เห็นบันทึกหนึ่งเรียกว่า นครของการอ่านน่ะครับ
ก็ทำให้นึกถึงนครของผม คือ นครแห่งความสุขของผมขึ้นมาแข่งด้วยเลย นะครับ
เรื่องราวที่ผมจะเล่า มันนานมาแล้วนะ สมัยก่อน สามสิบปีก่อนซะมั้ง
ที่บ้านขายกาแฟ ย่าตุ๊เป็นคนขาย ผมเองก็ยังเล็กๆ น่ะ พวกเราจะต้องตื่นกันแต่เช้ามืด ตีสอง ตีสาม
จากนั้นก็ขนของพวกน้ำตาล ผงกาแฟ ถุง ฯลฯ ลงจากบนบ้านนำไปจัดเรียงบนรถไสที่เป็นร้านขายของ
ต่อด้วย ก่อไฟ ต้มน้ำเพื่อให้น้ำเดือดพร่าน พร้อมสำหรับการชงกาแฟ โอวัลตินน่ะ
จากนั้นเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ก็ค่อยๆ เข็นร้านกาแฟไปตั้งร้านขายที่ รพ. นะ
(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)
เมื่อไปถึงก็ทำอีกหลายอย่างจนทุกอย่างพร้อม เช่น ไปตักน้ำมาไว้สำหรับใช้ ,กางผ้าใบให้ร้าน, ขนโต๊ะ ขนเก้าอี้จากที่เก็บมาทำให้ร้านพร้อมรับลูกค้า ,ล้างน้ำแข็ง ,ทุบน้ำแข็ง เรียงขนม ..
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ก็ตีสี่ครึ่ง ลูกค้าก็เริ่มทยอยกันลงมาซื้อกันแล้ว ช่วงนี้ก็จะวุ่นไปอีกพักใหญ่ ๆ จนคนเบา ผมก็จะได้ไปเตรียมตัวไปโรงเรียนแล้ว ทำกันแบบนี้จนเป็นกิจวัตร มันวุ่นวาย แต่ก็ชอบนะไม่ได้มีปัญหาใดๆ
(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)
ทำไมต้องตื่นเช้านัก ก็เพราะร้านกาแฟเราเป็นรถไสที่ปรับรูปเป็นร้านค้าในตัว เป็นแผงลอยเคลื่อนที่กระมัง พวกเราต้องแข่งกันเพราะมีหลายเจ้า
พอมาถึงวันนี้ ผมไม่ต้องตื่นเช้ามาก ตีสาม ตีสี่ เหมือนเมื่อก่อน ไม่มีอะไรมาเร่งว่าจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้
ตนเองเป็นคนคุมตนเอง แรกๆ ก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ แต่ทำไป ทำไป ก็ชิน
ระยะนี้ ทำให้ไปอยู่ที่ไหน ที่นั่นก็จะเป็นนครแห่งความสุขไป
ทำให้ได้ทราบนะครับว่า สุขหรือทุกข์ อยู่ที่ตัวเราเอง หากเราทำอะไรที่พอเหมาะพอดี ก็จะทำให้ความเครียดในตนนั้นมีน้อยมาก
จนเรียกได้ว่าเกิดสภาวะเป็นสุขน่ะ นี่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่คิดว่าหลายคนค้นหานะครับ ต้องลองดูก็แล้วกัน..
ลำบากมากๆ แล้วก็มาทำงานไม่หนักเหมือนก่อน ก็เป็นสุขอย่างนั้นกระมัง...
ลำบากทำให้เราเข้มแข็งครับ ตอนเด็กๆๆเคยขาย ฮอล แฮก ยาอม ยาดม ยาหม่องตามท่ารถครับ สนุกมากๆๆ
ประทับใจอาจารย์ขจิตจัง
ความสุขที่น่าจดจำครับ
ขอบคุณคุณทิมดาบนะครับ ใช่เลย คือความทรงจำที่มีคุณค่าครับ