วันนี้ผมไปคุมสอบนักเรียนแพทย์ชั้นปีที่สี่ เสร็จการเรียนสาระวิชาที่เกี่ยวกับการผ่าตัด เป็นการสอบภาคปฏิบัติด้วยวิธีที่เรียกว่า Objective structured clinical examination (OSCE เรียกกันติดปากว่า "สอบออซกี้") โดยผู้จัดสอบต้องการประเมินผลการเรียนด้านทักษะ (psychomotor) ของนักเรียน ด้วยการจำลองเหตุการณ์จริง เช่นการทำหัตถการต่างๆ การสัมภาษณ์ การให้คำปรึกษาคนไข้ มีคำสั่งสั้นๆให้นักเรียน "แสดงให้ดู" คะแนนทั้งหมดจะมาจาก "การแสดงให้ดู" นี่เอง อย่างละเอียด เช่น เริ่มตั้งแต่การแนะนำตัว การถามชื่อคนไข้ การอธิบายประกอบการทำหัตถการ ฯลฯ แต่เดิมสมัยก่อนเราเรียกการสอบคล้ายๆแบบนี้ว่า "แลปกริ๊ง" มาจาก laboratory ที่มักจะสอบดูสไลด์ ดูฟิล์มเอกซเรย์ ดูกระดูก (สอบกายวิภาคศาสตร์) ดูกระโหลก ฯลฯ พอหมดเวลาอาจารย์ก็จะกดกริ่งตัง "กริ๊ง" เราก็ต้องวางมือจากข้อที่กำลังทำ ขยับร่างกายไปสู่สถานีต่อไป ทำโจทย์ข้อต่อไป
ทำไมต้องทำให้มันยุ่งยากขนาดนี้ ไม่เอาแค่สอบ paper กา choices หรือถาม-ตอบ?
ก็เพราะว่าบางเรื่องพูดได้แต่ทำไม่ได้ก็มี เราคงไม่อยากจะได้หมอผ่าตัดไส้ติ่งที่บรรยายการผ่าตัดได้เป็นฉากๆแต่ไม่เคยทำกับมือแม้แต่รายเดียว เราคงจะเสียวๆเวลาหมอจะทำหัตถการกับเราแล้วมือสั่นๆ หรือบอกกับเราว่าเราเป็นรายแรกของเขา การเรียนรู้บางเรื่องจะประเมินได้ก็ต้อง "แสดงให้ดู" เท่านั้น
OSCE ก็จะช่วยตรงนี้
แต่การออกข้อสอบ OSCE นั้นมีความยากอยู่นิดนึง เพราะ "พูดมันง่าย ทำมันยาก" ได้แก่ต้องใช้ทั้งเวลา ทรัพยากร และการจัดการมากมายกว่าการจัดนั่งสอบเยอะ รวมทั้งการที่คนออกข้อสอบต้อง "ชัดเจน" ว่าเรากำลังใช้จุดแข็งของ OSCE จริงๆในการสอบ ไม่งั้นถ้าเผอเรอหรืองงๆนิดเดียว เราอาจจะกำลังทดสอบอะไรที่ไม่ต้องใช้ OSCE ก็ได้ หรือไม่ควรจะใช้ OSCE เลยก็มี
Breaking the Bad News
การแจ้งข่าวร้าย ควรจะเป็นการสอบแบบ OSCE ไหม? คำตอบง่ายก็คือ "ควร" แต่จะทำหรือจัดการสอบแบบนี้ไม่ง่ายอย่างที่ตอบว่าควร เพราะสิ่งสำคัญประการหนึ่งของการสอบปฏิบัติคือ "ความเหมือนจริง เหมือนสถานการณ์จริงๆ"
แน่นอนที่สุดเราอยากจะทราบทักษะการสื่อสารของนักเรียนแพทย์ เราคงไม่ไปออกข้อสอบ choices หรือข้อสอบอธิบายในกระดาษเป็น Essay แต่เราอยากจะให้เด็กแสดงให้เราดู ถ้าอาจารย์แอบตามสังเกตตอนนักเรียนคุยกับคนไข้จริงได้ยิ่งดีที่สุด แต่พอจะจัดเป็นการสอบ มันเริ่มมีเรื่องของ Universal นั่นคือความยุติธรรมที่เด็กจะต้องเจอ case ที่ยาก ซับซ้อน พอๆกัน ในบริบทใกล้เคียงกัน และใน demands ที่เหมือนๆกัน ซึ่งในบริบทจริงสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่จะ "ไม่เหมือนกัน" จึงเกิดเป็น dilemma ในทฤษฏีการศึกษาว่าเราจะประเมินของจริงที่ไม่เหมือนกันด้วยการจัดระบบที่เหมือนกันได้อย่างไร และถ้าไม่ได้ เราควรจะ sacrifice หรือประนีประนอม ณ จุดไหน?
ที่แล้วๆมา เรามักจะไปลงเอยที่ "ยอมให้การบริหารจัดการ" สำเร็จ และ sacrifice สิ่งที่เราต้องการจริงๆไปแทน น่าเศร้า แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก ก็มันทำได้แค่นี้
การแจ้งข่าวร้ายสำหรับแพทย์ (และคนไข้) มีความสำคัญมาก
“Life is really a story. When a doctor tells you, 'You are sick' he's not just diagnosing; he is initiating a new chapter in the story of your life.” Arthur W Krank, from the book "Wounded Storyteller" Arthur W Frank, a Canadian medical sociologist === "ชีวิตจริงๆแล้วคือเรื่องราว เมื่อแพทย์ได้บอกกับคุณว่า "คุณกำลังป่วย" แพทย์ไม่ได้ทำเพียงแค่การวินิจฉัยโรคเท่านั้น แท้ที่จริงแพทย์กำลังเริ่มต้นบทใหม่ของชีวิตคุณด้วย" อาเธอร์ ดับเบิลยู แฟรงค์ ผู้ประพันธ์หนังสือเรื่อง Wounded Storyyteller อาเธอร์เป็นนักเวชสังคมศาสตร์ชาวคานาเดียน ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นโรคมะเร็งลูกอัณฑะแลัวยังเกิดภาวะหัวใจวายฉุกเฉินตามมา หลังจากนั้นก็ได้รับการรักษาจนอาการดีขึ้น |
เมื่อชีวิตเราดำเนินไปตามปกติ เราได้มี ได้ทำ ได้เป็น อะไรต่อมิอะไรมากมาย การที่เราเริ่มมี "โรค" ขึ้นมาสักโรคหนึ่ง เราก็ยังไม่เป็นอะไรมาก ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้เปลี่ยน life style ของตนเอง และโรคจำนวนหนึ่งก็สามารถถูกเยียวยาหายขาดโดยที่เราไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรเลย
แต่ในปัจจุบัน ภาระโรคที่สำคัญที่เราเผชิญอยู่ เป็นโรคที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมและหากคนไข้ไม่ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเลย ก็จะเกิดความยากลำบากขึ้น การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ความไว้เนื้อเชื่อใจ และเหนืออื่นใดก็คือความรู้สึกว่าหมออยากจะช่วยคนไข้ ทำเพื่อประโยชน์ของคนไข้จริงๆเป็นสิ่งสำคัญมาก และสิ่งเหล่านี้งอกงามมาจากการสื่อสาร การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดี
ในขณะเดียวกัน ใน "ข่าวร้าย" ที่เราแจ้งไป ไม่เพียงแค่มีผลต่อวิถีการดำเนินชีวิตของคนไข้เท่านั้น ยังจะมีความหมายโดยนัยยะอื่นๆอีกมากมาย เช่น พยากรณ์โรค แนวทางการรักษาด้วยยา เคมี ผ่าตัด หรือฉายแสง ระยะสั้นระยะยาว ค่าใช้จ่าย ผลกระทบต่องาน ต่อตนเอง ต่อครอบครัว ฯลฯ และที่เป็นเรื่องของ "นามธรรม" แต่มีความสำคัญไม่น้อย คือ "ความหมายของชีวิต และความหมายของความเจ็บป่วย" ของคนไข้เอง
และผมอยากจะบอกว่า "ความหมายของชีวิต ความหมายของความเจ็บป่วยของแพทย์" ก็มีผลต่อการสื่อสารเรื่องนี้อย่างมากด้วยเช่นกัน
ในการออกข้อสอบ OSCE นักเรียนจะได้คะแนนต่อเมื่อ "แสดง" สิ่งที่ควรแสดงออกมา (คำๆนี้ก็เกิด "วาทกรรม" ขึ้นตามมาโดยที่เราคาดไม่ถึง เพราะว่าเนื่องจากนักเรียนได้คะแนนจากการแสดง หรือ perform แต่ไปๆมาๆ มันไปซ้อนคำกับแสดงอีกแบบที่มาจากคำว่า acting แบบดารา แบบนักแสดง ในที่สุด ก็เริ่มมีการเรียกการสอบ OSCE ด้วยคำล้อเลียนว่าเป็น "สอบ OSCAR" เพื่อให้ได้ "ตุ๊กตาทอง" หรือคะแนนเป็นสำคัญไป) ถ้าไม่แสดงออกมา ก็ไม่ได้คะแนน เพราะเราไม่ได้กำลังสอบ "ความรู้" แต่เป็นจะทดสอบ "ทักษะ"
หลายประเด็นที่ผู้สังเกต (หรือผู้ให้คะแนน) สามารถประเมินแบบ "ภาวะวิสัย" (objective) ได้ เช่น ความครบถ้วนถูกต้องของข้อมูลที่สำคัญๆ ตามหลักการแพทย์ ตามหลักฐานเชิงประจักษ์ แต่หลายๆประการ ผู้ประเมินก็ใช้ "อัตตวิสัย" ในการตัดสินอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นใน OSCE (ซึ่งเมื่อไรที่เราใช้อัตตวิสัย หรือ subjective ก็จะมีเรื่องอารมณ์มาเกี่ยวข้อง ทำให้ความเป็น "อัตนัย" ของการประเมินนั้นๆลดลง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เป็นเชิงคุณภาพ หรือนามธรรม เช่น ความสุภาพ ความเห็นอกเห็นใจ การฟังที่ดี ฯลฯ
สิ่งที่ผมสังเกตจากการสอบที่ผ่านมา
และผมเชื่อว่าถ้านักศึกษาคุยต่อ เขาจะได้คะแนนเพิ่ม นั่นคือ ที่ได้คะแนนขนาดนี้ เพราะเวลาไม่พอ ไม่ใช่เพราะทำไม่ได้ หรือไม่ทราบ ไม่มีความรู้
ในชีวิตจริง เราไม่ได้ทำ breaking the bad news + counseling ในเวลา 5 นาที (ที่จริงนับเดินระหว่าง station และอ่านโจทย์ ก็จะหายไปอีก 30 วินาทีหรือมากกว่าได้สบายๆ) การที่เวลาจำกัดมีผลต่อคะแนนนักเรียนจึงไม่แฟร์
เวลาที่จำกัดไม่ได้มีผลต่อ "ปริมาณการตอบ หรือการแสดงออก" เท่านั้น แต่มีผลต่อ "คุณภาพ" ด้วยอย่างแน่นอน รวมทั้งการที่บรรยากาศการสอบทั้งหมด มีหลากหลายบริบท (15 stations 15 หัตถการ) ทำให้ความ "อิ่มตัว" ด้านอารมณ์ไม่เกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นยากมาก
ความ "ครบ" และ "ถูกต้อง" ไม่จำเป็นต้องทดสอบด้วย OSCE เราไปทดสอบในการทำข้อสอบ paper หรือข้อเขียนก็ได้ แต่เมื่อประเด็น "ครบ/ถูกต้อง" มาใช้ใน OSCE ทำให้มิติที่เราอยากจะสอบถูกเจือจางหรือทดแทนไปด้วยด้านอื่นๆ ที่วิธีนี้ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดในการประเมิน
ตามหลักเขียน blog เขาห้ามเขียนลบ (หรือบ่น) อย่างเดียว ให้แนะนำอะไรด้วย ต่อไปนี้ก็จะเป็นเรื่องบวก (สร้างสรรค์)
บันทึกนี้จุดประกาย การวัดและประเมินการเรียนรู้ได้ดีมากเลยครับ
เพราะการวัดและประเมินประเมินแบบนี้ สามารถวัดได้อย่างรอบด้านตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของการเรียนรู้ ทั้ง ความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ เจตคติ (KUSA) และไม่ได้วัดเอาแค่ Ouput เท่านั้น ยังลึกไปถึงเรื่อง Outcome ด้วย
ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมเยียนครับคุณ ไทเลย-บ้านแฮ่
เอาเข้าจริงๆการประเมินที่ใกล้เคียงอุดมคติจะใช้ทรัพยากรและการบริหารจัดการเยอะมากครับ ก็ขึ้นกับองค์กรแล้วที่จะพยายาม compromise resources ที่มีกับสิ่งที่ต้องการ (หรือจำเป็นต้องได้) ให้ลงตัวมากที่สุด
ขอบคุณคะอาจารย์ ขออนุญาตแลกเปลี่ยนทัศนะเล็กน้อยคะ
บันทึกของอาจารย์ ทำให้หนูนึกถึงคำพูด บรู๊ซ ลี ลางๆ ประมาณว่า "ศิลปะการต่อสู้ ต้องทำใจให้เหมือนน้ำ เทใส่ภาชนะใด ก็เป็นรูปนั้น..- ไม่ over หรือ underestimate" ซึ่งภายหลัง ได้สังเกตการณ์ แพทย์ปฎิบัติจริงต่อผู้ป่วย palliative ก็เป็นเช่นนั้นคะ ไม่มี "one size fit" การประเมินผลโดยการจับมาวัดด้วยแก้วใบเดียว (แถมเตี๊ยมวัดขนาดมาก่อน) จึงไม่ยุติธรรมนักคะ
จะทดสอบคุณสมบัติการเป็นน้ำ ควรดูเมื่อเทใส้กะลา ไห กะละมัง ฯลฯ ว่า fit ได้หมดไหม
หรือเปลี่ยนวิธีประเมิน จากให้แต้ม เอาแค่เป็น ผ่าน/ไม่ผ่าน กล่าวคือ เอาแค่ มีทักษะ "พอเพียง" ที่จะปฎิบัติงานได้..ซึ่งหนูเห็นว่า
critical คือ "active listening" ก่อน แล้วอย่างอื่นก็ตามมา ไม่ว่าจะ empathy, information sharing ที่เหมาะสมคะ :-)
"วัตถุประสงค์การประเมิน" จึงสำคัญที่สุดครับ
summative evaluation หรือประเมินได้/ตก ผ่าน/ไม่ผ่าน จึงมองไปที่ final verdict เป็นสำคัญ ในขณะที่ในด้าน "การเรียนรู้" การประเมินแบบ formative หรือประเมินเพื่อพัฒนาจะมองหา "ประเด็นเพื่อพัฒนา" ซึ่งไม่ได้มองเพียง final verdict (หรืออาจจะไม่มองเลยด้วยซ้ำ) แต่มองหากระบวนการ ตำแหน่ง หรือ energy ส่วนที่น่าจะมีการปรับปรุงแก้ไข
ในความเป็นจริง ผมยังคิดด้วยซ้ำไปว่านักเรียนอาจจะมีสิทธิ "ขอเวลานอก" เพราะจิตแกว่ง จิตตก ขอสอบใหม่ ขอเลื่อนวัน เหมือนคนธรรมดาๆที่มีวันที่ไม่ดี วันที่ดี สลับกันไปๆมาๆ variation ทั้ง intra- และ inter-personal มีตลอดเวลา และเราต้องไม่ลืมว่ากระบวนการวัดของเรานั้นเป็น cross-sectional of time หรือ longitudinal evaluation
และอีกเช่นกัน ในมิติ "ปริมาณ" นั้นตรงไปตรงมาและยังใช้ได้อยู่ คือ "ครบและถูกต้อง" ก็ยังมีความสำคัญไม่น้อย นักเรียนอาจจะฟังจนซาบซึ้ง น้ำตาตกใน แต่ถ้าไม่สามารถพูดเรื่อง options การรักษา บอกพยากรณ์โรค ข้อดีข้อเสียตามหลักฐานเชิงประจักษ์ของการรักษาชนิดต่างๆ คนไข้ก็คงจะผิดหวังมากพอสมควร ไม่ว่าเราจะ empathy เขามากขนาดไหนก็ตาม
ประเด็นในเรื่องการบอกข่าวร้าย เป็นเรื่องทีจำเป็นที่บุคลากรทางการแพทย์ต้องฝึกหัด มิใช่แพทย์เพียงวิชาชีพเดียว คนไข้สมัยนี้มีความรู้ เพียงมองหน้าสบตาผู้ที่ดูแลเค้าอยู่ ก็อาจจะบอกผลตรวจได้แล้ว ดังนั้นการจะโยนทุกอย่างไปให้แพทย์คงจะไม่ใช่เสียทีเดียว แต่ในสายวิชาชีพควรต้องฝึกกันตั้งแต่ สบตา ท่าทาง พูดจากันเลยทีเดียว
มีประสบการณ์กับแลปกริ๊งมาแล้ว ดีใจที่น้องๆสมัยนี้ไม่ต้องพบเจอ แต่ก็เสียใจที่การสอบภาคปฏิบัติสมัยใหม่ก็ยังจำกัดด้วยเวลา ในความเห็นที่อยากจะแสดง ควรประเมินด้วยผลลัพธ์มากกว่า ถึงจะเป็นคนไข้สมมติแต่ก็น่าจะมีอะไรที่สะกิดใจ สะกิดความรู้สึกเค้าได้ ถ้าพูดและแสดงได้เหมาะสม
มาเป็นอาจารย์แพทย์ไม่นานแต่ชอบคุมสอบ OSCE ค่ะ
ก่อนจะได้เป็นตัวจริงคุมสอบก็ต้องผ่านการอบรมเป็นผู้คุมสอบ
อ่านบันทึกนี้แล้ว เห็นตามด้วยว่ากลายเป็นว่า นศพ.ต้องทำเวลามาก กลายเป็นผู้พูดฝ่ายเดียว และคล้ายหุ่นยนต์
เริ่มจากอ่านโจทย์ ส่งสติ๊กเกอร์ชื่อตัวเองให้อาจารย์ แนะนำตัวต่อคนไข้จำลอง ถามอาการ แล้วก็เริ่มแสดงเลย
เห็นใจและคิดว่า ถ้าเป็นตัวเองสอบคงสอบไปด้วยท่าทางไม่ต่างกัน บางคนตื่นเต้นไปจน เงียบพักหนึ่งเลยก็มี โชค(มัก)ดีคือคนไข้(มัก)รู้งาน ช่วยคุณหมอทันเวลา
ยังไม่เคยคุมสอบหัวข้อนี้ค่ะ
คิดว่า เรื่องแจ้งข่าวร้ายนี่ยากมากเลยนะคะ
เพราะชีวิตความจริงของหมอเรา เราต้องใช้เวลา รับฟัง รับรู้อารมณ์ฯลฯ และยังต้องใช้ Body language บีบไม้บีบมือหรือแตะตัว ยากจังนะคะ การประเมินผลแบบนี้
คุณ thitirat
มีบาง station ที่ใบประเมินมีช่อง patient's verdict หรือคำตัดสินสุดท้ายจากผู้ป่วย เป็นส่วนหนึ่งของคะแนนประเมินด้วย อาจจะ 5-10% แล้วแต่ ซึ่งจะช่วยในเรื่องที่ค่อนข้าง subtle เช่น พูดดี พูดเข้าใจ ไม่ตัดบท ฯลฯ คุณภาพของการสนทนาแบบรวมๆได้ตรงกว่าหมอหรือคนกาคะแนนจะเป็นคนให้เอง
คุณภูสุภา
OSCE ถ้าทำดีๆ ช่วยในเรื่องการประเมินหัตถการได้เยอะครับ เพราะมีการปฏิบัติจริง ยิ่งทำให้ใกล้ของจริงเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
ขอบคุณคะอาจารย์
หนูเชื่อว่าทั้งสองส่วน information + empathy น่าจะกลมกลืนกันได้
หากคิดแบบ " ตัวเราจะเป็นอย่างไรเมื่อได้รับข้อมูลแบบนี้"
เราควรจะ และมันต้อง "เป็นเรื่องเดียวกัน". นั่นคือเราให้ information นี้ เพราะเราฟังเรื่องของเขาแล้า เราทราบว่าเขาทุกข์ เราใคร่ครวญดูแล้วสิ่งที่เรารู้น่าจะทำให้เขาบรรเทาทุกข์ได้ ไม่มากก็น้อย เราจึงอยากจะถ่ายทอดให้เขาไป การจำแนกแยกทุกเรื่อง ทุกราว ออกเป็นท่อนๆส่วนๆ มันจะทำให้ขาดความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงไปโดยใช่ที่
วันนี้ฟังน้อง นศพ. นำเสนอ case palliative ที่ไม่เยี่ยมบ้านมา น้องๆเขาก็ประเมินดี มีใช้ IFFE, iHOMESS, 4Cs (centered @ patient, comprehensive, continuity and co-ordination เสียอย่างเดียว เขานำเสนออกเป็นหมวดๆ เป็นหย่อมๆ หลายจุดก็ซ้ำกันหลายครั้ง มิสู้เล่าไปเรื่อยๆแบบ narrative สักประเดี๋ยวเรื่องราวทั้งหมดก็จะออกมาเหมือนกัน แต่เป็นแบบ life experiences ไม่ใช่ broken-down-in-details style
หนูก็รู้สึกเช่นนั้นคะ ตัวย่อต่างๆ เป็นแค่ "framework"
แต่การเสนอในรูปแบบยึดติดกับกรอบของเครื่องมือมากไป ทำให้ขาดชีวิตชีวา ( อาจารย์อย่างหนูเองฟังก็แอบหลับ สารภาพ)