เช้าวันนี้ ผมได้มาทำงานแต่เช้าตามปกติ เพราะลูกชายต้องไปโรงเรียนแต่เช้า พอไปถึงอนามัย มีผู้รับบริการนั่งรอผมประมาณ 7-8 คนแล้ว ส่วนใหญ่จะมาล้างแผล เพราะช่วงนี้หน้าดำนา จึงมีบาดแผลจากเหยียบหอยเชอร์รี่ หรือเหยียบของมีคมในน้ำ และที่น่าสังเกต แผลจะบวมแดงและติดเชื้อ เพราะในน้ำมีสารเคมี เช่น ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าหอย และเมื่อล้างแผลแล้วไปลงน้ำต่อ ผมก็พยายามบอก และให้สุขศึกษา แต่เนื่องจากเป็นวิถีชีวิต จึงค่อย ๆ ปรับไปเรื่อย ๆ หวังว่า คงมีสักวันที่ฝันของผมเป็นจริง
ตอนสาย ๆ ผมนั่งเคลียร์งานเอกสาร และงานคอมพิวเตอร์ จนถึงเที่ยง ทานข้าวที่ห่อมาจากบ้านกับพี่หมออนามัยอีกคน วางแผนในใจว่า ภาคบ่ายจะออกไปตรวจสุขภาพเด็กนักเรียน แต่พอนึกขึ้นได้ ต้องไปเยี่ยมน้องฟ้าใสก่อน เพราะได้รับรายงานตั้งแต่วันพุธแล้ว
น้องฟ้าใส... เป็นชื่อที่ผมสมมติขึ้น ผมนำเอกสารแบบติดตามของน้อง และค้นแฟ้มครอบครัวออกมา แต่พอถามทางไปบ้านน้องฟ้าใสกับน้องพนักงานของผม บอกว่า เพิ่งแต่งงาน คงออกไปอยู่กับภรรยาที่ทางออกของหมู่บ้าน ซึ่งห่างจากอนามัยประมาณหนึ่งกิโล
ตกลงน้องฟ้าใส เป็นผู้ชายครับ เส้นทางที่ไปถึงบ้านภรรยาของน้อง ค่อนข้างซับซ้อน และผมไม่เคยไปเลย ผมจึงถามทางตลอดเวลา เอารถจักรยานยนต์ของอนามัยไปครับ
ขับรถมาเรื่อย ๆ ผมทักทายถามไถ่ผู้ผ่านมาผ่านไปด้วยความคุ้นเคย
“คุณหมอ ไปไหนครับ” เสียงไถ่ถามที่ดังแข่งกับเสียงรถ ชวนให้ผมมีกำลังใจเสมอมา “ผมจะไปเยี่ยมบ้านคนไข้ครับ “ ผมตอบพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่ยอมหุบ หลังจากผ่านคุณตามานานแล้ว ผ่านป้ายต่างๆ ของหมู่บ้าน ป้ายหาเสียง ป้ายประชาคมหมู่บ้าน และป้ายนี้ที่ผมชอบ “เขตชุมชน...ลดความเร็ว” ซึ่งผมชอบที่จะเปลี่ยนป้ายใหม่ว่า “เขตชุมชน...ลดความเลว”
เส้นทางออกจากหมู่บ้าน ท้องฟ้าสีฟ้างดงามชวนให้หลงใหล และทำให้ผมที่กำลังสร่างไข้ใหม่ ๆ รู้สึกกระปรี้กระเปร่าและกระชับกระเชง มีต้นไม้สองข้างทางปกคลุมแสงแดดให้เห็นแสงจาง ๆ บรรยากาศเหมือนชานเมืองของประเทศเกาหลีที่ผมเคยไป เห็นภูเขาเรียงรายซ้อนกันเหมือนภาพหลายมิติ
ภาพวิถีชีวิตของชาวนาที่กำลังมุ่งมั่นในการถอนกล้า ต้นกล้าอ่อน ๆ พลิ้วกับตามแรงลม เหมือนพรมที่เขียวอ่อนที่อ่อนนุ่มชวนให้หลับตา มองสีเขียวครั้งใด ผมรู้สึกสดชื่นใจอย่างอธิบายไม่ถูก
ผมมาถึงบ้านน้องฟ้าใส บ้านขายเนื้อสด และหม่ำ ที่เรียงรายในกรงที่เอามุ้งเขียวกันแมลงวันมาไต่ตอม ผมได้ถามหาน้องฟ้าใส กับภรรยาของน้อง ซึ่งผมรู้ว่า เป็นภรรยาของน้องใสภายหลัง ผมบอกถึงที่มาของผม และจุดประสงค์ ตอนแรกภรรยาของน้องตกใจเล็กน้อย แต่พอทราบที่มาที่ไปก็ผ่อนคลาย และไปตามน้องฟ้าใสที่กำลังเกี่ยวหญ้าให้วัวที่หลังบ้าน
ผมพบกับน้องฟ้าใส รู้สึกผิดพลาดกับภาพตอนแรกที่ผมนึกภาพไว้ น้องฟ้าใส เป็นเด็กหนุ่มสูง และผิวขาว หน้าตาคมคาย ผมยื่นแบบติดตามดูแลผู้ผ่านการบำบัดแบบต้องโทษบำบัดให้น้องอ่าน ซึ่งผมทราบข้อมูลคร่าว ๆ ว่า น้องเป็นลูกอาจารย์ในหมู่บ้าน ย่อมต้องอ่านหนังสือออก
ผมใช้เทคนิคโดยไม่ปรึกษาครูเลยครับ ใช้เทคนิคผมเงียบและให้น้องเล่าเรื่องราว และให้น้องคลี่คลายเรื่องราวเอง
น้องฟ้าใสเล่าว่า...
“...ผมเคยแต่งงานแล้ว 1 ครั้ง มีลูก 1 คน ตอนนี้อายุ 3 ขวบ แต่เลิกกันเพราะผมเสพยาบ้า เสพมานานตั้งแต่อายุ 18 ปี (ตอนนี้อายุ 25 ปี) ถูกจับมา 2 ครั้ง และอยู่ในการคุมประพฤติ แต่ครั้งที่ 2 ถูกจับได้ประมาณกลางปีที่แล้ว เขาบอกว่า ให้ไปบำบัด ถ้าอย่างนั้น จะให้ติดคุก เลยไปที่ศูนย์บำบัดที่โคราช ตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2553 ถึง มกราคม 2554 รวม 4 เดือน..”
“ ...อยู่ที่ศูนย์บำบัด 4 เดือน ผมได้เรียนรู้อะไรให้กับชีวิตมากมาย ย้อนนึกแล้วผมเสียใจ และอยากบอกน้อง ๆ ว่า อย่าเดินตามผม รู้สึกที่พ่อและแม่เสียใจกับผม ...ภรรยาเก่าและลูกที่ผมทำไม่ดีไว้กับเขามากมาย จนเขารับผมไม่ได้และขอแยกทาง ...ผมก็งงเหมือนกันว่า ทำไมตอนนั้น ต้องซื้อยาบ้าเม็ดละ 400 บาท ด้วยครับ คงเป็นเพราะมันคือยาเสพติด...”
“…กับภรรยาใหม่ รู้สึกกันได้ 1 ปี ผมรักเขา และเขาก็รอคอยและให้กำลังใจผมมาตลอดเวลา เราเพิ่งแต่งงานกันไม่ถึงเดือน ตอนนี้ผมไปรายงานตัวทุกเดือน อยู่บ้านก็ไปทำนา เกี่ยวข้าว และช่วยงานบ้าน ผมเพิ่งเข้าใจชีวิต และอยากบอกเตือนน้อง ๆ ว่า ยาบ้ามันไม่ดี ...ตอนนี้ผมอยากเป็นคนดี...ผมจะไม่ย้อนกลับไปเส้นทางที่เลว ๆ อีกครับพี่...”
ผมขอตัวกลับ หลังจากที่คุยกันราวหนึ่งชั่วโมง ผมรู้สึกอิ่ม... การอิ่มหัวใจมันอิ่มยิ่งกว่าการที่เราได้กินอาหารรสเลิศ และราคาแพงมากมาย ผมผ่านทุ่งนา มองเห็นท้องฟ้า และภูเขา ผมมองเห็นฟ้าใส เลยขอตั้งชื่อให้น้อง เรื่องราวของน้องวันนี้ทำให้ท้องฟ้าที่ปกติก็งดงามอยู่แล้ว ยิ่งดูงดงามและใสสว่างเหลือเกิน...ในท้องฟ้าในใจของผม
27 มิถุนายน 2554
บรรยากาศน่ารื่นรมย์ ตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง ระหว่างทาง และปลายทาง เชียวครับคุณหมอ
ปล. เป็นกำลังใจให้น้องใส (จะเรียกฟ้าใสอย่างคนที่"แบบบาง"...ก็กลัวว่าจะไม่เข้ากับรูปร่างเขาครับ...ฮ่าๆ) ให้สู้ต่อไปครับผม
รู้สึกอิ่มใจไปด้วยค่ะ....
เรามักดีใจเสมอเมื่อพบเห็นคนดี
และจะดีใจยิ่งที่เห็นคนที่เคยหลงผิดกลับเป็นคนดี
อิ่มใจ....ค่ะ
ยอดเยี่ยมไปเลยครับ
........อย่างน้อยก็ท้องฟ้าในใจของผม.......เรียกว่าภาษาวรรณกรรม
แจ๋วครับ เรื่องราวและภาพ ชวนให้ผมต้องยกมือมาปรบมือให้เลยครับคุณหมอ
ขอบคุณค่ะ พี่ ที่นำเรื่องเล่าสะท้อนชีวิต และมีข้อคิดดีๆ มาฝากค่ะ
คนเราพลาดแล้วก็กลับมาสู่ทางที่ถูกต้องได้เสมอนะค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ
สวัสดีค่ะ
ยายคิมรับพัสดุแล้วค่ะ เกรงใจจังเลย อยากให้เก็บตังค์ไว้ให้ทิมดาบไปเรียน ตปท. มากกว่า เพราะระบบการศึกษาไทยแทบจะพึ่งพาไม่ได้แล้วค่ะ
สำหรับยายคิมไม่เป็นไร เพราะเก็บไว้พอใช้จ่ายแล้ว แบ่งให้ทิมดาบบ้างก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ
บันทึกแบบนี้ อยากให้รวมเป็นเล่มจังค่ะ มีคนกลุ่มนี้มากไหม ยายคิมสนใจมาจัดกิจกรรมค่ายค่ะ