สาระสำคัญของโครงการพัฒนาโมเดลการจัดการคุณภาพ
กลวิธีการสอนอ่านสไตล์รัตน์นรี
RATNAREE Model
การเรียนการสอนภาษาอังกฤษในปัจจุบันนับว่าเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อผู้เรียนเนื่องจากภาษาอังกฤษเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ การติดต่อสื่อสาร และเป็นรากฐานของการศึกษาในระดับที่สูงขึ้นไป รวมทั้งการนำความรู้ไปประกอบอาชีพ ดังคำกล่าวที่ว่าเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต สำหรับการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทยตามหลักสูตรแกนกลางปีพุทธศักราช 2551 ได้ส่งเสริมให้การเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษได้พัฒนาทักษะทั้งสี่ด้าน คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน เพื่อที่ผู้เรียนจะนำไปใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการติดต่อสื่อสาร การศึกษา การแสวงหาความรู้ การประกอบอาชีพ การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรม และวิสัยทัศน์ของชุมชนโลกและตระหนักถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมุมมองของสังคมโลก ( สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา,2551 )
ในยุคปัจจุบันเป็นยุคข้อมูลข่าวสาร ทักษะการอ่านนับว่ามีส่วนสำคัญในการแสวงหาความรู้ นักเรียนในยุคปัจจุบันต้องอ่านสื่อภาษาอังกฤษต่างๆ เป็นจำนวนมาก ทั้งที่เกี่ยวเนื่องกับวิชาที่เรียนและสื่ออื่นๆตามความสนใจของนักเรียน นักเรียนอาจพบปัญหาอย่างมากในการทำความเข้าใจสิ่งที่อ่าน ถ้านักเรียนไม่มีเครื่องมือหรือวิธีการอ่านอย่างมีประสิทธิภาพ นักวิจัยหลายท่านแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาและสาเหตุของการอ่านไม่เข้าใจ พบว่าเกิดจากปัจจัยสำคัญหลายอย่าง กล่าวคือ ตัวครูเอง นักเรียน และวิธีการสอนอ่านมักจะเป็นเรื่องที่ครูและนักเรียนต่างคิดว่าเป็นเรื่องยาก ในส่วนของนักเรียนมักจะคิดว่าการอ่านเป็นสิ่งที่ยาก ทำให้หยุดอ่านกลางคัน อีกทั้งยังขาดทักษะเกี่ยวกับการอ่านที่ถูกต้องและโดยเฉพาะการขาดวิธีการควบคุมความเข้าใจ และการแก้ปัญหาในระหว่างอ่าน นอกจากนี้อาจเกิดจากนักเรียนไม่มีสมาธิ ขาดความสนใจ ไม่มีพื้นฐานความรู้เพียงพอ ขาดการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ อ่านผิดวิธี และกังวลเรื่องคำศัพท์ ( ทยภร กระมุท และเอกรัตน์ สังข์ทอง , 2549 ) รวมทั้งการที่ผู้เรียนยังเป็นเด็กอยู่มักจะอ่านอย่างไม่มีแบบแผนและไม่มีความสนใจในสิ่งที่อ่าน สอดคล้องกับ Paris et al. ( 1983) ที่เห็นว่าการไม่เข้าใจในการอ่านอาจมาจากการที่บทอ่านและคำศัพท์ในเนื้อเรื่องมีความยาก รวมทั้งการขาดความรู้เดิมของผู้อ่าน ปัญหาการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนไทยเป็นสิ่งที่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายควรให้ความสนใจแก้ไขอย่างจริงจัง โดยเฉพาะครูผู้สอนจำเป็นต้องศึกษาเทคนิคต่างๆเพื่อนำมาพัฒนาการสอนอ่านให้มีประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนาความเข้าใจในการอ่านวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนให้ได้ผลดีขึ้น
( ศิริพร เกียรติรัตนเสวี )
จากปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้นักวิชาการจำนวนมากพยายามศึกษาเทคนิคการสอนอ่านที่มีประสิทธิภาพ ครูได้มีการนำเทคนิคการสอนอ่านต่างๆไปใช้ในการเรียนการสอนแต่พบว่ายังไม่แพร่หลายมากนัก ครูยังสอนการอ่านเพียงแค่การหาคำตอบจากคำถามที่ต้องตอบเท่านั้น นักเรียนไม่มีความเข้าใจสิ่งที่อ่านอย่างแท้จริง การเรียนการสอนเน้นเนื้อหาวิชาและการเรียนแบบท่องจำมากกว่าการคิดวิเคราะห์ เรียบเรียงและเขียนสื่อความ แนวทางการแก้ปัญหาความเข้าใจในการอ่านควรนำการใช้ยุทธศาสตร์ทางปัญญา หรือ อภิปัญญามาใช้ในการส่งเสริมการทำความเข้าใจและสร้างความรู้ผ่านวิธีการต่างๆ ทำให้ผู้เรียนได้พัฒนาการคิด การควบคุมอารมณ์ และการนำความรู้ไปใช้
( สุวัฒน์ วิวัฒนานันท์ , 2550 ) ตรงกับที่ Ruddell ( 2000 อ้างใน มณีรัตน์ สุกโชติรัตน์ , 2550 ) ที่แนะนำว่า ครูควรสอนกระบวนการคิดแบบอภิปัญญา ( Metacognition ) ที่สามารถช่วยพัฒนาทักษะการคิด ทำให้มีจุดประสงค์ในการอ่าน มีการเชื่อมโยงกับความรู้เดิมและเข้าใจสิ่งที่อ่านได้ดี
ปัญหาการอ่านเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ นักวิจัยจำนวนมากเห็นตรงกันว่าเกิดจากสามปัจจัยหลัก คือ ผู้สอน นักเรียนและวิธีการสอนอ่าน การแก้ปัญหาการอ่านมีความซับซ้อนเนื่องจากการอ่านเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ต้องให้เวลา และวิธีการที่เหมาะสมกับนักเรียน วิธีการสอนอ่านภาษาอังกฤษควรส่งเสริมการใช้แนวคิดขั้นสูง หรือ อภิปัญญา เพื่อช่วยในการฝึกทักษะการคิด วิเคราะห์ และสังเคราะห์สิ่งที่อ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ ในบริบทของนักเรียนไทยที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ อีกทั้งเพื่อให้สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาพื้นฐานปีพุทธศักราช 2551 ที่ต้องการให้นักเรียนมีความสามารถในการอ่านได้ในระดับจับใจความสำคัญ วิเคราะห์ความ สรุปความ ตีความ และแสดงความคิดเห็นจากการอ่าน จากการศึกษาเอกสารเกี่ยวกับกลวิธีการสอนอ่านภาษาอังกฤษที่มีขั้นตอน และวิธีการที่ช่วยพัฒนาทักษะการอ่านของนักเรียนพบกลวิธีสตาร์ท ( START : Students and Teacher Active Reading Text ) ซึ่งเป็นกลวิธีที่คิดขึ้นโดย Tabatha Dobson Scharlarch ( 2008) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเซ็นทรัล ฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ที่ให้ความสนใจและมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการสอนอ่าน
Scharlarch ได้สร้างเทคนิคการอ่านชื่อกลวิธีสตาร์ท ซึ่งมีความน่าสนใจและมีประโยชน์ต่อนักเรียน กล่าวคือ เป็นกลวิธีที่ส่งเสริมการอ่านโดยขั้นตอนต่างๆ มีการสอนอ่านทีใช้อภิปัญญาส่งเสริมให้นักเรียนมีภาระงานในการอ่าน คิดวิเคราะห์โดยมีครูและเพื่อนคอยให้ความช่วยเหลือ และจากนั้นกิจกรรมในขั้นตอนทั้งหมดจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจสิ่งที่อ่านด้วยการเสริมการเรียนรู้และการใช้อภิปัญญา ดังขั้นตอนดังนี้
จากแนวทางการสอนการอ่านดังกล่าวสรุปได้ว่า ความเข้าใจในการอ่านสามารถสร้างจากการมีปฎิสัมพันธ์กับครูและเพื่อน รวมทั้งบทอ่าน การช่วยเหลือของครูนั้น ครูต้องคำนึงถึงขั้นตอนของการพัฒนาของเด็ก ครูเป็นตัวอย่าง และให้คำแนะนำแก่นักเรียน โดยเฉพาะนักเรียนที่ขาดทักษะในการอ่าน เพื่อที่นักเรียนจะสามารถเข้าใจสิ่งที่อ่านได้ ( Palincsar & Klenk ,
1992 ) เช่นเดียวกับ Pressley (1998) ที่ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญต่อการเสริมการเรียนรู้ (Scaffolding ) ว่า การอ่านเป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้อ่านและบทความ ครูเป็นผู้ที่มีบทบาทในการช่วยนักเรียนให้สามารถเข้าใจในสิ่งที่อ่านตามหลักการอ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้วิจัยได้นำกลวิธีสตาร์ทมาพัฒนาเป็นรูปแบบการสอนของผู้วิจัยเอง คือ กลวิธีการสอนอ่านสไตล์รัตน์นรี
( RATNAREE Reading Teaching Model )
ซึ่งมีขั้นตอนการสอนดังนี้
1.Roam เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนกวาดสายตาดูรูป ภาพ หัวข้อเรื่องที่จะอ่าน โดยสร้างภาพ หรือความเข้าใจที่ได้จากการดูรูปและหัวข้อเรื่อง
2.Arouse เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนได้รับการกระตุ้นจากผู้สอนโดยใช้คำถามแบบคิดวิเคราะห์ เพื่อให้ผู้เรียนสนใจเรื่องที่จะอ่าน โดยให้ผู้เรียนทำนายเรื่อง คาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้า( Predicting / Inferring ) จินตนาการ ภาพ ฉากของเรื่อง ( Visualizing )
3.Tell เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนช่วยกันบอกความรู้พื้นฐานที่นักเรียนมีเกี่ยวกับเรื่องที่จะอ่าน ว่ามีความรู้อะไรบ้าง อยากรู้อะไรเพิ่มบ้าง
4.Notice เป็นขั้นตอนที่ผู้สอนสังเกตว่าผู้เรียนมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องที่มากน้อยเพียงใด เป็นการเชื่อมต่อความรู้เดิม
( Making Connections ) มีอะไรบ้างที่ผู้สอนควรเสริมการเรียนรู้ ( Scaffolding ) เช่น คำศัพท์ วัฒนธรรม
5.Act เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องที่กำลังจะอ่าน หรือถามคำถาม ( Questioning )เกี่ยวกับเรื่องที่จะอ่าน One Person One Comment
6.Read เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนอ่านเนื้อเรื่องทั้งหมด หลังจากที่ได้ปูพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่อ่านแล้ว ผู้เรียนมุ่งให้ความสนใจกับใจความสำคัญ และจับใจความสำคัญของเรื่องที่อ่าน
( Determining Main Idea )
7.Explain เป็นขั้นตอนหลังการอ่านที่ผู้เรียนจะต้องอธิบายเรื่องที่อ่านโดยใช้กลวิธีอภิปรายกลุ่ม เล่าเรื่อง ตอบคำถาม วาดรูป ทำมายแมพ เป็นการตรวจสอบคำตอบของการคาดเดา ( Checking Predictions) และการสรุปความ ( Summarizing )
8.Evaluate & Create เป็นขั้นตอนที่ผู้อ่านประเมินคุณค่าสิ่งที่อ่าน( Making Judgments ) ประโยชน์ที่ได้จากการอ่าน ความรู้ที่เพิ่มขึ้นและการนำไปประยุกต์ใช้ โดยสร้างเป็นงานรูปแบบใหม่ เช่น การแสดงบทบาทสมมุติ เขียนเรื่องใหม่ ทำโครงงาน
กลวิธีการสอนอ่านสไตล์รัตน์นรี มีลักษณะที่เหมาะสมต่อการสอนอ่านหลายประการ กล่าวคือ ส่งเสริมการใช้ความคิดแบบอภิปัญญา การใช้ความคิดวิเคราะห์ นอกจากนี้กลวิธีการสอนอ่านสไตล์รัตน์นรี ยังสนับสนุนให้นักเรียนใช้กระบวนการอ่านแบบคิดวิเคราะห์และเขียน ซึ่งเป็นทักษะที่สามารถพัฒนาได้ด้วยการใช้เทคนิคและวิธีการที่เหมาะสม นอกจากนี้ เมื่อนักเรียนอ่านจะเกิดการคิดวิเคราะห์ ะเกิดการคิดวิเคราะห์สรุปความวนการอ่านแบบคิดวิเคราะห์และเขียน ซึ่งเป็นทักษะที่สามารถพัฒนาได้ด้วยการใช้เทคนิคและวิธีการที่เหมาะสมสรุปความ และเลือกสิ่งที่ดีที่สุด นำไปสู่การตัดสินใจแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม และถ่ายทอดเป็นการเขียนและพูด กลวิธีการสอนอ่านสไตล์รัตน์นรีส่งเสริมการอ่านแบบร่วมมือระหว่างครู นักเรียน และบทอ่านตามที่ Armbruster et al. (1982) , Vacca and Vacca (1989) ที่แสดงความเห็นคล้ายกันว่าวิธีการสอนอ่านเป็นกระบวนการแลกเปลี่ยนระหว่างครู นักเรียนและบทอ่าน จำเป็นที่ผู้เรียนต้องตระหนักถึงเรื่องที่อ่าน ภาระงาน และตนเอง เป็นกลวิธีการอ่านที่มีคุณลักษณะที่ช่วยส่งเสริมความเข้าใจการอ่าน และเป็นกลวิธีที่ช่วยให้เกิดความร่วมมือในการอ่านระหว่างครู นักเรียน และสิ่งที่อ่าน ผ่านกระบวนการและขั้นตอนที่ใช้อภิปัญญาและการเสริมการเรียนรู้ ช่วยส่งเสริมผู้เรียนให้สามารถพัฒนาทักษะการอ่านให้จับใจความสำคัญ สรุปความ ตีความ วิเคราะห์ การแก้ปัญหา และตัดสินใจ ตามจุดประสงค์ของหลักสูตรแกนกลางปีพุทธศักราช 2551 จึงได้สนใจที่จะศึกษากลวิธีการสอนอ่านในครั้งนี้ เพื่อศึกษาถึงประโยชน์และการนำไปใช้ในชั้นเรียน และเพื่อช่วยพัฒนาทักษะการอ่านของนักเรียนานภาษาอังกฤษควรส่งเสริมการฝภิปัญญา เพื่อช่วยใ0 วามรู้ไปใช้าใช้ในการส่งเสริมการทำความเข้าใจและสร้างความรู้ผ่านวิธีการต่างๆ ทำให้ผู้เรียนได้พัฒนาการคิด
2.1 โจทย์วิจัย
- นักเรียนพบปัญหาการทำความเข้าใจสิ่งที่อ่าน
- นักเรียนไม่มีเครื่องมือหรือกลวิธีการอ่านอย่างมีประสิทธิภาพ
- กลวิธีการสอนอ่านสไตล์รัตน์นรีจะเป็นเครื่องมือ หรือกลวิธีที่มีประสิทธิภาพสามารถแก้ปัญหาการอ่านของนักเรียนได้หรือไม่
2.2 คำถามวิจัย
1. นักเรียนมีความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษสูงขึ้นหรือไม่ หลังการใช้กลวิธีการสอนอ่านสไตล์รัตน์นรี
1. เพื่อเปรียบเทียบความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษก่อนและหลังการใช้กลวิธีการสอนอ่านสไตล์รัตน์นรี
4.1 กลวิธีการสอนอ่านสไตล์รัตน์นรี
4.2กลวิธีการสอนอ่านสไตล์รัตน์นรีจะเป็นเครื่องมือ หรือกลวิธีที่มีประสิทธิภาพสามารถแก้ปัญหาการอ่านของนักเรียนได้หรือไม่
4.3 นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๑๙ จังหวัดนครศรีธรรมราช
4.4ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2554
4.5 กลวิธีการสอนอ่านสไตล์รัตน์นรี
( RATNAREE Reading Teaching Model )
ซึ่งมีขั้นตอนการสอนดังนี้
1.Roam เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนกวาดสายตาดูรูป ภาพ หัวข้อเรื่องที่จะอ่าน โดยสร้างภาพ หรือความเข้าใจที่ได้จากการดูรูปและหัวข้อเรื่อง
2.Arouse เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนได้รับการกระตุ้นจากผู้สอนโดยใช้คำถามแบบคิดวิเคราะห์ เพื่อให้ผู้เรียนสนใจเรื่องที่จะอ่าน โดยให้ผู้เรียนทำนายเรื่อง คาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้า( Predicting / Inferring ) จินตนาการ ภาพ ฉากของเรื่อง ( Visualizing )
3.Tell เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนช่วยกันบอกความรู้พื้นฐานที่นักเรียนมีเกี่ยวกับเรื่องที่จะอ่าน ว่ามีความรู้อะไรบ้าง อยากรู้อะไรเพิ่มบ้าง
4.Notice เป็นขั้นตอนที่ผู้สอนสังเกตว่าผู้เรียนมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องที่มากน้อยเพียงใด เป็นการเชื่อมต่อความรู้เดิม
( Making Connections ) มีอะไรบ้างที่ผู้สอนควรเสริมการเรียนรู้ ( Scaffolding ) เช่น คำศัพท์ วัฒนธรรม
5.Act เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องที่กำลังจะอ่าน หรือถามคำถาม ( Questioning )เกี่ยวกับเรื่องที่จะอ่าน One Person One Comment
6.Read เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนอ่านเนื้อเรื่องทั้งหมด หลังจากที่ได้ปูพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่อ่านแล้ว ผู้เรียนมุ่งให้ความสนใจกับใจความสำคัญ และจับใจความสำคัญของเรื่องที่อ่าน
( Determining Main Idea )
7.Explain เป็นขั้นตอนหลังการอ่านที่ผู้เรียนจะต้องอธิบายเรื่องที่อ่านโดยใช้กลวิธีอภิปรายกลุ่ม เล่าเรื่อง ตอบคำถาม วาดรูป ทำมายแมพ เป็นการตรวจสอบคำตอบของการคาดเดา ( Checking Predictions) และการสรุปความ ( Summarizing )
8.Evaluate & Create เป็นขั้นตอนที่ผู้อ่านประเมินคุณค่าสิ่งที่อ่าน( Making Judgments ) ประโยชน์ที่ได้จากการอ่าน ความรู้ที่เพิ่มขึ้นและการนำไปประยุกต์ใช้ โดยสร้างเป็นงานรูปแบบใหม่ เช่น การแสดงบทบาทสมมุติ เขียนเรื่องใหม่ ทำโครงงาน
4.6 กลวิธีการสอนอ่านสไตล์รัตน์นรี มีลักษณะที่เหมาะสมต่อการสอนอ่านหลายประการ กล่าวคือ ส่งเสริมการใช้ความคิดแบบอภิปัญญา การใช้ความคิดวิเคราะห์ นอกจากนี้กลวิธีการสอนอ่านสไตล์รัตน์นรี ยังสนับสนุนให้นักเรียนใช้กระบวนการอ่านแบบคิดวิเคราะห์และเขียน ซึ่งเป็นทักษะที่สามารถพัฒนาได้ด้วยการใช้เทคนิคและวิธีการที่เหมาะสม นอกจากนี้ เมื่อนักเรียนอ่านจะเกิดการคิดวิเคราะห์ ะเกิดการคิดวิเคราะห์สรุปความวนการอ่านแบบคิดวิเคราะห์และเขียน ซึ่งเป็นทักษะที่สามารถพัฒนาได้ด้วยการใช้เทคนิคและวิธีการที่เหมาะสมสรุปความ และเลือกสิ่งที่ดีที่สุด นำไปสู่การตัดสินใจแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม และถ่ายทอดเป็นการเขียนและพูด กลวิธีการสอนอ่านสไตล์รัตน์นรีส่งเสริมการอ่านแบบร่วมมือระหว่างครู นักเรียน และบทอ่านตามที่ Armbruster et al. (1982) , Vacca and Vacca (1989) ที่แสดงความเห็นคล้ายกันว่าวิธีการสอนอ่านเป็นกระบวนการแลกเปลี่ยนระหว่างครู นักเรียนและบทอ่าน จำเป็นที่ผู้เรียนต้องตระหนักถึงเรื่องที่อ่าน ภาระงาน และตนเอง เป็นกลวิธีการอ่านที่มีคุณลักษณะที่ช่วยส่งเสริมความเข้าใจการอ่าน และเป็นกลวิธีที่ช่วยให้เกิดความร่วมมือในการอ่านระหว่างครู นักเรียน และสิ่งที่อ่าน ผ่านกระบวนการและขั้นตอนที่ใช้อภิปัญญาและการเสริมการเรียนรู้ ช่วยส่งเสริมผู้เรียนให้สามารถพัฒนาทักษะการอ่านให้จับใจความสำคัญ สรุปความ ตีความ วิเคราะห์ การแก้ปัญหา และตัดสินใจ ตามจุดประสงค์ของหลักสูตรแกนกลางปีพุทธศักราช 2551 จึงได้สนใจที่จะศึกษากลวิธีการสอนอ่านในครั้งนี้ เพื่อศึกษาถึงประโยชน์และการนำไปใช้ในชั้นเรียน และเพื่อช่วยพัฒนาทักษะการอ่านของนักเรียนานภาษาอังกฤษควรส่งเสริมการฝภิปัญญา เพื่อช่วยใ0 วามรู้ไปใช้าใช้ในการส่งเสริมการทำความเข้าใจและสร้างความรู้ผ่านวิธีการต่างๆ ทำให้ผู้เรียนได้พัฒนาการคิด
5. ประโยชน์ที่จะได้รับจากการวิจัย
กลวิธีการสอนอ่านสไตล์รัตน์นรี เป็นกลวิธีการสอนที่สนับสนุนให้นักเรียนใช้กระบวนการอ่านแบบคิดวิเคราะห์และเขียน ซึ่งเป็นทักษะที่สามารถพัฒนาได้ด้วยการใช้เทคนิคและวิธีการที่เหมาะสม นอกจากนี้ เมื่อนักเรียนอ่านจะเกิดการคิดวิเคราะห์ ะเกิดการคิดวิเคราะห์สรุปความวนการอ่านแบบคิดวิเคราะห์และเขียน ซึ่งเป็นทักษะที่สามารถพัฒนาได้ด้วยการใช้เทคนิคและวิธีการที่เหมาะสมสรุปความ และเลือกสิ่งที่ดีที่สุด นำไปสู่การตัดสินใจแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม และถ่ายทอดเป็นการเขียนและพูด กลวิธีการสอนอ่านสไตล์รัตน์นรีส่งเสริมการอ่านแบบร่วมมือระหว่างครู นักเรียน และบทอ่านตามที่ Armbruster et al. (1982) , Vacca and Vacca (1989) ที่แสดงความเห็นคล้ายกันว่าวิธีการสอนอ่านเป็นกระบวนการแลกเปลี่ยนระหว่างครู นักเรียนและบทอ่าน จำเป็นที่ผู้เรียนต้องตระหนักถึงเรื่องที่อ่าน ภาระงาน และตนเอง เป็นกลวิธีการอ่านที่มีคุณลักษณะที่ช่วยส่งเสริมความเข้าใจการอ่าน และเป็นกลวิธีที่ช่วยให้เกิดความร่วมมือในการอ่านระหว่างครู นักเรียน และสิ่งที่อ่าน ผ่านกระบวนการและขั้นตอนที่ใช้อภิปัญญาและการเสริมการเรียนรู้ ช่วยส่งเสริมผู้เรียนให้สามารถพัฒนาทักษะการอ่านให้จับใจความสำคัญ สรุปความ ตีความ วิเคราะห์ การแก้ปัญหา และตัดสินใจ ตามจุดประสงค์ของหลักสูตรแกนกลางปีพุทธศักราช 2551 จึงได้สนใจที่จะศึกษากลวิธีการสอนอ่านในครั้งนี้ เพื่อศึกษาถึงประโยชน์และการนำไปใช้ในชั้นเรียน และเพื่อช่วยพัฒนาทักษะการอ่านของนักเรียนานภาษาอังกฤษควรส่งเสริมการฝภิปัญญา เพื่อช่วย
ให้นำความรู้ไปใช้ในการส่งเสริมการทำความเข้าใจและสร้างความรู้ผ่านวิธีการต่างๆ ทำให้ผู้เรียนได้พัฒนาการคิด
ไม่มีความเห็น