ยอมแพ้เสียบ้าง


เรามายอมแพ้กันเถอะ ถ้าหากว่าความพ่ายแพ้นั้น ทำให้ชีวิตของเรามีความสุข สังคมมีความสงบ และอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

 

 

 

 

สถานีความคิด :

ยอมแพ้เสียบ้าง

 

 

ริคกี้  ฮัตตัน 

 

 

(๑)

 

 

               เมื่อหลายปีก่อน ริคกี้ ฮัตตัน(Ricky Hatton) ได้ชื่อว่าเป็นซุปเปอร์สตาร์ขวัญใจของแฟนกีฬาหมัดๆ มวยๆ ของอังกฤษและสหราชอาณาจักร ในฐานะที่เป็นนักมวยหนุ่มดาวรุ่งพุ่งแรง ซึ่งนอกจะชกมวยเก่งแล้ว ก็ยังมีความหล่อเหลาชวนให้แฟนกีฬาพากันหลงใหลไปตามๆ กัน

                ริคกี้ ฮัตตัน เริ่มเรียนรู้การชกมวยสากลมาตั้งแต่อายุยังน้อย โดยพัฒนาการชกมวยขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุดเขาก็ได้ครองแชมป์โลกรุ่นเวลเตอร์เวท ของสมาคมมวยโลก (ดับเบิ้ลยูบีเอ) และได้รับฉายาว่า “เดอะ ฮิตแมน”  กลายเป็นนักมวยชื่อดังที่แฟนกีฬามวยต่างพากันชื่นชอบในลีลาการชกบนเวที

                ฮัตตันเป็นนักมวยที่ชกได้ทั้งแบบบ๊อกเซอร์ คือ เน้นการชกแบบตั้งรับแล้วหาจังหวะสวนกลับ และแบบไฟเตอร์ คือเดินหน้าลุยชกคู่ต่อสู้ ซึ่งจะสลับลีลากันไป โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ช่วงชกสูงยาวและการออกหมัดที่รวดเร็ว  แต่ก็มีจุดอ่อนอยู่ตรงที่เป็นนักมวยที่ค่อนข้างจะคางอ่อน หากคู่ต่อสู้ชกโดนจังๆ ก็อาจจะทำให้แพ้น็อคได้ง่ายๆ เช่นกัน

                ในช่วงที่ฮัตตันกำลังฮอตอย่างสุดขีด ไม่มีนักมวยคนไหนในรุ่นเดียวกันอยากจะชกด้วย เลยทำให้ฮัตตันคึกคะนองและหลงตัวเองอย่างหนัก   นึกว่าตัวเขาคือนักชกหมายเลขหนึ่งของโลก ในรุ่นนี้ไม่มีใครจะสู้เขาได้  ไปที่ไหนก็มีแต่คนยกยอปอปั้น(จนเกินจริง)อยู่ตลอดเวลา

                ชีวิตของฮัตตันต้องมาพบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของชีวิต  ก็ตอนที่เขาขึ้นชกกับแมนนี่ ปาเกียว  นักชกหมายเลขหนึ่งของโลก(ตัวจริง) เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2552 โดยที่ฮัตตันเป็นฝ่ายพ่ายน็อคไปอย่างง่ายดายในยกที่ 2  ทั้งที่ก่อนหน้านั้นใครๆ ต่างก็คิดว่าฮัตตันน่าจะเป็นฝ่ายเหนือกว่า รวมทั้งตัวของฮัตตันเองก็คิดว่าเขาเหนือกว่าปาเกียวทุกอย่าง

                ความพ่ายแพ้อย่างพลิกความคาดหมายต่อแมนนี่ ปาเกียว ในคราวนั้น ทำให้ฮัตตันรู้สึกเสียใจและผิดหวังมากที่สุดในชีวิต

                เขาไม่เชื่อว่าเขาพ่ายแพ้ต่อปาเกียว ที่ตัวเล็กกว่า และเป็นนักมวยที่มีดีแค่หมัดหนักอย่างเดียวเท่านั้นเอง

                เขาไม่ยอมรับต่อความพ่ายแพ้ในคราวนั้น  แม้ว่าเขาจะเคยพ่ายแพ้ใครต่อใครมาบ้างก็ตาม แต่เขากลับยอมรับไม่ได้ที่เขาต้องมาพ่ายแพ้ต่อปาเกียวเพียงแค่ยกที่ 2 เท่านั้น

                ความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นทำให้เขาทำใจไม่ได้ และไม่มีกะจิตกะใจที่จะฝึกซ้อมหรือขึ้นชกมวยอีกต่อไป สุดท้ายเขาก็ได้หันไปพึ่งพาสุราและสิ่งเสพติดต่างๆ จนทำให้ชีวิตของเขาต้องตกต่ำอย่างสุดขีด ถึงขนาดถูกยึดใบอนุญาตการชกมวย จากข้อหาการสร้างความเสื่อมเสียให้กับวงการกีฬามวย

                ช่วงหนึ่ง เขาพยายามที่จะขึ้นชกมวยอีกหลายครั้ง แต่เขาก็ต้องพบความปราชัยทุกครั้ง อันเนื่องมาจากสภาพร่างกายและจิตใจไม่มีความพร้อมนั่นเอง

                เมื่อหลายวันก่อน ริคกี้ ฮัตตัน ได้ออกมายอมรับว่า เขาเกือบตัดสินใจฆ่าตัวตาย หลังจากพ่าย แมนนี่ ปาเกียว นักชกหมายเลขหนึ่งของโลกคนปัจจุบันชาวฟิลิปปินส์ แบบยับเยิน ด้วยการแพ้น็อกเพียงยกที่ 2 ระหว่างการขึ้นชกที่เมืองลาสเวกัส วันที่ 3 พ.ค. 2552 เพื่อหลีกหนีปัญหาต่างๆ ที่เข้ามารุมเร้า

 

          .....อดีตนักมวยเจ้าของฉายา "เดอะ ฮิตแมน" ผิดหวังกับความพ่ายแพ้ต่อปาเกียว จนต้องเผชิญหน้ากับการติดเหล้าอย่างหนัก รวมถึงเกี่ยวข้องกับการใช้ยาเสพติดหลายชนิด โดยเขากล่าวผ่านสำนักข่าว "บีบีซี" ถึงเรื่องนี้ว่า

               "ผมเศร้ามาก ผมร้องไห้ตลอด แถมอารมณ์สับสน รวมถึงคิดถึงการฆ่าตัวตาย ผมตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าหนักขึ้นเรื่อยๆ ผมออกไปดื่ม แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดเมื่ออยู่ในภาวะซึมเศร้านั่นคือการเติมแอลกอฮอล์ เข้าไปในร่างกายอีก"

             อย่างไรก็ตาม ยอดกำปั้นวัย 32 ปี ได้ออกมากล่าวขอบคุณ "นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์" สื่อดังเมืองผู้ดี ที่ช่วยออกมาตีแผ่ว่า เขาเสพโคเคน จนต้องเข้ารับการบำบัดในเวลาต่อมา

             "สำหรับบางคนที่อยู่ในสถานการณ์แบบผม การใช้ยานั้นมันไม่มีอะไรต้องอับอายหรอก เหตุผลเบื้องหลังที่ผมทำ และแนวทางที่ผมไม่ได้ดื่มหรือเสพสิ่งต่างๆ มันคือความซึมเศร้า ผมทำได้แค่เมาให้เละ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมต้องขอบคุณหนังสือพิมพ์ นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ เพราะใครจะรู้ว่ามันจะลงเอยอย่างไร"

 

 

 

 (๒)

 

                สังคมมนุษย์ในยุคปัจจุบันเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายและทารุณ อันเนื่องมาจากมีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา เพื่อที่จะให้ตนเองเป็นฝ่ายได้เปรียบ และเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ ทั้งนี้เพราะว่าสังคมในปัจจุบันมีค่านิยมในการยอมรับ และยกย่องเชิดชูเกียรติให้เฉพาะผู้ที่ประสบชัยชนะเท่านั้น โดยไม่ยอมรับหรือยกย่องคนที่แพ้ หรือเป็นรองแต่อย่างใด

                ระบบการแข่งขัน (Competitional system) ที่มีในปัจจุบันทำให้มนุษย์กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว ร้อนรน มีความทะเยอทะยานสูง มีจิตใจที่หยาบกระด้าง และขาดความรักความเมตตาต่อกันและกัน ตลอดจนทำให้มนุษย์มองมนุษย์ด้วยกันเป็นฝ่ายตรงข้ามอยู่ตลอดเวลา และประเมินค่าความเป็นมนุษย์ของคนที่เป็นฝ่ายตรงข้ามต่ำกว่าตนเองอยู่เสมอ อีกทั้งยังทำให้มนุษย์แต่ละคนดิ้นรนเพื่อแสวงหาชัยชนะในทุกวิถีทาง เพื่อที่จะให้ตนเองได้สมหวัง โดยไม่สนใจว่าชัยชนะนั้นจะได้มาโดยวิธีการที่ถูกต้องดีงามหรือไม่ประการใดก็ตาม ขอเพียงให้ตนเองได้สมหวังและได้ชัยชนะเท่านั้นก็พอ ส่วนผู้อื่นจะทุกข์ทรมานหรือเจ็บปวดเพียงใดนั้นไม่ต้องไปสนใจกับมัน

                 ตราบใดก็ตามที่มนุษย์ยังมองมนุษย์ด้วยกันเป็นฝ่ายตรงข้าม มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย และมีการแสวงหาความได้เปรียบ เพื่อตนเองจะได้มาซึ่งชัยชนะ โดยที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับตนเองและผู้อื่น ตลอดจนผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสังคมส่วนรวม ตราบนั้นสังคมมนุษย์ก็คงจะต้องเผชิญกับปัญหาความทุกข์ และพบแต่ความเจ็บปวดอยู่ร่ำไปไม่มีที่สิ้นสุด

                แท้ที่จริง.....คนเราจะมีความสุขและมีชีวิตที่ดีงามได้นั้น คุณค่าของชีวิตดังกล่าวไม่ได้วัดกันที่ชัยชนะ หรือการได้มาซึ่งเกียรติยศชื่อเสียงแต่ประการใด  

               หากแต่ความสุขที่แท้จริงนั้นขึ้นอยู่ที่การได้เรียนรู้ ศึกษา ค้นพบ รู้จัก และเข้าใจชีวิตและตนเองอย่างแจ่มแจ้งต่างหาก

 

              เรามายอมแพ้กันเถอะ ......ถ้าหากว่าความพ่ายแพ้นั้น ทำให้ชีวิตของเรามีความสุข   สังคมมีความสงบ   และอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

              ยอมแพ้เสียบ้าง.........แล้วโลกของเราจะน่าอยู่กว่านี้อีกมากมาย

 

 

คลิปวีดีโอการชกระหว่าง ริคกี้ ฮัตตัน กับ แมนนี่  ปาเกียว

จาก  http://www.youtube.com/watch?v=3RV1yZPYMqs&feature=related

 

 

ริคกี้  ฮัตตัน  ช่วงที่ยังรุ่งเรืองอยู่

กำลังถลุงคู่ต่อสู้อยู่บนเวทีอย่างเมามัน

ริคกี้ ฮัตตัน กับเพื่อนซี้ เวย์น  รูนี่ย์

แมนนี่  ปาเกียว กำลังต่อยฮัตตันเข้าที่ใบหน้าอย่างจัง

พ่ายน็อคแก่แมนนี่ ปาเกียว ในยกที่ 2 เมื่อ 3 พ.ค.2552

โฉมหน้าของริคกี้ ฮัตตัน ในปัจจุบัน

 

 

หมายเหตุ

1. ภาพทั้งหมดนำมาจากอินเทอร์เนต....ขอขอบคุณเจ้าของภาพทุกท่านไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย

2. เนื้อข่าวที่ไฮไลท์เป็นสีม่วง  นำมาจากเวบไซท์นี้ http://www.sportradiothai.com/news/news.php?id_news=30754

 

 

 

 

เพลง      "Live  and  Learn"

ร้องโดย      "กมลา   สุโกศล"

 

 


หมายเลขบันทึก: 463423เขียนเมื่อ 2 ตุลาคม 2011 01:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2012 03:38 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (18)

ยอมแพ้...เป็น ก็ต้องหัดเรียนรู้นะคะ

ปล่อยตามยถากรรม ใช่ว่าจะบังเอิญ...แพ้เป็น

ชอบ

อยู่ที่การได้เรียนรู้ ศึกษา ค้นพบ รู้จัก และเข้าใจชีวิตและตนเองอย่างแจ่มแจ้ง

อันนี้ก็ยังต้องเรียนรู้อีกต่อไป...มาก ๆ

แจ่มแจ้งเนี่ย...ไม่ง่ายเลยนะคะ

 

สวัสดีค่ะคุณอักขณิช

 เมื่อเราแพ้ เราแพ้เพียงความคาดหวังแต่การยอมรับความพ่ายแพ้คือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ค่ะ 

 เป็นธรรมดาชีวิตต้องมีผิดหวังบ้าง ชีวิตต้องเดินไปข้างหน้าต่อ แม้ท้อต้องไม่ถอย  

 กำลังใจสำคัญค่ะ

 ขอบคุณบันทึกดีๆนี้ค่ะ

 

 

เรามายอมแพ้กันเถอะ ......ถ้าหากว่าความพ่ายแพ้นั้น ทำให้ชีวิตของเรามีความสุข   สังคมมีความสงบ   และอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

              ยอมแพ้เสียบ้าง.........แล้วโลกของเราจะน่าอยู่กว่านี้อีกมากมาย

 

 

ยอมแพ้ เพื่อรอรับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่

คือชัยชนะของความสงบ สุข

  • คนที่เข้าไม่ถึงสัจธรรมของชีวิตเมื่อไม่สมหวังย่อมเกิดจุดเปลี่ยน
    ทำร้ายตนเองเพราะการยึดมั่นถือมั่น
  • แท้จริงชัยชนะที่ถาวรคือชนะตัวเอง
  • ขอบพระคุณบันทึกดี ๆ ที่ชี้ให้เห็นความจริงของชีวิตค่ะ

ขอบคุณคะ ได้ข้อคิดมีพลังมากทีเดียว

ที่เจ็บมาก ก็เพราะ "คิดว่าตัวเองเหนือกว่าปาเกียวทุกอย่าง" ..

หากทำใจไว้สองทาง คงเจ็บน้อยกว่านี้

สวัสดีค่ะ

แวะมาอ่านบันทึกนี้ค่ะ

อ่านบันทึกนี้แล้วได้ข้อคิดว่า

ถึงเราจะแพ้ แต่ถ้าใจเรายอมรับได้

ก็ถือเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่ได้ชนะใจตนเอง

ดีกว่าชนะมาตลอด แต่ไม่เห็นคุณค่าของชัยชนะนั้น

ทำไปเพียงเพื่อต้องการให้ผู้อื่นยอมรับค่ะ

ขอบคุณสำหรับบันทึกนี้นะคะ

ขอบคุณค่ะ

สวัสดีครับ คุณหมอ ทพญ.ธิรัมภา

-ขอบคุณมากๆ เลยครับ ที่กรุณาช่วยเพิ่มเติมความคิดเห็นในบันทึกนี้

-ผมว่าในสังคมเรา....คนที่เป็นเหมือนริคกี้ ฮัตตัน คงจะมีอยู่ไม่น้อยนะครับ หากเขารู้จักปล่อยวางเสียบ้าง ทุกอย่างก็คงจะดีขึ้น คงไม่ต้องทุกข์หรือเจ็บปวดมากเหมือนที่เป็นอยู่

-ขอบคุณมากๆ ครับผม ที่กรุณาติดตามอ่านและให้กำลังใจอย่างสม่ำเสมอ

สวัสดีครับ คุณถาวร

-ผมว่า ริคกี้ ฮัตตัน คงจะคาดหวังชัยชนะมากเกินไปนะครับ เพราะคิดว่าตนเองเหนือกว่าปาเกียวทุกด้าน ทั้งอายุ น้ำหนัก และช่วงชกที่สูงยาวกว่า แต่พอพ่ายแพ้อย่างหมดรูปแบบนั้น ก็เลยทำใจไม่ได้ จนต้องจ่อมจมอยู่กับความทุกข์ตรมที่ตนเองสร้างขึ้นมาอย่างที่เห็น

-เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ กับความคิดเห็นที่คุณถาวรกล่าวมาทั้งหมด.....ขอบคุณมากๆ เลยนะครับ

สวัสดีครับ เอื้อยกระติกน้ำ~natachoei ที่ ~natadee

-เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ กับความเห็นที่เอื้อยกระติกน้ำกล่าวมา

-ขอบคุณมากๆ เลยครับผม

สวัสดีครับ คุณครู ธรรมทิพย์

- ผมว่า หากริคกี้ ฮัตตัน เป็นพุทธศาสนิกชนหรือมีโอกาสได้ศึกษาพระพุทธศาสนาสักเล็กน้อย ก็คงจะไม่เป็นเช่นนี้หรอกนะครับ เขาคงจะไม่คาดหวังอะไรมากมายนัก และคงจะยอมรับความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งอาจจะทำให้เขาสามารถกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้งและอาจจะยิ่งใหญ่กว่าเก่าก็ได้

-เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ กับความเห็นของคุณครูที่บอกว่า "แท้จริงชัยชนะที่ถาวรคือชนะตัวเอง"(อัตตา หะเว ชิตัง เสยโย)

-ขอบคุณมากๆ เลยครับผม

สวัสดีครับ คุณหมอแต้ CMUpal/ ป.

