ถูกทำร้าย...เพราะความรัก (2)


ขอให้รู้หน้าที่ มีวินัย มีความรับผิดชอบ และอยู่ในสังคมได้ สุดท้ายก็ไม่งอมืองอเท้าและมีสัมมาอาชีพ ชีวิตของเราก็น่าจะมีความสุขเพียงพอแล้ว
บันทึกก่อนเล่าเรื่องหลาน ๆ ไปสองบ้านแล้ว มาถึงบันทึกนี้ขอเล่าถึงหลานอีกบ้านหนึ่งต่อ

เป็นเรื่องหลานชายลูกของน้องชายคนที่สี่บ้าง ... เมื่อปลายปีการศึกษาที่แล้ว หลานชายคนเล็ก ซึ่งเรียนอยู่ชั้น ม.2 กำลังจะขึ้นชั้น ม.3 ประสบปัญหาที่พวกเรา (พ่อ แม่ ดิฉัน และน้องสาวคนที่สอง) จะต้องช่วยกันจัดการอย่างเร่งด่วน คือ พาหลานย้ายโรงเรียน เพราะผลการเรียนเฉลี่ยของหลาน อยู่แค่หนึ่งกว่า ๆ ติด 0 ติด ร หลาย ๆ วิชา เหตุที่เป็นอย่างนี้เพราะโดดเรียน หนีเรียนบ่อย คาดว่าคงทำให้เรียนไม่รู้เรื่องแบบสะสม เป็นที่น่าเสียดายเพราะช่วงที่เรียนอยู่ชั้น ม.1 นั้นเกรดเฉลี่ยก็ไม่ได้ขี้เหร่ ได้ประมาณแตะ ๆ สามเสียด้วยซ้ำ สืบความแล้วพบว่า ปัญหาส่วนหนึ่งมาจากไม่ชอบครูผู้สอนในวิชานั้น ๆ ก็เลยไม่อยากเข้าเรียน (แหม! ไม่ชอบซะหลายวิชาเลย) แต่ดิฉันคิดว่าหลานยังไม่ยอมบอกสาเหตุทั้งหมด ดูแล้วอาจจะเป็นปัญหาซับซ้อนด้วยซ้ำ  

ก่อนที่จะเป็นปัญหามากไปกว่านี้ (ตอนม.2 เทอมปลาย พวกเราก็เคยลองแก้ปัญหากันแล้ว โดยย้ายหลานมาอยู่กับเราที่บ้าน และคอยกวดขันแทนพ่อแม่เขา ไปฝากฝังคุณครูที่โรงเรียน ซึ่งเป็นสามีเพื่อนของน้องสาวให้คอยดูแลเป็นพิเศษ ปรากฏว่า หลานก็ยังโดดเรียนอยู่ดี คิดว่าน่าจะเกี่ยวกับกลุ่มเพื่อนด้วย ประเภทเพื่อนพาไป) ดิฉันจึงตัดสินใจเด็ดขาด ต้องให้หลานย้ายที่เรียน โดยจัดการให้ไปเรียนที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบุรี เป็นโรงเรียนกินนอน มีตารางกิจกรรมประจำวันเคร่งครัด พักอยู่หอพักของโรงเรียนมีครูหอดูแลใกล้ชิด

ที่ให้ไปอยู่ไกลแบบนี้เป็นเพราะต้องการให้ตัวเด็กเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม เปลี่ยนเพื่อน เปลี่ยนกิจวัตรประจำวันที่เคยอยู่กับพ่อแม่แบบสบาย ๆ มีแม่คอยจัดการอะไร ๆ ให้อยู่ตลอดเวลา และพอดีว่าเพื่อนของดิฉันเป็นครูอยู่ที่นี่ สามีของเพื่อนเป็นผู้อำนวยการฝ่ายปกครองของโรงเรียนนี้ ดิฉันจึงไว้วางใจพาหลานไปเรียนต่อที่นี่ และมีความหวังว่าหลานจะมีพฤติกรรมดีขึ้น น้องชายกับน้องสะใภ้คู่นี้ยอมให้ดิฉันจัดการแม้ดูแล้วลึก ๆ จะห่วงที่ลูกไปอยู่ไกลอยู่บ้าง (หลานไม่เคยจากบ้านไปอยู่ไหนไกล ๆ และนาน ๆ เลย)

ก็เป็นไปตามที่หวังนะคะ...เพราะเมื่อปลายเดือนที่แล้ว เพื่อนของดิฉัน (ครูของหลาน) กลับมาร่วมงานของญาติ ๆ แถวสุพรรณบุรี ได้ถือโอกาสพาหลานของดิฉันกลับมาบ้านเพื่อจะมาเยี่ยมอาการผ่าตัดของดิฉันด้วย (ปกติโรงเรียนจะไม่อนุญาตให้เด็กกลับบ้านพร่ำเพรื่อ ยกเว้นมีเหตุจำเป็นจริง ๆ จะให้กลับบ้านได้ก็ตอนเทศกาลมีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน) สังเกตว่าหลานชายพูดเก่งขึ้น ปฏิสังคมดีขึ้น แจ่มใสกว่าเดิม ดูมีความสุขและสนุกกับชีวิตมากขึ้น

หลานเขาได้มีโอกาสในการเรียนรู้ชีวิตที่ปรับเปลี่ยนใหม่ พบเพื่อนกลุ่มใหม่ พบคุณครูที่เข้าใจตัวเขา มีกิจกรรมให้ทำ (เดิมนั้นเริ่มจะเป็นเด็กติดเกม เอาแต่ฟังเพลงทั้งวัน มีโลกส่วนตัวเยอะไปสักหน่อย) ทั้งอยู่ในโรงเรียน และออกไปฝึกประสบการณ์นอกโรงเรียน โดยในช่วงวันหยุด จะมีนักเรียนโต ๆ บางส่วนที่ผ่านการคัดเลือกจากคุณครู จะได้ออกไปทำงานพิเศษในโรงแรมชั้นนำ เด็กใหม่ ๆ จะไปล้างจาน พอเห็นแววบ้างแล้วจะได้เสิร์ฟอาหารด้วย หลานเล่าให้ฟังว่า ได้เงินค่าจ้างแถมได้ชิมอาหารอร่อย ๆ ของโรงแรมด้วย

ดิฉันดีใจที่หลานปรับตัวได้ บอกว่าภูมิใจในตัวเขา ต่อไปข้างหน้าจะทำอะไรก็ต้องอดทน หมั่นเรียนรู้ชีวิตแต่ต้องไม่ละทิ้งความรับผิดชอบในการเรียน ไม่ได้หวังเรื่องเรียนให้ได้เกรดเฉลี่ยดี ๆ เอาเป็นว่าวิชาเรียนนั้นให้รอดได้ไม่ขี้เหร่เป็นพอ เน้นเรื่องวิชาชีวิตดีกว่า ขอให้รู้หน้าที่ มีวินัย มีความรับผิดชอบ และอยู่ในสังคมได้ สุดท้ายก็ไม่งอมืองอเท้าและมีสัมมาอาชีพ ชีวิตของเราก็น่าจะมีความสุขเพียงพอแล้ว

นี่ถ้าน้องชายกับน้องสะใภ้ เขาตัดสินใจว่า เก้าไม่เอาสิบไม่เอา ไม่ยอมให้ลูกไปไกลจากอก ยืนยันจะเลี้ยงลูกแบบเดิม ๆ ด้วยความรักความห่วงใย ก็ไม่รู้เหตุการณ์จะเป็นยังไง ... แต่ดิฉันก็ยังไม่วางใจเสียทีเดียว เพราะหลานเพิ่งไปอยู่โรงเรียนใหม่ได้ไม่นาน ยังไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นอย่างไรอีก แต่ที่แน่ ๆ อีกสองวันหลานจะกลับมาบ้านอีกครั้ง เพราะเป็นช่วงหยุดยาวเข้าพรรษา

ป่านนี้น้องสะใภ้คงตั้งตาคอยลูก และเตรียมเมนูกับข้าวรับลูกแล้ว เห็นว่าตอนกลับบ้านครั้งที่แล้ว แม่ตำน้ำพริกปลาร้าให้กิน หลานชายฟาดไปซะสี่จาน บอกว่าถ้าไม่เกรงใจแม่จะกินสักห้าจาน เพราะกับข้าวที่โรงเรียนไม่ค่อยอร่อย แม่งี้ยิ้มแก้มปริ...ดิฉันก็ว่า...เห็นไหมเล่า ตอนอยู่กับแม่ทุกวันน่ะ ชอบเถียงแม่เสียจัง ตอนนี้รู้ล่ะสิว่าไม่มีกับข้าวที่ไหนอร่อยเท่าฝีมือแม่แล้ว ไปอยู่ไกล ๆ แบบนี้ ดูจะรักแม่จังนะ...

จบคำดิฉัน...หลานชายก็ยิ้มอาย ส่วนน้องชายกับน้องสะใภ้ไม่ต้องพูดถึง...ยิ้มแป้นเลยเชียว ไม่ยักกะเหมือนก่อนเลย ที่เคร่งขึงไปทั้งบ้าน...  

คุณครูสังเกตไหมคะว่า เด็ก ๆ สมัยนี้ อาจรวมถึงลูกศิษย์ของเราบางคน ตกวิชาชีวิตไปเยอะ แถมเกือบจะทุกฝ่ายเร่งแต่เรื่องวิชาเรียน คะแนน NT, O-Net ต่ำ ก็ตะบี้ตะบันเอาเป็นเอาตายกับเด็ก ๆ ให้เน้นเรื่องเรียน เรียน แล้วก็เรียน ลองมาเน้นเรื่องวินัย ความรับผิดชอบ ฯลฯ นำหน้าก่อนไหมคะ เพราะถ้าวิชาชีวิตสอบผ่าน เดี๋ยววิชาเรียนก็จะดีตามกันไปได้เอง...  
หมายเลขบันทึก: 448878เขียนเมื่อ 13 กรกฎาคม 2011 15:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:48 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)
  • "ถ้าวิชาชีวิตสอบผ่าน เดี๋ยววิชาเรียนก็จะดีตามกันไปได้เอง"
  • ยกมือสนับสนุนครับ

 

ขอบคุณพี่กุ้ง หายดีหรือยังครับ

  • ขอบคุณทั้งสองท่านค่ะ
  • ช่วงพักรักษาตัวอยู่ในขณะนี้ มีอุปสรรคอยู่บ้างในการนั่งหน้าคอมฯ
  • หากมีประเด็นสะท้อนคิด คงมีโอกาสทยอยมาแลกเปลี่ยนมุมคิดกันค่ะ
  • ขอบคุณมากค่ะ

วิชาชีวิต คำนี้ดีมากๆ

ถ้าพ่อแม่คุณครูร่วมมือกันทำให้เด็กเรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตที่ถูกที่ควรก่อน

ก่อนการให้คร่ำเคร่งกับวิชาการ

เด็กจะใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างถูกต้องดีงามนะคะ

สวัสดีค่ะIco48 ตามมาอ่าน'ถูกทำร้าย...เพราะความรัก (2)' ค่ะ...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท