ผมได้สั่งให้อดีตลูกศิษย์ทำการสำรวจข้อมูลนศ. วิศวกรรมเครื่องกล ที่มหาลัยของเรา ที่ตกออก ในแต่ละปีการศึกษา แล้วเอามาให้ผมดู ทำให้ผมเกิดแนวคิดว่า มีสิ่งผิดปกติสำคัญเกิดขึ้นในวงการศึกษาไทยที่ไปเกี่ยวโยงกับการเรียนแบบนักเรียนเป็นศูนย์กลางอย่างมีนัยสำคัญ
ข้อมูล (ปีรหัส--%ตกออก) เป็นดังนี้ (46--11.6) (47--13.3) (48--22.4) (49--27.6) (50--23.7) (51--28.2) (52--22.2)
ซึ่งเห็นได้ชัดว่า มีการกระโดดในการตกออกจากประมาณ 10% เป็น 20-30% ที่รุ่นปี 48 ซึ่งหากนับถอยหลังย้อนไปจะเห็นว่านศ.รุ่นนี้เข้าเรียนชั้น ม 4 เมื่อปีพศ. 45 ซึ่งน่าจะตรงกับปีที่ รร.มัธยม ถูกบังคับใช้นโยบาย “student center” พอดี เพื่อรองรับพรบ.การศึกษา 2542 โดยมีการสอนแบบใช้ใบงาน
การสอนแบบใบงานนี้ จะทำให้นร. ไปศึกษาหาความรู้กันเอง ซึ่งนอกจากจะทำให้ได้ความรู้ไม่เข้มข้นแล้ว ครูอาจารย์ยังไม่ใกล้ชิดกันนร.อีกด้วย ทำให้เด็กนักเรียนไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง ก็ยิ่งทำให้พฤติกรรมผิดเพี้ยน
ผมเชื่อว่าการสอนแบบนี้ส่งผลให้นร. มีความรู้อ่อนทั่วประเทศ และยังส่งผลต่อพฤติกรรมอีกด้วย จนส่งผลต่อการตกออกมากขึ้นแบบก้าวกระโดในอุดมศึกษา
ผมได้คุยกับเพื่อนคณาจารย์จากม.ขอนแก่น ก็ทราบว่านศ.วิศวะตกออกมากประมาณ 20-30% เช่นกัน ทั้งที่เมื่อก่อนตกออกน้อยกว่านี้มาก
จากการคุยกันของคณาจารย์ในสาขาวิชามีความเห็นตรงกันว่า นศ. รุ่นรหัส 48 เป็นต้นมามีฐานความรู้อ่อนกว่ารุ่นก่อนๆมาก อย่างเห็นได้ชัด
สรุปว่า ถ้าไม่เลิกการเรียนแบบ นร. ศูนย์กลาง อีกหน่อยคุณภาพเยาวชนไทย ที่จะเป็นอนาคตของชาติ คงด้อยลงอีกมาก
ขนาดพอใช้ได้อย่างในระบบเก่าก็สู้เขาไม่ได้แล้ว แล้วพอยิ่งด้อยลงมากๆกว่าเดิม มันจะไปรอดหรือ
...ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๔)
อ่านบันทึกนี้ให้เพื่อนครูให้ห้องพักครูฟัง มีครูอาวุโสท่านหนึ่ง เล่าว่าครั้งสมัยที่ท่านเป็นเด็ก จะเรียนแบบไม่มีหยวนๆ หากคะแนนทุกวิชารวมกันไม่ผ่าน 100% นั่นหมายความว่าคุณต้องตกซ้ำชั้น แต่เด็กสมัยนี้ขนาดติด 0 แล้วยังไม่เดือดร้อน เพราะซ่อมได้
ทำไมสมัยก่อนรุ่นพ่อแม่ ปู่ย่าตายายก็เรียนแบบครูเป็นศูนย์กลางถ่ายทอดโดยตรง แต่ประสิทธิภาพความเป็นคนของเด็กสมัยก่อนดีกว่าเด็กสมัยนี้