สถานีความคิด :
ริคกี้ ฮัตตัน
(๑)
เมื่อหลายปีก่อน ริคกี้ ฮัตตัน(Ricky Hatton) ได้ชื่อว่าเป็นซุปเปอร์สตาร์ขวัญใจของแฟนกีฬาหมัดๆ มวยๆ ของอังกฤษและสหราชอาณาจักร ในฐานะที่เป็นนักมวยหนุ่มดาวรุ่งพุ่งแรง ซึ่งนอกจะชกมวยเก่งแล้ว ก็ยังมีความหล่อเหลาชวนให้แฟนกีฬาพากันหลงใหลไปตามๆ กัน
ริคกี้ ฮัตตัน เริ่มเรียนรู้การชกมวยสากลมาตั้งแต่อายุยังน้อย โดยพัฒนาการชกมวยขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุดเขาก็ได้ครองแชมป์โลกรุ่นเวลเตอร์เวท ของสมาคมมวยโลก (ดับเบิ้ลยูบีเอ) และได้รับฉายาว่า “เดอะ ฮิตแมน” กลายเป็นนักมวยชื่อดังที่แฟนกีฬามวยต่างพากันชื่นชอบในลีลาการชกบนเวที
ฮัตตันเป็นนักมวยที่ชกได้ทั้งแบบบ๊อกเซอร์ คือ เน้นการชกแบบตั้งรับแล้วหาจังหวะสวนกลับ และแบบไฟเตอร์ คือเดินหน้าลุยชกคู่ต่อสู้ ซึ่งจะสลับลีลากันไป โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ช่วงชกสูงยาวและการออกหมัดที่รวดเร็ว แต่ก็มีจุดอ่อนอยู่ตรงที่เป็นนักมวยที่ค่อนข้างจะคางอ่อน หากคู่ต่อสู้ชกโดนจังๆ ก็อาจจะทำให้แพ้น็อคได้ง่ายๆ เช่นกัน
ในช่วงที่ฮัตตันกำลังฮอตอย่างสุดขีด ไม่มีนักมวยคนไหนในรุ่นเดียวกันอยากจะชกด้วย เลยทำให้ฮัตตันคึกคะนองและหลงตัวเองอย่างหนัก นึกว่าตัวเขาคือนักชกหมายเลขหนึ่งของโลก ในรุ่นนี้ไม่มีใครจะสู้เขาได้ ไปที่ไหนก็มีแต่คนยกยอปอปั้น(จนเกินจริง)อยู่ตลอดเวลา
ชีวิตของฮัตตันต้องมาพบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของชีวิต ก็ตอนที่เขาขึ้นชกกับแมนนี่ ปาเกียว นักชกหมายเลขหนึ่งของโลก(ตัวจริง) เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2552 โดยที่ฮัตตันเป็นฝ่ายพ่ายน็อคไปอย่างง่ายดายในยกที่ 2 ทั้งที่ก่อนหน้านั้นใครๆ ต่างก็คิดว่าฮัตตันน่าจะเป็นฝ่ายเหนือกว่า รวมทั้งตัวของฮัตตันเองก็คิดว่าเขาเหนือกว่าปาเกียวทุกอย่าง
ความพ่ายแพ้อย่างพลิกความคาดหมายต่อแมนนี่ ปาเกียว ในคราวนั้น ทำให้ฮัตตันรู้สึกเสียใจและผิดหวังมากที่สุดในชีวิต
เขาไม่เชื่อว่าเขาพ่ายแพ้ต่อปาเกียว ที่ตัวเล็กกว่า และเป็นนักมวยที่มีดีแค่หมัดหนักอย่างเดียวเท่านั้นเอง
เขาไม่ยอมรับต่อความพ่ายแพ้ในคราวนั้น แม้ว่าเขาจะเคยพ่ายแพ้ใครต่อใครมาบ้างก็ตาม แต่เขากลับยอมรับไม่ได้ที่เขาต้องมาพ่ายแพ้ต่อปาเกียวเพียงแค่ยกที่ 2 เท่านั้น
ความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นทำให้เขาทำใจไม่ได้ และไม่มีกะจิตกะใจที่จะฝึกซ้อมหรือขึ้นชกมวยอีกต่อไป สุดท้ายเขาก็ได้หันไปพึ่งพาสุราและสิ่งเสพติดต่างๆ จนทำให้ชีวิตของเขาต้องตกต่ำอย่างสุดขีด ถึงขนาดถูกยึดใบอนุญาตการชกมวย จากข้อหาการสร้างความเสื่อมเสียให้กับวงการกีฬามวย
ช่วงหนึ่ง เขาพยายามที่จะขึ้นชกมวยอีกหลายครั้ง แต่เขาก็ต้องพบความปราชัยทุกครั้ง อันเนื่องมาจากสภาพร่างกายและจิตใจไม่มีความพร้อมนั่นเอง
