ฟลุ๊คเป็นนักเรียนที่ย้ายมาอยู่เพลินพัฒนาเมื่อต้นปีการศึกษานี้ คุณแม่ของฟลุ๊คเล่าให้ฟังว่า ที่โรงเรียนเดิมฟลุ๊คสอบตกแทบทุกวิชา และมีปัญหาด้านพฤติกรรม ชอบทำสิ่งตรงข้ามกับสิ่งที่ครูบอก เข้ากลุ่มกับเพื่อนที่เกเร ไม่ส่งงาน โวยวายกับแม่ ทำให้คุณแม่ตัดสินใจให้ฟลุ๊คย้ายโรงเรียนเมื่อเรียนจบชั้นประถม ๑
เมื่อมาเรียนที่นี่ในภาคเรียนแรก ในช่วงต้นฟลุ๊คเข้ากับเพื่อนๆ ไม่ค่อยได้ และมีนักเรียนคนหนึ่งมาบอกว่า “เพื่อนว่าฟลุ๊คเป็นคนไร้ค่า ไม่มีตัวตนในห้อง” จึงเรียกฟลุ๊คเข้ามาถาม ฟลุ๊คก็บอกว่า “จริง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำที่เพื่อนว่า เพราะตอนที่อยู่โรงเรียนเก่ายิ่งกว่านี้อีก”
สัปดาห์สุดท้ายของภาคฉันทะเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนจะต้องลงมือทำโครงงาน “ชื่นใจ...ได้เรียนรู้” หรือการประมวลความรู้ที่เรียนมาทั้งหมดตลอดทั้งเทอม แล้วมานำเสนอในรูปแบบของการเผยตน ต่อเพื่อนๆ และคุณครู
ดังนั้น ในสัปดาห์ที่ ๙ หลังจากที่เด็กๆ ได้ประมวลความรู้ทุกวิชามาตลอดสัปดาห์ ครูประจำชั้นก็เริ่มพูดคุยกับเด็กๆ ว่าให้ลองใคร่ครวญดูว่าในภาคเรียนนี้ใครทำอะไรได้ดี เมื่อพูดคุยสร้างแรงบันดาลใจเสร็จแล้วก็สังเกตเห็นว่ามีนักเรียนหลายคนคิดออกแล้ว จึงถามไปรอบๆ วงว่า ใครอยากนำเสนออะไร เด็กๆ ก็เริ่มบอกเรื่องที่ตนเองสนใจออกมา และอยากนำเสนอให้เพื่อนและครูได้รับรู้
ฟลุ๊คซึ่งตั้งใจฟังอยู่ตลอด ก็ยกมือขึ้นถามว่า “ไม่นำเสนอได้ไหมครับ” ครูตอบว่า “ไม่ได้ค่ะ” พร้อมทั้งให้เหตุผลว่า งานนี้เป็นงานที่ทุกคนต้องทำพร้อมทั้งบอกว่า ถ้าตอนนี้ยังคิดไม่ออกก็ไม่เป็นไร ให้กลับไปคิดต่อที่บ้านในช่วงวันหยุดยาว ฟลุ๊คก็ยกมือขึ้นมาแล้วถามอีกครั้งว่า “ถ้า ๔ วันแล้ว ยังคิดไม่ออก ไม่นำเสนอแต่นั่งฟังเฉยๆ ได้ไหมครับ” ครูแคทก็ตอบไปเช่นเดิมว่า “ไม่ได้ค่ะ”
ในช่วงท้ายของการพูดคุย ครูสรุปว่าวันหยุดต้องทำอะไรบ้าง และในสัปดาห์หน้าเด็กๆ จะต้องเตรียมอะไรมาบ้าง ฟลุ๊คยกมือขึ้นถามเป็นครั้งที่ ๓ ว่า“ถ้าคิดไม่ออกจริง ๆ จะนั่งฟังเฉยๆ ได้ไหมครับ” ครูก็ยังยืนยันไปเช่นเดิม พร้อมกับบอกว่า “ถ้าสัปดาห์หน้ายังคิดไม่ออกจริงๆ ให้ฟลุ๊คมาหาครู แล้วเราจะช่วยกันคิดว่าหนูจะนำเสนออะไรดี”
แม้ว่าฟลุ๊คจะแสดงท่าทีออกมาชัดเจนว่าไม่อยากนำเสนอจริง ๆ แต่คำตอบของฟลุ๊คก็ทำให้ครูอดดีใจไม่ได้ว่าการที่ฟลุ๊คยืนยันคำเดิมถึง ๓ ครั้งแสดงให้เห็นว่า ฟลุ๊ครู้จักการประเมินศักยภาพของตนเอง และพยายามหาทางออกให้ตัวเองว่าถ้าไม่มีอะไรจะพูดเขาจะทำอย่างไร
