ปีการศึกษา ๒๕๕๓ เป็นปีแรกที่ผมและทีมงานได้ขับเคลื่อนเรื่อง “ธรรมะในสถานศึกษา” อย่างจริงจัง โดยผู้ที่รับมอบภารกิจยุคบุกเบิกไปทำก็คือคุณณัฐภูมินทร์ ภูครองผา
กิจกรรมที่ว่านั้นประกอบด้วยกิจกรรมหลักๆ คือการนิมนต์พระนักเทศน์มาบรรยายธรรมะให้นิสิตฟังเทอมละ 1 ครั้ง และอีกกิจกรรมหนึ่งก็คือ “ค่ายธรรมะในสถานศึกษา” ซึ่งเน้นการนำนิสิตออกไปกินนอนปฏิบัติธรรมนอกสถานที่ ผสมผสานกับการเรียนรู้เรื่องราวแห่งชุมชนไปพร้อมๆ กัน
ถัดมาปีนี้ เรายังคงจัดวางกลยุทธไว้เช่นเคย มีทั้งการบรรยายธรรมะในมหาวิทยาลัยและการนำเอานิสิตออกไปปฏิบัติธรรมนอกสถานที่ โดยการมอบหมายให้คุณเยาวภาฯ เป็นผู้รับช่วงต่อจากคุณณัฐภูมินทร์ฯ
ในปีนี้โดยส่วนตัวแล้วนั้น ผมต้องการเปิดประเด็นให้นิสิตได้ทำความดีเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการทดแทนบุญคุณแผ่นดินเกิด โดยมีกิจกรรมรองรับหลากหลาย อาทิ การพยายามเชื่อมโยงไปสู่กลุ่มนิสิตอื่นๆ อาทิการร่วม“สวดอิติปิโต ๑๐๘” การสวด”สรภัญญะ” บนศาลาวัดใน “วันพระ..วันเจ้า” ร่วมกับชาวบ้านในชุมชนรอบมหาวิทยาลัย...
ด้วยวิธีคิดในกรอบกว้างๆ เช่นนั้น ผมจึงไม่ลังเลที่จะมอบหมายผู้รับผิดชอบให้เชิญชวนผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านต่างๆ มาร่วมฟังเทศน์ด้วยกัน โดยเริ่มต้นง่ายๆ จากการประสานผ่าน “เครือข่ายแกนนำชุมชน” ที่เคยทำงานร่วมกัน ซึ่งถือว่าเข้าถูกช่องเป็นอย่างมาก แกนนำที่ว่านั้นก็สื่อสารรวดเดียวไปยังหมู่บ้านต่างๆ ช่วยให้ข่าวสารเดินทางไปอย่างง่ายดายและรวดเร็ว..
การขับเคลื่อนจากเครือข่ายเช่นนั้น ถือเป็นการหยิบจับ “ทุนทางสังคม” มาใช้ได้อย่างถูกจังหวะ เครือข่ายที่ว่านี้เป็นเครือข่ายที่เกิดจากการทำงานร่วมกันจากเวที “หนึ่งคณะหนึ่งหมู่บ้าน” ซึ่งเรียกได้ว่า “มองตารู้ใจ...ถึงไหนถึงกัน” อะไรๆ ก็ไม่ยุ่งยาก ไม่ยึดติดระบบเสียทั้งหมด เป็นการ “เอาใจนำพาเอาศรัทธานำทาง” เข้าว่าล้วนๆ ดังจะเห็นได้จากในบางหมู่บ้าน เหล่าบรรดาแกนนำขันอาสาจัดหาพาหนะมารับส่งกันเอง โดยไม่เรียกร้องค่าใช้จ่ายใดๆ แม้แต่บาทเดียว ส่วนที่เหลือนั้นเป็นหน้าที่ของเราที่จะจัดหารถราไปรับไปส่ง ...
และที่สำคัญก็คือ ผมตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าในช่วงเข้าพรรษานี้ จะพานิสิตจำนวนหนึ่งออกไป “กินนอนปฏิบัติธรรม” ในวัดแถวๆ รอบมหาวิทยาลัย เป็นการนำพานิสิตออกไปเรียนรู้ชุมชน เสริมแรงใจกันและกัน มีอะไรก็แลกเปลี่ยนกัน เป็นการเติมเต็มพลังชีวิตกันและกันไปในตัว
ครับ, นั่นคือสิ่งที่ผมวาดหวังและเฝ้าหวังว่ามันคงจะเกิดขึ้นได้ในเร็ววันนี้ เพียงแต่ไม่อยากทำตัวถึงขั้น “สั่งการ” ให้เกิดขึ้นด้วยตนเอง แต่อยากให้เจ้าหน้าที่และนิสิตรู้สึก “มีใจ” ที่จะเรียนรู้ในเรื่องราวดังกล่าว เพราะเรื่องราวที่ว่านั้นผมมองว่ามันเป็นกระบวนการที่ทรงพลังในการเรียนรู้อันหลากหลายมิติที่ต้องอาศัยการใช้ “ใจนำพา ศรัทธานำทาง” จริงๆ ไม่ใช่แค่ทำตามนโยบายหรือตัวชี้วัดใดๆ
อีกทั้งการระบุชัดว่าต้องจัดกิจกรรมในอาคารพัฒนานิสิตนั้น ก็เป็นเรื่อง “จงใจ” ล้วนๆ ซึ่งผมมุ่งมั่นที่จะใช้กิจกรรมดังกล่าวประชาสัมพันธ์ให้นิสิตและชาวบ้านได้รู้ว่า “บ้านหลังใหม่” อยู่ตรงนี้ มีปัญหา หรือมีธุระใดๆ จะได้มาติดต่อได้ถูกที่ถูกทางนั่นแหละ
สำหรับครั้งนี้ ทีมงานได้กราบนิมนต์พระอาจารย์สมพงษ์ รัตนวังโส (วัดสร้อยทอง) หนึ่งในคณะธรรมะเดลิเวอรี่ ของพระมหาสมปอง ตาลปุตโต มาเป็นพระวิทยากร เพื่อแสดงธรรมเทศนา ในหัวข้อ “คุณธรรม จริยธรรมในการดำรงชีวิต” โดยมีกรอบแนวคิดหลักๆ ที่สัมพันธ์กับการขับเคลื่อนเรื่อง "คุณธรรมจริยธรรม และอัตลักษณ์" ของนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
และที่ลืมไม่ได้ก็คือ การ “ถอดบทเรียน” หลังกิจกรรมยุติลง ทั้งจากผู้ดำเนินงานและผู้เข้าร่วมงาน เพื่อจัดเก็บเป็น “คลังความรู้” และ “จดหมายเหตุ” ขององค์กร ไปพร้อมๆ กัน
ครับ, ทุกอย่างยังเหมือนอยู่ในระยะเริ่มต้น คล้ายโยนหินถามทางเพื่อค้นหารูปแบบที่เหมาะสมในการที่จะสร้างสรรค์กระบวนการเรียนรู้แบบมีพลังและมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง
ผมไม่เคยลังเลที่จะลงมือทำในสิ่งที่ตนเองคิดและเชื่อ...
แต่ถึงกระนั้น ก็ยังต้องบอกกับตัวเองว่าให้ “รอ” ใครต่อใครด้วยเหมือนกัน
เพราะเมื่อผมพ้นไปจากตำแหน่งและภารกิจเหล่านี้แล้ว มันคือบทพิสูจน์ว่าสิ่งเหล่านี้ว่าจะเข้มแข็ง และเข้มข้นพอที่จะยืนหยัดและเดินทางต่อไปหรือไม่ ?
ครับ, ผมยังต้อง “รอ” ! และ “รอ” ไปอีกสักระยะ
...การ..รอ...คือ ความอดทน..ชนิดหนึ่ง...เมื่อรอได้..เวลา..จะหายไป...(และ..ตรงนั้น..อาจจะเป็น..กำไร"ชีวิต"..ที่กำ..ไว้ไม่ได้)..จึงกลายเป็น นาน เกิน รอ..(เลย..จบด้วยการ..รอไม่ได้..อ้ะะๆๆๆ)....ถ้าหาก คุณ..รอได้..."ยายธี..ขอให้..ดอกไม้และ..กำลังใจเจ้าค่ะ..คุณ แผ่นดิน..ที่รัก..)....กับสิ่งที่คุณกำลังทำๆอยู่..ยายธี..จ้า...
เมื่อวันที่๒๕-๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ที่ผ่านมาได้ไปร่วมเป็นวิทยากร กับทีมดร.วิรัตน์ คำศรีจันทร์ ในงานเวอร์ช็อปเครือข่ายครูนครสวรรค์พัฒนาการเรียนรู้อิงถิ่นฐานอย่างบูรณาการ ณ โรงเรียนหนองบัว อำเภอหนองบัว นครสวรรค์
อาตมาได้ถือโอกาสแนะนำคุณครูกลุ่มหนึ่งที่พื้นเพไม่ใช่คนหนองบัว แต่อยู่หนองบัวมานานแล้ว เกินสิบปี โดยคุณครูเล่าว่ายังไม่ค่อยรู้เรื่องชุมชนเท่าไหร่เลย
เมื่อทราบข้อมูลจากคุณครูมาอย่างนี้ เลยเสนอให้คุณครูลองไปทำดูสักเรื่อง โดยบอกคุณครูไปว่าช่วงนี้เป็นฤดูเข้าพรรษา ในวันพระวันศีลจะมีคนเฒ่าคนแก่ มาทำบุญกันมากมาย และส่วนหนึ่งก็ใช้โอกาสนี้ถือศีลแปด โดยพักค้างคืนเพื่อปฏิบัติธรรมที่วัดหนึ่งคืนด้วย
คนเหล่านี้ เป็นทายกวัด เป็นผู้นำชุมชนมาก่อน เป็นคนเก่าที่รู้เรื่องชุมชนในหลายแง่มุมทั้งด้านสังคมความเป็นมา เรื่องราวเกี่ยวกับผู้คน บริบทชุมชนในยุคเก่า อย่างรอบด้าน
และผู้รู้เหล่านี้ ก็มารวมตัวกันที่วัดในพระ นอนพักค้างคืนด้วย ถ้าคุณครูมีจิตอาสาจะไปพูดคุย สอบถามเรื่องราวแต่หนหลัง จดบันทึก นำมาเผยแพร่ คิดว่าได้ประโยชน์มาก
ถ้านอกพรรษา จะพบท่านเหล่านี้ได้ยากพอสมควร ไปพบท่านได้แต่ใช้เวลามากกว่าจะพบได้ครบถ้วนเหมือนฤดูนี้ เพราะฉะนั้นช่วงนี้ดีที่สุด คนทุกสาขาอาชีพมารวมตัวกัน ทุกเรื่องราวจะมีอยู่ที่นี่ ไปแล้วสามารถเก็บบันทึกข้อมูลความรู้มากมาย
ดีมากเลยที่นำนิสิตออกไปพบปะผู้คนในชุมชน
"... หัวใจร่มรื่น ..." ครับ ;)...
มาร่วมชื่นชมและให้กำลังใจค่ะ เห็นจากภาพแล้วประทับใจค่ะ
*** งดงามตามวิถี...ความสุขหาได้ง่ายๆ
*** “บันเทิง...เริงปัญญา” จริงๆค่ะ
สวัสดีค่ะ
ปลื้ม สนเท่ห๋ ชื่นชมมากๆค่ะ
นานนักที่จะเห็นระดับอุดมศึกษาพาชุมชนเข้าม.
แถมเข้าไปด้วยธรรมะ
น้อยนักที่จะทำ
ดีใจที่ส่งหลานสาวมาเรียนที่นี่
เขาจะได้ซึมซับ กระบวนความดี ติดไปด้วยนอกจากความรู้
ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ
สวัสดีครับ ยายธี
เมื่อการ "รอ" สิ้นสุดลง เราจะรู้เลยว่าผลลัพธ์แห่งการรอนั้น มีทั้งสมหวัง และไม่สมหวัง
แต่สัจธรรมแห่งการรอนั้นย่อมสอนให้เรารู้ว่า "ชีวิต คือ การเรียนรู้" ...(กระมังครับ)
สวัสดีค่ะ
กราบนมัสการ พระคุณเจ้าฯ พระมหาแล อาสโย ขำสุข
ผมเองมีมุมมองคล้ายกันครับ เช่นในยามที่นิสิตไปออกค่ายตามหมู่บ้านต่างๆ ผมมักจะกำหนดเป็นแนวคิดหลักที่ต้องให้นิสิตจัดแบ่งเวรประจำวันในการไปทำบุญตักบาตรที่วัดในทุกๆ เช้า โดยพยายามสร้างแรงจูงใจให้นิสิตชาวค่ายได้รู้ว่าบนศาลาวัดนั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวหลากหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งถือว่าเป็นขุมคลังปัญญาของชุมชนนั้นก็มักไปรวมตัวกันที่นั่น และนั่นก็ยังรวมถึงคนหลากวัยก็ย่อมอยู่บนศาลาวัดเช่นกัน
ประเด็นดังกล่าว เป็นการเปิดพื้นที่ให้นิสิตได้เข้าไปสัมผัสเรื่องราวชุมชนผ่านคนหลากวัยในบนศาลาวัด บางทีในห้วงเช้านั้นอาจสามารถเรียนรู้ครบมิติ "บวร" เลยก็เป็นได้
กราบนมัสการ..
สวัสดีครับ อ.วัส Wasawat Deemarn
คนเหนือ,ชาวภาคเหนือพูดบ่อยๆ ว่า "ใจร่มๆ" ...ฟังแรกๆ ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ทุกวันนี้หลังจากไปเชียงใหม่บ่อยๆ ก็คุ้นชินวัฒนธรรมทางภาษามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ว่าแต่ จะมีโอกาสได้ไป มรภ.เชียงใหม่อีกหรือเปล่านะ !
สวัสดีครับ พี่ นงนาท สนธิสุวรรณ
ถ้าทุกอย่างเป็นไปดั่งที่ตั้งใจ เมื่อนิสิตตบเท้าเข้าหมู่บ้านร่วมสวดมนต์เย็นกับผู้เฒ่าผู้แก่ในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา รวมถึงการถือศีลนอนวัดไปในตัว ก็น่าจะเป็นกระบวนการที่ดีในการเสริมสร้างการเรียนรู้แบบฝังตัว ซึ่งถือเป็น "นวัตกรรม" ได้เหมือนกันกระมังครับ
สวัสดีครับ คุณวศิน ชูมณี
ใช่ครับ โครงการนี้เข้าข่าย "บวม" บ้าน>วัด>มหาวิทยาลัย 55
และที่ชัดชัดอีกประการก็คือ การต่อยอดจากกิจกรรม "หนึ่งคณะ หนึ่งหมู่บ้านนั่นแหละ"
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยม นะครับ