เมื่อหลายวันก่อน ริคกี้ ฮัตตัน ได้ออกมายอมรับว่า เขาเกือบตัดสินใจฆ่าตัวตาย หลังจากพ่าย แมนนี่ ปาเกียว นักชกหมายเลขหนึ่งของโลกคนปัจจุบันชาวฟิลิปปินส์ แบบยับเยิน ด้วยการแพ้น็อกเพียงยกที่ 2 ระหว่างการขึ้นชกที่เมืองลาสเวกัส วันที่ 3 พ.ค. 2552 เพื่อหลีกหนีปัญหาต่างๆ ที่เข้ามารุมเร้า
.....อดีตนักมวยเจ้าของฉายา "เดอะ ฮิตแมน" ผิดหวังกับความพ่ายแพ้ต่อปาเกียว จนต้องเผชิญหน้ากับการติดเหล้าอย่างหนัก รวมถึงเกี่ยวข้องกับการใช้ยาเสพติดหลายชนิด โดยเขากล่าวผ่านสำนักข่าว "บีบีซี" ถึงเรื่องนี้ว่า
"ผมเศร้ามาก ผมร้องไห้ตลอด แถมอารมณ์สับสน รวมถึงคิดถึงการฆ่าตัวตาย ผมตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าหนักขึ้นเรื่อยๆ ผมออกไปดื่ม แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดเมื่ออยู่ในภาวะซึมเศร้านั่นคือการเติมแอลกอฮอล์ เข้าไปในร่างกายอีก"
อย่างไรก็ตาม ยอดกำปั้นวัย 32 ปี ได้ออกมากล่าวขอบคุณ "นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์" สื่อดังเมืองผู้ดี ที่ช่วยออกมาตีแผ่ว่า เขาเสพโคเคน จนต้องเข้ารับการบำบัดในเวลาต่อมา
"สำหรับบางคนที่อยู่ในสถานการณ์แบบผม การใช้ยานั้นมันไม่มีอะไรต้องอับอายหรอก เหตุผลเบื้องหลังที่ผมทำ และแนวทางที่ผมไม่ได้ดื่มหรือเสพสิ่งต่างๆ มันคือความซึมเศร้า ผมทำได้แค่เมาให้เละ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมต้องขอบคุณหนังสือพิมพ์ นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ เพราะใครจะรู้ว่ามันจะลงเอยอย่างไร"
(๒)
สังคมมนุษย์ในยุคปัจจุบันเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายและทารุณ อันเนื่องมาจากมีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา เพื่อที่จะให้ตนเองเป็นฝ่ายได้เปรียบ และเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ ทั้งนี้เพราะว่าสังคมในปัจจุบันมีค่านิยมในการยอมรับ และยกย่องเชิดชูเกียรติให้เฉพาะผู้ที่ประสบชัยชนะเท่านั้น โดยไม่ยอมรับหรือยกย่องคนที่แพ้ หรือเป็นรองแต่อย่างใด
ระบบการแข่งขัน (Competitional system) ที่มีในปัจจุบันทำให้มนุษย์กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว ร้อนรน มีความทะเยอทะยานสูง มีจิตใจที่หยาบกระด้าง และขาดความรักความเมตตาต่อกันและกัน ตลอดจนทำให้มนุษย์มองมนุษย์ด้วยกันเป็นฝ่ายตรงข้ามอยู่ตลอดเวลา และประเมินค่าความเป็นมนุษย์ของคนที่เป็นฝ่ายตรงข้ามต่ำกว่าตนเองอยู่เสมอ อีกทั้งยังทำให้มนุษย์แต่ละคนดิ้นรนเพื่อแสวงหาชัยชนะในทุกวิถีทาง เพื่อที่จะให้ตนเองได้สมหวัง โดยไม่สนใจว่าชัยชนะนั้นจะได้มาโดยวิธีการที่ถูกต้องดีงามหรือไม่ประการใดก็ตาม ขอเพียงให้ตนเองได้สมหวังและได้ชัยชนะเท่านั้นก็พอ ส่วนผู้อื่นจะทุกข์ทรมานหรือเจ็บปวดเพียงใดนั้นไม่ต้องไปสนใจกับมัน
ตราบใดก็ตามที่มนุษย์ยังมองมนุษย์ด้วยกันเป็นฝ่ายตรงข้าม มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย และมีการแสวงหาความได้เปรียบ เพื่อตนเองจะได้มาซึ่งชัยชนะ โดยที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับตนเองและผู้อื่น ตลอดจนผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสังคมส่วนรวม ตราบนั้นสังคมมนุษย์ก็คงจะต้องเผชิญกับปัญหาความทุกข์ และพบแต่ความเจ็บปวดอยู่ร่ำไปไม่มีที่สิ้นสุด
แท้ที่จริง.....คนเราจะมีความสุขและมีชีวิตที่ดีงามได้นั้น คุณค่าของชีวิตดังกล่าวไม่ได้วัดกันที่ชัยชนะ หรือการได้มาซึ่งเกียรติยศชื่อเสียงแต่ประการใด
หากแต่ความสุขที่แท้จริงนั้นขึ้นอยู่ที่การได้เรียนรู้ ศึกษา ค้นพบ รู้จัก และเข้าใจชีวิตและตนเองอย่างแจ่มแจ้งต่างหาก
เรามายอมแพ้กันเถอะ ......ถ้าหากว่าความพ่ายแพ้นั้น ทำให้ชีวิตของเรามีความสุข สังคมมีความสงบ และอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
ยอมแพ้เสียบ้าง.........แล้วโลกของเราจะน่าอยู่กว่านี้อีกมากมาย
คลิปวีดีโอการชกระหว่าง ริคกี้ ฮัตตัน กับ แมนนี่ ปาเกียว
จาก http://www.youtube.com/watch?v=3RV1yZPYMqs&feature=related
ริคกี้ ฮัตตัน ช่วงที่ยังรุ่งเรืองอยู่
กำลังถลุงคู่ต่อสู้อยู่บนเวทีอย่างเมามัน
ริคกี้ ฮัตตัน กับเพื่อนซี้ เวย์น รูนี่ย์
แมนนี่ ปาเกียว กำลังต่อยฮัตตันเข้าที่ใบหน้าอย่างจัง
พ่ายน็อคแก่แมนนี่ ปาเกียว ในยกที่ 2 เมื่อ 3 พ.ค.2552
โฉมหน้าของริคกี้ ฮัตตัน ในปัจจุบัน
1. ภาพทั้งหมดนำมาจากอินเทอร์เนต....ขอขอบคุณเจ้าของภาพทุกท่านไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย
2. เนื้อข่าวที่ไฮไลท์เป็นสีม่วง นำมาจากเวบไซท์นี้ http://www.sportradiothai.com/news/news.php?id_news=30754
เพลง "Live and Learn"
ร้องโดย "กมลา สุโกศล"
ยอมแพ้...เป็น ก็ต้องหัดเรียนรู้นะคะ
ปล่อยตามยถากรรม ใช่ว่าจะบังเอิญ...แพ้เป็น
ชอบ
อยู่ที่การได้เรียนรู้ ศึกษา ค้นพบ รู้จัก และเข้าใจชีวิตและตนเองอย่างแจ่มแจ้ง
อันนี้ก็ยังต้องเรียนรู้อีกต่อไป...มาก ๆ
แจ่มแจ้งเนี่ย...ไม่ง่ายเลยนะคะ
สวัสดีค่ะคุณอักขณิช
เมื่อเราแพ้ เราแพ้เพียงความคาดหวังแต่การยอมรับความพ่ายแพ้คือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ค่ะ
เป็นธรรมดาชีวิตต้องมีผิดหวังบ้าง ชีวิตต้องเดินไปข้างหน้าต่อ แม้ท้อต้องไม่ถอย
กำลังใจสำคัญค่ะ
ขอบคุณบันทึกดีๆนี้ค่ะ
เรามายอมแพ้กันเถอะ ......ถ้าหากว่าความพ่ายแพ้นั้น ทำให้ชีวิตของเรามีความสุข สังคมมีความสงบ และอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
ยอมแพ้เสียบ้าง.........แล้วโลกของเราจะน่าอยู่กว่านี้อีกมากมาย
ยอมแพ้ เพื่อรอรับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่
คือชัยชนะของความสงบ สุข
ขอบคุณคะ ได้ข้อคิดมีพลังมากทีเดียว
ที่เจ็บมาก ก็เพราะ "คิดว่าตัวเองเหนือกว่าปาเกียวทุกอย่าง" ..
หากทำใจไว้สองทาง คงเจ็บน้อยกว่านี้
สวัสดีค่ะ
แวะมาอ่านบันทึกนี้ค่ะ
อ่านบันทึกนี้แล้วได้ข้อคิดว่า
ถึงเราจะแพ้ แต่ถ้าใจเรายอมรับได้
ก็ถือเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่ได้ชนะใจตนเอง
ดีกว่าชนะมาตลอด แต่ไม่เห็นคุณค่าของชัยชนะนั้น
ทำไปเพียงเพื่อต้องการให้ผู้อื่นยอมรับค่ะ
ขอบคุณสำหรับบันทึกนี้นะคะ
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีครับ คุณหมอ ทพญ.ธิรัมภา
-ขอบคุณมากๆ เลยครับ ที่กรุณาช่วยเพิ่มเติมความคิดเห็นในบันทึกนี้
-ผมว่าในสังคมเรา....คนที่เป็นเหมือนริคกี้ ฮัตตัน คงจะมีอยู่ไม่น้อยนะครับ หากเขารู้จักปล่อยวางเสียบ้าง ทุกอย่างก็คงจะดีขึ้น คงไม่ต้องทุกข์หรือเจ็บปวดมากเหมือนที่เป็นอยู่
-ขอบคุณมากๆ ครับผม ที่กรุณาติดตามอ่านและให้กำลังใจอย่างสม่ำเสมอ
สวัสดีครับ คุณถาวร
-ผมว่า ริคกี้ ฮัตตัน คงจะคาดหวังชัยชนะมากเกินไปนะครับ เพราะคิดว่าตนเองเหนือกว่าปาเกียวทุกด้าน ทั้งอายุ น้ำหนัก และช่วงชกที่สูงยาวกว่า แต่พอพ่ายแพ้อย่างหมดรูปแบบนั้น ก็เลยทำใจไม่ได้ จนต้องจ่อมจมอยู่กับความทุกข์ตรมที่ตนเองสร้างขึ้นมาอย่างที่เห็น
-เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ กับความคิดเห็นที่คุณถาวรกล่าวมาทั้งหมด.....ขอบคุณมากๆ เลยนะครับ
สวัสดีครับ เอื้อยกระติกน้ำ~natachoei ที่ ~natadee
-เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ กับความเห็นที่เอื้อยกระติกน้ำกล่าวมา
-ขอบคุณมากๆ เลยครับผม
สวัสดีครับ คุณครู ธรรมทิพย์
- ผมว่า หากริคกี้ ฮัตตัน เป็นพุทธศาสนิกชนหรือมีโอกาสได้ศึกษาพระพุทธศาสนาสักเล็กน้อย ก็คงจะไม่เป็นเช่นนี้หรอกนะครับ เขาคงจะไม่คาดหวังอะไรมากมายนัก และคงจะยอมรับความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งอาจจะทำให้เขาสามารถกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้งและอาจจะยิ่งใหญ่กว่าเก่าก็ได้
-เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ กับความเห็นของคุณครูที่บอกว่า "แท้จริงชัยชนะที่ถาวรคือชนะตัวเอง"(อัตตา หะเว ชิตัง เสยโย)
-ขอบคุณมากๆ เลยครับผม
สวัสดีครับ คุณหมอแต้ CMUpal/ ป.
-ข้อคิดที่สำคัญจากเรื่องนี้อีกอย่างหนึ่ง ก็คือ "อย่าคาดหวังอะไรจากชีวิตมากเกินไป" นะครับ
-หากริคกี้ ฮัตตัน มองกีฬาเป็นเพียงเกมส์กีฬา เขาก็คงจะรู้จักคำว่า "แพ้" หรือ "ชนะ" นะครับ คงจะยอมรับความพ่ายแพ้ได้ และคงไม่ต้องเจ็บปวดหรือทุกข์ใจมากถึงเพียงนี้
-เรื่องอื่นๆ ก็เช่นกันนะครับ หากเรารู้จักยอมรับความพ่ายแพ้หรือยอมแพ้กันเสียบ้าง ชีวิตก็คงจะมีความสุข และสังคมก็คงจะมีความสงบสุขมากยิ่งๆ ขึ้น
-ขอบคุณมากๆ เลยครับ ที่กรุณาเข้ามาอ่านและช่วยเพิ่มเติมความคิดเห็นในบันทึกนี้
สวัสดีครับ น้องต้นเฟิร์น
-ชอบใจความเห็นที่น้องต้นเฟิร์นกล่าวมามากๆ เลยครับ ที่บอกว่า....
"ถึงเราจะแพ้ แต่ถ้าใจเรายอมรับได้ ก็ถือเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่ได้ชนะใจตนเอง ดีกว่าชนะมาตลอด แต่ไม่เห็นคุณค่าของชัยชนะนั้น ทำไปเพียงเพื่อต้องการให้ผู้อื่นยอมรับค่ะ"
เป็นความคิดเห็นที่แหลมคมและน่าคิดมากๆ เลย
-ขอให้มีความสุขและสนุกกับการเรียนตลอดเวลานะครับ
สวัสดีครับ อาจารย์ ผศ.วิไล แพงศรี
-ขอขอบคุณอาจารย์มากๆ เลยนะครับ ที่กรุณาช่วยเพิ่มเติมความคิดเห็นมาอย่างยาวเหยียด ทำให้ผมได้ความรู้และข้อคิดใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกหลายอย่างด้วยกัน
-ดูเหมือนอาจารย์จะงานเยอะมากจริงๆ นะครับ....ยังไงๆ ก็ขอให้อาจารย์รักษาสุขภาพมากๆ ด้วยนะครับ ขอเอาใจช่วยเสมอครับผม
-ความจริง.....ผมเขียนงานได้หลายประเภทนะครับ แต่ที่ถนัดมากที่สุด ก็คือ "สารคดี" หรือ "เรื่องเล่า" เพราะว่าสามารถที่จะสอดแทรกความคิดเห็นหรือข้อคิดต่างๆ ลงไปได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งเขียนง่ายกว่าแบบอื่นด้วย
-ผมเขียนตาม "แก่น" ของเรื่องนะครับ บางเรื่องก็ออกจะเศร้าๆ บางเรื่องก็จริงจัง บางเรื่องก็ตลกและเฮฮา และบางเรื่องก็มีทั้งเศร้า เหงา และขำขันในเรื่องเดียวกัน (โดยส่วนตัวแล้ว....ผมเป็นคนที่ตลกๆ บ้าๆ บอๆ นะครับ เป็นคนที่มองเห็นอะไรเป็นเรื่อง "ตลก" หรือ "ขำ" เกือบตลอดเวลาเลย)
-ตอนนี้ที่เชียงใหม่ อากาศเริ่มหนาวแล้วนะครับ ในขณะที่ฝนก็ยังตกอยู่ คิดว่าปีนี้อากาศคงจะหนาวเย็นมากๆ เลยทีเดียว
-ขอบคุณมากๆ ครับ ที่กรุณาแวะเข้ามาเยี่ยมและให้กำลังใจอย่างสม่ำสเมอ
....ยอมแพ้...ไม่ใช่..อ่อนแอ...
...การยิ้มรับความพ่ายแพ้ได้....เป็นการเอาชนะตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม...
และต้องไม่ลืมความจริงข้อหนึ่งที่ว่า...ถ้าไม่มีผู้แพ้ ย่อมไม่มีผู้ชนะ
....ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆที่สรรค์สร้างให้อ่านค่ะ..
สวัสดีครับ คุณกิ่งไผ่ใบหลิว
-ขอบคุณมากๆ ครับ ที่กรุณาแวะเข้ามาเยี่ยมอีกครั้ง หลังจากที่หายหน้าหายตาไปนาน
-ที่จริง....แพ้หรือชนะ ต่างก็เป็นเรื่องธรรมดาๆ สำหรับมนุษย์นะครับ ไม่มีใครชนะตลอดกาล และไม่มีใครพ่ายแพ้ตลอดเวลา จะแตกต่างกันบ้างก็ตรงที่ว่าบางคนชนะมากกว่าแพ้ ในขณะที่บางคนอาจจะแพ้มากกว่าชนะเท่านั้นเอง
-แพ้หรือชนะ..... ไม่ได้มีเพียงเฉพาะในการแข่งขันกีฬาเท่านั้นนะครับ หากแต่ยังรวมไปถึง "การแข่งขัน" ทุกๆ อย่างด้วย ซึ่งจะต้องมีทั้งแพ้หรือชนะ สมหวังและผิดหวัง คละเคล้ากันไป.....หากยอมรับได้ ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย
-ขอบคุณมากๆ ครับผม
สวัสดีคะ
แพ้ไม่ได้แปลว่าโง่
แพ้ไม่ได้แปลว่าเสียเปรียบ
คนที่ยอม คือผู้ชนะทุกประการค่ะ
ขอบคุณบันทึกที่น่าอ่านและมีข้อคิดที่วิเศษมากค่ะ
สวัสดีครับ คุณตันติราพันธ์
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ กับความเห็นที่กล่าวมาข้างต้น
ขอบคุณมากๆ ครับ ที่กรุณาแวะมาเยี่ยมและให้กำลังใจ