวิภาคและสรีรวิทยา ว่าภายใต้ขันธ์ที่ 1 รูปธรรมนั้นมันประกอบด้วยตัวเราทั้งแท่ง มี เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ คือผม ขน เล็บ ฟัน และผิวหนัง แล้วภายในสิ่งที่ห่อหุ้มนี้มันเคลื่อนไหวอยู่ส่งผลต่อรูปขันธ์ตลอดเวลา อย่างสอดคล้องกันทุกระบบ

       แล้วตัวสำคัญ มันอยู่ที่อีก 4 ขันธ์ต่างหากที่เป็นตัวก่อโรคทุกประเภท นั่งพิจารณาหลายเรื่อง โดยเฉพาะ อุปาทานที่เข้ามายึดเกาะติดกับขันธ์ 4 ขันธ์ที่กล่าว   แล้วก่อร่างสร้างสิ่งใหม่กลายเป็นตัวตัณหา ที่คู่มือมนุษย์ของอาจารย์พุทธทาส ได้เขียนไว้          

   ประเด็นอุปาทาน อุปสงค์ ก็ย้อนไปถึงเรื่องพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์ นึกถึงเส้นตัด ของอุปสงค์อุปาทาน   ทำความเข้าใจเรื่องความอยากกับการที่ได้รับสิ่งที่ตัวเองอยากแล้วความอยากลดลง

     ทีนี้ก็ทำความเข้าใจ กับอุปาทาน ที่อาจารย์พุทธาส เขียนไว้อีก มี กามุปาทานสิ่งที่มากระทบเรา โดยที่เราสัมผัสทางกาย โดย ตาได้เห็น  หูได้ยิน ผิวหนังได้สัมผัส จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้ชิมรส และเป็นอุปาทานที่สร้างทุกข์มากที่สุดตลอดเวลาแม้ยามหลับฝัน ทิฏฐปาทาน ถูกปลูกฝังตั้งแต่เราเกิดมาเป็นทารกคือความรับรู้ กลายเป็นความรู้ที่ยึดติดและเป็นตัวชักใยก่อความดื้อรั้น   สีลัพพตุปาทาน การยึดติดกับวิธีปฏิบัติที่มีจุดมุ่งหมายผิดทาง อย่างงมงายและไร้เหตุผล  อัตตวาทุปาทานความยึดมั่นในความเป็นตัวเป็นตน ซึ่งท่านบอกไว้ว่าเป็นความเร้นลับที่แฝงอยู่ในจิตใจ ท่านกล่าวถึงสัญชาติญานของมนุษย์ ก็ทำให้ย้อนรำลึกไปถึงทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของซิกดิ์มันด์ฟรอยด์  ซึ่งให้ความหมายของจิตใต้สำนึก อิด  อีโก้การแสดงออกโดยผ่านหรือไม่ผ่านการควบคุมของ มโนธรรม ซุปเปอร์อีโก้     

      ทีนี้มาเชื่อมโยงว่าตัณหา มันเกิดขึ้นได้อย่างไร   ก็เกิดขึ้นมาจากความอยากหรือเรียกว่ากิเลส  ตัณหามี 3 ตัวคือ กามตัณหา เกิดจากขันธ์ที่ 1 ล้วนๆคือรูปขันธ์

 ภวะตัณหา ได้แล้วอยากได้ต่อไปอีกหรือไม่อยากให้มันสูญมันหายไป หรือความอยากจะเป็นอย่างนั้นอยากจะเป็นอย่างนี้  ทีนี้ตัวสุดท้าย คือวิภวะตัณหา คือไม่อยากให้มันอยู่อยากให้มันพ้นไปเสีย หรืออยากไม่ให้เป็นอย่างนั้น ไม่ให้เป็นอย่างนี้

   ไอ้ที่เวียนว่ายตายเกิดอยุ่ในตัวเราหนักที่สุดคงไม่มีใครหลีกคำว่ากามตัณหาพ้น 

ก็ทำให้ย้อนไปนึกถึงเรื่องราวว่าด้วยความต้องการ 5 ขั้นของมนุษย์ ของมาสโลว์ ที่บอกว่าขั้นแรกก็คือ ปัจจัย 4  เมื่อปัจจัยสี่ มีความพร้อม ก็ ต้องการความรักความอบอุ่น ต้องการ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ต้องการชื่อเสียงเกีรติยศ ต้องการความสุนทรียภาพ อะไรก็ปานนั้น   

      แล้วท่านอาจารย์พุทธทาส ใช้คำว่า ไม่เที่ยง เป็นเช่นนั้นเอง และก็จะมีอนิจจัง ทุกขัง อนันตตา บ่อยที่สุด สมัยก่อนฟังแล้วรู้แต่เข้าใจยาก  ดังนั้นหลายคนชอบพูดตาม ว่าอนิจจังตามท่าน และคิดว่า ตัวเองเห็นธรรมแล้ว ที่จริงไม่ใช่ เป็นแต่เพียงพูดปลอบใจตัวเองกันมากกว่า

     เพราะโดยหลักการจริงๆแล้ว  อยู่ที่เราสามารถควบคุมมิให้ความอยากอยู่เหนือเราอย่างต่อเนื่องและตลอดเวลา โดยพยายามเข้าใจต่อวิธี เดินสายกลางคือไม่ตึงไม่หย่อน    สิ่งที่จะช่วย ให้ทำเช่นนั้นได้ จะต้องใช้ศีล ใช้สมาธิ และสร้างปัญญา     ในวันนี้ผู้ที่ปฏิบัติจริงและเข้าใจธรรมะอย่างถ่องแท้ ทั้งท่านที่เป็นพระอริยะสงฆ์ และบุคคลธรรมดาที่น่าจะอยู่ในขั้นอริยะบุคคล สื่อได้นำมาเสนอให้ได้เห็นเป็นตัวอย่างหลายๆท่าน

        ส่วนตัวเองนั้นยังคงเป็นบุคคลธรรมดา ที่ยังมีโลกิยะอยู่  อย่างไรก็แล้วแต่  วันนี้คงไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในบวรพุทธศาสนาแล้ว เพราะพอจะเข้าใจคำว่าธรรมมะของพระพุทธองค์  เพียงแต่เรา จะเดินตามช่องทางที่เห็นไปได้ถึงไหนก็เท่านั้น  

    ฉบับนี้ต่อจากฉบับที่ชื่อคนเพิ่งตื่น  ที่ตื่นมาแล้วล้างหน้าไก่ด้วยธรรม ไม่ใด้ล้างด้วยกามตามที่ชอบหยอกล้อกัน

 

หมายเลขบันทึก: 463757เขียนเมื่อ 4 ตุลาคม 2011 23:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มิถุนายน 2012 19:47 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ตื่นมาล้างหน้าไก่ด้วยธรรม ตามศาสนาบัญญัติ อิสลามถนัดปลุกขึ้นมาล้างหน้าธรรม เป็นกิจวัตร

ด้วยความขอบคุณครับท่าน

ภาษาวัยรุ่นหมายถึงอีกอย่างหนึ่งนะครับ

อิอิ

  • รำพึงถึงพ้องเพื่อน
  • คำร้องเตือนมาฝากไว้
  • น้ำท่วมด้วยน้ำใจ
  • พี่น้องไทยรีบช่วยกัน .....


พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท