Learning Forum & Workshop
หัวข้อ 5 รูปแบบการคิดเชิงกลยุทธ์ กับการทำงานของ กสทช.
โดย รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
หลักสูตรเนื้อหาที่บรรยายนั้นเหมาะสมกับวิทยากรซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ตรงกับเนื้อหาที่บรรยาย และสามารถเป็นแรงพลักดันให้ผู้เข้ารับการอบรมเกิดพลังที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดที่มีอยู่เดิมและเป็นแนวทางในการนำไปใช้ในการบริหารงานได้เป็นอย่างดี แต่เสียดายที่ระยะการเข้ารับการอบรมน้อยทำใน้ไม่สามารถเข้าใจเนื้อหาได้ดีเท่าที่ควร ผู้จัดการอบรมน่าจะจัดเวลาเข้ารับการอบรมให้มากกว่านี้ครับ
การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่ได้รับจากการเรียนจาก รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ ในวันนี้ ได้รู้ถึงแนวทางและหลักคิดในการคิดเชิงกลยุทธ์ ที่จะนำไปปรับใช้ในองค์กรของตนเองได้ โดยเฉพาะการนำไปใช้ในการวิเคราะห์ในการบริหารการทำงานและบุคลากรที่ร่วมปฏิบัติงานและอยู่ภายใต้การบังคับบัญชา เนื่องจากในปัจจุบัน กลุ่มงานที่รับผิดชอบอยู่ต้องมีการติดต่อกับกลุ่มผู้ประกอบกิจการที่มีความต้องการหลากหลาย และจำนวนมากกว่า 10,000 ราย ประกอบกับมีจำนวนบุคลากรที่มีจำนวนจำกัด ฉะนั้น การได้เรียนรู้ในวันนี้จึงนำเอาไปเป็นแนวทางการบริหารจัดการบุคลากรและองค์กรภายในได้อย่างเป็นระบบ และบริหารจัดการการให้บริการแก่ผู้ประกอบกิจการได้อย่างเหมาะสม ด้วยการฟัง คิด และวิเคราะห์ เพื่อที่จะกำหนดทิศทางการให้บริการในอนาคตอย่างเป็นระบบ
สิ่งที่ได้เรียนรู้จาก อาจารย์สมชาย สร้าง ความคิดทบทวน ในการให้บริการงานเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งเป็นงานสนับสนุนงานภายในองค์กร ที่รับผิดชอบอยู่ ไม่คิดเพียงแต่ความสำเร็จที่เป็น Output เพียงอย่างเดียว แต่ให้มองเห็นทิศทาง(Trend)หรือ แนวโน้มของการพัฒนางานสนับสนุนองค์กร เพื่อเป็นเบื้องหลังของความสำเร็จแท้จริง มองสัญญาณหรือเห็นความต้องการของผู้รับบริการจากมุมมองผู้รับบริการ ไม่ใช่มุมมองผู้ให้บริการ และควรมีการทำนายความต้องการของผู้ใช้งานให้ใกล้เคียงมากที่สุด ด้วยปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในของผู้ใช้งาน ค้นหามันให้เจอ แล้วเอามาใช้ประโยชน์ให้ตรง หมั่นทบทวนตำแหน่งความต้องการของผู้ใช้งานสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้หลุดโค้ง และมั่นใจว่าอยู่ในเส้นทางเดินที่ถูกต้อง เขียนสิ่งที่รู้มันง่าย แต่เวลาทำนั้น ต้องหยิบตัวแปรให้ถูกต้องด้วย เฮงๆด้วยครับ
ความรู้ที่ได้รับจากการบรรยายโดย รศ.ดร. สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ วันนี้ ได้รับรู้ถึงแนวการคิดแบบกลยุทธ์ ซึ่งได้สอนให้เห็นถึงการคิดอย่างเป็นระบบ การวิเคราะห์ การคาดการณ์ การมองแบบองค์รวม และการมีวิสัยทัศน์ ซึ่งจะเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานในการทำงานแก่ สำนักงาน กสทช. เนื่องจากขณะนี้ สำนักงานฯ อยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านองค์กรจาก กทช. เป็นกสทช. ซึ่งจะมีภารกิจ บทบาทและอำนาจหน้าที่ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะต้องใช้ความรู้ในองค์รวมเหล่านี้มาช่วยในการปรับปรุงและพัฒนาการทำงาน เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านนโยายและการบริหารจัดการ เพื่อให้สำนักงานฯ สามารถดำเนินงานและปฏิบัติงานเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
สรุปการบรรยายโดย ทีมงาน ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์
ปฐมนิเทศ แนะนำทฤษฎีสำคัญของการเรียนรู้ และ
สำนักงาน กสทช. กับการเปลี่ยนแปลงและการทำงานแบบเป็นยุทธศาสตร์
โดย ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ วันที่ 23 มิถุนายน 2554
• อยากให้องค์กรของ กสทช. ทำอะไรให้สังคมยอมรับ ในลักษณะ Ultimate Goal
• ถ้านึกถึง กสทช. จะนึกถึงองค์กรที่คนส่วนใหญ่ยอมรับ
ดร.จีระ มีแนวคิดในเรื่องการ คิด 3 เรื่อง คือ
1. มองอะไรเป็น Strategic Thinking คือคิดเป็นยุทธศาสตร์ มีจุดอ่อน จุดแข็งอย่างไร มีโครงการที่ทำให้ประชาชนได้ประโยชน์จากเทเลคอมได้อะไรบ้าง
2. Creative Thinking ทำไมถึงแตกต่างจาก Strategic Thinking
Strategic Thinking เป็นการมองในเรื่องโอกาส จุดอ่อน จุดแข็ง
Creative Thinking เป็นเรื่องการคิดนอกกรอบ
3. Mark & Angels เคยพูดในเรื่อง Critical Thinking คือคิดให้ลึก เพื่อให้องค์กรสู่ความเป็นเลิศ
Thinking ไม่ใช่อย่างเดียวต้อง Turn Thinking into Action อยากให้แต่ละกลุ่มทำ Project ซึ่งจะช่วยได้เยอะ แต่ความจริงแล้วก็คงยังไม่พอ ต้องนำไปปฏิบัติด้วย
ดร.จีระ
• Strategic ไปสู่การเปลี่ยนแปลง (Change) แล้วการเปลี่ยนแปลงไปสู่ Performance ถ้า กสทช. มีประโยชน์ทับซ้อน องค์กรนี้ก็คงอยู่ไม่ได้ Stakeholder ที่ยิ่งใหญ่ของ กสทช.คือประชาชน
• ให้นึกถึงการที่ กสทช.มาอยู่ที่นี่ มีอะไรที่แตกต่าง ถ้าเราเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วองค์กรเปลี่ยนหรือไม่ และอาจดูไปถึงระดับประเทศ แต่ละท่านมีบทบาทช่วยประเทศของท่านได้ ความจริงแล้วองค์กรนี้ถือว่าเป็นองค์กรหนึ่งที่ประชาชนไว้วางใจ
• ให้แต่ละท่านมี Open mind กับ Open heart แล้วตัวเราก็จะเป็นเลิศ
• ตัวอย่าง Bill Gates มีเพื่อนชื่อ Paul Allen นำเรื่อง Popular Electronic มาให้ Bill Gates อ่าน พอ Bill Gates อ่านได้รับการกระตุ้น ก็เกิด idea สามารถเอาฟิสิกส์ กับเทคโนโลยีมารวมกันและสร้าง Microsoft ขึ้นมาได้
• คนในห้องนี้เก่งแต่อาจไม่ได้รับโอกาสในการแสดงออก จึงอยากให้แต่ละท่านนำเสนอออกมา ....อยากให้แต่ละท่านทำตัวเหมือน Peter Drucker และให้อ่านหนังสือเรื่อง From Good to Great ....แล้วลองคิดดูว่าก่อนตายนั้นความสำเร็จจริง ๆ คืออะไร อย่าง Peter Drucker มีคนสรุปเรื่องความสำเร็จของ Peter มา 2 เรื่องคือ
1. เรียนรู้จากลูกศิษย์ของเขา
2. ไม่มีอะไรที่ไม่ถูกต้อง
• การถามคำถามที่สำคัญ ( Ask interesting Question) สำคัญกว่าการรับคำสั่งอย่างเดียว
• ต้องจัดการกับการเปลี่ยนแปลงที่เร็ว และไม่แน่นอน Peter Drucker บอกว่า ถ้าเราไม่เปลี่ยนเราตาย เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะจัดการการเปลี่ยนแปลง
• Edward Debono เป็นคนเก่งมากเรื่องความคิดเน้นการสอนให้คนไม่ประมาท อย่าทำตัวแบบฝนตกลงมาน้ำไหลเป็นทาง เพราะว่าการคิดนอกกรอบ การคิดสร้างสรรค์ จะต้องต่อสู้กับการใช้ชีวิตประจำวัน ที่เรียกว่า Routine เช่นบางท่านอาจทำงานมีเงินเดือนเป็นแสนแต่ยังคงทำงานเหมือนเดิม เป็นต้น
• รู้กับคิด คนละตัว คิดแบบสร้างสรรค์จึงคนละเรื่อง ทำไมคนเราไม่มีความคิดเชิงยุทธศาตร์ ส่วนหนึ่งอาจมาจากเจ้านายที่ชอบแบบ Command & Control
• สุดท้าย Yahoo กับ Google ทำไม Google ถึงยึด Market share เกือบหมดเลย ลองคิดดู? เช่นกัน กสทช. ถ้าเล่นการเมืองอยู่ เล่นพวก ก็จะมีคนมาด่าเราว่าไม่ดี เป็นต้น
วัตถุประสงค์การเรียนรู้
• ค้นหาตัวเองซะก่อนคืออะไร
• แล้วมีจุดอ่อนจุดแข็งคืออะไร (ใช้จุดแข็งแต่ปรับปรุงจุดอ่อน)
• เข้าใจ Environment ให้ดี
• แสวงหาโอกาส ให้ธุรกิจยั่งยืน แต่ประชาชนได้ประโยชน์ (องค์กร กสทช.มีประโยชน์มากที่ให้รากหญ้าได้ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยแต่ปราศจากการคุกคาม)
• How to overcome difficulties
• ต้องเอาความคิดเหล่านั้นไปพูดความจริง ให้เอาบริบทมาดู และต้องเอาชนะอุปสรรค (ต้องปรับพฤติกรรมในการหาความรู้ แล้วเอาความรู้ไปสร้างมูลค่าเพิ่ม)
ดร.จีระ
• สิ่งสำคัญที่สุดของหลักสูตรนื้คือ การใฝ่รู้
• ถ้าพูดเรื่อง Creativity ต้องนำไปสู่การทำงานของ กสทช. ให้ได้
• ความสำเร็จของการเอาความคิดใหม่ไปใช้ใน กสทช. ไม่ง่าย การทำ Creative in new project อย่าคิดว่าทำได้ง่าย ๆ ยากมากในการ Apply บริบทนี้ในสังคมไทย
• อยากให้แต่ละโต๊ะคิด Project ใหม่ ๆ ขึ้นมาเสมอ เป็นโครงการที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์เยอะ ๆ แล้วมาสรุปร่วมกัน
4L’s
1. วิธีการเรียนรู้
2. บรรยากาศการเรียนรู้ ทำให้เราสบายใจ สามารถกระตุ้นให้เกิดความคิด
3. โอกาสจากการเรียนรู้ คือ ปัญญายกกำลัง 5 ถ้า Commentator มีมากกว่า 1 คน เป็น Panel Discussion จะดีมาก แต่ความจริงเป็นเรื่องยากที่จะเอาคนเก่งหลายคนมาอยู่บนเวทีเดียวกัน
4. เกิดชุมชนแห่งการเรียนรู้ คือหลังจากจบหลักสูตรแล้วยังสนใจการเรียนรู้อยู่หรือเปล่า ?
• ทุกเรื่องที่พูดต้องไปปะทะกับ กสทช.
