สว.แบบใหม่ที่ช่วยการเมืองให้พ้นความล้าหลังได้


ในวันนี้พรรคเพื่อไทยพรรคเดียวก็เป็นรัฐบาลได้ ไม่ต้องไปผสมกับพรรคอื่นเพื่อ “เสถียรภาพ” อีกต่อไป ทำให้มีเอกภาพมากในด้านนโยบายบริหารประเทศ

ระบบสว.ที่จะช่วยจรรโลงชาติได้

 

นายโอบามาเข้ารับตำแหน่งปธด.สหรัฐฯ พร้อมเสียงข้างมากของ สส. สว. ในทั้งสองสภา เขานำเสนอกฎหมายสำคัญฉบับแรก (กฎหมายการเงินอุ้มบริษัทรถยนต์ที่กำลังจะล้มละลาย) ปรากฎว่าแพ้โหวตในสภาเนื่องเพราะสส. ฝ่ายรัฐบาลค้าน ส่วนสส.ฝ่ายค้านกลับโหวตให้เสียก็มาก (ทำให้แพ้เสียงไม่มากนัก)

 

การเลือกตั้งสส. สว. ครั้งที่แล้วเกิดกลับตาลปัตร ทำให้พรรคฝ่ายค้านได้เสียงข้างมากทั้งในสภาสูงและสภาล่าง ถ้าเป็นเมืองไทยเราก็ทำงานไม่ได้แล้วเพราะรัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ แต่พอนายโอบามาเสนอพรบ.สำคัญที่สุดเข้าสภาคือ พรบ. เพิ่มเพดานวงเงินกู้ กลับปรากฏว่าฝ่ายค้านเทคะแนนให้เขามาก จนชนะโหวต

 

สส.ฝรั่งเขาโหวตกันตามสำนึกหน้าที่ โดยฟังเสียงประกอบจากประชาชนในเขตเลือกตั้ง และสุดท้ายฟังนโยบายพรรคประกอบ

 

ส่วนสส.ไทยเราโหวตตามนายสั่ง...จบ

 

ดังนั้นระบบ ปชต.ไทยเรามันเป็นระบบที่การถ่วงดุลอำนาจบกพร่อง ซึ่งอันตรายอย่างยิ่งเพราะเท่ากับว่ารัฐสภาไม่ได้ทำหน้าที่ “คานอำนาจ” กับฝ่ายบริหารดังเจตนารมณ์ของปชต.เลยแม้แต่น้อย แต่กลับทำหน้าที่ ”เสริมอำนาจ” ให้กับฝ่ายบริหารเสียอีก ด้วยการโหวตด้วยเสียงข้างมากให้พรรครัฐบาลอยู่ร่ำไปไม่ว่าสิ่งที่รัฐบาลเสนอจะผิดหรือถูกก็ตาม ส่วนฝ่ายค้านก็ยกมือค้านตะบันราดในทุกญัตติเหมือนกัน

 

หนทางที่จะช่วยบรรเทาความบกพร่องอันสาหัสนี้คือหนทางของสว. กล่าวคือ สว. ต้องเป็นกลาง  ต้องไม่สังกัดพรรคการเมือง และสว. ต้องไม่มาจากการเลือกตั้งด้วย เพราะถ้ามาจากการเลือกตั้งก็จะเท่ากับสังกัดพรรคการเมืองโดยปริยาย (ดังที่เห็นเป็นตัวอย่างเต็มตาอยู่ในปัจจุบันนี้)

 

พอเสนอว่าสว. ไม่มาจากการเลือกตั้ง หลายท่านก็จะกล่าวหาทันทีว่า “ไม่เป็นประชาธิปไตย” ... แต่ช้าก่อน ปชต.มีได้หลายทาง เช่น การเลือกตั้ง ถือเป็นทางตรง (ซึ่งอาจตรงดิ่งไปสู่นรกอย่างรวดเร็วก็เป็นได้)  และประชาธิปไตยแบบธรรมชาติ ที่ไม่ต้องมีการเลือกตั้งแบบสายตรง เพราะมีการคัดสรรกันโดยธรรมชาติอยู่แล้ว

 

ซึ่งวิธีธรรมชาตินี้ส่วนใหญ่มันเที่ยงแท้แน่นอนกว่าวิธีตรงเสียอีก  เพราะมันมีการคัดสรรหลายรอบหลายชั้นที่ใช้เวลายาวนาน (บางทีตลอดชีวิต) แต่การเลือกตั้งแบบทางตรงนั้นบางคนตรงแน่วมาจากไหนก็ไม่รู้ เข้ามาชุบมือเปิบกินบ้านกินเมืองกันได้ง่ายๆ มากมาย

 

