สู้รบกับความดันโลหิตสูง.....มาได้สิบกว่าปีแล้ว แต่อยู่ในสภาวะควบคุมอาหาร หมอยังไม่สั่งยาให้ทาน พยายามหาทางลดความดันโลหิตสูงที่แตะเพดานที่ 140-146 ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทั้งควบคุมอาหาร หวาน มัน เค็ม ออกกำลังกายทั้งปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิก พักผ่อนเฉลี่ยวันละ 8-10 ชั่วโมง แต่ไม่สามารถพิชิตความดันให้ลดลงได้กว่านี้ บางช่วงเผลอ ๆ กลับสูงขึ้นเสียอีก
เมื่อปีที่แล้ว มีเรื่องทุกข์ใจ เบื่อหน่าย ทำให้หันหน้าเข้าวัด ไปบ่อย ๆ เข้าชักมีความรู้สึกผูกพัน วันไหนไม่ได้ไปเหมือนกับภาระกิจวันนั้นไม่เรียบร้อย วัดที่ผู้เขียนไปคือ วัดป่าบ้านจิก จ.อุดรธานี
....จากการนั่งเฉย ๆ รอพระบิณฑบาตรกลับมาวัด เพื่อรอใส่บาตร รับพร กรวดน้ำ
......เผอิญวันหนึ่ง.....ไปถึงศาลาวัดเช้าไปหน่อย รอพระกลับจากบิณฑบาตรนานไปนิด นั่งว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ
......แรกเริ่ม ผู้เขียนเริ่มจาก หลับตา นั่งนิ่ง ๆ .....แต่ใจยังวอกแว่ก ฟุ้งซ่าน เสียใจกับอดีต ทุกข์ใจกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึง กังวลไปเสียทุกเรื่อง เดือดร้อนไปกับทุกสิ่งที่ได้เห็นได้ยิน..... มีคนมาเตรียมสำรับอาหารเพื่อรอถวายพระ ใกล้ ๆ ที่เรานั่ง เสียงทัพพีกระทบจาน เราก็รำคาญ เสียงคนด้านหลังคุยกันจ๊อกแจ๊กตลอดเวลา .......เราก็หงุดหงิด นึกไม่พอใจและโทษคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ....โดยที่ไม่เคยนึกจะหันมาจัดการกับอารมณ์ของตนเองสักที
......เริ่มกำหนดจิตตนเอง ให้อยู่กับลมหายใจเข้าออก พยายามสูดลมหายใจเข้าปอดไว้ลึก ๆ ทีแรกได้แค่ระหว่างทรวงอก ......จากครั้งแรกที่นั่งได้สัก 3 นาที รู้สึกทรมานและลุกลนอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวรำคาญคนรอบข้าง ทั้ง ๆ ที่เราหลับตา มองไม่เห็นเขา แต่ใจเรายังไปปรุงแต่ง จินตนาการวาดภาพว่า เขากำลังทำโน่น ทำนี่ ตามที่หูได้ยิน ไปหมกมุ่นอยู่กับการกระทำของคนรอบข้าง ประเดี๋ยวรู้สึกมีอาการเหน็บชาที่ขา ปวดเอวบ้าง
...... พอนั่งได้สักอาทิตย์ เริ่มใช้เวลานานขึ้นเป็น 5-7 นาที แต่อาการรำคาญคนรอบข้างยังมีอยู่
......ผ่านไปเกือบสองปี ผู้เขียนสามารถนั่งสมาธิได้คราวละ 20-40 นาที หูยังได้ยินเสียงรอบข้างเหมือนเดิม แต่ไม่รำคาญเหมือนเมื่อก่อน อาการปวดที่เอวไม่มี คงเป็นเพราะเราเริ่มเรียนรู้ว่าถ้าเรานั่งหลังตรง จะไม่ปวดเอวและลมหายใจที่เราสูดเข้าไปสามารถผ่านเข้าสู่ท้องได้สะดวก ทำให้เราหายใจได้ลึก ๆ และสะกดกลั่นลมหายใจไว้ในท้องได้นานขึ้น ส่วนอาการเหน็บชาที่ปลายเท้า ยังมีบ้าง.....หลวงปู่มั่นเคยสอนไว้ว่า ให้กำหนดจิตไปตรงที่ปวดและท่องว่า "ปวดหนอ ๆๆๆ" สักพักอาการเหน็บชาจะหายไปเองตามธรรมชาติ
......ปัจจุบันความดันโลหิตสูงจาก 140 ลดลงเหลือที่ประมาณ 118-125 โดยที่การใช้ชีวิตยังเหมือนเมื่อก่อน แต่ที่เปลี่ยนไปคือ กินข้าวก้นบาตรตอนเช้าเกือบทุกวัน และผลพลอยได้ที่ผู้เขียนเองไม่เคยสังเกตตัวเองมาก่อนคือ เพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอหน้ากันนาน ๆ มักมาทักว่า ไปทำอะไรมาหน้าตาถึงสดใส ดูอิ่มเอิบ ไม่หมองคล้ำ....ผู้เขียนได้แต่ยิ้มรับตอบเบา ๆ ไปว่า "นั่งสมาธิ"
.......ทุกวันนี้ มุมมองเปลี่ยนไป เวลาประสบปัญหาหรือเคราะห์กรรม จากเมื่อก่อนจะฟุ่มฟาย โทษตัวเอง โทษโชคชะตา วาสนา แต่เดี๋ยวนี้ทำให้ได้คิดว่า ชีวิตคนเรามีขึ้นมีลง ที่เป็นอยู่อย่างนี้เพราะกรรมเก่า ประเดี๋ยวมันก็จะดีขี้น ทำให้มีกำลังใจว่า ชีวิตเราทุกวันนี้ยังดีกว่าเมื่อก่อนตั้งเยอะ
เมื่อมีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน ทำให้ได้คิดว่า
"เราแค่เจ็บป่วย ยังโชคดีที่ไม่พิการ"
จากที่คิดว่า ตนเองไม่มีอะไร ไม่รู้จักพอ อยากได้โน่น ได้นี่ตลอดเวลา แต่เดี๋ยวนี้กลับมองว่า
"ชีวิตทุกวันนี้......มีแต่กำไร"
just wanted to say hi and i miss you.
Hello Mr.Dave
Thank you my close friend. You can translation for know about my write
ฝาก อ่านแล้วดีมากเลย มาให้อ่านก่อน
ว่างๆจะเข้ามาเขียนเรื่องตาแป๊ะแก่ๆคนหนึ่งต่อครับ
...ขอชื่นชมค่ะ...ชีวิตนี้...มีแต่กำไรแล้วจริงๆ