-ข้อคิดที่สำคัญจากเรื่องนี้อีกอย่างหนึ่ง ก็คือ "อย่าคาดหวังอะไรจากชีวิตมากเกินไป" นะครับ

-หากริคกี้ ฮัตตัน มองกีฬาเป็นเพียงเกมส์กีฬา เขาก็คงจะรู้จักคำว่า "แพ้" หรือ "ชนะ" นะครับ คงจะยอมรับความพ่ายแพ้ได้ และคงไม่ต้องเจ็บปวดหรือทุกข์ใจมากถึงเพียงนี้

-เรื่องอื่นๆ ก็เช่นกันนะครับ หากเรารู้จักยอมรับความพ่ายแพ้หรือยอมแพ้กันเสียบ้าง ชีวิตก็คงจะมีความสุข และสังคมก็คงจะมีความสงบสุขมากยิ่งๆ ขึ้น

-ขอบคุณมากๆ เลยครับ ที่กรุณาเข้ามาอ่านและช่วยเพิ่มเติมความคิดเห็นในบันทึกนี้

สวัสดีครับ น้องต้นเฟิร์น

-ชอบใจความเห็นที่น้องต้นเฟิร์นกล่าวมามากๆ เลยครับ ที่บอกว่า....

"ถึงเราจะแพ้ แต่ถ้าใจเรายอมรับได้ ก็ถือเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่ได้ชนะใจตนเอง ดีกว่าชนะมาตลอด แต่ไม่เห็นคุณค่าของชัยชนะนั้น ทำไปเพียงเพื่อต้องการให้ผู้อื่นยอมรับค่ะ"

เป็นความคิดเห็นที่แหลมคมและน่าคิดมากๆ เลย

-ขอให้มีความสุขและสนุกกับการเรียนตลอดเวลานะครับ

  • ช่วงนี้งานมากอีกแล้วค่ะ 3 ต.ค. ปัจฉิมนิเทศนักศึกษาฝึกประสบการณ์ปี 5 วันนี้ปัจฉิมปี 4 ต้องงตรวจงานรายบุคคลคนละหลายชิ้น และต้องส่งผลการประเมิน รวมทั้งทำคะแนนนักศึกษาปี 1-2 ซึ่งไม่มีเฉพาะคะแนนสอบ จะมีคะแนนกิจกรรมทุกสัปดาห์ หลายกิจกรรมเป็นงานปฏิบัติที่ถ่าย Video ไว้ ให้นักศึกษาดูหมดแล้ว แต่ยังไม่ได้ประเมินให้คะแนน วันที่ 6 จะเข้าไปเคลียร์อะไรๆ ในฟาร์ม วันที่ 10 บินไปกทม. 11-15 ไปทัศนศึกษาปักกิ่งกับคณะครุศาสตร์ เลยมีเวลาน้อยสำหรับการอ่านบันทึกของสมาชิกใน G2K จึงต้องเลือกอ่านบางบันทึก ค่ะ
  • เรื่องเล่าของคุณอักขณิช ที่เลือกอ่านครั้งนี้ คือ เรื่อง "ยอมแพ้เสียบ้าง" เพราะสนใจ "Theme : แก่น" ของเรื่องค่ะ แม้ตัวละครในเรื่องจะเป็นนักมวย ที่ยอมรับว่าตนเองไม่ชอบมวยเพราะมีความรู้สึกส่วนตัวว่า มันไม่น่าจะเป็นกีฬา มีนิยามส่วนตัวว่า "กีฬา" น่าจะเป็นการเล่นกับอุปกรณ์ต่างๆ แต่มวยแม้ทั่วไปจะถือเป็นกีฬาต่อสู้ป้องกันตัว แต่ตัวเองรู้สึกว่า เป็นการทำร้ายร่างกายกัน เห็นหลายคนที่ถูกชกมากๆ ทำให้สมองได้รับการกระทบกระเทือน ถูกชกจนตายก็มี ยิ่งเห็นมวยเด็กยิ่งเป็นห่วงค่ะ
  • น้องชายคนที่เป็นพระภิกษุ เคยเลิกเรียนไปเป็นนักมวย และน้องคนสุดท้องเคยถูกพี่ที่เป็นนักมวยฝึกซ้อมให้และให้ขึ้นชกในงานวัดที่บ้าน ได้ไปดูแบบใจหายใจคว่ำ เจ็บตามทุกครั้งที่น้องถูกชก ทำท่าว่าจะถูกน็อก สุดท้ายก็รอดมาได้แบบสะบักสะบอมและแพ้คะแนน
  • กลับมาถึงแก่นของเรื่อง ชอบคำว่า "ยอมแพ้เสียบ้าง" คนสมัยก่อนยังสนับสนุนการรู้จักแพ้ ดังสำนวนที่ว่า "แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร" ในทางจิตวิทยานั้น คนที่ไม่เคยผิดหวังจะอันตรายมาก ดังกรณีตัวอย่าง นักศึกษาแพทย์ชายที่ฆ่ารุ่นน้องเพราะยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้ (รุ่นน้องที่ตนเองรักไปคบหากับชายอื่น) เมื่อศึกษาประวัติก็พบว่า เขาได้รับการเลี้ยงดูแบบรักตามใจ และในชีวิตไม่เคยมีอะไรที่อยากได้แล้วไม่ได้ ไม่เคยพบกับความผิดหวัง
  • ในทางจิตวิทยาและการแนะแนว จึงสนับสนุนให้ผู้ใหญ่พัฒนา "AQ : Adversity Quotient" หรือ "ความเฉลียวฉลาดในการเผชิญปัญหาและอุปสรรค" ใหกับเด็กและเยาวชน การให้ได้รับประสบการณ์ที่เรียกว่า "ความพ่ายแพ้" และให้มองความพ่ายแพ้ในเชิงบวก ดังสำนวนที่ว่า "อกหักดีกว่ารักไม่เป็น" หรือ "แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร" ก็เป็นแนวทางหนึ่งของการพัฒนา AQ 
  • บันทึกนี้จึงมีคุณค่าที่ขอสนับสนุนให้คุณครูที่สอนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน นำไปใช้เป็นกรณีศึกษาประกอบการจัดกิจกรรมแนะแนวในชั้นเรียน เพื่อพัฒนา AQ ให้กับผู้เรียน
  • สำหรับตัวเองก็จะนำไปใช้ประกอบการจัดการเรียนรู้วิชา "จิตวิทยาสำหรับครู" ในหัวเรื่อง "การจัดกิจกรรมแนะแนวในชั้นเรียน" ในภาคเรียนต่อไป
  • ขอพูดด้วยใจจริง (ตนเองจะใช้หลักการพูดว่า "พูดในสิ่งที่เป็นจริง และเป็นประโยชน์" อยู่แล้ว ส่วน จะ "เป็นที่พอใจ" หรือไม่ ถ้าอาจจะไม่เป็นที่พอใจแต่ถ้าหากเป็นจริงและเป็นประโยชน์ก็จะพูด ผู้บริหารจึงไม่ชอบ) ว่า คุณอักขณิชมีทั้งศาสตร์และศิลป์ในการเขียน สามารถเขียนเรื่องได้หลายประเภทที่ชวนติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ และในบันทึกนี้ ก็สรุปท้ายได้กินใจมากว่า "แท้ที่จริงคนเราจะมีความสุขและมีชีวิตที่ดีงามได้นั้น คุณค่าของชีวิตดังกล่าวไม่ได้วัดกันที่ชัยชนะ หรือการได้มาซึ่งเกียรติยศชื่อเสียงแต่ประการใด หากแต่ความสุขที่แท้จริงนั้นขึ้นอยู่ที่การได้เรียนรู้ ศึกษา ค้นพบ รู้จัก และเข้าใจชีวิตและตนเองอย่างแจ่มแจ้งต่างหาก ...เรามายอมแพ้กันเถอะ ถ้าหากว่าความพ่ายแพ้นั้น ทำให้ชีวิตของเรามีความสุข   สังคมมีความสงบ   และอยู่ร่วมกันอย่างสันติ...ยอมแพ้เสียบ้างแล้วโลกของเราจะน่าอยู่กว่านี้อีกมากมาย"
  • ชื่นชมค่ะ

 

สวัสดีครับ อาจารย์ ผศ.วิไล แพงศรี

-ขอขอบคุณอาจารย์มากๆ เลยนะครับ ที่กรุณาช่วยเพิ่มเติมความคิดเห็นมาอย่างยาวเหยียด ทำให้ผมได้ความรู้และข้อคิดใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกหลายอย่างด้วยกัน

-ดูเหมือนอาจารย์จะงานเยอะมากจริงๆ นะครับ....ยังไงๆ ก็ขอให้อาจารย์รักษาสุขภาพมากๆ ด้วยนะครับ ขอเอาใจช่วยเสมอครับผม

-ความจริง.....ผมเขียนงานได้หลายประเภทนะครับ แต่ที่ถนัดมากที่สุด ก็คือ "สารคดี" หรือ "เรื่องเล่า" เพราะว่าสามารถที่จะสอดแทรกความคิดเห็นหรือข้อคิดต่างๆ ลงไปได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งเขียนง่ายกว่าแบบอื่นด้วย

-ผมเขียนตาม "แก่น" ของเรื่องนะครับ บางเรื่องก็ออกจะเศร้าๆ บางเรื่องก็จริงจัง บางเรื่องก็ตลกและเฮฮา และบางเรื่องก็มีทั้งเศร้า เหงา และขำขันในเรื่องเดียวกัน (โดยส่วนตัวแล้ว....ผมเป็นคนที่ตลกๆ บ้าๆ บอๆ นะครับ เป็นคนที่มองเห็นอะไรเป็นเรื่อง "ตลก" หรือ "ขำ" เกือบตลอดเวลาเลย)

-ตอนนี้ที่เชียงใหม่ อากาศเริ่มหนาวแล้วนะครับ ในขณะที่ฝนก็ยังตกอยู่ คิดว่าปีนี้อากาศคงจะหนาวเย็นมากๆ เลยทีเดียว

-ขอบคุณมากๆ ครับ ที่กรุณาแวะเข้ามาเยี่ยมและให้กำลังใจอย่างสม่ำสเมอ

....ยอมแพ้...ไม่ใช่..อ่อนแอ...

...การยิ้มรับความพ่ายแพ้ได้....เป็นการเอาชนะตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม...

และต้องไม่ลืมความจริงข้อหนึ่งที่ว่า...ถ้าไม่มีผู้แพ้ ย่อมไม่มีผู้ชนะ

....ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆที่สรรค์สร้างให้อ่านค่ะ..

สวัสดีครับ คุณกิ่งไผ่ใบหลิว

-ขอบคุณมากๆ ครับ ที่กรุณาแวะเข้ามาเยี่ยมอีกครั้ง หลังจากที่หายหน้าหายตาไปนาน

-ที่จริง....แพ้หรือชนะ ต่างก็เป็นเรื่องธรรมดาๆ สำหรับมนุษย์นะครับ ไม่มีใครชนะตลอดกาล และไม่มีใครพ่ายแพ้ตลอดเวลา จะแตกต่างกันบ้างก็ตรงที่ว่าบางคนชนะมากกว่าแพ้ ในขณะที่บางคนอาจจะแพ้มากกว่าชนะเท่านั้นเอง

-แพ้หรือชนะ..... ไม่ได้มีเพียงเฉพาะในการแข่งขันกีฬาเท่านั้นนะครับ หากแต่ยังรวมไปถึง "การแข่งขัน" ทุกๆ อย่างด้วย ซึ่งจะต้องมีทั้งแพ้หรือชนะ สมหวังและผิดหวัง คละเคล้ากันไป.....หากยอมรับได้ ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย

-ขอบคุณมากๆ ครับผม

สวัสดีคะ

แพ้ไม่ได้แปลว่าโง่

แพ้ไม่ได้แปลว่าเสียเปรียบ

คนที่ยอม คือผู้ชนะทุกประการค่ะ

ขอบคุณบันทึกที่น่าอ่านและมีข้อคิดที่วิเศษมากค่ะ

สวัสดีครับ คุณตันติราพันธ์

เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ กับความเห็นที่กล่าวมาข้างต้น

ขอบคุณมากๆ ครับ ที่กรุณาแวะมาเยี่ยมและให้กำลังใจ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท