ชายคนหนึ่งเคยบวชเรียนมาแล้ว มีนิสัยชอบรู้ชอบเห็น ชอบศึกษาค้นคว้า นับเข้าในประเภทคนฉลาดได้คนหนึ่ง แล้วยังเป็นคนคุยเก่ง คุยได้ทุกเรื่องอีกด้วย แต่ว่าเป็นคนฐานะไม่ค่อยดี พอมีกินมีใช้ไปวัน ๆ เท่านั้น
วันหนึ่งจึงคิดว่า "เราน่าจะไปหากำนัน เพื่อเรียนรู้ความเป็นเศรษฐีกับกำนันเสียแล้ว เพราะกำนันเป็นคนรวยที่สุดในตำบลนั้น " พอคิดดังนั้นก็ไปหากำนันทันที
ฝ่ายกำนันเห็นเขามาสมัครเรียนวิชาเศรษฐีด้วยก็ยินดีรับไว้ ด้วยเห็นว่าหน่วยก้านของเขาพอไปได้ ทั้งคำพูดคำจาก็ดูจะเป็นคนใช้ได้อยู่ แต่ตกลงกันว่าวิชานี้อาจจะไม่จบง่าย ๆ ต้องเรียนกันนานหน่อย ให้เขากินอยู่ในบ้านเลย ช่วยทำงานบ้านด้วยโดยไม่ต้องรับค่าจ้าง เขารับคำตามข้อเสนอ
เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้วเขาก็ถามกำนันว่า "จะให้เริ่มเรียนได้เมื่อไร?" กำนันบอกว่า "เรียนกันวันนี้เลยก็แล้วกัน เพราะเป็นวันพฤหัสบดี อันเป็นวันครูอยู่แล้ว " เขาดีใจมากจึงคุยกับกำนันอย่างถูกคอ
ตกเย็น..
กำนันก็ให้คนจัดอาหารมาขึ้นโต๊ะ ส่วนมากก็อาหารดี ๆ ทั้งนั้น และมีหลายอย่างด้วยกัน เขาถามกำนันว่าจะเลี้ยงใคร จึงจัดอาหารมากมายอย่างนี้ กำนันตอบว่าก็เลี้ยงเรานั่นหละ วันนี้ต้องรับลูกศิษย์เสียหน่อย เขาคิดว่า อ้อ ..คนเป็นเศรษฐีนั้นจะต้องเลี้ยงกันด้วยอาหารดี ๆ โต๊ะใหญ่ ๆ อย่างนี้นี่เอง
พอถึงเวลากำนันก็ให้เขานั่งโต๊ะประจำที่ แล้วบอกให้ทานได้ เขาก็เริ่มลงมือตักข้าวใส่จาน แล้วก็เอื้อมมือไปหยิบขวดเหล้ายี่ห้อดีจะรินดื่ม กำนันก็จับมือเขาไว้ พลางพูดว่า
"เราชอบเหล้ามากหรือ?"
"ของโปรดทีเดียวครับ" เขาตอบ
"เออ ..เหล้านี่ ถ้าไม่กินจะตายไหม?"
"ไม่ตายครับ"
"ไม่ตาย แสดงว่าเหล้าไม่จำเป็นต่อร่างกายใช่ไหม?"
"ใช่ครับ"
"เหล้าเมื่อกินแล้วเมาไหม?"
"เมาครับ"
"เมาแล้วคุมสติไม่ได้ โวยวายเหมือนคนบ้าใช่ไหม?"
"ใช่ครับ"
"เธอชอบเป็นคนบ้าหรือคนดี?"
"ชอบเป็นคนดีครับ"
กำนันเลยสรุปว่า "เมื่อเหล้าไม่จำเป็นต่อชีวิต ไม่กินก็ไม่ตาย แต่กินแล้วเมาทำให้เหมือนคนบ้า ก็อย่าไปกินมัน " ว่าแล้วก็ให้คนยกขวดเหล้าไปเก็บเสีย
เขามองตามอย่างเสียดาย ..
กำนันถามเขาไปเรื่อย ๆ สิ่งใดที่ไม่จำเป็นต่อชีวิต ถึงไม่ได้กินก็ไม่ตายก็ให้ยกออกเก็บ เอาไว้เฉพาะที่จำเป็นต่อชีวิตต่อร่างกายจริง ๆ คือข้าวและกับข้าวเพียง3-4 จาน แล้วพูดว่า
" อาหารเหล่านี้จำเป็นต่อชีวิตจริง ๆ เมื่อไม่กินร่างกายจะอยู่ไม่ได้ แต่มันมีมาก เราสองคนกินหมดไหม?"
เขาตอบว่า "ไม่หมดครับ"
"ถ้าไม่หมด มันเหลือ จะเสียไหม?"
"เสียครับ"
"เอ้า ..ถ้าเสียอย่างนี้ก็เอาไว้กินสัก 2-3 อย่างก็พอ เอาของแห้ง ๆ เก็บไว้ก่อน มันไม่บูดไม่เสีย" ว่าแล้วก็ให้ยกเก็บอีก และลงมือรับประทาน
เมื่อทานอาหารกันเสร็จแล้ว กำนันก็ชวนเขาคุยต่อ เขาถามว่า "เมื่อไรจะให้เรียนสักที " กำนันตอบว่า " เธอเรียนมาแล้ว ตั้งแต่อยู่ที่โต๊ะอาหารนั่นแหละ"
คนที่จะเป็นเศรษฐีได้นั้น ต้องเริ่มที่การกินก่อน ถ้ากินไม่เป็นก็เป็นเศรษฐีได้ยาก
กำนันพูดเท่านี้ เขาก็เข้าใจทันที พร้อมกับพูดเสริมว่า "ที่คนเราส่วนมากจน ๆ กันก็เพราะกินไม่เป็น ไม่รู้จักกิน กินไม่เลือกเวลา ไม่เลือกว่าจำเป็นไม่จำเป็นใช่มั้ยครับ?"
กำนันตอบว่า "ถูกต้องที่สุด" แล้วก็เรียกคนรบใช้ให้เอากระบุงที่สานค้างไว้มาสานต่อ
เขาถามว่า "ท่านครับ ที่บ้านท่านมีกระบุงมากมายก่ายกองแล้วจะสานไปทำไมอีก?"
กำนันตอบว่า " สานเอาไว้ขายเป็นรายได้พิเศษ คนเป็นเศรษฐีต้องรู้จักคุณค่าของเวลา ต้องขยันทำงานหารายได้พิเศษ แม้จะเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็อย่าดูถูก เมื่อทำทุกว้นก็ได้ทุกวัน ต้องใช้เวลาให้เป็น นั่งคุยกันเฉย ๆ มันเสียงานด้วย มือทำไปปากคุยไปได้ประโยชน์กว่า"
เขาพยักหน้าเข้าใจ
พอมืดลง กำนันสั่งให้จุดตะเกียงทำงานกันคุยกันต่อ จนดึกได้เวลานอนก็ให้เข้านอนในห้องเดียวกัน แต่นอนคนละมุ้ง เมื่อเข้ามุ้งเสร็จเท่านั้น กำนันก็ดับตะเกียงทันที เขาจึงถามว่า " รีบดับตะเกียงทำไมครับ ผมอยากจะคุยกับท่านต่อ"
กำนันตอบว่า "ที่รีบดับเพราะป้องกันไฟไหม้มุ้ง เพราะบางทีเราเผลอหลับไป หากมือเท้าป่ายไปถูกตะเกียงเข้า มันก็จะล้ม ไปจะไหม้มุ้ง ไหม้บ้านเอา อีกประการหนึ่งเป็นการประหยัดด้วย การนอนคุยกันไม่จำเป็นต้องมีไฟ มืด ๆ ก็คุยได้ นี่ก็วิชาเศรษฐีที่เธอควรจำไว้ ต้องคอยประหยัดและมีสติอยู่ทุกมือ"
เมื่อกำนันเงียบเสียง เขาก็คิดว่ากำนันคนนี้เป็นคนรอบคอบจริง ๆ แต่ยังรู้ไม่เท่าเรา เราสิรู้มากกว่า นึกแล้วก็ทำตามที่รู้ทันที
กำนันได้ยินเสียงกุกกัก ๆ จากมุ้งของเขาจึงร้องทักว่า " เธอทำอะไรนอนไม่หลับหรือ?"
เขาตอบว่า "ธรรมดาผ้าเขามีไว้เพื่อปกปิดร่างกายและอวัยวะที่ควรปกตปิดในตอนกลางวัน เพราะมีคนเห็น ตอนนี้ไม่มีใครเห็นแล้วจะนุ่งมันทำไม แก้เก็บไว้เสียมันจะได้ไม่ยับไม่เก่าง่าย ๆ ใช้ได้นาน ทั้งไม่เหม็นสาบด้วย ผมคิดอย่างนี้ครับ จึงได้ถอดเสื้อกางเกงนอน"
รุ่งขึ้น กำนันเรียกเขามาพบแต่เช้า แล้วบอกว่า "เธอเรียนจบหลักสูตรแล้ว เธอรู้มากกว่าฉันเสียอีก บางอย่างฉันยังไม่รู้และไม่เคยทำเลย เธอกลับรู้และเป็นความจริงเสียด้วย เธอรู้ทุกสิ่งทุกอย่างดี แต่เธอขาดอย่างเดียวคือไม่ทำตามที่เธอรู้เท่านั้นเอง รู้มากแต่ไม่ทำตามที่รู้หรือตามที่พูด มันจะเกิดประโยชน์อะไร เวลานี้เธอเรียนจบแล้ว เธอไปได้ จงจำไว้นะ วิชาเศรษฐีนั้นมีเคล็ดอยู่นิดเดียวเท่านั้นคือ รู้แล้วต้องทำตามที่รู้ เท่านั้นแหละ"
เป็นความจริง คนฉลาดนั้นย่อมเรียนรู้อะไรง่าย เข้าใจอะไรง่าย แต่ส่วนมากมักไม่ทำตามที่รู้ จึงมักปรากฏว่าคนฉลาด ๆ ในปัจจุบันมมักไม่รวย
ไม่มีความเห็น