บัณฑิตย่อมฝึกตน
คนไขน้ำย่อมไขน้ำ(เข้านา) ช่างศรย่อมดัดลูกศร ช่างถากย่อมถากไม้ บัณฑิตทั้งหลายย่อมฝึกตน
ธรรมดานำย่อมไหลไปสู่ทีลุ่มโดยปกติ แต่คนไขน้ำผู้ฉลาดใช้เครื่องมือบางอย่างไขน้ำให้ไหลไปยังที่สูงได้ สูบขึ้นไปบนภูเขาก็ได้หรือให้มันไหลไปยังที่ใดที่หนึ่ง เพื่อประโยชน์บางอย่างตามปรารถนาของตน
ส่วนช่างศร(ธนู) ย่อมดัดลูกศรให้ตรงตามกรรมวิธีของตน เพื่อประโยชน์ของตน
ช่างไม้ ย่อมถากไม้ และตบแต่งให้เกลี้ยงเกลาเพื่อประโยชน์แก่การทำเป็นเครื่องประกอบเรีอนเป็นต้น
น้ำ ลูกศร และไม้ เป็นสิ่งไม่มีจิตวิญาณครอง ถึงมีชีวิตก็ตามคนทั้งหลายสามารถทำให้มันเป้นอะไรก็ได้ตามปรารถนาตน ส่วนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งมีจิตใจจะไม่พึงฝึกจิตของตนให้เป็นไปตามปรารถนาของตน บัณฑิตทั้งหลายเห็นดังนี้แล้วจึงฝึกตน
การฝึกตนนั้น คือการคุ้มครอง บังคับตนให้ดำเนินอยู่ในทางที่ดีที่ชอบอยู่เสมอเช่น การรับประทานอาหาร การเพลิดเพลิน การหมกมุ่น การครุ่นคิดอย่างเดียว การไม่เฉลียวใจในวัยตน การหมองม่นและผดหวัง เป็นต้น
บางคนคิดว่า จะดีจะเลวแล้วแต่พันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม ตามหลักวิทยาศาสตร์ก็มีถูกบ้างแต่ไม่หมดเสียทีเดียว เพราะเป็นการปักความรับผิดชอบไปจากตน ถ้าอย่างนั้น บุคคลทำสิ่งใดก็ไม่พึงมีโทษ เพราะพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมบังคับให้กระทำผิดนั้น แต่ความจริงแล้ว เมื่อโทษทุกข์อันใดเกิดขึ้น เป็น ผลอันตามเหตุมาทั้งสิ้น ไม่ใช่พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม มนุษย์เราต้องดำรงชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ถ้าฝึกรับประทานอาหารรู้จักประมาณ คราน้ำท้วมก็จะสบายใจ ถ้าฝึกไปเท่ยวเพลิดเพลินบางครั้งครา ก็จะมีเงินตราเหลือ ถ้าฝึกปฏิบัติธรรม ยามเกิดทุกข์ใจ ก็จะได้ผ่อนคลายทุกข์ ถ้าฝึกตนรู้จักปล่อยวาง ความหมกมุ่นก็จะจางไป ถ้าฝึกคิดแต่น้อย ไม่ทอดธุระภาระงาน จะสำราญในกมล ถ้ามีความใส่ใจในวัยตน คงจะไม่บรรเลงเพลงสุดท้าย ถ้าไม่หมองม่นและผิดหวัง คงยังไม่พบความจริง เป็นต้น
ดังนั้น จะเป็นมนุษย์ที่ดีหรือไม่ดี จะเป็นมนุษย์ที่สำคัญหรือไม่ ก็มาจากการฝึกตนเอง พระพุทธองค์ทรงตรังว่า " ทนฺโต เสฏฺโฐ มนุสฺเสสุ.
ในหมู่มนุษย์ด้วยกัน ผู้ฝึกตนได้แล้ว เป็นผู้ประเสริฐที่สุด
เพราะฉะนั้น ผู้มีปัญญา ย่อมฝึกตนเสมอ ให้อยู่ในครองประเพณีและวัฒนธรรม เน้อ
จากพระธรรมบท ในพระพุทธศาสนา เรื่องบัณฑิตสามเณร เจริญมีความสุขเทอญ
ถึงยุคนี้ คนไม่มองตนเอง แต่เพ่งผู้อื่น .