เช้าวันอังคารหลังจากหยุดยาว ๔ วัน คุณแม่ของน้องฟลุ๊ค SMS มาบอกแต่เช้าว่า “น้องเป็นกังวลและเครียดกับการนำเสนอมาก เพราะ กลัวเพื่อนล้อ ขอให้คุณครูช่วยดูแลด้วย”
เมื่อถึงเวลาโฮมรูมจึงเข้าไปคุยกับเด็กๆ ถามถึงเรื่องที่จะนำเสนอและการเตรียมตัวของแต่ละคน และถามว่าใครพร้อม ใครไม่พร้อม และได้คำถามสุดท้ายเพื่อฟลุ๊คก็คือ “มีใครเป็นกังวลอะไรไหมคะ” ตามความคาดหมาย ฟลุ๊คยกมือขึ้นพร้อมกับบอกครูว่า “หนูไม่กล้านำเสนอ หนูอาย” ครูแคทจึงให้เพื่อนๆ ช่วยกันบอกว่าทำอย่างไรจึงไม่อาย เพื่อนๆ ต่างยกมือบอกเคล็ดลับของตัวเองให้กับฟลุ๊ค บรรยากาศตอนนั้นผ่อนคลาย ครูสัมผัสได้ว่าทุกคนมีใจอยากจะช่วยฟลุ๊คอย่างจริงใจ ทำให้ฟลุ๊คคลายกังวลลงไปได้
วันอังคารเด็กๆ ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเพิ่มเติมเพราะมีสอบหลายวิชา ดังนั้นจึงมีเวลาเตรียมตัวเพียงวันเดียวก่อนการนำเสนอในวันพฤหัสบดี
เช้าวันพุธเด็กซักซ้อมตามที่เตรียมมาคนละ ๑ รอบ ในขณะที่กำลังดูเตรียมงานครูแคทเกิดความคิดขึ้นมาว่าอยากจะมีพิธีกรเป็นคนคอยจัดคิวในการนำเสนอ จึงชวนเด็กๆ คุยว่าใครจะช่วยครูได้บ้าง คุณสมบัติของพิธีกรมี ๔ ข้อ คือ
และบอกเด็กๆ ไปว่า “แม้ว่าครูจะต้องการคนที่มีคุณสมบัติดังนี้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมีครบทุกข้อก็ได้ แต่ต้องพร้อมที่จะฝึกฝน”
มีนักเรียนที่ยกมือเสนอชื่อตัวเอง ๖ คน หนึ่งในนั้นมีฟลุ๊ครวมอยู่ด้วย เมื่อมีผู้ที่เสนอชื่อตนเองเกินกว่าที่ต้องการจึงถึงเวลาที่เพื่อนๆ ต้องมาช่วยกันตัดสิน และเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจที่เพื่อนๆ เลือกฟลุ๊ค มติครั้งนี้เท่ากับเป็นการลบสิ่งที่อยู่ในใจเพื่อนๆ ออกไปว่าไม่มีใครยอมรับฟลุ๊ค
ตอนพักเที่ยงฟลุ๊คเดินเข้ามาบอกว่า “ครูแคทรู้ไหมว่าหนูจะใช้วิธีไหน” (หมายถึงวิธีที่จะไม่ให้อาย) ครูแคทย้อนถามไปว่า “นั่นสิคะ ครูก็อยากรู้อยู่พอดีว่า หนูจะใช้วิธีไหน” ฟลุ๊ค ตอบว่า “หนูคิดว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่เลย” ครูแคทก็บอกฟลุ๊คไปว่า “ใช้ได้ผลดีด้วยนะ” แล้วฟลุ๊คก็บอกอีกว่า “ครูแคท ถ้าหนูจะเปลี่ยนตัวกับมัทได้ไหม” ครูแคทตอบว่า “ครูเชื่อว่าหนูทำได้ และเพื่อนๆ เลือกหนูแล้ว”
บ่ายวันนั้นการซ้อมของเด็กๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย พิธีกรทั้ง ๒ คนที่เพื่อนเลือกก็ทำหน้าที่ได้ดีเกินความคาดหมาย
เมื่อวันจริงมาถึง ฟลุ๊คก็ทำหน้าที่พิธีกรได้ดี ไม่มีท่าทีเขินอายเลย การพูดคุยและการให้โอกาสของเพื่อนๆ ช่วยให้เขาได้ข้ามผ่านความกลัวของตัวเองไปได้ ในเวลาเพียงไม่ถึงสัปดาห์ฟลุ๊คก็ได้ “เผยตน” ออกมาในมุมที่พาให้ทุกคนได้ชื่นใจ...
นี่คือตัวอย่างที่สุดยอด ของการจัดให้เกิดการเรียนรู้แบบ transformative learning
วิจารณ์
ขอบพระคุณมากค่ะอาจารย์
ครูแคท
...หากว่า มีเด็กคนนึงที่ไม่เหมือนน้องฟลุ๊ค คือ ไม่กล้าแม้จะบอกความกังวลของตนเอง จนกระทั่งถึงเวลาที่ต้องนำเสนอและทำไม่ได้ ... ในกรณีเช่นนี้คุณครูแคทฯ มีวิธีที่จะทราบได้ในระหว่างทาง หรือ จะทราบพร้อมกันกับทุกคนเมื่อเค้านำเสนอไม่ได้ค่ะ
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีค่ะคุณแม่ลูก2
ขอตอบคำถามนี้ด้วยคนนะคะ... การที่เด็กที่ไม่กล้าจะบอกความกังวลของตนเองออกมา ไม่ได้จำกัดความไม่กล้าเอาไว้กับการนำเสนอเท่านั้นนะคะ แต่ยังไม่กล้า หรือไม่รู้จักความรู้สึกของตัวเองในเรื่องอื่นๆ ด้วย
หากว่าอยากจะรู้จักเขาเป็นอย่างไรให้ลองสังเกตว่าเขาสามารถที่จะเปิดเผย หรือแสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาอย่างอิสระได้ไหม ในครั้งแรกๆ เขาอาจจะต้องการคำถามจากผู้ใหญ่ว่าเขารู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้ เหตุการณ์นี้ เพื่อให้เขาหลั่งไหลความรู้สึกที่อยู่ในใจของเขาออกมา
แต่ผู้ใหญ่ต้องพร้อมรับฟังความรู้สึกของเขาแบบที่มีใจเปิดกว้าง และไม่ตัดสินถูกผิด เพื่อเขาจะได้กล้าพูดในสิ่งที่คิด และรู้สึกออกมา ดังเช่นบรรยากาศในห้องครูแคทวันนั้น ที่ช่วยให้เด็กทุกคนพร้อมจะสื่อสารออกมาจากใจ และในขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะรับฟังผู้อื่น
การทำ "โครงงานชื่นใจ...ได้เรียนรู้" เป็นพื้นที่ของการการประมวลความรู้ และความรู้สึกของผู้เรียนอย่างเข้มข้น และเป็นเหมือนยอดของภูเขาน้ำแข็งที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมา ที่ต้องต่อยอดจากฐานที่สร้างมาก่อนหน้านี้อีกมากมายค่ะ
ขอบคุณสำหรับคำถามดีๆ นะคะ :)
สวัสดีค่ะคุณแม่ลูก2
ขอบคุณสำหรับคำถามนะคะ ขอเพิ่มเติมจากที่ครูใหม่ตอบไปแล้วนะคะ
กรณีที่มักจะพบบ่อย คือเด็กไม่รู้สึกปลอดภัยมากพอที่จะบอกความรู้สึกที่แท้จริง
ดังนั้นการสร้างสภาวะนั้นให้เกิดขึ้นในชั้นเรียนจึงเป็นหน้าที่ของครู ซึ่งต้องสร้างกันตั้งแต่แรกเจอเลยทีเดียว
ส่วนการนำเสนอในรูปแบบโครงงานชื่นใจนี้ ครูที่ดูแลจะสามารถสังเกตเห็นเด็กได้ก่อน
ตั้งแต่ขั้นตอนการพูดคุย ไปจนถึงการซ้อม แต่ก็มีบ้างที่เด็กบางคนทำได้ดีมาตลอด
แต่เมื่อถึงวันจริงกลับทำไม่ได้ ซึ่งในกรณีนี้ก็ต้องอาศัยกำลังใจและการให้อภัยจากผู้ใหญ่
ไม่ซำ้เติม เพราะลึกๆแล้วทุกคนอยากประสบความสำเร็จทั้งน้้นไม่เว้นแม้แต่เด็ก
"เด็กไม่กลัวที่จะพูด แต่เด็กกลัวว่าพูดแล้วจะไม่มีคนฟังค่ะ"
ขอบคุณอีกครั้งนะคะคุณแม่
ครูแคท
...จริง ๆ แล้ว มีที่มาแห่งคำถามนะคะ (แต่ดูจะเป็นเรื่องส่วนตนเกินไป)
ขอบคุณมาก ๆ ค่ะสำหรับคำตอบ ที่สะท้อนให้เห็นการพยายามสร้างสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ของคุณครู
ซึ่งตรงกับทฤษฏีในตำราเลี้ยงดูเด็กหลายเล่ม "..สภาพแวดล้อมมีส่วนที่เหนือกว่ากรรมพันธุ์..."
คงต้องใช้พลัง 2 ด้านทั้งที่บ้านและ รร. ในการร่วมสร้าง ... ติดตามต่อไปค่ะ