หน้าที่ของพุทธบริษัท ๔
สิ่งที่ใกล้ตัวเราบางครั้งคนเรามักจะมองไม่เห็นหรือให้ความสำคัญต่อสิ่งนั้นน้อยจนละเลยไป เช่น ลมหายใจที่เราหายใจเข้าออกเป็นปกติประจำวัน เช่นเดียวกับการเป็นชาวพุทธหรือเรียกชื่อเต็มคือ พุทธศาสนิกชน เราก็มักละเลยการทำหน้าที่ของความเป็นชาวพุทธไปอย่างน่าเสียดาย การเป็นชาวพุทธไม่ใช่เป็นเรื่องที่เป็นการง่ายเพราะบางคนเป็นชาวพุทธเพียงในสำมะโนประชากรที่ระบุว่าศาสนาที่ตนนับถือชื่อว่าศาสนาอะไร แต่ความเป็นชาวพุทธที่ถูกต้องตรงตามหน้าที่เป็นเช่นไรเป็นเรื่องที่ดูเหมือนว่าง่ายแต่ทำได้ยากยิ่ง นักบรรยายที่ดีหรือผู้ที่จะเดินทางไปสังเวชนียสถานด้วยตนเองไม่ว่าจะเป็นบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ ควรปลูกหน้าที่หลักของตนเองให้ถูกต้องสมบูรณ์เสียก่อน ซึ่งหน้าที่ดังกล่าวเป็นความหวังและความตั้งใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หน้าที่ที่ว่าคือหน้าที่ของพุทธบริษัทนั่นเอง หน้าที่ของพุทธบริษัท ๔ ประกอบด้วย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสกนั้น พระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณฯพระอาจารย์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้แสดงเนื้อความไว้อย่างพิสดารและเข้าใจได้ง่ายดังนี้ หน้าที่ของพุทธบริษัท ๔ กล่าวถึงหน้าที่ของคนสืบศาสนาที่เกี่ยวข้องกับพุทธบริษัท ๔ ดังนี้
๑. หน้าที่ของภิกษุ (รวมถึงภิกษุณีด้วย) ภิกษุ ซึ่งเป็นบรรพชิตในพระพุทธศาสนา มีหน้าที่ศึกษาปฏิบัติธรรม เผยแผ่คำสอน สืบต่อพระพุทธศาสนา มีคุณธรรมและหลักความประพฤติที่ต้องปฏิบัติมากมาย แต่ในที่นี้จะแสดงไว้เฉพาะหน้าที่ที่สัมพันธ์กับคฤหัสถ์ และข้อเตือนใจในทางความประพฤติปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
ก. อนุเคราะห์ชาวบ้าน ภิกษุ (รวมภิกษุณี) อนุเคราะห์คฤหัสถ์ตามหลัก
ปฏิบัติในฐานะที่ตนเป็นเสมือน ทิศเบื้องบน ดังนี้
๑. ห้ามปรามสอนให้เว้นจากความชั่ว
๒. แนะนำสั่งสอนให้ตั้งอยู่ในความดี
๓. อนุเคราะห์ด้วยความปรารถนาดี
๔. ให้ได้ฟังได้รู้สิ่งที่ยังไม่เคยรู้ไม่เคยฟัง
๕. ชี้แจงอธิบายทำสิ่งที่เคยฟังแล้วให้เข้าใจแจ่มแจ้ง
๖. บอกทางสวรรค์ สอนวิธีดำเนินชีวิตให้ประสบความสุขความเจริญ
ข. หมั่นพิจารณาตนเอง คือ พิจารณาเตือนใจตนเองอยู่เสมอตามหลักปัพชิตอภิณหปัจจเวกขณ์ (ธรรมที่บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ) ๑๐ ประการ ดังนี้
๑. เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์ สลัดแล้วซึ่งฐานะ ควรเป็นอยู่ง่าย จะจู้จี้ถือตัวเอาแต่ใจตนไม่ได้ความเป็นอยู่ของเราเนื่องด้วยผู้อื่น ต้องอาศัยเขาเลี้ยงชีพ ควรทำตัวให้เขาเลี้ยงง่าย และบริโภคปัจจัย ๔ โดยพิจารณา ไม่บริโภคด้วยตัณหา
๒. เรามีอากัปกิริยาที่พึงทำต่างจากคฤหัสถ์ อาการกิริยาใด ๆ ของสมณะ เราต้องทำอาการกิริยานั้น ๆ และยังจะต้องปรับปรุงตนให้ดียิ่งขึ้นไปกว่านี้
๓. ตัวเราเองยังติเตียนตัวเราเองโดยศีลไม่ได้อยู่หรือไม่
๔. เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ผู้เป็นวิญญูชน พิจารณาแล้ว ยังติเตียนเราโดยศีลไม่ได้อยู่หรือไม่
๕. เราจักต้องถึงความพลัดพรากจากของรักของชอบใจไปทั้งสิ้น
๖. เรามีกรรมเป็นของตน เราทำกรรมใด ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม จักต้องเป็นทายาทของกรรมนั้น
๗. วันคืนล่วงไป ๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่
๘. เรายินดีในที่สงัดอยู่หรือไม่
๙. คุณวิเศษยิ่งกว่ามนุษย์สามัญที่เราบรรลุแล้วมีอยู่หรือไม่
ที่จะให้เราเป็นผู้ไม่เก้อเขิน เมื่อถูกเพื่อนบรรพชิตถาม
ในกาลภายหลัง
๒. หน้าที่ของ อุบาสก
อุบาสิกา พุทธศาสนิกชน
มีหลักปฏิบัติที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง
ตนกับพระพุทธศาสนา ดังนี้
ก. เกื้อกูลพระ โดยปฏิบัติต่อพระภิกษุ เสมือนเป็น ทิศเบื้องบน ดังนี้
๑. จะทำสิ่งใด ก็ทำด้วยเมตตา
๒. จะพูดสิ่งใด ก็พูดด้วยเมตตา
๓. จะคิดสิ่งใด ก็คิดด้วยเมตตา
๔. ต้อนรับด้วยความเต็มใจ
๕. อุปถัมภ์ด้วยปัจจัย ๔
ข. กระทำบุญ คือ ทำความดีด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ ๓
อย่าง คือ
๑. ทานมัย ทำบุญด้วยการให้ปันทรัพย์สิ่งของ
๒. สีลมัย ทำบุญด้วยการรักษาศีล หรือประพฤติดีปฏิบัติชอบ
๓. ภาวนามัย ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา คือ ฝึกอบรมจิตใจให้เจริญด้วยสมาธิ และปัญญาและควรเจาะจงทำบุญบางอย่างที่เป็นส่วนรายละเอียดเพิ่มขึ้นอีก ๗ ข้อ รวมเป็น ๑๐ อย่าง
๔. อปจายนมัย ทำบุญด้วยการประพฤติสุภาพอ่อนน้อม
๕. ไวยาวัจมัย ทำบุญด้วยการช่วยขวนขวายรับใช้ ให้บริการ บำเพ็ญประโยชน์
๖. ปัตติทานมัย ทำบุญด้วยการให้ผู้อื่นมีส่วนร่วมในการทำความดี
๗. ปัตตานุโมทนามัย ทำบุญด้วยการพลอยยินดีในการทำความดีของผู้อื่น
๘. ธัมมัสสวนมัย ทำบุญด้วยการฟังธรรม ศึกษาหาความรู้ที่ปราศจากโทษ
๙. ธัมมเทสนามัย ทำบุญด้วยการสั่งสอนธรรมให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์
๑๐. ทิฏฐุชุกรรม ทำบุญด้วยการทำความเห็นให้ถูกต้อง รู้จักมองสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงให้เป็นสัมมาทิฏฐิ
ค. คุ้นพระศาสนา ถ้าจะปฏิบัติให้เคร่งครัดยิ่งขึ้น ถึงขั้นเป็นอุบาสก อุบาสิกา
คือ ผู้ใกล้ชนิดพระศาสนาอย่างแท้จริง ควรตั้งตนอยู่ในธรรมที่เป็นไปเพื่อความเจริญของอุบาสก เรียนกว่า อุบาสกธรรม ๗ ประการ คือ
๑.ไม่ขาดการเยี่ยมเยือนพบปะพระภิกษุ
๒.ไม่ละเลยการฟังธรรม
๓. ศึกษาในอธิศีล คือ
ฝึกอบรมตนให้ก้าวหน้าในการปฏิบัติรักษาศีลขั้นสูงขึ้นไป
๔. พรั่งพร้อมด้วยความเลื่อมใส ในพระภิกษุทั้งหลาย ทั้งที่เป็น เถระ
นวกะ และปูนกลาง
๕. ฟังธรรมโดยมิใช่จะตั้งใจคอยจ้องจับผิดหาช่องที่จะติเตียน
๖. ไม่แสวงหาทักขิไณยภายนอกหลักคำสอนนี้ คือ
ไม่แสวงหาเขตบุญนอกหลักพระพุทธศาสนา
๗. กระทำความสนับสนุนในพระศาสนานี้เป็นที่ต้น คือ
เอาใจใส่ทำนุบำรุงและช่วยกิจการพระพุทธศาสนา
ง. เป็นอุบาสกอุบาสิกาชั้นนำ อุบาสก อุบาสิกาที่ดี มีคุณสมบัติ เรียกว่า อุบาสกธรรม ๕ ประการ คือ
๑. มีศรัทธา เชื่อมีเหตุผล มั่นในคุณพระรัตนตรัย
๒. มีศีล อย่างน้อยดำรงตนได้ในศีล ๕
๓. ไม่ถือมงคลตื่นข่าว เชื่อกรรม ไม่เชื่อมงคล มุ่งหวังจากการกระทำ
มิใช่จากโชคลาง หรือสิ่งที่ตื่นกันไปว่าขลังศักดิ์สิทธิ์
๔. ไม่แสวงหาทักขิไณยนอกหลักคำสอนนี้
๕. เอาใจใส่ทำนุบำรุงและช่วยกิจการพระศาสนา
จ. หมั่นสำรวจความก้าวหน้า กล่าวคือ โดยสรุป ให้ถือธรรมที่เรียกว่า อารยวัฒิ ๕ ประการ เป็นหลักวัดความเจริญในพระศาสนา
๑. ศรัทธา เชื่อถูกหลักพระศาสนา ไม่งมงายไขว้เขว
๒. ศีล ประพฤติและเลี้ยงชีพสุจริต เป็นแบบอย่างได้
๓. สุตะ รู้เข้าใจหลักพระศาสนาพอแก่การปฏิบัติและแนะนำผู้อื่น
๔. จาคะ เผื่อแผ่เสียสละ พร้อมที่จะช่วยเหลือผู้ซึ่งพึงช่วย
๕. ปัญญา รู้เท่าทันโลกและชีวิต ทำจิตใจให้เป็นอิสระได้
ไม่มีความเห็น