• 1. ปะทะมี 4 Level คือ 1.ปะทะตัวเอง ถ้าปะทะแล้ว Life Changing Moment ยิ่งดี เมื่อดีแล้ว 2. ให้กสทช.ดีขึ้น Organizational Changing Moment 3. แล้วต่อไปประเทศดีขึ้น เป็นอาเซียน Citizens ที่ดี 4. สุดท้ายเป็นเรื่องของ Global
2. ทุกอย่างที่เรียนต้องมี impact ต่อคุณ ห้ามพูดอะไรไร้สาระ สังเกตว่าทุกวันนี้อินเดียสู้จีนไม่ได้เนื่องจากไม่ Realistic
3. ต้องเก่งในการสัมมนาแล้วเก่งใน องค์กรของ กสทช. ด้วย
4. เริ่มต้น Concept ต้องแม่นก่อน แล้วต้องใช้ Imagination เยอะ ๆ จินตนาการเยอะ ๆ กสทช. ถ้าบางเรื่องเป็นเทคนิค แล้วยังขาดจินตนาการ เทคโนโลยีจะทำเพียงระดับหนึ่งเท่านั้น
5. 3 L’s
• เรียนรู้จากความเจ็บปวด (Learning from pain)
• เรียนรู้จากประสบการณ์ (Learning from experiences)
• เรียนรู้จากการรับฟัง (Learning from listening)
6. การเรียนรู้นอกจากการรู้จักกันแล้ว Connecting แล้วต้องรู้จัก Engaging ด้วย
7. ฝากไว้ว่าคุณภาพของคนที่พึงประสงค์อยากให้มีความรู้ต่อไปนี้
1. ทุกคนในห้องนี้เป็นทุนมนุษย์ วัดจากปริญญาได้
2. มีปัญญาหรือไม่
3. เป็นคนมีคุณธรรม จริยธรรมจริงหรือไม่
4. การทำงานมีความสุขหรือไม่ มี Passion ในการทำงานหรือไม่
5. ต้องมีทุนทางสังคมและเครือข่าย คนในห้องนี้ต้องสร้าง Network ให้ดี
6. ต้องเป็นคนที่มองอนาคต อย่างน้อยตัวเองกับองค์กรต้องยั่งยืน
ต้องเป็นคนมีสุขภาพที่ดี ต้องไม่เป็นคนอวิชา (อวิชาคือไม่ทันคนอื่นเขา)
7. มี เทคโนโลยีเหมาะสม
8. มีความรู้ทักษะ และทัศนคติ
นอกจากนี้ ยังมีทุนที่ช่วยพัฒนาให้เราเป็นคนเก่งได้ คือ 5K’s
1. คนเก่งได้ต้องมี Creativity แล้วสามารถ turn idea สู่ Innovation
2. ต้องมีทุนความรู้
3. Innovation คืออะไรก็ตามที่ใหม่ สร้างสรรค์ และมีความรู้
4. ถ้าจะเป็นผู้นำได้ต้องควบคุมอารมณ์ให้ได้
5. ทุนที่มาจากภูมิปัญญา วัฒนธรรม และการปลูกฝังของเรา
8. หลักสูตรนี้ฝากไว้ 5 เรื่อง คือเรียนด้วย
1. การมีแรงบันดาลใจ
2. มีพลังและไฟให้ตัวเอง ปล่อยวางงานที่ไร้สาระ แล้วแสวงหางานแปลกใหม่ทุกวัน
3. การแบ่งปัน การเรียนในครั้งนี้ต้องข้าม ไซโรให้ได้ คนสำคัญที่สุดคือประชาชน
4. สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้
5. การมาวันนี้ขอให้มีความสุข
3 วิธีคิดที่ต้องแยกกันให้ดี แต่ในที่สุดรวมกัน
1. Strategic Thinking คิดอย่างมีกลยุทธ์
2. Creative Thinking คิดแบบสร้างสรรค์
อย่างไรก็ตามอยากให้ Left Brain แข็งก่อน Concept ต้องแม่นก่อน คิดให้เป็นเหตุเป็นผล แล้วถึงค่อยคิดแตกต่าง
ตัวอย่าง Tony Buzan เรียน ปริญญาตรี 6 ใบ และเรียน การทำงานของสมอง ก็บอกว่า เราต้องมีหลักการคิดที่เป็นเหตุเป็นผลก่อนถึงค่อยคิดสร้างสรรค์
3. Critical Thinking คิดให้ลึก คิดให้รอบคอบ ส่วนใหญ่มาจาก Concept ของ Diuretic
- Thesis –ผู้ลงทุนรายใหญ่
- Anti-Thesis – ประชาชนทั่วไป
- Synthesis - ต้องรวมความหลากหลายให้ได้ ทำอย่างไร ถึงได้ประโยชน์จริง ๆ ทำยังไงให้ประชาชนหรือผู้ลงทุนรายใหญ่ทำงานร่วมกัน
• การพัฒนาความคิด ต้องนำความคิดไปสู่การปฏิบัติ turn idea into action ถ้าทำสำเร็จจะยกตัวอย่าง new project
• Concept ต้อง know, think, do ไปด้วยกัน
• ความคิดที่เป็นยุทธศาสตร์และความคิดสร้างสรรค์อาจแยกจากงานประจำ การเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ต้องหลบจากระเบิดที่วางไว้ อาจมี New project เสริม
• Attitude ยังเปลี่ยนได้ แต่ Mindset เปลี่ยนได้ยาก
• ถ้าจะเริ่มคิดทั้งเชิงวิทยาศาสตร์สร้างสรรค์ ต้องปรับพฤติกรรมของบุคคลว่าจะปรับตัวเองอย่างไร คือการมีวิธีการปรับตัวเพื่อพัฒนาทักษะทางการคิด ดังทฤษฎีแว่นตา ถ้าแว่นตามัวอย่าคิด เพราะพฤติกรรมนั้นจะเหมือนเดิม
• ต้องทำให้องค์กรเป็นเลิศ และได้ประโยชน์
• ใส่แว่นตาใหม่ เพื่อมองให้ออกว่าอะไรสำคัญ เมื่อเข้าใจ สุดท้ายก็ทำให้สำเร็จ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุด
• การทำให้สำเร็จคือความคิดเชิงยุทธศาสตร์ เส้นทางที่เราไปก็จะไม่พลาด แต่อย่างไรก็ตามความสำเร็จต้องใช้เวลา ต้องศึกษาเรื่อง วัฒนธรรมองค์กร การเจรจาต่อรอง แรงจูงใจ การทำงานเป็นทีม ภาวะผู้นำของคนในห้องนี้ จุดสรุปคือ ต้องทำให้สำเร็จ
• Diversity ต้องเปลี่ยนให้เป็น Excellence อย่าเปลี่ยนเป็น Conflict
Workshop (ให้เวลา 10 นาที)
1. อยากให้แต่ละโต๊ะ ลองเล่าให้ฟังว่ามี Moment หรือมีจังหวะไหนบ้างที่เราได้แรงบันดาลใจที่มาอยู่ด้วยกัน และแรงบันดาลใจเกิดขึ้นเพราะอะไร
2. ให้วิจารณ์หลักสูตรนี้ดูว่า จุดอ่อน และจุดแข็งคืออะไร
3. ให้แต่ละโต๊ะมีคำถาม 1 คำถามที่น่าสนใจ คาดหวังจาก Project นี้อะไรบ้าง
กลุ่ม 3
1. แรงบันดาลใจมาจากคำว่า Sunrise , เมื่อมี Sunrise ทำให้คิดตามว่า ต้องมี Sunset ขณะที่อยู่จุดขึ้นทำอย่างไรให้เป็นยุคทองของ กสทช. และทำยังไงให้จุด Peak อยู่ในยุคของเรา
ดร.จีระ เสริมว่า ทำอย่างไรให้ความรู้กระจาย เพราะว่า trend อันนี้อยู่กับเราอีกนาน และกระทบกับทุกฝ่าย
2. จุดแข็งเห็นหลายจุดในสิ่งที่เรียนรู้ จุดอ่อนคือหลักสูตรนี้ไม่มีคำว่า Fear หรือคำว่ากลัว สิ่งที่กลัวคือ กลัวผิด และ กลัวโง่ในจุดนี้ คือสิ่งที่ยังไม่สร้างให้เกิดขึ้น เป็นความกลัวที่กลัวตัวเอง และกลัวคนอื่น ๆ ในหลักสูตรพูดถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการทำกิจกรรมของ กสทช. แต่ไม่พูดเรื่อง Fear
ดร.จีระ เสริมว่า ความไม่แน่นอนของธุรกิจนี้ในอนาคต ถึงแม้มี 5 วันก็ยังไม่พอ
อย่างดร.จีระ มีเรื่องสุขภาพ และไม่กลัวอวิชา เพราะใฝ่รู้ตลอดเวลา
จึงอยากให้ทุกคนในห้องนี้ ใฝ่รู้ และแบ่งปันความคิดเห็นกัน ก็อาจทำให้ความกลัวลดไปบ้าง
3. Change สิ่งที่มอง คืออนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไรบ้าง Change มากกว่า re-engineering เนื่องจากเป็นเรื่องกิจกรรม ที่พึงปฏิบัติ คำถามคือ คำที่ถัดจาก Change คืออะไร
ดร.จีระ บอกว่า Beyond change คือ intangible มนุษย์วัดกันด้วยข้างใน ไม่ว่าจะเป็น Value ต่อส่วนรวม หรือ Value ที่สามารถแก้ปัญหาในอนาคตได้ , พูดถูกที่ว่า Reengineering คือการวิ่งแนวตั้งเป็นแนวนอน แต่ปัจจุบันไม่ work แล้ว , Change เร็ว และเป็นเรื่อง Human และส่วนมาก มนุษย์ก็เป็นผู้ต่อต้าน Change เอง แต่ถ้า Change ไม่เป็นไซโร แล้วทุกคนพร้อมใส่แว่นตา เข้าใจมัน Change จะเกิดขึ้น
กลุ่ม 5
1. สิ่งแรกคือรู้จักอาจารย์จีระทางวิทยุ moment แรกอยากรู้ตัวจริง ว่าเป็นยังไง moment ที่สอง ตรงไปตรงมาและแรง และอยากรู้ว่าผู้บริหารในกลุ่มนี้ ใครมีคุณสมบัติตามที่อาจารย์บอก
2. จุดแข็งของหลักสูตร เห็นว่าอาจารย์จีระ มีความรู้ ความสามารถและมีแนวคิดที่ดี จุดอ่อนไม่แน่ใจว่าจะนำไป Implement หรือนำไปปฏิบัติได้จริงหรือเปล่า และอาจารย์อาจไม่คุ้นเคยในองค์กรคือเป็นแบบ Outside in
3. อาจารย์มีความเห็นอย่างไร ถ้าการอบรมหลักสูตรนี้ไม่ Success แล้วบางครั้งอาจารย์ที่สอนอาจจะติด ๆ ดับ ๆ หรือไม่ติด
ดร.จีระ เสนอว่าต้องไปปรับตัวข้อ 2, 3 เยอะ
กลุ่ม 4
1. จุดประกาย คำแรกคือ Thinking คำที่สองคือ For change ได้แรงบันดาลใจจาก 2 คำนี้ หลังจากฟัง 2 ชั่วโมง ความคิด Change หรือ สร้างคน Network สร้างองค์กร
2. การเรียนรู้ใหม่ ๆ ทำให้มีความคิดเห็นแบบอิสระ ไม่ยึดติด สร้างสรรค์ จุดอ่อนคือ วัฒนธรรมองค์กรมาจากราชการ กลุ่มผู้เข้ารับการอบรมเป็นช่วงอายุที่สูงกว่าเอกชนมาก ดังนั้นวิธีการแบบใหม่ มี Workshop 50 % จะประสบความสำเร็จแค่ไหน ?
3. มีรากที่ติดตัวมาในแต่ละท่านซึ่งมาจากหลายองค์กรค่อนข้างนาน หลายท่านใกล้เกษียณอายุแล้ว มีกลยุทธ์หรือวิธีอะไรที่จะถอนรากถอนโคนได้อย่างไร
ดร.จีระ ตอบ ถ้าจะตอบคำถามเรื่องความสำเร็จ คือต้องมีทฤษฎี 3 ต คือ ต่อเนื่อง ต่อเนื่อง และต่อเนื่อง
กลุ่ม 6
1. ที่ฟังมาทั้ง 3 โต๊ะ แม้อยู่คนละสำนัก อยู่คนละโต๊ะ แต่ความคิดของเราไม่ค่อยแตกต่างกัน คือ วัฒนธรรมองค์กรยังเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่ จริง ๆ แล้ว moment impact หลาย ๆ ตัวคือ Change ไม่อาจหลีกหนีหรือหลีกเลี่ยงได้ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เราอยู่รวมกัน
2. จุดแข็งของหลักสูตร เนื้อหาแน่นมาก จากจุดแข็งของหลักสูตรจะแปลงเป็นจุดอ่อนด้วยในตัวคือ เนื้อหาที่เข้มข้นจะมีเวลาเพียงพอที่เราจะซึมซับมาได้ด้วยหรือเปล่า
3. อาจารย์จะทราบได้อย่างไรว่าโครงการนี้ประสบความสำเร็จแล้ว แล้วต้องใช้เวลานานขนาดไหนถึงทราบว่าโครงการนี้ได้บรรลุแล้ว
ดร.จีระ จะวัดความสำเร็จในทุก moment ที่อยู่ร่วมกัน มีอารมณ์ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ต้องเป็นสงครามยืดเยื้อ อย่างน้อยใน 5 วัน ทุกคนเริ่ม Share ความคิดกัน และมี meaning project ควรมีความภูมิใจว่า Benchmark ของ กสทช. ดีกว่าหลายกระทรวงหลายที่ ที่อาจลึก แต่อาจลูกเล่นไม่เท่ากับ กสทช.
อยากให้กำลังใจ แล้วเก็บบรรยากาศแบบนี้ไว้
กลุ่ม 2
1. Inspiration แรกคือการทำงานเป็นทีม ทำให้เรากระตุกให้ตัวเองอย่าหยุดนิ่ง อาจารย์เป็นคนพูดตรงและกระตุ้นตลอดเวลา
2. จุดอ่อนคือหลักสูตรขาดการ link ในเรื่องต่าง ๆ ทำให้อาจมีปัญหาเรื่องการนำไปใช้ จุดแข็งคือ การเขียนหลักสูตรมีความเข้าใจใน กสทช. ดี และวิทยากรแต่ละท่านมีความรู้ความสามารถ
3. ทำยังไงให้เรื่องการเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมชาติทำได้อย่างไร
ดร.จีระ เสนอให้ถามคำถามยากคืออนาคต กสทช.ใน 5และ 6 ปีต้องเจอความไม่แน่นอนอะไรบ้าง ? ต้องมียุทธศาสตร์ในการเอาชนะ ต้องเน้นการตั้งโจทย์ที่ไม่มีคำตอบแต่กระตุ้นความสามารถตัวเอง ต้อง re-inventing
เราสามารถยืดตัวเองได้ กสทช. และอาจารย์สามารถขึ้นได้ ถ้าชุดนี้เรียนเพิ่มอีก 3-4 ครั้งจะเห็นชัดว่าขึ้นได้
ความ Fear ทำให้เราต้องฟิต ถ้าไม่ฟิตจะอยู่ไม่ได้ จุดอ่อนของคนไทยคือ ชอบ แผ่ว จริง ๆ ความเก่งต้องเก่งตลอด แต่ส่วนใหญ่คนชอบเก่งแบบจุด ๆ
กลุ่ม 1
1. ตอนแรกเป็นเรื่อง Think change คือ คิดเปลี่ยน เนื้อหาหลักสูตรเหมาะกับสถานการณ์ในองค์กรเรา ในหนังสือมีความหลากหลายในตัว Communication
ดร.จีระ เสริมว่า ถ้า กสทช. หลากหลายในการหาความรู้ แล้วจะรอด แต่ละคนควรจะข้ามศาสตร์ และ Know what going on ความรู้ต้องสด ต้องติดตามข่าวสารตลอดเวลา ต้องรู้กว้าง และลึก
ผู้นำในห้องนี้ถ้าจะมีจุดอ่อนคือความใส่ใจในสถานการณ์
ผู้นำคือคนที่ศรัทธาคุณ กสทช. ต้องเป็นกระบอกเสียง
เน้นเรื่อง Sharing มี Inspiration และพลัง
2. ผู้นำกับนักบริหารคิดยังไงบ้างที่เรื่องการคิดกับการ Change เกิดขึ้น
ด้านจุดแข็ง มองว่าการเปลี่ยนแปลงไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่กลัวในเรื่องความขัดแย้งมากกว่า
ดร.จีระ เสริมว่า...โจทย์ Strategic Thinking + Change จะเข้าเรื่องผู้นำอ้อม ๆ แต่อยากพัฒนาก็ได้ อุปสรรคที่แท้จริงคือเรื่องคน ไม่ขาด แต่ขาดที่ทัศนคติของคน
Wisdom ,sustainability,creativity,trust พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ (รัชกาลที่ 9) ทรงมีทุกเรื่อง
อนึ่งการวัดว่าความสำเร็จขององค์กรจะตายที่ความมองไม่เห็น ตัวอย่างของ กสทช. มีการสะสมเยอะ แต่การเรียบเรียงแบบ Chain Value หลังจากจบหลักสูตรนี้แล้วจะสร้างโซ่แห่งคุณค่าได้อย่างไร เพราะเราชอบทำแบบไซโล
3. เราจะก้าวข้ามการบริหารงานเชิงขัดแย้งอย่างไรบ้าง ปัญหานี้เป็นตั้งแต่ระดับชาติ และระดับองค์กร ตอนนี้เลยคำว่า Change มาแล้ว
ที่ไหนมีผลประโยชน์ ก็มี Conflict มากขึ้น ดังนั้น กสทช.ต้องทำตัวเป็นคนคอยปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ
ความรู้ที่ได้รับในการบรรยายจากการเรียนกับ รศ.ดร. สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นั้น ทำให้ทราบถึงแนวการคิดเชิงกลยุทธ์ การวิเคราะห์อย่างมีระบบ มีเหตุ มีผล ตลอดจนการคาดการณ์ถึงความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้น ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการวิเคราะห์ การออกแบบ การจัดหา และการบริหารจัดการระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการปฎิบัติงาน ภายในสำนักงาน กสทช.
สรุปการบรรยายโดย ทีมงาน ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์
การบรรยายเรื่อง 5 รูปแบบการคิดเชิงกลยุทธ์กับการทำงานของ สำนักงาน กสทช.
โดย รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ วันที่ 23 มิถุนายน 2554
• ปัจจุบันเข้าสู่ยุคไม่เหมือนเดิม คือ เป็นแบบ Paradigm shift
• สมัยก่อนใช้ตา และหู เรียกว่าประสบการณ์ เป็นการบริหารจากประสบการณ์ ไม่ต้องเรียน อย่างโลกทัศน์ หรือ Mindset ของคนสมัยก่อนจึงเป็นแบบนั้น คำพูดที่คนออกมาคือ What? อะไร ? เป็นต้น แต่ปัจจุบันเป็นยุคโลกาภิวัตน์ ที่Thomas Siegmund บอกว่า The world is flat
• ฉลาดแบบเก่า กลายเป็นโง่แบบใหม่ อย่างนี้เรียกว่า Paradigm Shift
• โลกเปลี่ยนเร็วมาก ความรู้ไม่ได้อยู่ในตัวปริญญาที่ได้
• ระวังโรค IOLO คือ รู้ทุกเรื่องเว้นเรื่องที่ควรรู้
• ถ้าจะชนะคนต้องเก่งคำนวณ และภาษา
• Competency ควรเป็น Strategist จึงจะรอด
• Paradigm Shift สรุปคือ ต้องการมนุษย์พันธ์ใหม่ใช้ตากับหูแค่ 10 % ให้สมอง 90 % เป็นพันธ์ที่ตรงกับโลกแบน เห็นการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก เรียกพันธ์นี้ว่า Visionary – Thinker สามารถใช้สมองและกลั่นกรองข้อมูลได้
• รับเฉพาะข้อมูลและความรู้ที่สำคัญยังไม่รอดเนื่องจากข้อมูลสำคัญเยอะมาก เราต้องการมนุษย์ที่รับข้อมูลเฉพาะ ๆๆๆๆ ที่สำคัญ ใช้สมองตลอดเวลาตั้งแต่ Input และใช้สมองตลอดเวลา
• การใช้สมอง 1. เป็นแบบ Mechanic ไม่มีชีวิต ไม่ใช้สมอง เกิดจากการสอนแบบ Input ออกมาแบบ Output นักเรียนเครียด ไม่กล้าพูด กลัวพูดผิด ดังนั้นจึงเงียบตลอด ตรงกับโลกกลมพอดี คือ What? 2. ระบบ Organic แบบมีชีวิต ต้องใส่ปุ๋ยให้ดี จริง ๆ มนุษย์มีสมองแบบมีชีวิตแต่ระบบการศึกษาสอนให้โง่ ความจริงแล้ว หน้าที่ของมหาวิทยาลัยมีหน้าที่อย่างเดียวคือกระตุ้นให้เกิดความรู้ และสอนให้แสวงหาความรู้
• ปัจจุบันโลกแบน ดังนั้นการเรียนการสอนจึงต้องแสดงออกให้เป็น Why? และ How to?
• โลกแบน 1. Organic ใช้สมอง 2. Weight in Thinking ทุกอย่างมีน้ำหนัก บริหาร 20 %ให้ได้ผลลัพธ์ 80%
• Change วิเคราะห์ไม่ได้แต่ทุกอย่างเป็นสัญญาณในการวิเคราะห์อนาคตได้ สิ่งนั้นจึงเป็นที่มาของการเรียน Change Management
• Visionary มี 2 ความหมายคือ 1. มองอนาคตให้เจ๋ง 2. มองตัวเองให้เจ๋ง
• จุดอ่อนสามารถปรับเป็นจุดแข็งได้โดยการใฝ่หาความรู้ เพื่อพัฒนาให้ตัวเองรอด
• จงทำสิ่งที่เรามีพลังถึงสามารถทำให้สำเร็จได้ เรียกว่ามี Passion
• ในวันนี้โลกมีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก แต่ต้องรู้จักใช้สมองในการคิด เช่นพวกเราต้องปรับกระบวนทัศน์ ต้องถามว่า How to? ต้องทำให้ลูกค้าพอใจ ต้องใช้กลยุทธ์ความแตกต่าง ต้องตอบว่าเปลี่ยนอย่างไร?
• Paradigm Shift คือปรับวิธีคิดแบบ Mechanic เป็น Organic , ปรับ What ? เป็น Why ? กับ How to ? ปรับการใช้ตากับหู เป็นการมองข้ามอนาคต ให้มองข้ามชอต ใช้ความฉลาดที่มีอยู่จะเห็นอนาคตในอีก 20 - 30 ปีข้างหน้า
• โลกมีการเปลี่ยนแปลง โลกมีการแข่งขันเยอะ
• Competency ของ อ.สมชาย คือ Predictive ทำให้สามารถทำนายอนาคตได้
• The future management บอกว่า บริษัทที่ประสบความสำเร็จ 33% มาจาก Passion จะนำไปสู่ความฉลาด มีพลังในการหาความรู้ตลอดเวลา
• องค์กรที่ประสบความสำเร็จ หัวต้องเก่ง มี Vision คนตามต้องตามได้
ถ้าคนจะรอดต้องเป็น DNA แบบ เต้นแทงโก้ได้ หมายความว่า ในวันนี้ต้องการคนในองค์กรปึ้งให้ทันกับจังหวะ คือ ต้องทันกับเจ้านาย เจ้านายต้องมีวิสัยทัศน์ บริษัทที่เจ้ง เพราะเจ้านายไม่มีวิสัยทัศน์
• คนที่จะปรับ Paradigm Shift ได้ต้อง เป็น Strategic Thinking
• คนฉลาดต้องมี 8 ประการสู่ Strategic Thinker 1.ต้องมี Visionary เห็นอะไรล่วงหน้า 2.คนต้องมี Weighted Thinker 3. ต้องมององค์รวม 4. Concept ต้องชัด 5.มี Innovative Thinking 6. ตรงประเด็น (Relevance) รู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร เพราะมีอะไรใกล้กับลูกค้ามากที่สุด 8. มีวิญญาณของคู่แข่งตลอดเวลา
• Strategic Thinker ใช้สมองตลอดเวลา ไม่เชื่อใครง่าย ๆ เป็น Conceptual Thinker มี Weighted Thinker, Visionary เห็นอะไรล่วงหน้า วิเคราะห์อะไรได้เจ๋ง มองอะไรเป็นองค์รวม คือเห็นทุกระบบ ไม่ใช่ System Thinking มี Customer Value Thinking มี Blue Ocean ที่ประสบความสำเร็จ
• คนฉลาดจะเห็นสิ่งที่เหมือนกันภายใต้ความแตกต่าง เช่นทำไมบ้านไร่กาแฟถึงไม่ประสบความสำเร็จ หรือ อย่าทำนวดฝ่าเท้าในปั้ม เหมือนกัน ยังไง ? Why?
- การทำธุรกิจเป็นการมองจากมุมตัวเอง
- มีโอกาสเป็นลูกค้าคนเดียวกัน
- เวลาเดินไปทางต่างจังหวัดต้องการไปสู่เป้าหมายที่เร็ว แต่ทั้ง 2 ธุรกิจนี้มีความเหมือนกันคือเป็นการทำอาชีพที่โคตรช้า
• การมองจากผลประโยชน์ของตัวเองไม่แน่ใจว่าสังคมไทยจะไปแบบไหน จะสามารถนำสู่ความล่มสลายของประเทศไทย
• Paradigm shift – ให้มองข้ามไปในอนาคต,อย่ามองตนเอง ให้มองจากคนอื่นด้วย, อย่าเป็นโรค IOLO, รู้เขารู้เรา
• วิสัยทัศน์ในความหมายที่ 1 ทิศทางขององค์กรไปสู่อนาคต Concept ต้องชัด – ความสามารถในการมองอนาคตขององค์กรต้องเจ๋ง ทางรอดขององค์กรอยู่ที่คน แต่เป็นคนประเภทไหน?
ตัวอย่างเช่น เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์, อีจีวี, โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เปลี่ยนโรงแรมเป็น Hospitality เป็นต้น
หัวใจกำหนดวิสัยทัศน์ขององค์กรคือ Visionary เป็นส่วนหนึ่งของ Strategic
Game Theory
1. ทุกอย่างมีสัญญาณ
อาจารย์สมชายเอาถังมาใบหนึ่งใส่ลูกกอล์ฟเต็มถัง ถามนักเรียนว่าเต็มยัง? นักเรียนบอกเต็มแล้ว อาจารย์บอกยัง แล้วก็ใส่ทรายให้เต็ม ถามนักเรียนว่าเต็มยัง? นักเรียนบอกเต็มแล้ว อาจารย์บอกยัง แล้วก็ใส่น้ำไปจนเต็มถัง? Case นี้สอนอะไร ?
คนเราต้องเรียนรู้ และมีลำดับความสำคัญ
1. ความรู้ไม่มีทางเต็ม หลังจากจบแล้วต้องหาความรู้เพิ่ม ๆ ๆ ระบบการศึกษาที่ดีต้องสอนให้คิดแบบนี้ หัวใจคือความรู้ไม่มีวันเต็ม ต้องหาอยู่เรื่อย ๆ
2. ความรักไม่มีวันเต็ม อยู่ด้วยกันเป็น Dynamic นับวันยิ่งรักมากขึ้น เต็มเมื่อไหร่อย่าขาดเมื่อนั้น ความสวยมองด้วยใจตลอดชีวิต
3. ลูกค้าเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นเราต้องใช้สมองตลอดเวลา
4. เวลามองเรื่องความสำคัญให้มองสองมุมคือมุมอ.สมชาย หรือมุมเรา ...
5. ในการวิเคราะห์อนาคต อย่ามองจากมุมตัวเอง...ทุกอย่างมีสัญญาณ เช่น อ.สมชายใส่กอล์ฟก่อน กอล์ฟจึงสำคัญในมุมมองอาจารย์
6. ต้องเรียนรู้ในการจับสัญญาณ เช่น ถนนในเมืองไทยมีเยอะมาก , รู้จักฟัง และสังเกต เช่นมีคนบ่นเรื่องห้องน้ำ เกิดห้องน้ำสะอาด, สังเกตุเห็นร้านอาหารเยอะแสดงว่าคนชอบกิน เกิด Jiffy ในปั๊ม เป็นต้น
2. น้ำหนักในใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
• มีคนตกงาน มีอาจารย์คนที่ 1 แนะนำให้มีอาชีพขอทาน ไปขอ ก็ได้เงิน ต่อมา อาจารย์คนที่ 2 แนะนำว่าชุมชนไหนมีคนเยอะ ให้ไปขอตรงนั้นเลย คนนี้ได้เลยได้เยอะขึ้น แต่คนไม่ชอบ อาจารย์คนที่ 3 บอกว่าอย่าไปขอแบบกดดันเขาให้ไปนั่งเฉย ๆ ปรากฎว่าได้น้อยลง อาจารย์คนที่ 4 บอกให้เขียนข้อความให้คนสงสาร เช่น Help me I’m blind ทำให้ได้เงินเยอะมากขึ้น อาจารย์คนที่ 5 บอกว่าให้เขียน The world is beautiful but I can’t see ทำให้คราวนี้ได้เงินเยอะมากขึ้น เลยอยู่ทั้ง 24 ชั่วโมง
• อยากถามว่า ทำไมข้อความเขียนเหมือนกัน สถานที่เดียวกัน บางช่วงบางเวลาให้เยอะ บางช่วงเวลาคนให้น้อย
ตอบ....กลางวัน,กลางคืน ,ฝนตก ,ฝนไม่ตก
• ต่อมาอาจารย์คนที่ 7 สอนว่าทำไมบางครั้งขายดี บางครั้งขายไม่ดี ให้อธิบายถึงสิ่งที่เหมือนกันบนความแตกต่าง อะไรคือกุญแจแห่งความสำเร็จ อะไรคือตัวกำหนด ถ้าจะเห็นคือจุดเริ่มต้นต่อการใช้ชั่วนิรันดร์ คือให้รู้จักมองสิ่งเหมือนกันภายใต้ความแตกต่าง
• ความแตกต่างที่ตรงตามความต้องการของลูกค้า ขอให้ค้นพบลูกกอล์ฟของคนที่จะให้เงินคุณได้ อะไรคือองค์ประกอบที่ทำให้ตัดสินใจให้หรือไม่ให้
• Key Success Factor คือความสงสาร ยิ่งสิ่งที่เห็นกับสิ่งที่รู้สึกแตกต่างมาก ยิ่งมีความสงสารมาก
คนบางคนไม่เขียนก็จะไม่รู้สึก เป็นต้น สังเกตได้ว่า ความสงสารได้มาจาก Contrast
ความเคยชินทำให้เกิด law of diminishing return จึงต้องควรมีการเปลี่ยนมุข หาที่ใหม่ ๆ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ดังนั้นการประสบความสำเร็จ ต้องเข้าใจ Key Success Factor
1. ทุกอย่างมีสัญญาณ
2. น้ำหนักในใจของแต่ละคนไม่เท่ากัน
3. อย่ามองแต่มุมตัวเอง
4. การวิเคราะห์ตำแหน่งทางการตลาดใครใกล้ความต้องการลูกค้ามากสุดชนะ
3.ในการวิเคราะห์พฤติกรรมคนอื่น
• เอาเฉพาะปัจจัยภายนอกที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของคน ๆ นั้น ปัจจัยภายนอกจะเป็นตัวกำหนดทางเลือก ศึกษาสภาพแวดล้อมภายในคืออุปนิสัย แล้วเราจะได้คำตอบว่าควรทำอย่างไร ว่าแต่ละทางเลือกมีความเป็นไปได้อย่างไร ?
• เช่น ในห้องเรียน สภาพแวดล้อมภายนอก คือ ห้องนี้ คุณ เวลาที่สอนอยู่ แล้วมาวิเคราะห์ไปได้
• สมมุติว่า อาจารย์สมชาย เปิดประตูออกไปในรอบ 2 ถามว่ามีโอกาสไปไหนได้บ้าง ลองคิด.......เช่นไป ห้องน้ำ กลับบ้าน โทรศัพท์ กินน้ำ กินข้าว เอาเอกสาร สูบบุหรี่ คลายเครียด ผายลม นัดคนไว้ แล้วลองวิเคราะห์ความเป็นไปได้ว่ามีความเป็นไปได้ที่คน ๆ นั้นจะทำสิ่งนั้นมากน้อยเพียงใด ทุกอย่างมีสัญญาณ และสามารถทำนายได้ แต่ต้องใช้สมองในการวิเคราะห์ อดีตจะบอกอนาคต แต่ต้องใช้สมองถึงบอกได้
5. การวิเคราะห์ตำแหน่งของทางการตลาด ใกล้ที่สุดชนะแล้ว ให้เข้าไปสู่ตำแหน่งทางใจเขา ทุกอย่างมีสัญญาณ ความสำเร็จในการบริหารจัดการอย่ามองจากมุมตัวเองให้มองจากมุมเขา ให้ใกล้กับเขามากกว่าคนอื่น ๆ ลองวิเคราะห์คน ๆ หนึ่ง แล้วจะรู้ว่าคน ๆ นั้นให้น้ำหนักกับอะไรมากที่สุดตามลำดับความสำคัญ ?
ได้เรียนรู้จากอาจารย์สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ ในรูปแบบและแนวทางการพัฒนาความคิดเชิงกลยุทธ์ เพื่อนำไปสู่การเป็น Strategic Thinker ทำให้เห็นถึงโอกาสในการพัฒนาหน่วยงานของ สำนักงาน กสทช. ที่ทำหน้าที่การวิเคราะห์ข้อมูล คาดการณ์อนาคต โดยนำเสนอข้อมูลในรูปแบบ Visualization Management ใน War Room สำหรับผู้บริหาร เพื่อกำหนดนโยบายเชิงรับ เชิงรุกในการกำกับดูแลกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
ได้เรียนรู้กับอาจารย์สมชาย ในเรื่อง 5 รูปแบบการพัฒนาความคิดเชิงกลยุทธ์ องค์ความรู้ที่ได้ จะนำไปจุดประกายความคิด สร้างสรรค์นวัตกรรมการบริหารจัดการในด้านการพัฒนาตนเอง การพัฒนาบุคลากร การพัฒนาแผนกลยุทธ์ สำหรับศูนย์ Call Center 1200 สำนักงาน กสทช. ซึ่งเป็น Contact Point ที่สำคัญของหน่วยงานในการให้บริการข้อมูลข่าวสารและรับเรื่องร้องเรียน ซึ่งเรื่องร้องเรียนส่วนใหญ่เป็นเรื่องเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม สร้างการแตกแยกในสังคม ทำให้ย้อนไปถึงแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่อง Hotel Rwanda (http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/newmovie/hotelrwanda/rwanda.html) ซึ่งเกิดจากการสร้างสถานการณ์ทำให้เกิดความแตกแยกทางสังคมในประเทศรวันด้า ส่วนหนึ่งอันเนื่องมาจากสื่อวิทยุ และขอเชื่อมโยงไปถึงวิทยุชุมชนบ้านเรา ที่ส่วนหนึ่งเป็นสื่อที่สร้างความแตกแยกของคนในสังคม ต่อยอดไปถึงสถานการณ์ทางการเมืองเมื่อ พ.ค. 53 ที่ผ่านมา ดังนั้นเพื่อนำร่องการสนับสนุนการกำกับดูแลทางด้านกิจการโทรทัศน์ ซึ่งได้มีภาคเอกชนได้พัฒนาไว้แล้วที่ http://www.me.in.th โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถแสวงหาพยานหลักฐานจากการตรวจสอบรายการTV ย้อนหลังได้ (TV On Demand) และไม่เป็นการผลักภาระให้ผู้ร้องเรียน ตลอดจนสร้างการมีส่วนร่วมภาคประชาชนโดยใช้สื่อ Web Site และSocial Network สร้างองค์ความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนในกฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลกิจการโทรทัศน์ และให้ภาคประชาชนเป็นผู้ Vote Like/Un Like ในรายการ TV ดังกล่าวพร้อมกับแจ้งให้ทราบถึงสิ่งที่ขัดต่อกฎ ระเบียบดังกล่าว
ทั้งนี้ ความคิดดังกล่าวเป็นการพัฒนาการตอบสนองต่อปัญหา ปรับภาพลักษณ์ของ กสทช.ในการให้บริการประชาชน โดยใช้การคิดแบบปรับกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) และคิดแบบนอกกรอบ (Creative Thinking) ซึ่งจะเป็นการนำไปปฏิบัติได้ก็ต้องได้รับการสนับสนุนจากหน่วยปฏิบัติ ซึ่งเป็นหน่วยใน Tier ที่ 2 ที่รับงานจากศูนย์ Call Center 1200 และได้ต้องรับความเห็นชอบจากผู้บริหารต่อไป
การได้ฟังอาจารย์สมชายฯบรรยาย เรื่อง 5 รูปแบบการพัฒนาความคิดเชิงกลยุทธ์ ทำให้ทราบว่าคนที่เก่งจริงและประสบความสำเร็จจริงๆ ท่านมีหลักคิดและวิธีการคิดการพัฒนาความคิดเชิงกลยุทธ์อย่างไร ทำให้มีเข้าใจอย่างแท้จริงมากขึ้น และสามารถนำแนวคิดไปปรับใช้ในการหากลยุทธ์ให้กับตัวเอง เพื่อพัฒนาศักยภาพแนวคิดเชิงกลยุทธ์ในการทำงานที่สำนักงาน กสทช.และงานส่วนตัว
การเรียนกับอาจารย์สมชายได้ประโยชน์ในการนำมาปรับใช้ในการทำงานคือ สอนให้เราคิดเป็นระบบและมีเหตุผล ให้น้ำหนักกับสิ่งสาระสำคัญและตรงประเด็น มองเป็นองค์รวมโดยสังเกตุจาสัญญานบางอย่าง รวมทั้งได้สอนให้เราทำงานโดยมองข้ามไปในอนาคตว่าเหตุการณ์และสิงแวดล้อมที่เป็นอยู่ หากเราเป็นคนช่างคิดอย่างมีเหตุผล เราสามารถคาดการณ์ได้ค่อนข้างถูกต้องว่าอไรจะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งนี้หากบุคลากรของสำนักงาน กสทช. สามารถคิดย่างเป็นกลยุทธ์จะทำให้สำนักงาน กสทช. ได้รับการเชื่อถือ และทำประโยชน์ให้กับผู้ใช้บริการ (ประชาชน) และประเทศชาติอย่างแท้จริง
อาจารย์สมชายฯ ท่านได้สอนให้เรู้จักคิดอย่างมีหลักกการ รู้จักการสังเกต(ทุกสิ่งมีสัญญาณ) รู้จักเลือกรับรู้ในสิ่งที่ควรรู้ และรู้จักการคาดการณ์โดยอาศัยข้อมูลข่าวสารที่ดีมีที่มาน่าเชื่อถือ ซึ่งต่อไปนี้ ก็จะนำเอาหลักการที่อาจารย์สอนไว้มาประยุกต์ใช้ในการค้นหาสัญญาณที่สำคัญแล้วนำมาวิเคราะห์ประกอบการคาดการณ์ในสิ่งที่จะเกิดขึ้น เพื่อประกอบการวางแผนในการจัดการกับการทำงานให้สำเร็จลุล่วงต่อไป
สิ่งที่ได้รับจากการอบรม :
ปัจจุบันมีการแข่งขันกันสูง ผู้ที่อยู่รอดได้มีต้องความคิดในลักษณะ Strategic Thinking มีการปรับทัศนคติ (Paradigm Shift) ในการคิดในการทำงาน ต้องคาดการณ์อนาคตขององค์กรล่วงหน้า และมองอนาคตตัวเองให้ได้ และที่สำคัญจะต้องมีความสามารถในการมองหรือคาดการณ์อนาคตด้วย
สิ่งที่นำมาใช้ในองค์กร :
สำนักงาน กสทช. อยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลง บทบาทหน้าที่ขององค์กรเพิ่มขึ้น ผู้มีส่วนได้เสียมีหลายกลุ่ม การจะตั้งรับหรือจัดการกับผู้มีส่วนได้เสียแต่ละกลุ่มได้นั้น จะต้องศึกษาวิเคราะห์พฤติกรรมและความสนใจของแต่ละกลุ่มให้ชัดเจนก่อน เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ตรงประเด็น ทั้งนี้ สำนักงาน กสทช. จะต้องให้ความสนใจและความสำคัญกับกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่ม เพื่อมิให้เกิดการได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเกินไป ที่สำคัญจะต้องให้ความสนใจต่อสังคมส่วนรวมเพื่อให้สังคมและประเทศชาติอยู่รอดได้
สำนักงาน กสทช. เพิ่งปรับเปลี่ยนตาม พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2553 ทำให้มีภารกิจเพิ่มขึ้นมาอีก ดังนั้น Strategic Thinker นับว่ามีประโยชน์ในการนำมาใช้ในการปฏิบัติงานได้ ทำให้ต้องมีการคิด วิธีการ การคาดเดาในอนาคต เนื่องจากเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งต้องคิดในองค์รวมและต้องมีความชัดเจน พร้อมทั้งต้องคิดในเชิงนวัตกรรมและสิ่งที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความพอใจของผู้ที่มาใช้บริการ
หลักสูตรพัฒนาความคิดเชิงกลยุทธ์เพื่อบริหารการเปลี่ยนแปลง เป็นหลักสูตรที่ดีประกอบกับอาจารย์ผู้สอนก็เป็นผู้มีความรู้ความสามารถที่หลากหลาย แต่เนื่องจากกำหนดการที่จัดเตรียมไว้ อาจะมีความกระชับมากไป ทำให้การถ่ายทอดต้องกระชับตามไปด้วย สำหรับสิ่งที่อาจารย์จิระ และอาจารย์สมชายได้ถ่ายทอดทำให้ผู้เข้ารับการอบรมได้รับความรู้เกี่ยวกับแนวคิด รวมทั้งสร้างแรงบันดาลใจที่จะพัฒนาการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ดีจากการพิจารณากำหนดการเห็นว่ามีการทำ Work Shop หลายวิชา ซึ่งอาจทำให้ผู้เข้ารับการอบรมอาจจะได้รับความรู้และประสบการณ์จากอาจารย์ผู้สอนได้ไม่เต็มที ดังนั้นหากลดการทำ Work Shop ลงบ้าง ก็จะทำให้วิทยากรมีเวลาถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์มากขึ้น
ถึงทุกๆคน (กสทช.)
สิ่งที่ได้รับจาก course ของ ดร.สมชาย คือการรู้จักเป็น strategist ความสามารถในด้าน predictive การวิเคราะห์จากข้อมูลที่มีอยู่ การวิเคราะห์แบบนึกถึงความรู้สึก ความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก (put yourself in your customers' shoes) ความสำคัญของ sign and signal การช่างสังเกต หา common ground จากสิ่งที่แตกต่างกัน ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการทำงานของ กสทช ได้เป็นอย่างดี
สิ่งที่ได้รับความรู้จาก ดร.สมชาย คือได้เรียนรู้ถึงวิธีการที่คิดอย่างเป็นระบบ การคาดการณ์ถึงความเป็นไปที่จะเกิดขึ้นอย่างสมเหตุสมผลภายใต้ปัจจัยสิ่งต่างๆ หรือข้อมูลที่มีอยู่ การพิจารณารู้จักให้น้ำหนักและจัดลำดับความสำคัญทางความคิด ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการนำไปปฏิบัติงานในสำนักงาน กสทช.อย่างดี โดยที่จะทำให้เราสามารถวิเคราะห์ถึงการให้ความสำคัญต่องานแต่ละภารกิจ และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อการทำงานนั้นๆ
อาจารย์สมชาย ถ่ายทอดประสบการณ์ได้อย่างดีมาก มีวิธีการสอนที่น่าประทับใจทำให้เกิดแนวคิดในการปรับกระบวนทัศน์ ปรับวิธีคิด คิดอย่างเป็นระบบ ให้ความสำคัญกับสิ่งต่าง ๆ เป็นลำดับชั้น มององค์กรในภาพรวม ซึ่งจำเป็นอย่างมากในการทำงาน ทำให้สามารถหาวิธีทางและเหตุผลที่จะทำให้การทำงานบรรลุผลสำเร็จได้
จากการฟังบรรยายของ รศ.ดร.สมชายฯ ทำให้ทราบว่าไม่ควรตัดสินใจในเรื่องใด ๆ จากการมองด้วยตา หรือฟัง เพราะเป็นเพียงการใช้ประสบการณ์ในการตัดสินใจเท่านั้น ควรใช้ Organize คือการใช้สมอง การคิดอย่างมีระบบ คิดเชื่อมโยงในการตัดสินใจข และอย่าใช้มุมมองของตนเองในการตัดสินใจ ต้องคิดโดยใช้มุมมองของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการตัดสินใจและต้องคิดอย่างมีเหตุผล มองเป็นระบบ สำหรับการนำไปปรับใช้ในสำนำงาน กสทช. เนื่องจากข้าพเจ้าปฏิบัติงานด้านการกลั่นกรองงานที่สำนักต่าง ๆ นำเสนอ เลขาธิการ กสทช. ข้าพเจ้าคิดว่าความรู้ที่ได้รับจากอาจารย์จะทำให้ข้าพเจ้าสามารถวิเคราะห์งานที่นำเสนอได้อย่างมีระบบและเชื่อมโยง เพราะงานของสำนักงาน กสทช. มีระเบียบ รวมทั้งมติของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องและต้องนำมาเชื่อมโยงบูรณาการจำนวนมาก ทำให้เราแนวคิดในการบูรณาการเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
บทเรียนจาก ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์
การนำบทเรียนหรือบริบทต่าง ๆ ที่เรียนรู้ สามารถนำ Game Theory ไปใช้ในการปฏิบัติงาน รวมทั้งตั้งใจไว้ว่า หนังสือที่อาจารย์แนะนำ 5 เล่ม มีอยู่ที่บ้านเรียบร้อยแล้ว ต้องไล่ล่าอ่านเพื่อให้เกิด Systematic Thinking
เราได้อะไรจากการเรียนรู้จาก อ.สมชาย เพื่อไปปรับสใช้ในสำนักงาน กสทช.
- จากการที่กระผมได้เข้าอบรมโครงการพัฒนาผู้นำและผู้บริหารมืออาชีพของสำนักงาน กสทช. หลักสูตรพัฒนาความคิดเชิงกลยุทธ์เพื่อบริหารการเปลี่ยนแปลง ทำให้ได้การเปลี่ยนแปลงแนวคิดจากการรับรู้แบบ mechanic การรับรู้จากสายตาคือได้เห็น เวลาการรับรู้ด้วยหูโดยการได้ยิน เป็นการรับรู้โดย Organic รับรู้โดยใช้สมองหรือคิดแตกต่างออกไปจากเพื่อนร่วมเข้าอบรม
- Weight thinking ทุก ๆ สิ่งทุก ๆ อย่างที่เป็นข้อมูลในการตัดสินใจต้องมีน้ำหนัก ข้อมูลต้องชัดเจน
- Holistic การมองหรือการคิดแก้ไขปัญหามองที่องค์รวม
- การมองหรือให้ความสำคัญต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น เห็นประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ไม่เห็นแก่พวกพ้อง ไม่เห็นแก่ค่าตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ
- สุดท้ายผู้บริหารหรือผู้นำต้องมีคุณธรรม จริยธรรมที่จะทำให้องค์กรยั่งยืน
- ซึ่งสิ่งที่เราจะต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงจากสำนักงาน กทช.เปลี่ยนเป็นสำนักงาน กสทช. จำต้องทำให้คนในองค์กรเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ Knowledge Organization พนักงานต้องหมั่นศึกษาหาความรู้ตลอดทั้งศาสตร์และศิลป์ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ทางด้าน IT นิติศาสตร์ ศิลปศาสตร์ หรือ Financial เพื่อให้ทันกับโลกยุค Globalization
Panel Discussion & Workshop หัวข้อ Creative Thinking กับการทำงานของ สำนักงาน กสทช.
โดย อาจารย์ณรงค์ศักดิ์ ผ้าเจริญ และ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์
ในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา ผู้นำจะต้องมีความคิดในเชิงวิเคราะห์ คิดอย่างเป็นระบบ ต้องสร้างความแตกต่าง ค้นหาสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ และต้องสามารถคาการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ในการวิเคราะห์นั้นต้องคิดจากมุมมองของผู้อื่น แล้วพยายามจับสัญญาณ (Sign) ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ
Panel Discussion & Workshop หัวข้อ Creative Thinking กับการทำงานของสำนักงานกสทช. ในวันที่ 24 มิถุนายน 2554
โดย อาจารย์ณรงค์ศักดิ์ ผ้าเจริญ
ให้ข้อเสนอแนะโดย ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์
ช่วงถาม-ตอบ แสดงความคิดเห็น
กลุ่ม 1
อาจารย์ณรงค์ศักดิ์ ผ้าเจริญ
ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์
กลุ่ม 2
อาจารย์ณรงค์ศักดิ์ ผ้าเจริญ
ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์
กลุ่ม 3
อาจารย์ณรงค์ศักดิ์ ผ้าเจริญ
ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์
กลุ่ม 4
ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์
กลุ่ม 5
อาจารย์ณรงค์ศักดิ์ ผ้าเจริญ
ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์
กลุ่ม 6
อาจารย์ณรงค์ศักดิ์ ผ้าเจริญ
ประธานรุ่นคือ นายพากเพียร สุนทรสิต ผู้อำนวยการสำนัก (บ 2) สำนักการบริการอย่างทั่วถึง (ทถ.)
วิสัยทัศน์
จะเป็นตัวเชื่อมโยงกับอาจารย์พัฒนาไปข้างหน้า
รองประธานรุ่นคือ
1.นางสาววัจนา ชื่นทองคำ ผู้อำนวยการสำนัก (บ 2) สำนักองค์การระหว่างประเทศ (กร.)
2.นางสาวรุ้งตะวัน จินดาวัลย์ ผู้บริหารระดับต้น (บ 3) สำนักพัฒนานโยบายและกฎกติกา (พต.)
ท่านได้เรียนรู้อะไรจากอ.สมชายเรื่องปรับใช้กับ กสทช. -สามารถนำความรู้ไปใช้ในการพัฒนาความคิดแบบกลยุทธ์ -จัดระดับความคิดของตนเอง มีการปรับกระบวทัศน์ความคิด ทำเป็นระบบแบบองค์รวม ทำให้เกิดมุมมองที่หลากหลาย -ให้รู้จักศึกษาสิ่งใหม่ ๆ ไม่หยุดนิ่ง ช่างสังเกต มองไปข้างหน้า มองคนอื่นเป็นหลัก มีความคิดที่สร้างสรรและแบ่งปันความคิด
วันนี้ได้เรียนกับ อ.ณรงค์ฯ ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความเห็นกับ อ.mark ในเรื่องของงานที่ทำอยู่ด้านการดูแลกลุ่มกิจการกระจายเสียง (วิทยุชุมชน) ที่ทำให้รู้สึกเป็นกังวลมาโดยตลอดโดยเฉพะาในสถานการณ์ที่ผ่านมาของประเทศว่า "สื่่อ" คือ เครื่องมือที่ดี ชั้นเยี่ยมในการติดต่อสื่อสารระหว่างคนในโลกปัจจุบัน ว่า why ถึงมีการใช้สื่อไปแบบนี้ในประเทศ why คนในประเทศแต่ละคน แต่ละกลุ่มถึงชื่นชอบ ชื่นชมในการชมสื่อ และสุดท้ายจึงได้คำตอบทีจะเป็นแนวทางว่า WHY เราไม่ดำเนินการแบบนั้นบ้างหล่ะ อย่าดึงดันที่จะแก้ไขในสิ่งที่แก้ไม่ได้ ควรคิดว่า why ไม่ทำในสิ่งที่เป็นไปได้ ดีมากเลยคะ คิดว่า "เราอยากทำวิทยุ กสทช. ดาวเทียม กสทช. หนังสือพิมพ์ กสทช.แล้วหล่ะคะ" มีอยูมุมหนึ่งที่คิดว่า "การคิดบวก" คือสิ่งที่พึงเป็นในโลกอย่างที่ อาจารย์ว่า ควรนำเทคโนโลยี และความคิดที่ดีไปดำเนินการ แต่สุดท้ายที่ได้คุยกับอาจารย์ก่อนเดินกลับไปสอนว่า "หากคุณคิดว่าผู้บริหารองค์กรไม่ดี คุณจะอยู่อีกหรือ เป็นอาจาย์ "ลาออก"" ในมุมนี้ เคยคิดมาตั้งแต่ยังเรียนมหาวิทยาลัยคะ และตกผลึกในตัวเองว่า "แม้คนอื่น ๆ เห็นว่าสังคมจะไม่ดี แต่หากเราเป็นเพียงอนูหนึ่งหรือกลไกหนึ่งของสังคมและทำดี ทำสิ่งที่พึงจะเป็น เท่านี้ ก็ถือว่าเราได้เป็นส่วนหนึ่งแล้วในสังคมที่จะเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างสังคม" ผู่้บริหารองค์กรก็เหมือนรัฐบาลวันหนึ่งเขาก็ต้องหมุนเวียนไปแต่เราเป็นคนที่ต้องอยู่ประจำ
Panel Discussion & Workshop หัวข้อ Critical Thinking กับการทำงานของสำนักงานกสทช. ในวันที่ 24 มิถุนายน 2554
โดย อาจารย์ณรงค์ศักดิ์ ผ้าเจริญ
ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์
วันนี้ได้เรียนกับ อ.ณรงค์ฯ ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความเห็นกับ อ.mark ในเรื่องของงานที่ทำอยู่ด้านการดูแลกลุ่มกิจการกระจายเสียง (วิทยุชุมชน) ที่ทำให้รู้สึกเป็นกังวลมาโดยตลอดโดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ผ่านมาของประเทศว่า "สื่่อ" คือ เครื่องมือที่ดี ชั้นเยี่ยมในการติดต่อสื่อสารระหว่างคนในโลกปัจจุบัน ว่า why ถึงมีการใช้สื่อไปแบบนี้ในประเทศ why คนในประเทศแต่ละคน แต่ละกลุ่มถึงชื่นชอบ ชื่นชมในการชมสื่อ และสุดท้ายจึงได้คำตอบทีจะเป็นแนวทางว่า WHY เราไม่ดำเนินการแบบนั้นบ้างหล่ะ อย่าดึงดันที่จะแก้ไขในสิ่งที่แก้ไม่ได้ ควรคิดว่า why ไม่ทำในสิ่งที่เป็นไปได้ ดีมากเลยคะ คิดว่า "เราอยากทำวิทยุ กสทช. ดาวเทียม กสทช. หนังสือพิมพ์ กสทช.แล้วหล่ะคะ" โดยจะเริ่มจากการสร้าง connect กับกลุ่มวิทยุชุมชน และร่วมกันสร้างสิ่งที่ควรจะทำร่วมกันในการสร้างสรรค์วิทยุชุมชน หรือวิทยุกระจายเสียงของสังคมไทย โดยจะมีการติดต่อสื่อสารกันอย่างต่อเนื่อง และสร้างวัฒนธรรมในการแข่งขันของสังคมสื่อวิทยุชุมชนในชุมชนเพื่อสร้างให้เกิดชุมชนการสร้างและใช้สื่อที่พัฒนาประเทศได้ นี่เป็นสิ่งที่ท้าทายในการทำงานกับคนสื่อ
นอกจากสิ่งที่ได้แลกเปลี่ยนกับ อ. Mark เรื่อง why เกี่ยวกับการทำงานของตัวเองแล้ว ยังทำให้เห็นโลกแบนลง แบนลง คะเพราะเราสามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างง่ายดาย และคนเราสามารถทำอะไรหลาย ๆ อย่างได้อย่างไม่ต้องยากลำบากเพียงแต่ต้องหาเส้นทางที่เหมาะสม แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นว่ากว้างและมีหลายมิติคือการเรียนรู้ ดังนั้น ทำให้เห็นได้ว่ายิ่งเรียนรู้ยิ่งเข้าใกล้กัน แต่ยิ่งเรียนรู้ก็ยิ่งไม่รู้ไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติและธรรมดา “สิ่งมหัศจรรย์ที่สุดคือสมองและการเรียนรู้ของคนเรา” นอกจากนี้ได้ concept ในการดำเนินชีวิตเพิ่มเติมว่า “คิดบวก บนความจริง” “benefit not profit” “คิดต่างอย่างสร้างสรรค์” โดยต้องมองจาก demand ของกลุ่มเป้าหมาย ที่สำคัญจริยธรรมและจรรยาบรรณ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างยิ่ง
สำหรับหัวข้อ "Critical Thinking" กับการทำงานของสำนักงาน กสทช. ทำให้ได้รับความรู้ในการใช้เทคโนโลยีในการทำงานให้ประสบความสำเร็จรวมทั้งทำให้ทราบบริบทของการเปลี่ยนแปลงที่ผู้บริหารควรทราบและทำให้เห็นภาพต่าง ๆ ที่จะสร้างแนวคิด เพื่อนำไปปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงในการทำงาน รวมทั้งต้องทำงานอย่างมีความสุขด้วย
อ.ณรงค์ชัย ผ้าเจริญ
สิ่งที่ อ.ณรงค์ชัยฯ นำมาถ่ายทอดในวันนี้ทำให้เกิดความรู้สึกร่วมและเห็นพ้องกับอาจารย์ที่เห็นความสำคัญของเทคโนโลยีที่มีผลต่อความสำเร็จและการพัฒนาสังคมในมิติต่าง ๆ ในภาพรวมของประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม
ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรที่มีหน้าที่โดยตรงในการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาประเทศชาติให้ยั่งยืนในหลาย ๆ มิติ มีความเห็นว่า กสทช. สามารถเชื่อมโยงทุกภาคส่วนของประเทศได้พร้อม ๆ กัน โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ทั่วประเทศ คือ สำนักงาน กสทช. เขตทั้ง 14 แห่ง สถานีวิทยุชุมชน และองค์กรภาคเอกชนที่เป็นเครือข่ายของกลุ่มภารกิจด้านการคุ้มครองผู้บริการในกิจการโทรคมนาคม(กสทช.) เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครือข่ายสถานีวิทยุชุมชนที่มีความใกล้ชิดและเข้าใจวิถีความเป็นอยู่ ความต้องการของชุมชนได้อย่างถ่องแท้ ทั้งนี้ กสทช. หรือ สำนักงาน กสทช. อาจใช้วิธีการถ่ายทอดความรู้ด้านต่าง ๆ สู่ชุมชนทุกภาคส่วนของประเทศให้สามารถนำความรู้ไปพัฒนาชนชนของตนเองได้อีกทางหนึ่งโดยผ่านเครือข่ายของ กสทช. ที่มีอยู่ทั้ง 3 กลุ่มดังกล่าวข้างต้น
อาจารย์ได้ให้เห็นว่าความสำคัญของเทคโนโลยีที่มีผลต่อความสำเร็จและการพัฒนาสังคมในมิติต่าง ๆ เป็นไปอย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้นหากจะให้ สำนักงาน กสทช. ประสบความสำเร็จตามวัตถประสงค์ของเจตนารมของการที่จะให้ที่ประชาชนไดรับประโยชน์สูงสุดนั้น สำนักงาน กสทช.จะต้องจัดทำโครงการให้ความรู้เรื่องเทคโนโลยี่กับบุคคากรของสำนักงาน กสทช. เป็นดันดับแรกก่อน โดยการจัดทำโครงการเรียนรู้ทางด้านเทคโนโลยีโดยการวางแผนระยะสั้นให้กับบุคคลกรในปัจจุบัน และจัดทำโครงการจัดหาผู้เชียวชาญในด้านการจัดการเทคโนโลยี่โดยส่งเสริมจัดหาทุนการศึกษาให้กับพนักงาน และบุคคลภายนอก และสำนักงานจะต้องจัดหาต่ำแหน่งรองรับหลังจากสำเร็จการศึกษาเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องการสมองไหล
แนวความคิดจากการที่ได้เรียนรู้จากอาจารย์ใวันนี้ ทำให้เห็นได้ว่า โลกเราทุกวันนี้แคบลง คนสามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็ว และสมารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้อย่างทันเหตุการณื แม้ว่าระยะทางะห่างไกลกันแค่ไหนก็ตาม สิ่งที่ทำให้เกิดปรากฏการณืนี้ ก็คือ เทโนโลยีการสือสารนั่นเอง เราในฐานะบุคลากรของสำนักงาน กสทช. ซึ่งเป็นหน่วยงานในการส่งเสริมและการกำกับดูแลเทคโนโลยีเหล่านี้ ก็ควรที่จะต้องคำนึงถึงการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน โดยใช้องค์ความรู้พื้นฐาน และการคิดอย่างแตกต่างและสร้างสรรค์ โดยการส่งเสริมการสร้างสังคมข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนทุกคนมีโอกาสเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน ซึ่งจะเป็นการสร้างความเชื่อมโยงองค์ความรู้ผ่านอินเทอร์เน็ตหรือโลกไซเบอร์ เพื่อเป็นการเสริมสร้างขีดตวามสามารถในการแข่งขัน และสร้างความยั่งยืนให้แก่ชุมชน ยกตัวอย่างเช่น ชาวนาหรือ เกษตรกร หากเกิดโรคระบาดต่อพืชผลของพวกเขา เขาก็จะสามารถค้นหาและศึกษาข้อมูล เพื่อการแก้ไขโรคระบาดเหล่านี้น โดยไม่ต้องรอให้หน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งอาจจะไม่ทันต่อเหตุการณ์แล้ว เกษครกรก็จะพัฒนาศักยภาพในการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง สามารถรักษาผลผลิตเพื่อการค้าหรือการส่งออกไว้ได้ นี่คือการใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์และมีส่วนช่วยในการพัฒนาสังคมในมิติต่างๆ นี่นเอง ซึ่งเราเชื่อว่าสำนักงาน กสทช. นี้จะเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันใหเกิดโอกาสนี้ขึ้นในสังคม
สิ่งที่อาจารย์ณรงค์ศักดิ์ ได้สะท้อนให้เห็นในองค์ความรู้ที่ให้ ได้เห็นพลังภายในร่างกายที่พร้อมจะผลักออกมา มีความช่างสังเกตุเพื่อสร้างโอกาสให้เกิด ไม่ใช่รอให้โอกาสเกิด คิดนอกกรอบที่รู้แจ้งในกรอบ คิดเพื่อคนอื่นและสังคมมาก่อนคิดเพื่อตัวเอง ซึ่งต้องใช้แรงมากกว่าปกติในทุกๆเรื่อง สิ่งเหล่านี้ เป็นตัวจุดประกาย Creativity Thinking ตลอดเวลา และได้ให้มองเห็น Critical Thinking ที่ให้เห็นถึงตัวแปรแวดล้อมต่างๆ ทำอย่างไร ถึงเห็นได้ชัดเจนอย่างวิเคราะห์ และการนำตัวเองไปอยู่ในตัวแปรแวดล้อมที่เหมาะสม หรือ รวมกลุ่มสร้างตัวแปรแวดล้อมนั้นเอง ที่เรียกว่า Vision
Vision ที่อาจารย์ณรงค์ศักดิ์ได้กล่าวถึง ทำให้มองข้าม Vision ขององค์กร ไปถึงส่วนงานที่รับผิดชอบ ซึ่งสามารถมี Vision ของตนเองได้ ไม่จำเป็นต้องรอ Vision ขององค์กรให้เสร็จแล้วมาเขียนให้สอดคล้อง เริ่มต้นได้เลย เพราะเราสร้างโอกาสให้เกิด ไม่ใช่รอให้โอกาสเกิด สิ่งที่คิด (ขอยืมที่เรียนจากอาจารย์สมชาย ว่า ต้องมองเห็นในมุมมองของลูกค้าหรือผู้รับบริการ) คือ ประชาชน นั้นเอง เข้าใจในกฏกติกาของสังคม และขอบเขตของสิ่งที่สามารถกระทำได้ภายใต้ภารกิจและกฏหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อคิดนอกกรอบ กระโดดไปหาประชาชน เพื่อสิ่งที่ดีกว่า สร้างตัวแปรแวดล้อมให้เหมาะสมกับประชาชน เช่นที่ อาจารย์ณรงค์ศักดิ์ อยากได้เชียงใหม่ที่อาจารย์ฯอยู่ มีปัจจัยที่ access โลกแห่งไซเบอร์ได้สุดๆ แต่สำหรับสำนักงาน กสทช. ตัวแปรแวดล้อมของ กสทช. นี้ มีหลายระดับ และในส่วนงานที่ผมอยู่ ผมขอวาง Vision ระดับ Micro ก่อน เพื่อให้บริการสนับสนุนหน่วยงานอื่นๆในการบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ และจะให้มีตัวแปรแวดล้อมแบบสุดๆในสำนักงาน เพื่อเป็นองค์ความรู้ความเข้าใจประชาชนที่มีความต้องการเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือแห่งความสำเต็ว และหวังว่า จะเป็น Jigsaw ความสำเร็จใน Vision กสทช. ในอนาคต
ประเทศไทย .... ไม่ใช่เพียง โลกาภิวัฒน์(Globalization)ที่โลกกลมเชื่อมเข้าหากัน อีกแล้ว แต่ ต้องเป็น Virtual Thailand บนมิติออนไลน์ และมี ประเทศไทยเป็นมิติจริงที่เป็นผู้ผลิตตามความเป็นตนเอง(Customize for Self) Tag บน Virtual People ทั้งโลก
ขออนุญาต Comment ทีมงานของอาจารย์จีระฯ เกี่ยวกับการทำหัวข้อสรุป ที่ปรากฏใน Blog นี้
ในหัวข้อที่ สรุปนั้น จะอยู่ในระดับ Text ที่ปรากฏ ยังคงขาดความเป็น Between the line และความซาบซึ้งในรายละเอียดของเนื้อหาวิชาที่ได้ ด้วยความเคารพครับ ผมมิได้ต้องการรายละเอียดถอดทุกถ้อยความมาเช่นเดียวกัน เพราะได้ฟังและได้ยินจากในห้องเรียนแล้ว แต่ต้องการสื่อให้เห็นว่า การเขียนเพียงแค่หัวข้อ โดยไม่ใช่ สรุปในเนื้อหา เป็นเพียงประโยคสั้นๆ น่าจะเป็นสิ่งที่ทำได้และอยากเห็นให้มีการพัฒนาในทีมงานของอาจารย์จีระฯ เป็นการสร้างศักยภาพของทีมงานของอาจารย์ให้มีคุณภาพสูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง
แล้ว Blog นี้ จะน่าอ่าน ครบ 2'R ที่อาจารย์ได้กล่าวถึง
สำหรับผม เป็นที่รู้ชัดมานานแล้วว่าเทคโนโลยีสารสนเทศ จะเป็นตัวขับเคลื่อนทุกอย่าง การได้เห็นมุมมอง ประสบการณ์ที่เป็นของจริง ของ อาจารย์ มาร์ค มีค่ามากสำหรับผม เป็นแรงบันดาลใจ และส่งเสริมความกล้าที่จะเริ่มทำสิ่งใหม่ๆมากขึ้น
แต่ถ้าเทคโนโลยีสารสนเทศมันดีจริง เป็นสิ่งสำคัญจริง ทำไมสำนักงาน กสทช ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงถึงยังคิดว่า สำนักเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นแค่หน่วยงานสนับสนุน
และคนที่มีความคิดสร้างสรรค์จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ต้องทำอย่างไร เมื่อเขาอยู่ภายในกลุ่มคนที่ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีความสุขในการทำงาน และทำงานเพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นมีงานทำไปเท่านั้น ผมยังสงสัยอยู่
การบรรยายในวันนี้เป็นการนำความเจริญของเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการสื่อสาร มาช่วยในการประกอบอาชีพทำให้มีการลงทุนน้อย เพราะ ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปวิเคราะห์การตลาดถึงความต้องการ ไม่มีค่าใช้จ่ายในการผลิต ไม่มีค่าใช้จ่ายในการนำเสนอสินค้า ลดความเสี่ยงและข้อผิดพลาด ทำให้สามารถผลิตสินค้าออกมาตรงตามความต้องการของลูกค้า มีตลาดรองรับ ทำให้สามารถขายสินค้าได้
ดังนั้นสำนักงาน กสทช. อาจต้องเริ่มต้นด้วยการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการสอบถามถึงความต้องการของลูกค้าว่าอยากได้อะไรจากสำนักงาน กสทช.
จากการได้เข้าร่วม workshop ในหัวข้อการคิดเชิงกลยุทธ์โดย รศ.ดร.สมชาย และหัวข้อ creative thinking โดย อ.ณรงค์ศักดิ์ ขออนุญาตสรุปถึงสิ่งที่คิดว่าเป็นหลักที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับงาน ณ สำนักงาน กสทช. ดังนี้
เนื่องจากโลกที่เราอาศัยอยู่ในยุคปัจจุบันนี้มีความเป็นพลวัต (dynamic) ที่สูงมาก อาจกล่าวได้ว่าเป็นโลกยุคที่มี "อัตราการเปลี่ยนแปลง" ที่สูงกว่าโลกในยุคที่พ่อแม่ ปู่ยาตายายของเราเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่มากนัก ดังนั้น ผู้ที่จะอยู่รอดในโลกยุคนี้ได้ก็คือผู้ทีโดยพื้นฐานในอันดับแรกจะต้องตระหนักรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งมีสำนึกแห่งความเร่งรีบ (sense of urgency) ที่จะเร่งปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้สามารถเอาตัวรอดอยู่ได้โดยเร็ว
แต่ทว่าเท่านั้นคงเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ควรจะเป็นเท่านั้น เพื่อจะให้วงจรแห่งความอยู่รอดดำเนินไปได้ด้วยความบริบูรณ์ในตัวของมันเอง ผู้ที่ประสงค์จะอยู่รอดจะต้องรู้จักวิธีคิดในรูปแบบต่างๆ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินการชีวิตด้วย เช่น การคิดเชิงกลยุทธ์ ในรูปแบบการคิดในลักษณะรู้จักเลือกสรร จัดลำดับความสำคัญของส่ิงที่จะดำเนินการก่อนหลัง (weighted thinking) หรือจะเป็นการคิดในลักษณะ creative thinking เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ แนวคิดใหม่ๆ โดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสร้างความเป็นไปได้ให้เกิดขึ้น ถ้าทำได้เช่นนี้ก็เชื่อมั่นได้ว่าจะสามารถใช้เป็นหลักในการปฏิบัติงาน ณ สำนักงานเพื่อให้การดำเนินการของสำนักงาน กสทช. สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้อย่างเหมาะสมสอดคล้องไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยเพียงไรก็ตาม
ได้เรียนรู้ การวางแนวความคิด วิสัยทัศน์ของสำนักงาน กสทชง ของข้าพเจ้า (ผู้เรียน) โดยอาจารย์ลิขิตฯ ได้กรุณาย่อภารกิจของสำนักงานเหลือเพียงไม่กี่บันทัดที่สวยงาม และได้เปรียบเทียบงานสำนักงาน กสทช. กับ องค์กรประเภทเดียวกันของอเมริกา อังก
ฤษ และญี่ปุ่น มองสิ่งเหมือนกันในความแตกต่าง และเห็นความแตกต่างในสิ่งที่เหมือนกัน
อย่างไรก็ดี ในกลุ่มผู้เรียน ไม่สามารถ สร้างวิสัยทัศน์ของสำนักงาน นอกเหนือจาก Operation Vision ได้ ด้วยเหตุผล ความยากที่จะเดาใจผู้บริหาร หรือ ผู้ที่จะกำหนดวิสัยทัศน์ ตัวจริงได้ แค่เพียงแผนแม่บทขององค์กรต่างๆที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ที่ต้องบูรณาการแล้ว ยังมีสิ่งต้องขัดเกลาอยู่อีกมากมาย ที่ต้องเป็นแผนแห่งชาติ ของแผนแห่งชาติ (แผนแห่งชาติยกกำลังสอง กำลังสาม)
เมื่อวิสัยทัศน์ไม่ชัดเจน การกำหนดพันธกิจย่อมไร้ทิศทาง จะสร้างความคลั่งไคล้ในองค์กร (Passion) ได้อย่างไร เป็นคำถามที่ถูกโยนไปยังวิทยากรถัดไป Bruce Hancock ... ซึ่งเป็นสิ่งท้าทายวิทยากรได้ดี Bruce ได้พูดถึง ความกลัว (Fear) ที่เกิดขึ้น ซึ่งมีอีกหลายคำที่สร้างความหดหู่ในองค์กร ที่กระทบต่อ Passion ของหัวหน้าและลูกน้อง ซึ่งกลับมาเป็นเป็นการบ้านของกลุ่มเรียนอีกครั้ง เพื่อสร้าง Passion ที่มีกลุ่มคำที่ดีที่สร้างพลังขับเตลื่อนในองค์กร
กลุ่มเรียนหลายกลุ่มได้ให้ความเห็นที่ดี ไม่ว่า มุมมองที่เป็น Operation Leader จนถึง ระดับ Power Leader ตั้งแต่ ความรู้สึกร่วมเพื่อสร้างพลัง การสร้างช่องทางการสื่อสารด้วยกิจกรรมเสวนากาแฟ การรวมกลุ่มพนักงานขนาดใหญ่เพื่อความสำเร็จขององค์กรในรูปแบบสมาคมพนักงาน การสร้างพันธกิจจากภารกิจที่ทำเป็นฐานรองรับวิสัยทัศน์ที่ไม่แน่นอน
บรรยากาศการเรียนของผู้เรียน เป็นหนึ่งเดียว คือการมีความรู้สึกร่วมกันที่ต้องการให้องค์กรเป็นองค์กรที่ดีเพื่อประชาชน ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของใคร และบนความจริงและความถูกต้องที่ยั่งยืน ซึ่งน่าจะเป็น Passion ร่วมกัน
สรุปการบรรยายโดยทีมงาน ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์
หัวข้อ วิสัยทัศน์เพื่อการทำงานยุคใหม่ของ สำนักงาน กสทช. ในมุมมองของข้าพเจ้า
โดย ดร.ลิขิต หงส์ลดารมภ์ วันที่ 25 มิถุนายน 2554
• วิสัยทัศน์ คือการมองการไกล มองอย่างฉลาด และเห็นความจริงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
• เราต้องมีความรู้ในการวิเคราะห์ และประยุกต์ใช้
• ต้องมีความท้าทาย
• และดูเรื่องการบริหารการเปลี่ยนแปลง
• นำประสบการณ์มาให้ท่านเห็นความเป็นจริงในอนาคตของสำนักงานกสทช.
• วิสัยทัศน์ เป็นการกำหนดอนาคตที่เป็นไปได้ขององค์กร
• ต้องมีทางเลือกขององค์กร
• แต่ละประกาศจะกำหนด Option 4-5 Option ผ่านมาทาง Stake holder รับทราบ แล้วถึงเป็น Final ประกาศ
• วิสัยทัศน์ถ้าจะทำให้ดี ๆ จะเพิ่มผลดีให้กับ Value Chain ของเรา แล้วถึงแปลงเป็นนโยบาย แล้วกำหนดทิศทางของเรา แล้วถึงกำหนดพันธกิจของการทำงานในองค์กร
• หน้าที่ กสทช. มี 2 มิติ เปลี่ยนจากการกำกับดูแลโทรคมนาคมมาเป็นเพิ่มการกำกับดูแลทางการกระจายเสียง อย่างที่ 2 ท่านมาเพิ่มปรับปรุงการกำกับดูแลด้านโทรคมนาคมด้วย
• การก้าวสู่ยุคใหม่ขององค์กร เป็นยุคของการเรียนรู้ และการสร้างความรู้
• ทุนมนุษย์ในปัจจุบันนี้กลายเป็นเรื่องสำคัญ Labor ต้องเป็น Skill Labor , Capital ต้องเป็น Human Capital เป็นหลักก่อน Financial Capital ค่อยตามมา
ทิศทางโทรคมนาคมและการกระจายเสียงยุคใหม่
• เราเริ่มมีเทคโนโลยี และเทคนิคที่หลอมรวมอยู่ การกำกับดูแลต้องเจอกับความท้าทายต่าง ๆ
• พ.ร.บ.จัดสรรคลื่นความถี่ และการดูแลกำกับกิจการ
• ความถี่คือทรัพยากรหลักของเศรษฐกิจ
• คลื่นความถี่เป็นวัตถุดิบสำคัญมากในการสื่อสารและการกระจายเสียงในวิทยุโทรทัศน์
• แผนบริหาร แผนคลื่นความถี่และการจัดสรรคลื่นความถี่เป็นระยะกลาง ระยะยาว
การเปลี่ยนแปลงการบริการยุคใหม่
• มีหลายเรื่องที่ใช้ร่วมกันได้
• เราต้องทำความเข้าใจว่าการกำกับดูแลมีอะไรบ้าง
• การบริหารและการจัดสรรคลื่นความถี่ ความถี่เป็นสิ่งที่มีจำกัด และ หาใหม่ไม่ได้แล้ว หน้าที่ในการประสานงานกับภาครัฐ เราต้องเอาความถี่ต่าง ๆ ออกมา
• การกำหนดโครงสร้าง ลองดูว่าจะเป็น Vertical หรือ Visual Base
• วิสัยทัศน์ จะเป็นแบบ Command Base หรือ Facilitation Base
- Command Base คือการนำแผนแบบเดิมจากกรมไปรณีย์มาใช้
- Facilitation Base เป็นการปรับตัวและผ่องถ่ายจากแบบเดิม
ความท้าทายต่อสำนักงาน กสทช.
• เพิ่มหน้าที่ความรับผิดชอบในการกำกับดูแลกิจการวิทยุกระจายเสียงและ วิทยุโทรทัศน์บนหน้าที่การกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมที่ดำเนินการอยู่เดิม ดังนั้นมาอยู่ที่วิสัยทัศน์ ว่าจะทำอย่างไร
• ความท้าทายอยู่ที่ว่าท่านจะสร้างองค์กรอย่างไร
• ท่านจะแบ่งงานของประธานกสทช. กับ เลขาธิการกสทช.อย่างไร
• ต้องแบ่งให้ชัดเจน แล้วทำกฎหมาย ถ้ากฎหมายไม่ชัดเจนต้องแก้กฎหมาย
• ปัจจุบันอยู่ภายใต้ความไม่ชัดเจน
หลังจากทุกท่านมีวิสัยทัศน์ อำนาจหน้าที่แล้ว ท่านต้องนำไปทำ Roadmap ของการดำเนินการ
ท่านต้องมีการสะท้อนภาพองค์กรของท่านให้ชัดเจน แล้วปฏิบัติตามกฎหมาย
ดร.ลิขิต ได้สรุป สิ่งที่ทำไป ด้านกำกับดูแลโทรคมนาคมทำได้สมบูรณ์แล้ว เพียงแต่ระเบียบที่ปฏิบัติยากหน่อย เมื่อสอบถามข้อมูล...ได้คำตอบว่า อาจใช้เวลาเยอะ ใช้เอกสารเยอะ และการบังคับใช้ไม่ยุติธรรม เป็นต้น
สิ่งที่อยากให้ทำคือปรับปรุงด้านการกำกับดูแลเท่านั้น
แต่ปัญหาคือ การแก้ไขประกาศอาจทำยากนิดนึงเนื่องจากหลาย ๆ ส่วนต้องเห็นด้วย
การกำหนดวิสัยทัศน์
1. เป้าประสงค์ สำนักงาน กสทช.
- การเป็นผู้กำกับดูแลมืออาชีพ ชั้นยอด
- การเป็นองค์กรที่เหนือกว่าองค์กรอิสระอื่น
- การวางแนวทาง หรือสร้างห่วงโซ่ของคุณค่าและการเติบโตขององค์กรอย่างมีคุณภาพเพื่อเพิ่มศักยภาพและมูลค่าทรัพยากรองค์กร
2. การสนองตอบการคาดหวังของสิ่งรอบตัว (Players)
- ความคาดหวังของประชาชน
- ความคาดหวังของรัฐบาลและรัฐสภา
- ความคาดหวังของอุตสาหกรรมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
- ความคาดหวังของผู้ดู ผู้ฟัง ผู้ใช้บริการ และผู้บริโภค
เสริม
การกำกับดูแลต้องให้ประโยชน์กับทางเศรษฐกิจ ดังเช่น ญี่ปุ่นบอกว่า ICT จะให้มูลค่าเพิ่ม 3 เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น ไทยให้กี่เปอร์เซ็นต์ ??? สังเกตได้ว่าไม่ว่าเศรษฐกิจจะตกหรือไม่ตก ICT ไม่เคยตก สิ่งนี้คือความภาคภูมิใจ
ถาม ...
• อยากแลกเปลี่ยนความเห็นในเชิงนโยบาย ที่บอกว่านโยบายมีหลายส่วนจริง ถ้าจะวิเคราะห์ต้องแบ่งให้ชัด เพราะมีหลายหน่วยเยอะแยะมากเลย แล้วทางปฏิบัติก็จะโยนกันไปกันมา ICT มีหน้าที่โดยตรงก็ตามแต่ไม่รู้ว่ามีบทบาทแค่ไหน อย่างรัฐก็จะมีรัฐบาลเป็น Operator หลัก
• นโยบายการพัฒนากิจการโทรคมนาคมระดับชาติ นโยบายในการกำกับดูแล กฎหมายใหม่มีการตัดนโยบายกสทช.ออกไปซึ่งก็ไร้ความหมาย เนื่องจากเป็นอิสระจากรัฐบาลไปแล้วไม่เกี่ยวกับนโยบายชาติ ในที่ประชุมบรอดแบรนด์แห่งชาติผู้นำบอกว่าทำยังไงถึงตัดอำนาจ กสทช.ได้ การพูดแบบนี้เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตามเชื่อว่าหลังจากมีนโยบาย ICT แห่งชาติ ขึ้นมาแล้วจะทำให้รัฐบาลมีความเข้าใจมากขึ้น
• ความสำคัญ เมื่อรัฐบาลกำหนดนโยบายชาติไปแล้ว นโยบายการกำกับต้องสอดคล้องกับนโยบายชาติ ซึ่งเป็นตัวกำหนดว่าคุณต้องทำตาม Regulator ซึ่งเป็นปัญหาของการปฏิบัติจริง ทำให้นโยบายกระทรวงสับสน อย่าง TOT กับ CAT จะต้อง under regulator 100 % สำหรับในเรื่องนโยบายของรัฐบาลต้องคิดถึงโครงข่ายหลักที่จะโยงถึงประชาชน ดังนั้น กสทช. ต้องคิดว่าจะเอาอย่างไร อย่างเช่น จะเอา Fiber หรือ Wireless และนโยบายการตลาดควรจะเป็นอย่างไร รัฐบาลต้องมีการตอบนโยบาย และสามารถตอบ CAT กับ TOT ได้ด้วยเช่นกัน แต่ในทางการเมืองยากมาก สิ่งที่แก้ได้คือกฎหมาย
• ล่าสุดในกรรมาธิการวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีของวุฒิสภา มีแนวทางการศึกษาพรบ.การบังคับใช้ปี 53 ในมุมวิชาการอยากให้มีการสะท้อนสิ่งตรงนี้มากขึ้น ความจริงยังไม่พูดตั้งแต่การลงในราชกิจจาเพื่อการแก้ไข อยากให้สะท้อนปัญหา แล้วเอาปัญหาที่แท้จริงมาพูดกัน นำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขได้ มีองค์กรใหญ่ องค์กรเล็ก และที่มากับการทำงาน ตรงนี้เป็นโครงสร้างองค์กรหลัก ไม่เคยมีการเอามาถกในเวทีสาธารณะ
• น่าแปลกหรือไม่ว่า regulator ที่ทำงาน 4-5 ปีช่วงนั้นไม่มีใครสะท้อนปัญหานั้นออกมาเลย ทั้งที่มีการถกเถียงในช่วงนั้นมาก ไม่ค่อยรู้อย่างแท้จริง คนปฏิบัติไม่มีบทบาทโดยตรง ทำให้กฎหมายออกมาดูพิการ
• Regulator บอกว่า การทำงานร่วมกันระหว่างบอร์ด กสทช. กับสำนักงาน ปัญหาไม่ได้อยู่ที่กฎหมาย ปัญหาอยู่ที่การปฏิบัติ กสทช.ออกกฎระเบียบขัดต่อกฎหมาย ทำให้กฎหมายดูเหมือนพิกลพิการ
ดร.ลิขิต
• ปัญหาของ กสทช. คือการตีความด้านการเป็นอิสระของกสทช. อิสระจากการแทรกแซงรัฐบาล กับความเป็นอิสระของการไม่เอารัฐบาลมาเกี่ยวข้อง
• เป็นหน้าที่ของประธาน เราต้องมีหน้าที่ประสานงานตั้งแต่ต้นว่าการประสานงานวิสัยทัศน์กับภาครัฐกับกสทช. ให้ชัดเจนและไปในแนวทางเดียวกันซะก่อน
• ถ้าคิดว่าเป็นอิสระ คุณจะต้องสร้างนิยามของความเป็นอิสระ และสร้างให้ชัดเจนซะก่อน
• ความเป็นอิสระจากการแทรกแซงรัฐบาล ของผู้ประกอบการ และผู้มีอำนาจอื่น ๆ
ถาม
• เรื่องใหญ่คือเรื่องเชิงนโยบาย ที่พูดถูกคือ ความไม่คุยกัน เลยมีปัญหา ทำให้เข้าใจไม่ตรงกันแล้วเข้าใจไม่ถูกด้วย เลยไม่ทราบว่าควรทำอย่างไร ?
• มีความแตกต่างการกำกับดูแลการกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ กับกิจการโทรคมนาคม อยากให้พูดเรื่องความแตกต่าง
ดร.ลิขิต ตอบ
เราต้องทำความเข้าใจอุตสาหกรรมการกระจายเสียงก่อน ว่า
1. สภาพความเป็นมา วิวัฒนาการกระจายเสียงเป็นอย่างไรบ้าง เรากำลังเข้าสู่ยุคธรรมาภิบาล คือยุคกำกับดูแลตัวเอง เราต้องทำการศึกษายุคของการกระจายเสียงมาให้ได้ ยุคของการพัฒนาโทรทัศน์ มีใบอนุญาตให้สัมปทาน อย่างไร ท่านต้องเล่ามาให้ได้
2.ลักษณะการกำกับดูแลที่เหมือนกันคือบังคับใช้ตามกฎหมาย แต่ ขั้นปัญหา การกระจายเสียงจะล่อแหลม มีเสรีภาพด้านการแสดงความคิดเห็น เราต้องลงไปที่ Micro คือ คุณภาพบริการ ต้องถกเถียงว่าบทบาทขององค์การโทรทัศน์มีอิทธิพลต่อการปฏิบัติงานหรือไม่ บทบาทขององค์กรโทรทัศน์กระทบกับบทบาทวัฒนธรรมของประเทศหรือไม่ ผู้ฟังต้องมีวิจารณาญาณเอง รายการที่กระทบเยาวชนไม่ได้ ดังนั้นการออกใบอนุญาตต้องศึกษาอย่างมโหฬาร จึงถือได้ว่าเป็นเรื่องของ Wide Check การกระจายเสียงออกได้แค่ควบคุมบทบาทของพฤติกรรมเท่านั้น
จากที่ฟัง อ.ณรงค์ศักดิ์ Creative Thinking ไม่ใช่พรสวรรค์ ทุก ๆ คน สามารถเป็น Creative ได้ แต่ลำดับแรกคนเราจะต้องหัดตั้งคำถามบ่อย ๆ แต่คำถามนั้นจะต้องเป็นคำถามที่มีคำตอบในตัวของมัน นักคิดที่ดีจะต้องคิดให้เป็นระบบ จะต้องมีแรงจูงใจในการคิด สุดท้าย ก็จะต้องมีประสบการณ์ Experience
นักคิดที่ดีควรทำตัวเป็นคนโง่ เปรียบเสมือนแก้วน้ำที่ว่างเปล่าพร้อมที่จะเติมเต็มความรู้ให้กับตนเองตลอดเวลา ไม่มีวันเต็ม ดั่งคำสอนของศาสนาอิสลามที่ว่า “จงศึกษาตั้งแต่อยู่ในเปล จนถึงหลุมฝังศพ” ความหมายให้เราศึกษา หาความรู้ตั้งแต่เกิด จนถึงวันสุดท้ายที่เรากำลังจะตายลง
Value Chain ห่วงโซ่คุณค่าคือทุก ๆ คนในองค์กรไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน เสมียน ผู้บริหาร ตลอดจน CEO ขององค์กรทุก ๆ คนเหมือนห่วงโซ่ แต่ละข้อที่มีความสำคัญแตกต่างกันไป ถ้าองค์กรขาดห่วงโซ่ใดห่วงโซ่หนึ่งองค์กรนั้นก็จะไม่ประสบความสำเร็จ หรือไม่สามารถทำงานได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
เราสามารถนำองค์ความรู้ของท่านอาจารย์มาประยุกต์ใช้ในหน่วยงานได้ดังนี้
1. Connect เนื่องจากเป็นองค์กรใหม่ พนักงานแต่ละคนมาจากหลากหลายหน่วยงาน ขาดการติดต่อ ประสานงานกันที่แท้จริง
2. Positive Thinking สอนให้พนักงานคิดในเชิงบวก มองโลกในแง่ดี
3. ส่งเสริมและสนับสนุนให้พนักงานในองค์กรเป็นคนที่คิดเป็น รู้จริง
4. แก้ไข กฎระเบียบของทางราชการที่มีขั้นตอนการทำงานที่มีระยะเวลาค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นจุดอ่อนขององค์กรที่ไม่สามารถแข่งขันกับองค์กรภาคเอกชนได้
การบรรยายของ อ.ลิขิต
1. โครงสร้าง กสทช. ควรจะอยู่ในลักษณะ issue base
2. การแบ่งอำนาจหน้าที่ของประธานกสทช. และ เลขาธิการกสทช. ควรกำหนดเส้นแบ่งเขตให้ชัดเจน และออกมาในรูปหลักเกณฑ์ หรือการประชุมร่วมกัน
3. ปรัชญาการกำกับดูแลยุคใหม่ควรอยู่ในลักษณะ facilitate
4. เป้าประสงค์ของสำนักงาน กสทช.
ควรเพิ่ม เป็นองค์กรกำกับดูแลด้านโทรคมนาคมและกระจายเสียง ต้นแบบในภูมิภาคอาเซียนซึ่งต้อง Beat สิงคโปร์ให้ได้
5. องค์ประกอบที่กำหนดวิสัยทัศน์ของ กสทช. เพิ่มเติม
การมีส่วนร่วมของ Stakeholder โดยเฉพาะภาคประชาชน
6. ตัวอย่างวิสัยทัศน์ กสทช. เพิ่มเติม
คำขวัญ กำกับดูแลโปร่งใส ยุติธรรม นำไปสู่ธรรมาภิบาล
7. จัดลำดับความสำคัญขององค์ประกอบที่กำหนดวิสัยทัศน์รวมที่เพิ่มเติม
การนำบทเรียนของ อ.ณรงค์ศักดิ์ ผ้าเจริญ ไปใช้ในงาน กสทช.
1. นำความคิดสร้างสรรค์ ไปสร้างสรรผลงานทางด้านวิชาการและผลงานด้านประชาสัมพันธ์ เช่น อาจารย์ได้กล่าวถึง ความช่างสังเกตในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน และนำไปต่อยอด ซึ่งขณะนี้มองเห็นว่ากสทช. ได้ปฏิบัติหน้าที่ศักยภาพให้ช่วยเหลือสังคมหลายด้าน ทั้งตามพันธกิจ และนอกเหนือพันธกิจ ควรจะต่อยอด นำ message นี้ convey สู่สื่อและสังคม และมุ่งต่อยอดไปสู่สังคมยั่งยืนด้วยโทรคมนาคม
2. ความมุ่งมั่นที่จะนำ Creative Thinking ไปต่อยอดก่อให้เกิดรูปธรรม และสามารถนำไป implement ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อคิดในเรื่องดังกล่าว จะขอยกตัวอย่าง เช่น ขณะนี้เทคโนโลยีได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว การตามให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องยาก ดังนั้นควรจะมีกระบวนการที่จะ Simplify งานดังกล่าวไปสู่สังคมใน กสทช. เพื่อให้ทุกคนเกิดการเรียนรู้ร่วมกัน
Paradigm Shift ช่วยให้เข้าใจวว่าเมื่อ Paradigm เคลื่อนไปหรือเปลี่ยนแปลงไป จำเป็นต้องปรับวิธีคิดและกลยุทธ์เพื่อปรับตัวให้อยู่รอดใน Paradigm ใหม่ต่อไป
Creative and Critical Thinking ทั่วไปเห็นว่า การเริ่มต้นด้าน Why? หรือ What is ? ได้อย่างไร ช่วยให้สามารถหาประเด็นและทำให้เกิด inspiration และ imagination ในการสร้าง Innovation
System Thinking ช่วยให้เข้าใจ ปัญหาที่เกิดขึ้น และหาความสัมพันธ์เชื่อมโยงเพื่อให้เข้าใจปัญหาอย่างเป็นธรรม องค์รวม แล้วหาทางแก้ปัญหา โดยคำนึงถึง Reality และ Relevance ในประเด็นต่าง ๆ
Wininig Project "กสทช. กำกับดูแลวิทยุชุมชน โดยชุมชนเพื่อชุมชน"
หลักการและเหตุผล
ปัจจุบันมีสถานีวิทยุชุมชน ประมาณ 6,000 แห่งทั่วประเทศ สำนักงาน กสทช. ได้รับการร้องเรียนเรื่องด้านเนื้อหา เช่น มีการนำเสนอเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม หมิ่นสถาบัน และทางด้านเทคโนโลยี เช่น รบกวนความถี่การบิน ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน อันเนื่องจากการใช้สื่อวิทยุชุมชน ทำให้เกิดความแตกแยกทางสังคม ดังกล่าว
วัตถุประสงค์
วิธีการดำเนินงาน
ผู้รับผิดชอบ
ระยะเวลา
Short Term : Pilot Project
Long Term : ทั่วประเทศ 5 ปี
งบประมาณ
Networks & Stakeholder
ปัจจัยที่เป็นอุปสรรค
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
ต่อองค์กร
ต่อสังคม
Action Plan
เข้าเยี่ยมชมศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ในวันที่ 27 มิถุนายน 2554
ณ ห้องบุษกร(ชั้น 1) อาคารเนคเทค
การนำเสนอวิดีทัศน์แนะนำการดำเนินงานศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค)
โดย งานประชาสัมพันธ์
กล่าวต้อนรับคณะผู้บริหาร กสทช.
โดย ดร.ปิยวุฒิ ศรีชัยกุล
บรรยายให้ความรู้ในหัวข้อ "การบริการอย่างทั่วถึง: ระบบบริการการถ่ายทอดการสื่อสารสำหรับผู้ที่บกพร่องทางการได้ยินและผู้ที่บกพร่องทางการพูด”
โดย คุณวันทนีย์ พันธชาติ
ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยประยุกต์และบริการทดสอบและประเมินเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก
เข้าเยี่ยมชมศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ในวันที่ 27 มิถุนายน 2554
ณ ห้องบุษกร(ชั้น 1) อาคารเนคเทค (ต่อ)
บรรยายให้ความรู้ในหัวข้อ "ระบบสังเคราะห์เสียงพูดภาษาไทย”
โดย ดร. ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย
บรรยายให้ความรู้ในหัวข้อ "Traffy: ระบบประเมินและทำนายสภาพการจราจร"
โดย ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม นักวิจัย หน่วยวิจัยสารสนเทศการสื่อสารและการคำนวณ
ถึง ผู้เข้าอบรม กสทช.ทุกท่าน
1. ภูมิใจมากที่ได้มีโอกาสได้ทำงานร่วมกัน 5 วันเต็ม บรรยากาศที่ชะอำดีมาก ชอบมากครับและอยากไปอีกครั้ง
2. ศักยภาพของแต่ละท่านดีมาก
3. เปิดใจกว้าง รับฟัง แสวงหาโอกาสใหม่ๆ เสมอ
4. ชีวิตผมไม่สมบูรณ์ ถ้าไม่ได้รู้เรื่อง กสทช. มากขึ้น
5. ยังมีประชาชนอีกมากที่ไม่รู้เรื่อง
6. ทำอย่างไรครับ
สรุป หนังสือเรื่อง “8K’s+5K’s” ทุนมนุษย์ของคนไทยรองรับประชาคมอาเซียน ประกอบด้วยเนื้อหาจำนวน 10 บท โดยสามารถสรุปได้ดังนี้
บทที่ 1 อธิบายถึงเส้นทางการทำงานของ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ท่านเป็น “ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้” หรือ “HR Champion” ด้วยเจตนารมณ์เดียวในหัวใจของท่าน คือ การสร้างทุนมนุษย์ในประเทศไทยให้มีคุณภาพ เพระ า “ทุนมนุษย์” หรือ “ทรัพยากรมนุษย์” เป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดของสังคม
ดร.จีระ ต้องริเริ่มสร้างงานใหม่เพื่อการพัฒนา “ทรัพยากรมนุษย์” โดยการจัดตั้ง “มูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ” ตามมติคณะรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ พ.ศ. 2539 ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะทำงานด้านทรัพยากรมนุษย์ของเอเปก (Lead Shepherd of APEC HRD Working Group)(ปี พ.ศ. 2545-2547)
บทที่ 2 แนวคิดทฤษฎี 8K’s หรือทุน 8 ประการเป็นพื้นฐานของทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ ประกอบด้วย
K1 Human Capital ทุนมนุษย์
K2 Intellectual Capital ทุนทางปัญญา
K3 Ethical Capital ทุนทางจริยธรรม
K4 Happiness Capital ทุนทางความสุข
K5 Social Capital ทุนทางสังคม
K6 Sustainable Capital ทุนทางความยั่งยืน
K7 Digital Capital ทุนทางเทคโนโลยีสารสนเทศหรือ IT
K8 Talented Capital ทุนทางความรู้ ทักษะและทัศนคติ
การนำแนวคิดทฤษฎี 8K’s มาเป็นแนวทางเพื่อการพัฒนายุทธศาสตร์ในระดับประเทศ ระดับชุมชน ระดับองค์กร ครอบครัว หรือแม้กระทั่งตัวเราเอง จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นมากสำหรับสังคมไทยและควรจะต้องเริ่มทำทันที แนวคิดทฤษฎี 8K’s หรือ ทุน 8 ประการเป็นพื้นฐานของทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ
บทที่ 3 คำถาม คือ “จะพัฒนาให้คนไทยทุกภาคส่วนสนใจการพัฒนาคุณภาพของทุนมนุษย์แบบ8K’s อย่างจริงจังได้อย่างไร?”
บทที่ 4 นอกจากแนวคิดทฤษฎี 8K’s ยังมีทุนอีก 5 ประการที่มีความสำคัญ “ทฤษฎี 5 K’s (ใหม่)” ประกอบด้วย
Creativity Capital ทุนแห่งความคิดสร้างสรรค์
Knowledge Capital ทุนทางความรู้
Innovation Capital ทุนทางนวัตกรรม
Emotional Capital ทุนทางอารมณ์
Cultural Capital ทุนทางวัฒนธรรม
บทที่ 5 สิ่งสำคัญที่จะทำให้ทุกคนรู้จักถึงความเสี่ยงและโอกาสของ AEC ก็คือ ต้องอธิบายให้เข้าใจว่าการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนนั้น มี 4 เรื่องที่จำเป็นต้องพัฒนาไปร่วมกันทั้ง 10 ประเทศในอาเซียน
เรื่องแรก คือ การเปิดการค้าและบริการรวมไปถึง การลงทุน การเงิน สินค้า และแรงงาน
เรื่องที่สอง คือ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้สูงมากขึ้น
เรื่องที่สาม คือ การลดช่องว่างในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
เรื่องสุดท้าย คือ การบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก
ในวันนี้คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่มีความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง ยังไม่ตระหนักถึงความสำคัญ หรือยังคิดว่าเรื่องการเปิดเสรีอาเซียนเป็นเรื่องไกลตัว จึงจะนำเสนอ 10 ประเด็น สำคัญที่คนไทยควรจะต้องรู้จริงเพื่อก้าวไปกับอาเซียนเสรีได้อย่างมั่นคงและสง่างาม
ประเด็นแรก ต้องรู้จริงว่า “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” หรือ ASEAN Economic Community (AEC) คืออะไร? และจะมีผลกระทบอย่างไร
ประเด็นที่สอง ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เกิดขึ้นภายในข้อตกลงของการร่วมมือกันใน 3 เรื่องใหญ่ ประกอบด้วย เศรษฐกิจ และการค้า การลงทุน, สังคมและวัฒนธรรม, ความมั่นคงทางการเมือง
บทที่ 6 AEC กับคุณภาพทุนมนุษย์ของประเทศจาก มุมมองของนักคิดและนักปฏิบัติแถวหน้าของสังคมไทย รศ.ดร.สมชาย ภคภาสวิวัฒน์ วิเคราะห์เจาะลึกลงไปในเรื่องของทรัพยากรมนุษย์ โดยประเทศไทยควรอย่างยิ่งที่จะต้องลงทุนในเรื่องทุนมนุษย์ให้มากกว่านี้เริ่มจากแรงงานระดับล่างซึ่งเป็นแรงงานที่ควรจะพัฒนาตนเองไปสู่แรงงานผู้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับตนเอง
ดนัย จันทร์เจ้าฉาย เขาเชื่อว่าคนไทยในศตวรรษที่ 21 จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีทักษะ 3 ด้าน นั่นก็คือ Work Skill, Innovation Skill, Life Skill
การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ วิถีชีวิต วัฒนธรรม เป็นสิ่งสำคัญแต่วันนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้วเพราะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งรัฐบาลและเอกชนต่างต้องการหารายได้ จนลืมนึกถึงความเสียหายจนทำให้วัฒนธรรมท้องถิ่นอันงดงามถูกครอบงำจากวัฒนธรรมภายนอก
บทที่ 7- บทที่ 10 Idea Reflection ของนักธุรกิจและนักวิชาการเรื่องของทุนมนุษย์
หม่อมหลวงชาญโชติเชื่อว่า สาเหตุที่สำคัญมาจากปัญหาการบริหารจัดการและปัญหาการขาดทุนทางจริยธรรมเป็นมุมมองที่สอดคล้องกับทฤษฎี8 K’s และ 5K’s (ใหม่) ของอาจารย์จีระ และยังเห็นว่าหากทุกคนตระหนักเรื่องคุณภาพของทุนมนุษย์ ปัญหาหรือช่องว่าที่มีก็จะค่อยๆ ลดลง
คุณฉัตรชัย มงคลวิเศษไกวัล มองว่า “การสร้างทุนมนุษย์ที่เหมาะสมในอาเซียนต้องเปลี่ยนวิธีคิด แต่ต้องคิดว่าสิ่งที่เราทำอยู่จะมีผลอะไรกับภาพใหญ่ของสังคม ของประเทศ ไม่เปิดโอกาส “ต้องรู้จักจัดการสถานการณ์ต่างให้ได้ ให้เป็น โดยใช้ปัญญา”
คุณอนุรัตน์ ก้องธรนินทร์ มองว่าทฤษฎี8 K’s และ 5K’s (ใหม่) จะเป็นแนวทางการพัฒนาคุณภาพของทุนมนุษย์เพื่อตอบโจทย์ AEC ได้อย่างดี โดยเฉพาะทุนที่ผมใช้เป็นหลักในการทำธุรกิจ หรือทุนทางจริยธรรม
ดร.รัชดา เจียสกุล มองว่า สิ่งสำคัญมาก คือ ยึดมั่นในเรื่องคุณธรรมจริยธรรมทั้งในส่วนของผู้ประกอบการและราชการ ทำอย่างไรให้ภาคราชการกับภาคธุรกิจทำงานร่วมกันเป็น Team Thailand
สรุปว่าการพัฒนาทุนมนุษย์เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนควรทำ คือ
หนึ่ง เรียนรู้การเปิดเสรีอาเซียน
สอง สำรวจตัวเองว่าโอกาสของเราคืออะไร? ความเสี่ยงคืออะไร? เราต้องเร่งหาทางป้องกันหรือสร้างภูมิคุ้มกันอย่างไร?
สาม เมื่อสำรวจตัวเองแล้ว ขยายวงมาสู่ครอบครัว องค์กร ชุมชนสังคม
สี่ ปัจจัยที่สำคัญที่สุดและเป็นเครื่องวัดศักยภาพทางการแข่งขันแต่ละประเทศ คือ “ทุนมนุษย์” หรือนำทฤษฎี8 K’s และ 5K’s มาเป็นแนวทางในการเร่งพัฒนาคุณภาพทุนมนุษย์ให้กับประเทศไทย
ห้า นอกจากการพัฒนาทุนมนุษย์ของตนเองให้มีคุณภาพแล้ว ต้องขยายวงไปสู่ครอบครัว องค์กร ชุมชน สังคม และประเทศตามลำดับ
การศึกษาดูงาน ณ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
ระหว่างวันที่ 6 – 13 กันยายน 2556
โดย นายสุทธิศักดิ์ ตันตะโยธิน
กลุ่มงานวิชาการและจัดการทรัพยากรโทรคมนาคม (วท)
รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการอบรมผู้บริหารระดับกลาง สำนักงาน กสทช. ของหลักสูตร “พัฒนาผู้บริหารระดับผู้อานวยการกลุ่มงานของสำนักงาน กสทช.” (ผบก.) ซึ่งจัดให้มีการศึกษาดูงาน ณ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี) ระหว่างวันที่ 6 – 13 กันยายน 2556 เพื่อศึกษาดูงานเกี่ยวกับการบริหารจัดการองค์กรของอุตสาหกรรมในประเทศเยอรมนีที่สามารถปรับตัว ยอมรับการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง เพื่อนำพาองค์กรให้สามารถแข่งขันและอยู่รอดในได้ในสภาวะเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งอุตสาหกรรมที่กล่าวถึงในการศึกษาดูงานครั้งนี้ ได้แก่ บริษัท Siemens AG ที่เมือง Munich และ บริษัท Benz ที่เมือง Stuttgart นอกจากนั้นแล้วยังได้เข้าเยี่ยมพบ รองกงสุลใหญ่ นายจิตติพัฒน์ ทองประเสริฐ ณ เมือง Frankfurt
สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เป็นประเทศตั้งอยู่ในตอนกลางของทวีปยุโรป เป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันยาวนาน มีเมืองหลวงคือ เบอร์ลิน (Berlin) มีพื้นที่ราว 357,๐5๐ ตารางกิโลเมตร มีประชากรประมาณ 82 ล้านคน จากการที่ตั้งอยู่ในตอนกลางของทวีปยุโรปทาให้ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี มีเขตติดต่อกับประเทศเพื่อบ้านถึง 9 ประเทศ ได้แก่ ประเทศออสเตรีย เบลเยียม สาธรณรัฐเช็ก เดนมาร์ก ฝรั่งเศส ลักเซมเบอร์ก เนเธอร์แลนด์ โปร์แลนด์ และประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ในการเดินทางไปศึกษาดูงาน ณ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี คณะผู้เดินทางได้เดินทางไปศึกษา ดูงานยังเมือง Munich เมือง Stuttgart และเมือง Frankfurt ซึ่งในแต่ละเมืองต่างมีความสำคัญแตกต่างกันไป ดังนี้
1. เมือง Munich เป็นเมืองที่มีหอศิลปะ สวนสาธารณะ และพิพิธภัณฑ์ที่มี ชื่อเสียงหลายแห่ง เป็นที่ตั้งสานักงานใหญ่ของบริษัทที่มีชื่อเสียง เช่น BMW และ Siemens บริษัทที่ผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง และสถาบันวิจัยอีกหลายแห่ง มีมหาวิทยาลัย 3 แห่ง และสถาบันการศึกษาระดับ สูงอีก 8 แห่ง ซึ่งในการเดินทางไปที่ เมือง Munich นี้คณะผู้เดินทางไปเข้าไปศึกษาดูงานที่บริษัท Siemens ซึ่งเป็นบริษัทที่เก่าแก่กว่า 100 ปี ของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เป็นบริษัทหนึ่งในบริษัทที่เป็นผู้นาด้านเทคโนโลยีซึ่งเคยมีความเป็นเลิศทางด้านการแพทย์และผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าสาหรับผู้บริโภค รวมทั้งเป็นหนึ่งในตลาดโทรศัพท์มือถือ ในปัจจุบัน บริษัท Siemens ได้ก้าวสู้บริษัทนวัตกรรมที่ทาโครงการใหญ่ ๆ ด้วยประกายคาถาม How the world Changing และ Siemens AG เป็นทุกสิ่งที่เปลี่ยนแปลง และบริษัท Siemens ได้กลายเป็นหุ้นส่วนโครงการใหญ่ (Mega Project) ของประเทศต่าง ๆ เป็นทั้งแหล่งเงินกู้เพื่อนามาซื้ออุปกรณ์ โครงสร้างพื้นฐาน หรือบริการที่เป็นนวัตกรรมของ Siemens ให้กับชุมชนในประเทศต่าง ๆ
หลักการบริหารองค์กรของ บริษัท Siemens เน้นการทางานร่วมกับองค์กรหรือบริษัทเอกชนของชุมชนหรือภายในประเทศที่เป็นลูกค้า การพัฒนาบุคลากรเน้นความเป็นเลิศและคุณภาพมนุษย์เป็นหลัก
2. เมือง Stuttgart เป็นเมืองอุตสาหกรรม ที่สำคัญคืออุตสาหกรรมยานยนต์ และเป็นถิ่นกำเนิดของบริษัทผลิตรถยนต์ที่มีชื่อเสียง ได้แก่ Mercedes Benz ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนาด้านยานยนต์ เป็นต้นกำเนิดนวัตกรรมเครื่องยนต์หลายรูปแบบที่ถูกพัฒนามาเป็นยานยนต์ อากาศยาน
และเน้นการสร้างความหลากหลายจากนวัตกรรมที่เป็นเลิศมาหลายร้อยปี การบริหารองค์การของ บริษัท Mercedes Benz เป็นแบบศูนย์กลางที่มีผู้บริหารเพียง 8 คนและมีการกระจายเป็นบริษัทลูกย่อย ๆ ในประเทศต่าง ๆ เพื่อความเหมาะสมในการต่อรองทางการค้า และการวางตำแหน่งในอุตสาหกรรมยานยนต์ ทั้งนี้ในการลงทุนระหว่างประเทศ บริษัท Mercedes Benz จะใช้กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในแต่ละประเทศ โดยมุ่งเน้นเชิงพาณิชย์เท่านั้น ไม่แทรกแซงทางการเมือง
นอกจากนี้ บริษัท Mercedes Benz ยังเป็นแหล่งความรู้ระดับโลกที่ได้สร้างวิศวกร สนับสนุนการทากิจกรรมนวัตกรรมยานยนต์ และรับออกแบบยานยนต์ต้นแบบให้บริษัทอุตสาหกรรม ยานยนต์รายอื่น ๆ เช่น ต้นแบบรถแข่ง Porche และ Formula 1 หรือรถเชิงพาณิชย์ Nissan รุ่น Tierna หรือเป็นเครื่องยนต์ในบางรุ่นของ BMW เป็นต้น
3. เมือง Frankfurt เป็นเมืองที่ตั้งของสถานกงสุลใหญ่ของประเทศไทยไทย และมีคนไทยอาศัยอยู่จานวนหลายหมื่นคน ณ ที่นี่ คณะผู้เดินทางศึกษาดูงานของ สำนักงาน กสทช.ได้เข้าเยี่ยมพบ นายจิตติพัฒน์ ทองประเสริฐ รักษาการกงสุลใหญ่ของประเทศไทยประจาสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ซึ่งได้ให้ความรู้เกี่ยวกับภารกิจและอำนาจหน้าที่ของสถานกงสุลในการดูแลคนไทยในต่างประเทศ รวมถึงให้ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาในสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
จากประสบการณ์ที่ได้รับจากการไปศึกษาดูงาน ณ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี พบว่าบริษัทชั้นนำของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ทั้ง บริษัท Siemens และ บริษัท Benz เป็นบริษัทที่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงและให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์กรและบุคลากรเพื่อเข้าสู่การเปลี่ยนแปลง ยอมละทิ้งสิ่งเก่า ก้าวเข้าสู่สิ่งใหม่และพัฒนาต่อยอดไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อความอยู่รอดสามารถแข่งขันได้ในภาวะเศรษฐกิจของโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จะเห็นได้ว่าการปรับตัวและยอมรับการเปลี่ยนแปลงและสร้างความเปลี่ยนแปลงในองค์กรจะสามารถนาพาองค์กรให้พ้นวิกฤติ และสามารถอยู่รอดได้
ดังนั้น สำนักงาน กสทช. ในฐานะองค์กรที่มีหน้าที่ในการกากับดูแลทั้งทางด้านโทรคมนาคมและด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ควรจะต้องมีการกำหนดยุทธศาสตร์ ทิศทางและเป้าหมายของ สำนักงาน กสทช. ให้ให้ชัดเจนและเป็นไปในแนวทางเดียวกันทั้งองค์กร กำหนดบทบาทที่ต้องเล่นในฐานะองค์กรกากับดูแล เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ AEC ที่กาลังจะเกิดในปลายปีนี้ ยอมรับและพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงจากสิ่งเก่าเพื่อไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีกว่าเดิม สิ่งสำคัญที่สุดคือการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรในองค์กรให้เหมาะสมและสอดคล้องกับทิศทางขององค์กร
สุดท้ายนี้ กระผมขอเสนอให้มีการพัฒนาศักยภาพผู้นาของสำนักงาน กสทช. ต่อไป แต่ควรเพิ่มเนื้อหาในการศึกษาดูงานให้กว้างมากขึ้น ควรมีการศึกษาดูงานในหลากหลายประเทศ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา หรือประเทศอื่น ๆ ในยุโรป ซึ่งจะเป็นทางเลือกมากยิ่งขึ้น และควรเน้นเรื่องการพัฒนาองค์กรและโครงสร้างขององค์กรที่จะสามารถนามาปรับใช้กับองค์กรและบุคลากรของสำนักงานได้ นอกจากนั้นแล้วในการศึกษาดูงานควรต้องศึกษาดูงานที่เกี่ยวข้องกับด้านโทรคมนาคมและด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ เพื่อนำกลับมาปรับปรุงและปรับใช้กับบริหารการทำงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด
-----------------------------------------------------------