อุปขยานจากเรื่องท้าวเต่าคำ (วรรณกรรมอำพลางกาย)


วรรณกรรมอำพลางกาย

๑) เรื่องควายสองพี่น้อง    กล่าวว่ามีกระต่ายตัวหนึ่งไปพูดยุยงให้ควายของพี่น้องทะเลาวิวาทกันเพราะเชื่อคำยุยงของกระต่าย  จนต่อสู่กันสุดท้ายควายตัวน้องก็ถูกควายตัวพี่ฆ่าตาย  สอนให้รู้จักชั่งใจอย่าเชื่อคำยุยงของคนอื่น

๒) เรื่อง หงส์สองคอ    กล่าวว่าหงส์ตัวหนึ่งในร่างเดียวแต่มีสองหัวสองคออยู่กันอย่างสามัคคี  วันหนึ่งกระต่ายไปกระซิบข้างหูหัวด้านซ้ายแต่ไม่มีเสียงพูดเลยทำท่าทางกระซิบเท่านั้น  กระต่ายทำเช่นนี้ ๒-๓  วัน   แล้วก็มาทำเช่นนี้ที่หัวด้านขวาอีก ๒-๓  วัน  ทั้งสองจึงคุยกันว่ากระต่ายพูดอะไรให้ฟัง  แต่ทั้งสองก็บอกกันว่าไม่ได้พูด  และก็ไม่เชื่อคำตอบของกันละกันจึงทะเลาะกันและตัดสินใจแบ่งร่างกันคนละด้าน  สอนให้รู้จักสามัคคีกลมเกลียวกัน

๓) เรื่อง  หงส์หามเต้า-เต้าหาบหงส์  กล่าวถึงหงส์คู่หนึ่งเป็นเพื่อนกับเต่า  อาศัยอยู่กันในหนองน้ำอย่างมีความสุข  อยู่ต่อมาหนองน้ำนั้นน้ำแห้งเขินขาดสัตว์น้อยใหญ่หนีหายตายไปสิ้นยังเหลือแต่เต่าตัวเดียว  ฝ่ายหงส์สองตัวผู้เพื่อนบินไปหากินยังหนองน้ำแหล่งอื่นก็เกิดความคิดถึงเจ้าเต้าเพื่อเก่าจึงพร้อมใจกันบินกลับมาแล้วเอาขาจับไม้บินไปหาเต้าบอกจะพาไปหนองน้ำแห่งใหม่  แต่ต้องเอาปากคาบไม้ห้ามพูดห้ามอ้าปากเด็ดขาด   แล้วก็พร้อมกันบินผ่านหมู่บ้านเพื่อไปหนองน้ำแห่งใหม่  ชาวบ้านแห่งจึงร้องบอกกันว่าหงส์หามเต่า   เจ้าเต่านึกในใจว่าเต่าหาบหงส์ต่างหาก จะอ้าปากหมายที่จะพูดดังที่ตนคิด  พออ้าปากก็พลันตกลงมาตาย  สอนให้รู้จักคิดก่อนพูดไม่เช่นนั้นจะตายเพราะปาก

๔) เรื่อง ตายเพราะเห็นแก่ได้  กล่าวว่า  มานพผู้หนึ่งมีคาถาอาคมรักษาคนที่ถูกพิษได้สารพัดจึงหากินเลี้ยงชีพด้วยกันรักษาผู้คน  ต่อมาผู้คนทั้งหลายเกิดอยู่ดีมีสุขไม่มีพิษภัยมาทำร้ายมานพผู้นี้จึงขาดร้ายได้จึงไปหางูพิษแล้วเอาไปซ้อนไว้ในรังนกแกล้งบอกเด็กให้ขึ้นไปรังนกจะได้ถูกงูฉกแล้วตนเองจะรักษาเพื่อจะได้เงินค่ารักษา  แต่เด็กคนนั้นซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์รู้ทันจึงฉวยงูโยนลงมาใส่มานพผู้นั้นแล้วจึงโดยงูฉกจนตาย  สอนว่าอย่าเห็นแก่ได้จนหมายว่าจะทำร้ายผู้อื่นแล้วตนจะได้รับกรรมนั้นเอง

๕)  เรื่อง นายพรานกับนกยูง  กล่าวว่า  นกยูงตัวหนึ่งมีเวทย์มนต์พร่ำบ่นภวนาทุกวัน  วันหนึ่งนายพรานมาพบเข้าจึงหมายจะจับนกยูงให้ได้จึงวางบ่วงบาศไว้แต่ด้วยอำนาจเวทมนต์นกยูงตัวนั้นก็ทำลายได้สิ้น  นายพรานจึงเอานกยูงตัวเมียมาหลอกล่อ  นกยูงตัวนั้นเกิดมีตัณหาขึ้นลืมท่องบ่นภาวนาเวทย์มนต์จึงถูกพรานจับได้ในที่สุด  สอนว่าอย่าอวดอ้างว่ามีเวทย์มนต์คาถาดีจงสำรวมระวังอย่างเผลอตนเพราะตนหาและความอวดเก่ง

 ๖) เรื่อง  นกกระจอกฟ้าสอนลิง  กล่าวว่า  ยังมีต้นไม้แห่งหนึ่งเป็นที่อาศัยทำรังของนกกระจอกฟ้าและฝูงลิง  วันหนึ่งฝนตกลิงเกาะกิ่งไม้หนาวสั่นนกกระจอกฟ้าออกมาจากรังจึงร้องบอกว่าท่านมีทั้งมือและเท้าทำไมไม่ทำเรือนอยู่เพื่อหลบแดดหลบฝน  ข้ามีเพียงปากยังทำได้เลยพวกท่านเกียจคร้านกันยิ่งนัก  ลิงโกรธมากจึงผูกใจเจ็บไว้  ครั้นเมื่อฝนหยุดตกลิงก็พากันปีนขึ้นไปทำลายฝูงนกจนพังเสียหายและฆ่านกเสีย  ครั้นตายไปนกได้ขึ้นสวรรค์เป็นเทวดาส่วนลิงนั้นตกนรก  สอนว่าจงฟังคำเตือนแม้ว่าเข้าจะเป็นผู้น้อยกว่าเพราะคำเตือนเหล่านั้นจะเป็นประโยชน์ต่อเราแน่

๗) เรื่อง  นายพราน  กล่าวว่า  ณ  เมืองแห่งหนึ่งนายสำเภาค้าขายได้มาเปิดเรือขายของอยู่ท่าน้ำ  พรานป่าไปดูสิ้นค้าแล้วเห็นเสื้อตัวหนึ่งงดงามถูกใจยิ่งนักจึงต่อรองกับพ่อค้าว่าตนจะนำเอางาช้างมาแลกสินค้า  จึงรีบเข้าป่าไปล่าเอางาช้างครั้นพบช้างป่าที่มีงาสวยงามแล้วจึงยิงหน้าไม้เข้าใส่ช้างตกใจวิ่งหนีเตลิดเข้าในป่าลึกไม่นานนักพิศจากลูกศรก็ทำให้ช้างล้มอยู่ใกล้จอมปลวก  นายพรานวิ่งตามมาพบว่าช้างตายแล้วจึงขึ้นไปยืนบนจอมปลวกเพื่อตัดเอางาช้างแต่ถูกงูเห่าซึ่งอาศัยใกล้จอมปลวกฉกกัดจนตาย   ต่อมาสุนัขจิ้งจอกวิ่งมาเห็นช้างและคนนอนตายใกล้จอมปลวกก็เลยกะว่าจะกินทั้งสองให้อิ่มท้อง  แต่เลือกกินสายหน้าไม้ซึ่งเป็นหนังควายจัดสายหน้าไม้ขาดและฟาดจนสุนัขจิ้งจอกตายทันที  ต่อมามีเสือโคร่งตัวใหญ่เดินผ่านมาเห็นซากศพ  ซากช้าง  และสุนัขจิ้งจอก  จึงคิดว่าจะกินให้อิ่มและเก็บไว้กินเรื่อย ๆ จนกว่าจะหมด  จึงปีนขึ้นจอมปลวกแล้วยืนทับรูงูเห่า  งูเห่าโกรธแค้นเป็นอย่างมากจึงฉกกัดเสือโครงจนตายแล้วร่ายก็ทับรูงูเห่านั้น  ฝ่ายเจ้างูเห่าไม่มีหนทางออกจากรูกะตายในรูตัวเองเพราะอดอาหาร   ต่อมามีกาสองตัวบินมาพบซากศพ  และซากสัตว์ตายนอนรวมกันจึงโผลงมาจิกกินเนื้อ  กาตัวหนึ่งเจาะเข้าไปในท้องซากช้างแล้วกินเครื่องในช้างจนเวลาบ่ายแดดจัดหนังช้างที่เจาะเข้ามาก็แห้ง  กาไม่สามารถบินออกมาได้จึงตายอยู่ในตัวช้าง  สอนว่าอย่าเห็นแก่ได้มากจนเกิดความประมาท

๘)  เรื่อง  หญิงกล่าวเท็จ ๑  กล่าวว่า  หญิงนางหนึ่งเดินทางไปอาบน้ำที่ท่าน้ำเห็นเรือของกษัตริย์พายผ่านมาก็ตกใจรีบขึ้นจากท่าน้ำไปบอกชาวบ้านว่าตนได้พบพญานาคขอให้รีบออกมาดูเถิด  แล้วแล้วชาวบ้านก็วิ่งตามหญิงนางนั้นไปที่ท่าน้ำจึงได้พบขบวนเรือของกษัตริย์จึงพากันรุมด่าว่าโกหกหลอกลวง

๙) เรื่อง หญิงกล่าวเท็จ ๒  กล่าวว่า หญิงนางหนึ่งไปเก็บผักในสวนเหลือบไปเห็นวัวของชาวบ้านที่ล่ามไว้ใกล้สวนผักเกิดตกใจอย่างแรงสติวิปลาสเข้าใจว่าเป็นเสือจึงรีบวิ่งเข้าไปในหมู่บ้านบอกว่าเสือเข้ามาที่สวนผัก  ชาวบ้านพากันเอาอาวุธออกมาสวนผักหมายจะฆ่าเสือให้ตายแต่ก็พบเพียงวัวยืนกินหญ้าจึงรู้ว่าพวกตนถูดหลอกแล้วจึงรุมด่าทอ

๑๐) เรื่อง  หญิงดี  กล่าวว่า  ชายหญิงคู่หนึ่งอยู่กินด้วยกันแล้วฝ่ายชายจึงเข้าป่าหาเผือกมันและฟืนเพื่อประทังชีวิต  ต่อมาหญิงนางนั้นเกิดตั้งครรภ์ฝ่ายชายก็เข้าป่าหาเผือกมันเช่นเดิมแต่ได้พบกับหญิงหม้ายที่เข้าป่าหาเผือกมันเช่นกันจึงลักลอบคบชู้กัน  ฝ่ายภรรยาท้องแก่เห็นว่าเผือกมันลดลงทุกวัน  ซึ่งความจริงแล้วสามีตนจะเข้าไปในป่าเพื่อพบกับหญิงหม้ายแล้วหาเผือกมันได้เท่าใดก็ยกให้หญิงหม้ายมากกว่าตน  จนภรรยาจับได้เกิดมีปากเสียงทะเลาะกันสามีจึงหนีจากบ้านเพื่อไปอยู่กับหญิงหม้าย   ฝ่ายภรรยาให้กำเกิดบุตรีแล้วก็เพียรเลี้ยงดูจนลูกโตใหญ่ได้หลายขวบจึงบอกลูกให้รออยู่บ้านแม่จะเข้าป่าหาเผือกมัน  ฝ่ายแม่เมื่อเดินเข้าป่าก็ไปพบยักษ์เฝ้าสมบัติหมายจับจับกินนางจึงบอกว่าขอให้นางได้กลับไปให้นมลูกก่อนเถิดวันพรุ่งนี้จะเดินมาให้กิน  ยักษ์เชื่อคำจึงปล่อยไป   เมื่อกลับมาถึงบ้านจึงป้อนนมลูกแล้วบอกลูกรักษาตัวให้ดีเมียจะต้องเดินทางไปให้ยักษ์กินตามสัญญาในวันพรุ่งนี้    ครั้นถึงวันรุ่งขึ้นแม่จึงออกจากบ้านและลูกสาวก็ขอติดตามด้วยพอถึงที่ยักษ์ร้ายอาศัยอยู่ก็เข้าไปบอกยักษ์ว่าให้กินตนแทนแม่ยักษ์ซาบซึ้งในน้ำใจของหญิงผู้เป็นแม่ที่รักษา

คำสำคัญ (Tags): #อีสาน
หมายเลขบันทึก: 459395เขียนเมื่อ 9 กันยายน 2011 04:17 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 มิถุนายน 2012 18:35 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท