วิธีแรก(ใส่แรงผลัก) เป็นการบังคับด้วยมาตรการรุนแรง เช่นประกาศว่าทุกคนต้องทำงานหนัก ให้ได้ผลผลิตตามเป้า ไม่เช่นนั้นจะมีการปลดพนักงานออก
วิธีที่สองเป็นอุบาย”ดึง”ที่แยบยลกว่า เช่นบอกว่า ถ้าผลผลิตเพิ่มขึ้นจะมีการปันผลกำไรให้พนักงาน
ส่วนวิธีที่สาม เป็นการสร้างแรงดลใจโดยไม่ต้องมีมาตรการผลักหรือดึงเลย (บริหารเหมือนไม่มีผู้บริหาร) เช่น สร้างความรักในองค์กร ด้วยกุศโลบายต่างๆ ตามหลักศาสนา
ในศาสนาคริสต์ในยุค usa เริ่มต้น พวก puritan ที่อพยพหนีการกวาดล้างจากยุโรปได้ลี้ภัยมาอยู่ usa มีคติชีวิตว่า ทำงานเพื่ออุทิศแด่พระเจ้า แล้วจะได้รางวัลจากพระเจ้าให้ไปสู่สรวงสวรรค์เมื่อตายแล้ว ..นี้คือ กำลังภายใน ที่ไม่ต้องการทั้งแรงผลัก หรือ แรงดึง
แรงภายในนี้ทำให้ usa มีผลผลิตสูงจนกลายเป็นมหาอำนาจโลกใน 100 ปี แต่บัดนี้แรงนี้อ่อนลงไปมา เพราะมีแรงภายนอกมาทำลายไปมากหลาย
สำหรับศาสนาพุทธ ท่านพุทธทาสได้สอนว่า
การทำงานคือการประพฤติธรรม
พร้อมกันไปหลายส่ำมีค่ายิง
ถ้าจะเปรียบก็ดังคนฉลาดยิง
นัดเดียววิ่งเก็บนกหลายพกเอยฯ
ถ้าสามารถปลูกฝังแนวคิดนี้ลงในกมลสันดานได้ ก็จะเป็นแรงภายในที่ยิ่งใหญ่มาก
จึงเป็นการบริหารแบบบิวตันแบบ “สามประสาน” อย่างสมบูรณ์แบบ
ท่านพุทธทาสยังสอนต่อว่า
จงทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง
ยกผลงานให้ความว่างทุกอย่างสิ้น
ถ้าทั้งผู้บริหารและพนักงานทำงานกันแบบนี้
ก็เป็นการทำงานแบบไม่มีการยึดติด
ก็เป็นการทำงานแบบไม่มีผู้บริหาร
ก็เป็นแบบเต๋า ที่ว่าจงปกครองเสมือนไม่มีผู้ปกครอง
...คนถางทาง (๒๗ สค. ๒๕๕๔)
ไม่มีความเห็น