ต้องมีวิธีที่บริสุทธิยุติธรรมเพื่อคัดสรร สว. ที่เป็นกลางทางการเมือง มีความรู้รอบด้าน เข้ามาทำหน้าที่ ซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดที่ขอเสนอคือให้กำหนดตำแหน่ง สว. โดยรัฐธรรมนูญ  เช่น  asdd

  1. ปลัดกระทรวงเกษียณอายุ ที่อายุไม่เกิน 65 ปี   (ที่ต้องมีปลัดกระทรวง เพราะพวกท่านเป็นผู้ทรงความรู้ทางราชการสูงสุดในกระทรวงต่างๆ จะช่วยให้ความเห็นดีๆ ได้มากในการพิจารณาร่างกฎหมาย)
  2. นายก/ประธาน สมาคม/องค์กร ภาคประชาชน การค้า อุตสาหกรรม วิชาชีพที่สำคัญ
  3. นักคิด นักเขียน ประชาชนที่โดดเด่น เป็นอิสระ อีกสัก 20 คน  (คัดสรรโดยคณะตุลาการที่กำหนดโดยรธน. (ศาลรธน. ศาลปกครอง ศาลฎีกา) และราชบัณฑิต) 
  4. นักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆ เช่น รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ พาณิชยศาสตร์ สาธารณสุข

 

สว. มีหน้าที่ตามที่รธน. กำหนด รวมทั้ง 1) ให้ความเห็นชอบการเสนอชื่อ รมต.  ของ นรม. 2) ให้การโหวตไว้หรือไม่ไว้วางใจรัฐบาลตามคำอภิปรายของ สส.  (สส.ไม่มีสิทธิโหวต)

 

ข้อดีของวิธีนี้คือ  1) รมต. ยี้จะหมดไป เพราะนรม. จะส่งแต่คนเก่งดีขึ้นไปบริหารกระทรวงต่างๆ เพราะหากส่งชื่อไม่ดีขึ้นไปก็คงไม่ผ่านความเห็นชอบของสว.  2) รัฐบาลที่ดีจะมีเสถียรภาพสูงแม้เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย หรือเสียงข้างมากที่ไม่มากนัก เช่น ในวันนี้พรรคเพื่อไทยพรรคเดียวก็เป็นรัฐบาลได้ ไม่ต้องไปผสมกับพรรคอื่นเพื่อ “เสถียรภาพ” อีกต่อไป ทำให้มีเอกภาพมากในด้านนโยบายบริหารประเทศ

 

ระบบนี้จึงเป็นการคานอำนาจกันอย่างสร้างสรรค์ระหว่างการเลือกตั้งสายตรงและการเลือกตั้งระบบธรรมชาติ พรบ. ต่างๆ ที่ผ่านสภาล่างขึ้นไปก็จะได้รับการกลั่นกรองจากสภาสูงอย่างเป็นกลาง เพื่อผลประโยชน์ประเทศชาติอย่างแท้จริง มิใช่เพียงเพราะ “นายสั่งมา”

 

ระบบนี้เป็นปชต. เสียยิ่งกว่าระบบปัจจุบัน เพราะสว. ที่กำหนดโดยวิธีนี้กว่าที่เขาจะไต่เต้าเข้าไปเป็นหัวขององค์กรต่างๆ (หรือเป็นนักคิดนักเขียนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง) เขาก็ต้องได้รับการ “เลือกตั้ง” แบบไต่เต้า สะสมคะแนนการยอมรับมานาน จาก “ประชาชน” ในองค์กรนั้นๆ อยู่แล้ว (หรือประชาชนทั่วไปในกรณีของนักคิดนักเขียน)  มันจึงเป็นประชาธิปไตยธรรมชาติที่แม่นแท้แน่นอนกว่าปชต.ทางตรงเสียอีก เพราะปชต. ทางตรงของเรานั้นมันซื้อกันได้ด้วยเงินในเวลาสั้นๆดังที่รู้กันทั่วไปอยู่แล้ว

 

เชื่อว่าข้อเสนอนี้คงมิอาจเป็นที่ยอมรับได้ของนักการเมืองส่วนใหญ่ในประเทศไทยที่เห็นแก่ประโยชน์ตนมากกว่าประโยชน์ชาติ ส่วนนักการเมืองส่วนน้อยบางคนคงจะแอบเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้อยู่บ้างดอก (ถ้ามี..ขออวยพรให้ท่านได้เป็นใหญ่เป็นโตในภายภาคหน้าด้วยเทอญ)  

 ....ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๑๕ สค. ๕๔)

 

หมายเลขบันทึก: 454053เขียนเมื่อ 15 สิงหาคม 2011 18:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 20:17 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้าจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท