๗. เมื่อพ่อฉันต้องนอนโรงบาล


ธรรมชาติช่างไม่ปราณีใครจริง ๆ ทั้งชีวิตคนดีๆที่จากไป ทุ่งนาที่เป็นความหวังของชาวนา... ไม่อยากนึกแทนเจ้าของนาเลยจริงๆ ว่าปีนี้เขาจะเอาข้าวที่ไหนมากิน....

เป็นเวลานานพอสมควรที่ผู้เขียน (ป่าไม้เลื้อย/พาดีซอ) ห่างหายจากการเขียนบล๊อก ในบันทึก GotoKnow  มีเหตุผลมากมายที่จะเอื้อนเอ่ยให้กับมิตรรักแฟนเพลง เอ้ยแฟน GotoKnow ได้รับรู้แต่พอมาคิดอีกทีก็ไม่รู้จะบอกไปทำไมแต่ที่สำคัญกว่านั้นหากบอกไปแล้วจะมีคนอ่านหรือรับฟังหรือไม่ (ประโยคหลังนี่น่าคิดกว่า) เอาเป็นว่าสรุปง่ายๆ ว่าไม่ค่อยมีเวลาแล้วกันครับ

 

ห่างหายไปนานพร้อมกับมีเรื่องราวให้ต้องสะเทือนใจอยู่หลากหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโศกนาฏกรรม ฮ.ตกที่แก่งกระจาน การเสียชีวิตของ อาจารย์เกียรติ/หนานเกียรติ คุณเกียรติศักดิ์  ม่วงมิตร ผู้ชักนำผู้เขียนมาสู่ GotoKnow ซึ่งน่าจะเรียกได้ว่าเป็นขวัญใจของชาว GotoKnow แทบทุกเพศทุกวัย รวมไปถึงอีกมากมายชีวิตที่มิได้อยู่ในแวดวง GotoKnow ที่อาจารย์ของผม หรือพี่หนาน น้องหนาน ตลอดจนเพื่อนหนานของหลายๆท่าน/คน ผู้ซึ่งได้สร้างคุณูปการไว้ให้กับผู้คนอย่างมากมาย อันจะเห็นได้จากบทไว้อาลัยใน GotoKnow,  Facebook, ผู้คนมากมายในวันส่งดวงวิญญาณสู่สรวงสวรรค์ และอีกหลากหลายช่องทางที่ป่าไม้เลื้อย/พาดีซอมิอาจล่วงรู้ได้

 

ครับมีพบย่อมมีจากดั่งพุทธดำรัสที่ว่า "ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์" จะทุกข์มากทุกน้อยขึ้นอยู่กับบุญกุศล และพลังจิตของแต่ละคนที่ได้สร้างเสริมเติมแต่งมา ผู้เขียนในฐานะคนรู้จัก/ไม่รู้จักกับผู้วายชนม์ทุกท่าน ขอแสดงความเสียใจกับญาติๆ ยังไงก็ขอให้สู้ๆ ครับ เชื่อว่าพวกเราทุกคนจะไม่ลืมท่าน โดยเฉพาะ "หนานเกียรติ" น่าจะติดตราตรึงใจพวกเราไปตราบนานเท่านาน และที่จะละเสียไม่ได้คือการขอให้ดวงวิญญาณของทุกท่านที่ล่วงลับไปสู่สุคติภพด้วยเทอญ

 

ผ่านพ้นเรื่องราวร้ายๆ กลับเข้าสู่ชีวิตจริงของเรากันครับ ชีวิตที่ยังต้องดิ้นรนกับเวรกรรม (กรรม คือ การกระทำ มีทั้งดี และชั่ว) ที่สร้างสมกันมา ผู้เขียนเองก็ต้องเวียนว่ายอยู่กับเวรกรรมเช่นกับทุกท่าน หากแต่คราวนี้เป็นเรื่องราวของกรรมดี มากกว่ากรรมไม่ดีมาเล่าให้เพื่อนๆ พี่ๆ ลุง ป้า น้า อา ใน GotoKnow ได้รับรู้รับฟังกันเพื่อเป็นเกร็ดเล็กๆให้กับชีวิตครับ

