จุดประกายบุญ


จุดประกายบุญ

   จะกล่าวอย่างไรดีก็เลยจะให้รู้ว่าเราเองนั้นมีหน้าที่อย่างหนึ่งภายในวัดนั้นคืองานศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ก็เป็นกันตั้งแต่ ผ.อ.ยันภารโรง กันเลยหาคนจะมาช่วยก็ยาก มาแบบมีความเข้าใจก็ยาก เพราะว่าคนที่หลงผิดเหล่านี้ชอบทำตัวยากๆ

   ก็เริ่มดำเนินการฟื้นฟูฯกันมาตั้งแต่ปี 2550 ประมาณเดือนสิงหาคม ตอนนั้นมีอายุพรรษาแค่ 2 เองแถมอายุก็ 25 เรียกว่าไม่ต่างกันกับสมาชิกฟื้นฟูเลย ก็ทำมาจนวันนี้ก็ผ่านกันไปแล้ว 280 กว่าคน ซึ่งวิธีการทำงานก็ไม่ยากท่านหลวงปู่ให้แนวทางมาง่ายๆ "ไป นำเขา" ,"ให้โอกาสเขา","เมตตาเขา","ให้มีศีล","ให้รู้ทุกข์","ให้รู้บุญ-บาป","กตัญญูรู้คุณ" จริงๆท่านพูดแค่คำแรกแหละแต่ที่เหลือท่านค่อยมาสอนกันทีหลังตามแต่โอกาสและวิธีการ

   ซึ่งจากชื่อเรื่องเลย จุดประกายบุญ ไม่ใช่อะไรหรอกนะคือเมื่อมีสมาชิกมาใหม่แถบทุกรุ่นก็เริ่มต้นไม่ต่างแถบจะเหมือนกันในแทบทุกสิ่งแต่อาจจะต่างกันบ้างที่ลักษณะเฉพาะตัวแต่ละคนซึ่งรุ่นนี้ก็เป็นรุ่นที่ 20 แล้ว และก็ทำด้วยงบประมาณส่วนตัว บริจาคจากพี่ๆที่เป็นสายธารบุญต่างแต่ส่วนมากจะเป็น พ'ปุ๋ม แนะนำในส่วนหนึ่ง และส่วนที่สำคัญในการดำเนินการที่ไม่มีงบคืออาหารบิณฑบาตรจากชาวบ้านที่เริ่มเห็นความสำคัญของคนเหล่านี้ว่าเป็นลูกหลานที่หลงผิด

  ก็เริ่มกันที่สมาชิกหกคนนี้มากันคนละทางเลยแต่ต้องมาอยู่ร่วมกันในสถานที่เขาเองก็ไม่อยากอยู่แน่นอนกับการทำกิจกรรมแรกๆต้องเป็นงงๆ เบลอๆได้บ่นกันบ่อยยิ่งมาทำกับพระสายป่า ละเอียดมากขนาดชาวบ้านบางทียังทำไม่ถูก พวกเข้าวัดแบบผิวเผินไม่ต้องพูดถึงไม่รู้แน่ กิจกรรมเช้า-เย็นก็งงกันแทบแย่ ยกตัวอย่างถวายอาหารพระการถวายอาหารที่ถูกคือ ยกภาชนะสองมือ สูงประมาณแมวรอดได้ ห่างไม่เกินหนึ่งศอก ถวายของแล้วยกมือไหว้ ถ้าเป็นผักผลไม้ที่ปลูกติดต้องทำให้สมควรคือกัปปิยะ

   นี่แหละครับยังไม่ไปใหนเลย บางทีใหม่ขาดสติในการฟังและสังเกตุก็ส่งมือเดียวบ้าง ไม่ยกบ้างดันของเอาบ้าง อยู่ไกลบ้าง ถวายของแล้วไม่ยกมือไหว้บ้าง แค่นี้เวลาเขาไม่ตั้งใจเราก็ต้องสอนสิครับตอนทำเลยแต่บังเอิญเราเป็นคนเสียงดังและเสียงแข็งก็เลยกลายเป็นดุยิ่งมาใหม่ขาดสติผิดกันไปใหญ่ ยิ่งถ้าเป็นผัก ผลไม้ที่ปลูกติดเราจะสอนแต่วันแรกเสมอให้ทำยังงัยถ้าพระถาม กัปปิยัง กะโรหิ ให้เราตอบกัปปิยัง ภัณเตพร้อมเด็ดผักผลไม้นั้นให้ขาดออกจากกัน บางพระถามก็ตอบตามพระ หรือไม่ก็นั่งงงกันไปนาน ไอ้เราสิเป็นคนไวเห็นไวบอกไว บางคนขาดสติงงไปเลยก็มียิ่งเป็นศาลาฉันรวมมีชาวบ้านมากๆยิ่งตื่นเต้น

   วิธิการทั้งหมดนี้บอกเลยว่าคนเข้าวัดแต่ไม่ถึงวัดไม่กล้าเข้าหาพระแล้วปฏิบัติพระไม่เป็นแน่แล้วยิ่งทุกวันนี้พระเองก็มักง่าย เช่นเขาดันถาดอาหารให้แต่ไม่ยอมยกสูงแมวรอดได้ก็จับเลยไม่เป็นไรหรอกเขาส่งแล้ว คนเลยไม่รู้วิธิที่ถูกต้องแต่ไม่เราไม่รับเลยไม่ได้ฉันก็ไม่ฉันวะถ้าไม่ยกให้ ขนาดปัจจัยบางทีไปเป็นวิทยากรบรรยายเสร็จยังเดินหนีเลยจนเขาต้องวิ่งตามมาให้เราไอ้เราเองก็ไม่จับปัจจัยยังจะมาส่งให้เราอีกคงคุ้นชินกับพระอีกนิกายบางทีทิ้งเลยให้เขาเอาไปให้คนขับรถ

  การทำงานตอนกิจกรรมกลางวันยิ่งไม่ต้องพูดถึงเราเองเป็นคนประมาณว่าทำเป็นทำไม่ค่อยสนใจความลำบากแถมทำเป็นหลายอย่างตามที่โยมพ่อสอนมาอีก

   พวกสมาชิกมาใหม่ๆแน่นอนไม่อยากทำอะไรแน่ๆอยู่บ้านก็ไม่เคยทำอะไรลืมบอกไปว่าสมาชิกที่มาอยู่โดยมาจะอายุ 15 - 25 ปีประมาณ70 เปอเซ็นต์ มีแต่แบ มือกับขี่มอเตอไซค์แน่นอนมาอยู่กับเราก็ไม่ได้สิครับทำมันต้องทำอย่างเดียวไม่เคยตื่นแต่เช้าก็ต้องตื่นแต่เช้าแรกๆแทบต้องปลุกกันทุกวันแต่วันหลังๆดีครับปรับตัวได้

   แรกๆก็เลยต้องมาทำความเข้าใจกันไห้ได้ ว่ามันเป็นอะไรบ้าง ทำอะไรเพื่ออะไร ยกตัวอย่างเช่นอยู่วันกินข้าวบุญข้าวทานก็ต้องสร้างประโยชน์ตอบแทนและอีกหลายเรื่องยาวมากถ้าจะให้เล่าหมดแต่จะยกหัวเรื่องไว้ก่อนถ้ามีโอกาสจะมาเล่าให้ฟัง

  ก็เป็นเรื่อง ศีล ,กรรม ,กุศล ,อกุศล ,หน้าที่,ความเมตตาของหลวงปู่ ,โอกาสของชีวิตที่ต้องไขว่ขว้า นี่เป็นเรื่องในเบื้องต้นเลยที่ต้องทำความเข้าใจกันยิ่งแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันเราก็ต้องศึกษาทีละคนแล้วป้อนข้อมูลที่ถูกให้เขาเข้าใจในความดีตรงนี้เหนื่อยมากและต้องทำเองด้วยเพราะเป็นส่วนที่ยากที่สุดถ้าปูพื้นตรงนี้ไว้ได้ดีต่อไปก็ง่าย

  ซึ่งตอนนี้มีสมาชิก 6 ราย แบ่งเป็น 2 ห้อง 3 คู่บัดดี้ ตอนนี้ก็ผ่านกันมาประมาณหนึ่งสัปดาห์ก็เริ่มดูดีขึ้นแต่ก็ยังไม่เท่าไร จะแนะนำให้รู้จักกันบ้างเผื่อมาเล่าเรื่องต่อไปจะได้เข้าใจ

  คู่แรก กล้า กับ แบ็ค ซึ่งกล้านี่เป็นผู้ใหญ่หน่อยมีลูกแล้วดูเหมือนจะเป็นผู้นำน้องๆนะแต่มองลึกๆแล้วมีความเจ้าเล่ห์และคิแต่ประโยชน์ตนก็คงต้องสอนกันต่อไป ส่วนแบ็คก็เป็นเด็กอายุสิบกว่าปีก็ประมาณว่าทำไรก็ทำแต่ก็ยังช้าอยู่

  คู่ที่สอง แล็ค กับ กอล์ฟ คู่นี้อายะไล่เลี้ยกันสิบปลายกับยี่สิบต้นๆ แล็คนี้เป็นคนเงียบไม่ค่อยพูดแต่ให้ทำก็ทำได้ขาดความกล้าแสดงออกแต่ยังมีใจส่วนความดีอยู่ กอล์ฟบอกเลยแทบจะเป็นเจ้าปรัชญาพูดดีความคิดดีแต่ยังแสดงการกระทำไม่สำเร็จก็คอยดูกันต่อไป

  คู่ที่สาม โฮ้ ซังกับมะ ซังนั้นอายะน้อยสุด สิบเจ็ดปี มะ อายะมากสุดสามสิบต้นๆ ดูตามอายุน่าจะประคองกันได้แต่เอาเข้าจริง แย่ช้าทั้งคู่ขาดสติทั้งคู่ ซังนี่คงเป็นประมาณว่าก็กูไม่เคยทำอะไรเลยอยู่บ้านก็ไม่เคยทำอะไรเลยดูช้าขาดสติไม่รอบคอบขาดการสอนให้รูจักทำในสิ่งดี ส่วนมะอายุมากแต่ก็ตาม ภูมิที่เขามีอาจเป็นคนอย่างนี้มาแต่เกิดก็ได้ช้าจนซื่อแถมบื้ออีก

  ก็เป็นกันอย่างนี้และนะตอนนี้ก็พยายามปรับกันอยู่ให้เข้าใจกันมากที่ยิ่งตอนนี้เราเองก็ไม่สบายเท่าไรก็พยายามทั้งทำงานและรักษาตนเองให้เป็นปกติให้มากที่สุดจะได้ทำงานในการนำสมาชิกเหล่านี้ให้ สามารถปลูกฝังความดีลงไปในใจ เขาให้ได้มากที่สุดก็แล้วแต่สายธารบุญของเขาด้วยว่าจะรับมันได้แค่ใหน คงจะแค่นี้แหละยาวมากแล้ว เดี๋ยวมาเล่าใหม่ตอนแรกๆอาจไม่ค่อยสนุกเท่าไรแต่เดี๋ยวมีเรื่องสนุกๆแน่รออ่านก็แล้วกันวีระกรรมเยอะแน่นอนเด็กพวกนี้

หมายเลขบันทึก: 449626เขียนเมื่อ 17 กรกฎาคม 2011 23:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:49 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท