วัฒนธรรม “ข้ามาคนเดียว” ไม่ทำงานเป็นทีมเพื่อประโยชน์ของมหาวิทยาลัยในภาพรวม จึงมีส่วนทำให้ความผิดพลาดเล็กๆ ไม่ได้รับการแก้ไข และขยายตัวลุกลาม
เห็นด้วยกับข้อความนี้อย่างยิ่งคะ.."การทำงานเป็นทีม" คือคำตอบ
"ความถูกต้อง" ไม่เหมือนกัน และเป็นคนละเรื่อง กับ "เสียงส่วนใหญ่"
สังคมไทย ...มักเอา สองเรื่องนี้มาเป็นสิ่งเดียวกัน คือ "ถ้าเสียงส่วนใหญ่ว่าอย่างไร ...สิ่งนี้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง" นี่เป็นปัญหาและวิกฤตนำคนไทยทั้งสังคม ตกเหว ...คนทั้งสังคม ก้มหน้าก้มตา จูงมือกันไปตกเหว ด้วยเสียงส่วนใหญ่ "เป็นเสียงจาก ความเห็นแก่ตัว เป็นเสียงแห่งความบอดของปัญญา เป็นเสียงของอธรรม"
แล้วเรา-ท่านจะทำอย่างไร???
เรียน ท่านอาจารย์ ที่เคารพ
ผมได้อ่านบทความของท่านอาจารย์แล้ว ขอให้กำลังใจท่านอาจารย์ครับ และขอสแสดงความเห็นดังนี้ ในปัจจุบัน โลกเราเข้าสู่ระบบทุนนิยม และระบบทุนนิยมได้แพร่เข้าไปสู่ทุกระบบในสังคม แม้กระทั่งในมหาวิทยาลัย ก็เช่นเดียวกัน คำว่าอาจารย์ในมหาวิทยาลัย เป็นถ้อยคำที่น่าเคารพบูชา คือ ผู้ถ่ายทอดความรู้แก่ศิษย์ ที่จะนำความรู้ที่ได้ไปประกอบอาชีพในสังคมเพื่อดูแลตนเองและครอบครัว ทุกคนต่างให้ความคาดหวังไว้สูง แต่ อาจารย์ก็คือมนุษย์คนหนึ่ง มนุษย์ที่มีความต้องการ มีความอยาก เช่นเดียวกัน
ปัจจุบันทุนนิยมมีบทบาทมากในสังคมทุกชนชั้น ทุนนิยมนี้เข้ามาควบคุมจิตใจมนุษย์ให้อยากมีความสุขทางโลก อยากมีเงิน อยากมีเกียรติยศมีตำแหน่ง มีอำนาจวาสนา โดยไม่คำนึงถึงหลักคุณธรรม และผมเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นระบบการเมือง ระบบราชการก็เป็นเช่นเดียวกัน ทุกวันนี้ ความเปลี่ยนแปลง ตามหลักทฤษฎี ที่เมื่อพัฒนาองค์กรแล้วจะทำให้เกิดประสิทธิผล ทำให้ทุกคนในองค์กรมีความสุขนั้น กลับไม่เป็นไปตามที่หลักทฤษฎีระบุไว้ เพราะความสุขที่เกิดขึ้นเป็นความสุขแบบมิจฉาทิฐิ เป็นคล้ายดังองค์กรที่มุ่งหวังผลกำไร (profit organization) คนส่วนมากเข้าไปทำหน้าที่ในหน่วยภาครัฐควรต้องคำนึงบทบาทของตนเองให้ถูกต้องว่า เราเข้ามาเพื่อทำงานในองค์นี้เพื่อเป็นประโยชน์แก่ประชาชน เข้าไปทำหน้าที่เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาลูกศิษย์ของตนแต่ละสถาบัน เพื่อให้เขาเหล่านั้นไปทำหน้าที่ที่ดีแก่ตนเอง และสังคม หากอาจารย์เข้าไปทำงานเพื่อประโยชน์ของตนเองฝ่ายเดียวแล้ว โดยไม่คำนึงบทบาทที่แท้จริงและถูกต้องแล้ว ต่อไปสังคมก็จะผิดเพี้ยนไปหมด ทุกคนมุ่งแต่ประโยชน์ของตนเอง ไม่คำนึงถึงประโยชน์ของส่วนร่วม ผมเชื่อว่าเมืองไทยทุกวันนี้ คนที่มีความคิดเช่นนี้ (มิจฉาทิฐิ) กำลังระบาดอยู่มากมาย และเชื้อนี้ร้ายแรงมากแทรกซึมไปทุกองค์กร หากพวกเราไม่ควบคุมไว้ และหรือทำลายลง เมืองไทยในอนาคต คงจะคล้าย ๆ ประเทศที่มีมาเฟียครองเมือง ทุกจังหวัดจะเต็มไปด้วย เจ้าพ่อที่มีอิทธิพล กำหนดสิ่งใดให้เป็นไปตามความคิดของตนเองได้ และเขาเหล่านี้ก็จะเข้าไปสู่ระบบการเมือง และเข้าไปกำหนดบทบาทต่าง ๆ ของบ้านเมืองให้เป็นไปความคิดของเขา เขาคนนี้จะมีลูกน้องมากมาย ที่เข้าไปรับใช้เขา และได้ประโยชน์ต่าง ๆ ที่ขอจากลูกพี่ ซึ่งมีตำแหน่งอันสูงส่งจากอิทธิพลทางการเมือง อิทธิพลนี้สามารถแทรกเข้าไปสู่รั้วมหาวิทยาลัย และรั้วแห่งหน่วยงานการศึกษาต่าง ๆ ได้ ทำให้เกิดผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อไป
ผมเชื่อว่าที่ท่านอาจารย์ได้ให้ข้อมูลจากการเป็นกรรมการมหาวิทยาลัยหลายแห่งมา เกิดกรณีแย่งชิงความเป็น คณบดี เป็นอธิการบดี ก็มาจากข้อมูลที่ผมได้แสดงความเห็นไว้ ผมอยากให้ทุกท่านลองมาตรวจสอบว่า เพื่อนสมาชิกทุกท่านมีความคิดทางใดมากกว่า ระหว่างมิจฉาทิฐิ กับ สัมมาทิฐื เช่น ต้องการทุกอย่างอยากรวดเร็ว ทานอาหารเร็วเวลาสั่งอาหารมาทานต้องการเร็วกว่าคนอื่น ขับรถเร็วโดยไม่คำนึงถึงคนอื่น อยากรวยเร็วโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง อยากมีตำแหน่งสูงเร็วโดยไม่คำนึงถึงระบบความเป็นธรรม แค่สามเรื่องนี้ก็คงเข้าใจได้ว่าท่านถูกระบบทุนนิยม (มิจฉาทิฐิ) เข้ามาสู่ในชีวิตของเพื่อนสมาชิกแล้วหรือยัง
ความคิดเห็นของผมนี้อาจไปกระทบกระเทือนความรู้สึกของท่าน และหรือในองค์กรของท่าน ผมต้องขอประทานโทษด้วยครับ หากข้อความที่แสดงความเห็นมานี้อาจรุนแรงไปด้วยจิตใจที่มีความรักประเทศไทยเรา และรักความเป็นอาจารย์ ครู ผู้ที่ประกอบคุณงามความดี เป็นดั่งคุณพ่อและคุณแม่คนที่สองของเรา ที่ให้ความรัก ความรู้แก่ศิษย์ด้วยใจรัก หวังให้ลูกศิษย์มีชีวิตที่ดีงาม จึงแสดงความคิดเห็นดังกล่าว