 

เริ่มตั้งแต่วันที่ 13 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ซึ่งผู้เขียนเดินทางกลับจากกรุงเทพฯ หลังจากไปใช้ชีวิตอยู่ประมาณเดือนกว่าๆ หวังใจไว้ว่าจะกลับมาทำบุญวันเข้าพรรษาที่บ้านเกิดและถือโอกาสพักผ่อนในช่วงวันหยุดยาว แต่เหตุการก็พลิกผันให้ต้องไปทำบุญเฝ้าไข้พ่อที่โรงพยาบาลนครพิงค์เชียงใหม่แทน เหตุเพราะคุณพ่อผู้ชราวัยใกล้ๆ 80 ปี มีอันต้องป่วยเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการไข้ หนาวสั่น ไอ เจ็บหน้าอก ปวดเมื่อยครั่นเนื้อครั่นตัว

 

ทันทีที่มาถึงโรงพยาบาลในวันที่ 14 กรกฎาคม คุณหมอที่ให้การตรวจรักษาถามทันทีว่าจะจองห้องพิเศษไหม ผู้เขียนรู้ทันทีว่าอาการคุณพ่อคงหนักหมอจึงถามเช่นนี้ ผู้เขียนจึงตอบตกลงทันทีด้วยหวังในใจว่าคงนอนไม่นานพ่อคงหาย เพราะปกติพ่อไม่เคยล้มป่วย และนอนโรงพยาบาลเกินสามคืน (ซึ่งที่ผ่านมาพ่อนอนโรงบาลด้วยการผ่าตัดตา)

 

การนอนโรงพยาบาลครั้งนี้ของพ่อไม่ได้เป็นไปอย่าที่ผู้เขียนคาด เพราะมาทราบทีหลังว่าพ่อป่วยเป็นฝีในปอด ซึ่งคุณหมอเจ้าของไข้ต้องให้ยาปฏิชีวานะไปฆ่าเชื้อ ยาที่ให้จะต้องให้ 7 วัน 14 วัน หมายถึงให้ 7 วันถ้าอาการไม่ดีขึ้น จะต้องให้ต่อไปอีก 7 วัน และให้อีกถ้าอาการไม่ดีขึ้น ซึ่งแท้จริงแล้วมีวิธีรักษาอยู่สองวิธีคือการให้ยาฆ่าเชื้อ กับการผ่าตัด แต่เนื่องจากคุณหมอบอกว่าคุณพ่ออายุเยอะจึงใช้วิธีแรกในการรักษา

 

ผู้เขียนต้องเป็นคนเฝ้าไข้หลักเนื่องจากอยู่ในฤดูทำนา ลูกๆ ส่วนใหญ่ต้องประกอบสัมมาอาชีพของตัวเอง กอรปกับการคมนาคมไม่สะดวกนักเนื่องจากบ้านผู้เขียนอยู่บนเขาไม่มีรถประจำทางรับ - ส่งผู้โดยสาร การเฝ้าไข้พ่อ สองสามคืนแรกเป็นไปอย่างยากลำบากเพราะคุณพ่อไข้ขึ้นบ่อย อีกทั้งท่านไม่ชินกับการนอนโรงบาล บ่นแต่อยากตาย ให้พากลับไปตายที่บ้าน แต่หลังจากนั้นอาการพ่อก็เริ่มดีขึ้นไข้เริ่มลด และดูมีแรงมากขึ้น แต่ก็มิวายเร่งเร้าอยากกลับบ้านอยู่ดี

 

การรักษาดำเนินไปเรื่อยๆ จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม ซึ่งครบรอบการให้ยา หากบวกกับช่วงทดลองยา ดูคุณพ่อมีความหวังที่จะได้กลับบ้าน แต่ความฝันของคุณพ่อก็สลายเมื่อหมอเจ้าของไข้ให้พ่ออยู่ต่ออีกหนึ่งคืนเนื่องจากจะดูอาการ เพราะหากปล่อยกลับบ้านแล้วอาการกำเริบคนไข้อาจดื้อยาได้ คุณพ่อจึงต้องทนอยู่อีกหนึ่งคืน โดยได้ออกจากโรงพยาบาลในช่วงบ่ายของวันที่ 1 สิงหาคม

 

วันที่พ่อกลับบ้านได้รับแจ้งจากทางบ้านว่าน้ำท่วมหนักถนนถูกน้ำท่วมมิดสะพาน รถไม่สามารถสัญจรไปมาได้ เราจึงได้แต่ภาวนาให้น้ำลด จนช่วงบ่ายสี่โมงที่บ้านแจ้งว่าน้ำเริ่มลดแล้วแต่รถยนต์ยังเข้าไม่ได้ นึกในใจว่าก็ยังดีอย่างน้อยให้คุณพ่อขี่หลังแล้วข้ามน้ำไป การพาคุณพ่อกลับบ้านในวันนั้นจึงเป็นไปอย่างทุลักทุเลพอสมควร เพราะต้องให้คุณพ่อขี่หลังพี่ชายลุยน้ำข้ามไปอีกฝั่งก่อนจะนั่งมอเตอร์ไซค์ต่อไปที่บ้านอีกราว 500 เมตร

 

หลังจากส่งคุณพ่อกลับบ้านไม่ถึงสองชั่วโมงทุกอย่างถูกตัดขาดทั้งไฟฟ้า  ถนน  เนื่องจากน้ำที่ท่วมอย่างหนักมาทั้งคืนทั้งวันได้ซัดถนนตรงคอสะพานขาดประมาณ 10 - 15 เมตร เสาไฟฟ้าโค่น 2 ต้น ทุ่งนาริมลำน้ำแม่ทาที่เคยเห็นต้นข้าวที่ปริวไสวไปตามลมรอการเจริญเติบโต และการเก็บเกี่ยวในอีก 2 - 3 เดือนข้างหน้า ได้อันตธานกลายเป็นแม่น้ำหมดแล้ว ไม่เหลือภาพแห่งทุ่งนาไว้แม้เพียงน้อยนิด.. ธรรมชาติช่างไม่ปราณีใครจริง ๆ ทั้งชีวิตคนดีๆที่จากไป ทุ่งนาที่เป็นความหวังของชาวนา... ไม่อยากนึกแทนเจ้าของนาเลยจริงๆ ว่าปีนี้เขาจะเอาข้าวที่ไหนมากิน....

 

แต่กระนั้นการเข้าโรงพยาบาลของพ่อก็ยังมีสิ่งดีๆ ให้รับรู้และชื่นชมอยู่บ้าง นั่นคือ น้ำใจ + ความจริงใจของ คุณหมอ พยาบาล และผู้ช่วยพยาบาล ตลอดไปจนพนักงานทำความสะอาด ณ ตึกผู้ป่วย7/5 (ตึกพิเศษ) ที่ช่วยดูแลคุณพ่อ คอยให้กำลังใจปลอบให้ท่านนอนรักษาตัวจนยาครบ ขอบคุณจริงๆๆ ครับ....

หมายเลขบันทึก: 452671เขียนเมื่อ 6 สิงหาคม 2011 12:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 พฤษภาคม 2012 07:01 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ขอบคุณ นาย อักขณิช ศรีดารัตน์ ครับ ที่มาให้กำลังใจ เป็นไงบ้านครับ แถวบ้านตาด  น้ำท่วมไหมครับ.. เห็นข่าวว่าสันกำแพงน้ำท่วม เป็นกำลังใจให้ครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท