ดร.กฤษฎา
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กฤษฎา สังขมณี

การจัดการสินเชื่อ เทอม 1 / 2554


สินเชื่อไม่ใช่เรื่องยาก

Ico64

1. See all of you again

         This class is the same pattern as Money and Banking. We'll communicate with the same method , Blog , Eng. , Thai too.

        You must on time. I don't like anyone late to my class. If you late I won't check your namelist.

        About your uniform , please dress neatly , shirt in trouser / skirt , seriously.

             Thanks for believe my instruction

            Assistant Professor Doctor Krisada

 

Ico64

2. Dear students

        First of all , arrange your resume in Eng. version with your clearly picture send to my blog within 12.00 p.m. Thursday 23 June 2011. I will collect your background to manage our class fit for you.

         Second , comment about your professor in order to improve in the next soon.

       

        Please do this first two assignment with best effort and must be on time.

                          Thanks a lot

                           Dr. Krisada

 

 

Ico64

3. Students

      Sorry I told you World Bank is not IRDC but IBRD (International Bank for Reconstruction and Development)

     Assignment for this week is you analyze if Yinglak will be a new Prime minister will impact Thai Economics in whatever ?

      Send to me within Thursday 30 12.00 p.m. again in English version at least 10 lines.

                          your professor        

                               Dr.Krisada

   

 Ico48

4. Second Class Students

นลินี สุพัตรา You're late.

Someone don't send and much of you are on time and excellent.

I think my student work hard and know the way to search the answer and add your comment to colour or creaming your assignment.

You're very good young boy and lady too.

I wish to see you in the same way in every subject.

Please go to vote on Sunday 3rd. July at your register zone.

The man no. 5 (Chuwit) will help our country. 555555555555555555555

                                  Dr.Krisada

  
 

 Ico64

 

Students

    Next week you'll have mid-term examination.You must do all 10 questions to answer and your answer must at least I tell at the end for any questions.

     The exam will prepair in English language and you can answer in both Eng. and Thai language.

                      Good luck

                                 Dr.Krisada

                                 22/7/2011

Ico64

วันอังคารที่ 20 กันยายน 2554

Happy Birth Day to me

ให้นักศึกษาเลือกทำเพียง 5 ข้อ โดยทุกคนต้องทำข้อ 4 และข้อ 6

1.  ให้เปรียบเทียบประเด็นพิจารณาในการให้สินเชื่อระหว่าง สินเชื่อพาณิชยกรรม (Modern Trade)  และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Development) รายใหญ่ๆในประเทศไทย

2.  การที่เกิดภาวะเงินบาทมีค่าลดลงมาก  (เงินบาทอ่อนตัว) มีผลต่อการที่ธนาคารของท่านในการให้สินเชื่ออย่างไรบ้าง  และการที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่นั้น  จะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในประเด็นใดบ้าง 

3.  การควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่สำคัญมาก ท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ และ บอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

4.  จงอธิบายถึงอัตราส่วนทางการเงิน  (Financial Ratio) ที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ พร้อมทั้งอธิบายลงไปในรายละเอียดด้วยว่ามีวิธีการพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้

5. ท่านคิดว่างานพิธีการสินเชื่อมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด เมื่อเปรียบเทียบกับงานด้านการตลาดสินเชื่อ  และถ้าต้องทำงานทั้ง 2 ด้านในคนเดียวกันในสาขาของธนาคารแห่งหนึ่งนั้น ท่านจะบริหารจัดการเวลาของตนเองและการบริหารความเสี่ยงของธนาคารให้มีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผลได้อย่างไร

6. เมื่อท่านได้ศึกษาเพาเวอร์พอยท์ เรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคาร ไปนั้น ขอให้ท่านจับประเด็นให้ได้ว่ามีประเด็นใดบ้างที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียมตัวมากู้เงินจากธนาคาร และประเด็นเหล่านั้นธนาคารสามารถตรวจสอบได้อย่างไร

Good Luck

คำสำคัญ (Tags): #credit management easy easy
หมายเลขบันทึก: 443927เขียนเมื่อ 13 มิถุนายน 2011 20:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:46 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (306)

ง่ายนิสสสสสสสสสสส เดียว !

การสอนของอาจารย์ก็ ok ค่ะ ได้รู้ศัพท์ทางการเงินที่ยังไม่รู้เยอะแยะเลยค่ะ

อาจารย์สอนไม่แบบไม่เคลียดดีค่ะ ทำให้เรียนเเล้วรู้สึกไม่กดดันดี

นายวิโรจน์ คณิตนวกิจ

อาจารย์สอน ok มากคับ แตอยากให้พูดภาษาไทยเยอะอีกหน่อยครับ เพราะศัพท์บางคำแปลไม่ได้

ศิริลักษณ์ พ้นภัยพาล

การสอนของอาจารย์ทำให้ไม่เครียด ไม่กดดัน อีกทั้งสอนให้ตรงต่อเวลา มีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย อาจมีบางครั้งที่ฟังภาษาอังกฤษแล้วยัง งงๆ แต่จะพยายามทำความเข้าใจให้มากขึ้นค่ะ

อาจารย์สอนแบบไม่เคร่งเครียดดีค่ะ มีเกร็ดความรู้รอบตัวมาบอกเสมอๆ การสอนแบบspeak english ทำให้ได้พูด ได้ฟังภาษาอังกฤษมากขึ้นและยังได้รู้คำศัพท์ใหม่ด้วยค่ะ อาจารย์ปล่อยเร็วดีค่ะ

นายทวีศักดิ์ รังเเก้ว

ก็โอเคนะครับ สอนทั้งภาษาไท ย & Eng. ได้รู้ คำศัพท์ใหม่ๆ หลายคำเลย ^^ ซึ่งช่วยให้พัฒนาในด้านของภาษาอังกฤษครับ..

บอกแล้วคับ ง่ายนิสเดียวจิงๆ I told you , easy easy 5555.

แล้วเมื่อไหร่จะเห็นรูปพวกคุณซะที When I receive your resume ?

นายวิโรจน์ คณิตนวกิจ

อยากถาม อ.กฤษฎา ว่า ส่ง resume ยังไงครับ

ลงทะเบียน blog เฉย ๆ หรือว่าทำยังไงครับ

ลงทะเบียนก็ส่งได้แล้วไม่ใช่เหรอครับ

Teacher สอน very good มากๆๆๆๆๆ ค่ะ but ศัพท์ภาษาอังกฤษบางตัวหนูไม่รู้ ก็เรยทำให้ไม่รู้เรื่องบ้าง แต่หนูก็จะพยายามให้มากขึ้นนะค่ะ และอีกอย่าง อาจารย์ตรงต่อเวลามากค่ะ จนหนูต้องพยายามมาให้เช้ากว่าอาจารย์เลยค่ะ ขอบคุณนะค่ะที่สอนให้ตรงต่อเวลา

To Assistant professor

    อาจารย์สอนได้ดีมากๆๆ ครับ เป็นกันเองกับนักศึกษาทุกๆๆ คน ขอบคุณอาจารย์ที่ได้สอนเป็นภาษาอังกฤษ ทำให้สามารถ Improvement มากขึ้น จากศัพท์ที่ไม่รู้ก็ได้รู้ อาจารย์เป็นคนที่ตรงต่อเวลา เปิดโอกาสให้ถามเมื่อไม่เข้าใจในสิ่งต่างๆ  และสุดท้ายขอขอบคุณที่ได้นำ Experience มาเล่าให้ฟัง เพื่อที่จะนำไป adapt ในชีวิตประจำวันทั้งในที่ทำงานและตอนเรียน ^^

ภาษาอังกฤษหนูไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่คะ เลยเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่อาจารย์ก็สอนดีนะคะทำให้หนูได้เรียนรู้และจดจำภาษาอังกฤษมากขึ้นคะ เรียนกับอาจารย์ไม่กดดันคะ สนุกด้วย

อาจารย์สอนดีมากๆๆเลยค่ะ ไม่กดดัน เรียนสนุก ศัพท์บางตัวที่หนูไม่รู้ไม่เข้าใจเท่าไห่ร แต่อาจารย์ได้สอนก็พอให้หนูเข้าใจบ้างค่ะ

หนูจะพยายามให้มากกว่านี้ค่ะ ขอบคุณค่ะ

นายศุภวิชญ์ อาทิตยสร

อาจารย์อังกฤษเก่งมากเลยคับ เพราะอาจารย์สอนแบบใช้ภาษาอังกฤษประกอบเลยทำให้ผมได้รู้จักศัพท์ที่ผมไม่เคยรู้ และนี่ก็เป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้เจออาจารย์ที่สอนโดยใช้ภาษาอังกฤษเข้ามาร่วมด้วยในวิชา

ทำไมมันแนบไฟล์ไม่ได้คับ อาจารย์

The frist day to see teacher. I’m very happy. You can a teaches to understand. but , a little puzzling. because it’s English Sub. I’m request dish uncle teaches to enjoy like forever this. because will make a student has studied to understand and can apply in work life.

Nice to meet you ^^

อาจารย์ พูดภาษาอังกฤษ เก่งมากๆ เลย คะ

สอน สนุก ปล่อยเร็วด้วยคะ ทำให้หนูรู้ศัพท์เพิ่มตั้งเยอะ

อาจารย์สอนได้ดีมากค่ะ สอนภาษาEng & Thai สนุกไม่ทำให้เครียด แต่ภาษาอังกฤษหนูก็ไม่เข้าใจเท่าไรตอนอาจารย์พูดภาษาอังกฤษบางคำหนูก็แปลไม่ได้หันไปถามเพื่อนบ้าง หนูพยายามพูดภาษาอังกฤษให้มากค่ะ คำศัพท์ที่อาจารย์สอนมันก็ไม่ยากมากเท่าไรสู้ๆๆๆค่ะ

อาจารย์สอนได้ดี และสนุกดีค่ะ สอนเป็นภาษา Eng ก็ดีนะค่ะ จะได้ช่วยให้ภาษา Eng ของหนูดีขึ้น แถมได้รู้ศัพท์คำใหม่ๆด้วย ยังไงหนูก็จะพยายามพูดภาษา Eng ให้มากขึ้นนะค่ะ

อาจารย์สอนสนุกค่ะ มีอังกฤษ เเทรกด้วยสนุกดีทำให้รู้ศัพย์เพิ่มด้วย ขอบคุณค่ะ

อาจารย์สอนดีมาก แทรกคำศัพท์ภาษาอังกฤษมากมาย มีการยกตัวอย่างทำให้เข้าใจง่าย และช่วยฝึกให้นักศึกษาพูดภาษาอังกฤษได้คล่องขึ้น

very fun and comedy ทำให้รู้ว่าภาษาอังกฟษง่ายกว่าที่คิดเลยค่ะ

อาจารย์ค่ะหนูส่งประวัติไปแล้วนะค่ะ ได้รับหรือยังค่ะ ของพัชรี คงแก้ว ค่ะ

สวัสดีค่ะอาจารย์ เข้าเรื่องเลยนะค่ะ อาจารย์สอนหนังสือสนุกมากๆๆๆเวลาเรียนเหมือนจะเครียดแต่อาจารย์ก็ยังมีมุกขำๆๆให้พวกเราได้หัวเราะ อาจารย์ชอบสอนเป็นภาษาอังกฤษซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าหนูไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนักแต่หนูคิดว่าถ้าเราพยายามเรียนรู้ไปเรื่อยๆสักวันหนึ่งเราจะเข้าใจมันเอง วันนี้หนูอาจจะคิดว่ามันยากแต่หนูเชื่อว่าการสอนของอาจารย์นั้นจะเป็นผลดีแก่ตัวเราในอนาคตอย่างแน่นอน........ขอบคุณนะค่ะ

หนูชอบเวลาอาจารย์สอนค่ะ เพราะเวลาอาจารย์สอนจะมีทั้งแบบจริงจังแกมด้วยมุกฮาๆ ทำให้รู้สึกน่าสนใจเวลาอาจารย์สอน ที่อาจารย์สอนเป็นภาษาอังกฤษหนูก็ว่าดีค่ะ ทำให้ได้รู้คำศัพท์เพิ่มขึ้นเพราะบางคำยังไม่เคยรู้มาก่อน

อาจารย์เจ๋งมากค่ะ ตั้งแต่เรียนมหาลัยไม่เคยมีอาจารย์คนไหนตรงเวลาเหมือนอาจารย์ รู้สึกประทับใจตั้งแต่ยังไม่เริ่มเรียน(แบบว่า แค่เพียงสบตา 555 ) รู้ศัพท์อังกฤษมากขึ้น ชื่นชมการสอนของอาจารย์ค่ะ เรียนสนุก มีสาระ(ทั้งในตำราและนอกๆๆๆขอบตำรา) เรียนกับอาจารย์แล้วไม่ง่วงค่ะ bye .

ขอให้พวกเราดูที่บล็อกสัมมนาธุรกิจการเงินการธนาคาร 1/2553 ใหม่ครับ รุ่นพี่ปีที่แล้วเค้าเอาลงได้ทุกอย่างเลยครับ

All of you please look at the blog สัมมนาธุรกิจการเงินการธนาคาร 1/2553 ใหม่ครับ , your senior do the same thing like you now. I think you will send me soon. (tonight !!!!!!!)

อาจารย์คะ ดูจากของพีๆ เอา resume มาลงตรงกล่องคอมเม้นนี่เลยใช่หรือเปล่าคะ

เรียนกับอาจารย์สนุกๆๆมากๆๆ ไม่เครียด ไม่ง่วงนอน แต่อยากให้อาจารย์พูดภาษาไทยให้มากกว่านี้ พูดภาษาอังกฤษก็ดีแล้วค่ะแต่อาจจะมีบ้างเป็นบางคำที่ไม่ค่อยเข้าใจ นิดหน่อยค่ะแต่ก็ทำให้รู้เกี๋ยวกับศัพท์ภาษอังกฤษ เพิ่มมากขึ้น ^_^

เรียนสนุกดีค่ะอาจารย์ แต่หนูจับใจความไม่ค่อยได้ ได้แต่คำศัพท์บางคำอ่ะค่ะ แต่ก็ชอบนะค่ะ

เรียนกับอาจารย์สนุกดี ได้รู้จักคำศัพท์เยอะ แม้หนูไม่ค่อยจะเก่งภาษาอังกฤษสักเท่าไร ก็ถือว่าฝึกตัวเอง แต่หนูก็ชอบค่ะ

อาจารย์เป็นคนน่ารักค่ะ สอนสนุกดี มีมุขขำๆมาสอดแทรกตอนเลย ก็ชอบค่ะ

อาจารย์ สอนสนุกมาก สอดแทรกคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ถึงบางครั้งจะไม่รู้เรื่อง แต่ก็ได้ฝึกไปในตัว และก้มีมุขตลอด ไม่ค่อยเครียดค่ะ

สวัสดีค่ะอาจารย์ อาจารย์ได้สอนแบบไม่เหมือนใคร แต่เป็นการพัฒนานักศึกษาให้ดีขึ้นเกี่ยวกับด้านภาษาที่เราจะต้องนำไปใช้ได้ในอณาคต ก็ขอขบคุณอาจารย์ด้วยนะค่ะ

                                                 Resume

                                           

Name        :  Miss Nalinee  Aupaman

Nickname : Tai

Address   : 160/7  M.3  Klongmai  Samphran
Nakhonpathom 73110

Mobile : 0897593176

E-mail : [email protected]

Personal details :

Sex                       : Female

Age                      : 20 years old

Height                 : 157 centimeters

Weight                : 43 kilograms

Nationality         : Thai

Religion             : Buddhism

Marital status    : Single

 

Education :

2004-2006  Secondary Sanpatong Wittayakom School , Chiang Mai

2007-2009  High school Samphran Wittaya School , Nakhonpathom

2010-2013  Bachelor   Suan Sunandha Rajabhat University , Bangkok

 

Hobbies : internet , movie and reading

* (ถูกผิดยังไงช่วยแนะนำด้วยนะคะอาจารย์)

อาจารย์สอนดีค่ะ ช่วยให้ดิฉันได้รู้ศัพท์ภาษาอังกฤษ แต่ดิฉันก็ฟังอาจารย์ไม่ทัน แต่ดีค่ะ เรียนเป็นภาษาอังกฤษช่วยให้ดิฉันตั้งใจ เพื่อที่ได้ฟังอาจารย์สอนมากขึ้น



Resume

Name  :  Miss  Patcharee  Kongkaew

Nickname  :  Ann

Birth  Date  :  February 22, 1991

Age  :  20

Birth  Place  :  Huaiyot, Trang

Current  Address  :  29/290  Sam Wa Tawan Tok,  Khiong  Sam  Wa

                             Bangkok  10510

Telephone  :  086-0773921

E-mail  :  [email protected]

Graduted From  :  Nawamintrachinuthit Benjamarachalai School

Height  :  1.58 m.

Weight  :  45 Kg.

Nationality  :  Thai

Religion  :  Buddhist

Status  :  Single

 

 

นายวิโรจน์ คณิตนวกิจ

 

 

 

 



Resume

Name  :    Miss  Vipawee  TeTuan

Nickname  :       Aom

Birth  Date  :  October 19, 1991

Age  :             19

Birth  Place  :  Chawang, Nakhon Si Thammarat

Current  Address  :  15/21  Bodin Condo, Soi 43/1,  Ramkhamhaeng Road, Wang Thonglang ,Bangkok  10310

Telephone  :       080-1473220

E-mail  :         [email protected]

Graduted From  :  Chawangratchadapisak  School

Hight  :        1.51 m.

Weight  :       43 Kg.

Nationality  :  Thai

Religion  :     Buddhist

Status  :       Single

Family Mumber: 2 people

Ico64_img_0290

 

Name         : Viroj       

Surname    : Khanijnavakij

Nickname   : S

Address     : 88/390   M.4   Patcharaville Village

                    Kratumlom   Samphran District

                    Nakonpathom Province   73220

Birthday    : July 12th 1992

Faculty       : Management Science

                    Business Administration

                    Financial & Banking

Graduted From : Rattanakosinsompotbowonnivetsalaya School

      Resume

Name - Last name : Miss Wilaiporn   Sriburin 

Nickname : Ning

Birth Date : April 2, 1991

Age : 20 years old

Height :  1.65 m.

Weight :  55 Kg.

Current Address : 19/8 Moo.13, Chokchai 4, Ladprao Bangkok 10230

Come from : Loei

Telephone : 089-5069601

E-mail : [email protected]

Graduated from : Satriwithaya 2. School

Nationality : Thai

Religion : Buddhism

Status : Single

Family members : 5 people

 

     

 

 

Resume

Name Miss.Supattar  Thongsadee

Nickname. Mayji

Birthday. 19 January 1992

Age. 19 year ole

I come from. Mahasarakham Province

Enducation. Sarakhampittakhom School.

The enducation now . suansunanddha University. Business administration branch(Financial and Banking)

E-Mail. [email protected]

T. 083-6724783

Motto. Have a goog dream everyday.

Favorit. Thai food , somtam

 

 

อาจารย์ครับสอนได้สนุกและมีอรรถรสดีครับ ไม่เบื่อ แล้วยังได้ศัพท์ภาษาอังกฤษอีกด้วย

      Resume 

 Name - Last name : Miss chonticha meekul

Nickname : ploy

Birth Date : August 17, 1991

Age : 19

Weight : 45 kg.

Hight : 1.60 m.

Current Address : 451/1, Ramkhamhaeng 43/1, wangthonglang Bangkok 10310

I live in bangkok

Telephone : 085-3590890

E-mail : [email protected]

Graduated from : bodindacha (sing singhasani) School

Nationality : Thai

Religion : Buddhism

Status : Single

 

 

นายทวีศักดิ์ รังเเก้ว

Name                   Ms. Waleerat Charenu.

Nickname             Jum

My birthday         28 October 1991                Age        19

Address                30 Soi moobansettakit 1   Bangkaehnea Bangkae Bangkok.

Tel                        083-7048455.

E-mail                   [email protected]

http://www.facebook.com/WALEERAT.CRN

Education            

2547-2553      Chanpradittharam Wittayakhom School  (ARTS MATH) GPA. 2.84

 2553-2556     Suan Sunandha Rajabhat University , financial & banking

Favorite               Cake, Korea series, Music,

My parents are working employees.

Name : Mr. Chalit Poosupanusorn

Nickname : FirsT

Address : 27/79 Songprapa Road, Donmuang Bangkok 10210

Mobile : 084-0789956

E-mail : [email protected]

Personal details :

Sex : Male

Age : 20 years old

Height : 166 centimeters

Weight : 52 kilograms

Nationality : Thai

Religion : Buddhism

Marital status : Single

Hobbies : internet , game online, sport

                                      

                                              RESUME

Name...Panudeth Puttha

Nickname...Mos

Born...2 January 1992 

Age...19 years old.

My province is Ratchaburi Amphur Banpong TunbonTapha

Address...87/1 m.6

Old School...RatanaRatbumrung

Education now...Suansunandha Rajabhat University

Faculture...Management sci,bussiness administretion(Financial&banking)

Contract...0871600038    [email protected]

 

RESUME


Name : Sumalee  Zeangow

Nickname : Aung

Birth Date : June 25, 1991

Age : 20 years old

Height : 155 centimets

Weight : 59 kilogram

Birth place : Wachira Hospital

Address : 189/11 M.3 Bangsrimuang Nonthaburi 11000

Tel. : 085-020-2738

E-mail : [email protected]

Graduated from : Ruttanathibet School

Nationality : Thai

Religion : Buddhism

Status : Single



 

 

 

 

 

 

 

 



Resume

NamE     : Mr. Chalit Poosupanusorn     Nickname : First                             Birth Date : 08/12/1991                      Age           : 20 years old 

Address : 27/79 Songprapa RoaD , Donmuang Bangkok Thailand 10210

Sex : Male            Height : 166 cm.     Weight      : 52 kg.

Nationality : Thai                               Religion    : Buddhism

Marital Status : Single                        Tel.           : 084-0789956

E-mail : [email protected]

Hobbies : Internet , Game Online , sport



สวัสดีครับอาจารย์ อาจารย์สอนดีมากครับ จำนักศึกษาแม่นเป็นกันเอง มีการถามตอบเยอะดี ดีกว่าสอนแบบบรรยาย ทำให้การเรียนการสอนน่าสนใจ ขอบคุณครับ

ปล.ครับอาจารย์ อยากจะตอบเป็นภาษาอังกฤษแต่ความสามารถยังไม่พอครับ

                                      

                                              

                                              Resume

My name                 Virot    Chaysangcharoen

My nickname           Golf

Address                   1296/39     Krung Thep-Nonthaburi  Road    

                              Bang Sue District  Bang Sue Subdistrict               

                              Bangkok 10800

Phone                      083-8402628

Old School               Silajarapipat School

Height                     one hundred eighty three cm

Weight                     fifty three kg

Birthday                  Monday  30  Mrach  1987

E-mail                     [email protected]

                                               Comment

The first time I see a teacher. You have fun. Not taught in English. Because Difficult to understand. But , Fun in learning

            

 

                                                Resume

My name                 Yowluxc     jandotin

My nickname            zeyn

Phone                      081-4149317

Old School               Sri song kram wittya  School

Height                     one hundred sixty two cm

Weight                    ourty eight kg

Birthday                  Friday  18  january  1991

                                             Comment

The first time I see a teacher. You have kind. Teaching for understanding. I’m very happy

Resume

Name Miss.Supattar  Thongsadee

Nickname. Mayji

Birthday. 19 January 1992

Age. 19 year ole

I come from. Mahasarakham Province

Enducation. Sarakhampittakhom School.

The enducation now . suansunanddha University. Business administration branch(Financial and Banking)

E-Mail. [email protected]

T. 083-6724783

Motto. Have a goog dream everyday.

Favorit. Thai food , somtam

 

อาจารย์ สอนสนุกเข้าใจง่าย(ถ้าเป็นภาษาไทยนะครับ) เป็นภาษาอังกฤษก็ดีครับก็สนุกไปอีกแบบหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่ผมจะงงเพราะแปลไม่ออก

RESUME

 

Name : Kanjana  Phanphai

Nickname : Oh

Birth Date : Now 24, 1991

Age : 20 years old

Height : 150 centimets

Weight : 40 kilogram

Birth place : Pranungklao Hospital

Address : 204 M.9 Bangkhen Nonthaburi 11000

Tel. : 089-687-2578

E-mail : [email protected]

Graduated from : Ruttanathibet School

Nationality : Thai

Religion : Buddhism

Status : Single

 

 

Nalinee  Siripun

583/25 Soi Samsen 13, Samsen Road

Dusit, Thailand 10300

Tel: 086-954-7942

E-mail:  [email protected]


PERSONAL INFORMATION:

Date   of  Birth :July  25,1991

Birth Place :Phuket

Sex: Female

Status: Single

Hobbies/Interests :Reading, Drawing ,Traveling

 

EDUCATION

  • Phuketwittayalai  School,Phuket                                               
  • Suan Sunandha Rajabhat University,Finace and Banking            

 

SKILL

  • Computer: MS Word, MS Excel, MS Power Point, Internet and Email.

RESUME

Name : Jariya   Thattong 

Nickname : Amp

Birthday : 19  January  ,1992   Age : 19

Nationality : ThaiReligion : BuddhismCurrent

Address : 138/20   Samsen Road, Dusit, Bangkok 10300.

Birth Place :  Thamaka, Kanchaneburi

E-mail :  [email protected]

Telephone 089-2593293

Education :2004-2006 Therasaed School , Ratchaburi

2007-2009 High school Thamakawittayakom, Kanchanaburi

ความประทับใจที่มีต่ออาจารย์ อาจารย์เป็นคนที่ดูเหมือนดุ แต่ว่าที่จริงแล้วก็ไม่ดุ อาจารย์สอนเข้าใจนะคะ พูดแล้วก็เข้าใจง่ายอาจารย์ชอบพูดเรื่องที่ฮา เวลาเรียนแล้วไม่เครียดเพราะว่าแค่ชื่อวิชาก็ฟังก็เครียดแล้วก็แต่อาจารย์สอนแบบสบายๆเลยทำให้เวลาเรียนไม่เครียด อาจารย์สอนเป็นภาษาอังกฤษดีแล้วคะ เพราะว่าทำให้พวกหนูเก่งมากขึ้นสุดท้ายก็ไม่มีอะไรแล้วคะ รักและเคารพอาจารย์มาก

 

First Name: Maneelak                                      Last Name: Ngamdee         

Nickname: Kratai.

Address: 102 Mansion AM  Khlong San  Bangkok 10600.

Tel: 08-5965-0197, 08-6711-9087.

Date of Birth: Monday January 13, 2535             Age: 19 years old.

Nationality: Thai.                                             Religion: Buddhist.

Height: 45 kg.                                                Weight: 165 cm

Marital status: Single.

Study: Chanpradittharam Wittayakhom School (ARTS MATH) GPA. 2.93.

Suan Sunandha Rajabhat University, financial & banking.

Mother: Mrs. Porn Ngamdee Marital                  status: deceased.

Father: Mr. Chalom Ngamdee.

Occupation: general delivery. 

“Resume”

 Name  Budsaya Budman   Nickname  Bud

 business administration   code  53127312040

 Birthday 24/08/34    age 19

 Address  645/1 m.1 soi prachautid 58  Thungkru Bangkok 10140

father name   Tanapol budman occupation  trade

Mother name Somboom  Uthichi  occupation  Contract

My Old school  Islam college of Thailand

Future   Banker

Hobby Embroidered cloth.

Principle  " The only man who never makes mistakes is the man who never does anything.” 

 

 

Name :       Areerat  Rangsirat

Nickname :  sine

Birthday :   8 March 1992, Nationality Thai.

I was in school:  Nakhonpathom Municipality Vocational College

Education  now:  Suan Sunandha Rajabhat University

Faculty of  Business Administration (Finance and Banking).

Address :2 Moo 1, Tambon Thung Bua  Kamphaeng Saen, Nakhon Pathom.

E-mail : [email protected]

Tel. 082-0899233

“Resume”

Ico64_dsc00009

 Name  Budsaya Budman   Nickname  Bud

 business administration   code  53127312040

 Birthday 24/08/34    age 19

 Address  645/1 m.1 soi prachautid 58  Thungkru Bangkok 10140

father name   Tanapol budman occupation  trade

Mother name Somboom  Uthichi  occupation  Contract

My Old school  Islam college of Thailand

Future   Banker

Hobby Embroidered cloth.

Principle  " The only man who never makes mistakes is the man who never does anything.” 

 

 

Name :       Areerat  Rangsirat

Nickname :  sine

Birthday :   8 March 1992, Nationality Thai.

I was in school:  Nakhonpathom Municipality Vocational College

Education  now:  Suan Sunandha Rajabhat University

Faculty of  Business Administration (Finance and Banking).

Address :2 Moo 1, Tambon Thung Bua  Kamphaeng Saen, Nakhon Pathom.

E-mail : [email protected]

Tel. 082-0899233

Resume


Name :  Miss. Nilawan     Sodalee 

Nickname :   Bowring

Birthday :   15  Aug  1991    

Age           :    19  year

Education  : Graduate from  waengnoisuksa school.   (khonkaen)

Present  :      The education now Suan Sunandha  Rajabhat University.
                      Faculty of Business Administration (Finance and Banking).
 

Hometown :   35  Moo 6, Tawut  District.  Waengnoi    Khonkaen     40230.

Current residence :     1091/113   petchaburi  Soi  33.  New petchburi  Road.  Makkasan   Rajathevee    Bangkok   10400.

E- mail  :  [email protected]

Tel   :  02-2534715                                     Mobile   : 0833411164

 



Ico64_dsc00011

Name  Budsaya Budman   Nickname  Bud

 business administration   code  53127312040

 Birthday 24/08/34    age 19

 Address  645/1 m.1 soi prachautid 58  Thungkru Bangkok 10140

father name   Tanapol budman occupation  trade

Mother name Somboom  Uthichi  occupation  Contract

My Old school  Islam college of Thailand

Future   Banker

Hobby Embroidered cloth.

Principle  " The only man who never makes mistakes is the man who never does anything.” 

 

 

Name: Miss Supaksa   Hormchuen  

Birthday: 8 September 1991.                     Age19.   Eligion Buddha.

Hometown: address 46 M.3 Tumbol.Nongnamdang Pakchong. Province.Nakornratchaseema.

Education: Graduate from Mattayomvachiraronggornvararam School. The education now Suan Sunanddha University. Business administration branch (financial and banking).

Family: father, mother, younger sister.

Motto: Some dream of worth accomplishments, while others stay awake and them.

E-Mail:  [email protected]

Quickly !!!!! about 3 hours , it's time 12 P.M. and you will be late.

Thank you , I received your background already but someone didn't.

ทราย เมืองเลย คุณทั้งดื่ม ทั้งเล่น ระวัง (be careful) นายธนาคารไม่ควรเล่นการพนันจร้า

                                                  RESUME

                                            

Name / Last name : MR.Taweesak   Rangkaew

Nickname : Ton

Birth Date : Agust 17, 1991

Age : 19 years old

Height : 172 cm.

Weight :  55 Kg.

Current Address : 183/173 Moo.10Khlongmaduea district Krathumban boundary Settakit 1 Rd,  Samutsakhon 74110.

Nationality : Thai

Religion : Buddhism

Telephone : 087-751-9195

E-mail : [email protected]

Graduated from : Taweewattana School.

Education now : Suan Sunandha Rajabhat University.

Faculty : Bachelor of Business Administration Program Finance and Banking

In my freetime : read book, play computer and go to the outside with my

friends.

Comment : 

      In this course “Credit Management”. I’m very glad that I have to study this course because of lecturer is very kindness and be on time.  I feel very pleasure while he study in Thai and English.  According to in the future English is very useful and importance to communication.

นายทวีศักดิ์ รังเเก้ว

ตอนเเรกผมทำครั้งหนึ่งเเล้ว หน้าที่2 เเต่ไม่เหมือนของเพื่อน เลยทำใหม่ครับ^^

 

                                            Resume

name  Suparat

surname Intaradej

Nickname Ae'

Born 18 June 1991

Address 314 m.16 Tharong Wichianbure Pedchaboon

High 172     weight   66

Study   Management sci,Bussiness admin(financial&banking)

Education now  Suansunandha Rajabhat University

Contract  0895668421

E-mail  [email protected]

 

Mr.Taweesak "Ton"

Your Eng. are very well.

I'm glad to see you too.

Supattar

Not somtam but papaya salad. That's my favorite too.

MY  RESUME  

TIPPAWAN  TONGHOM

45  M.5 Thungyai,HatYai

Songkhla,  Thailand ,90110

Tel: 085-3300319                  

E-mail:  [email protected]

PERSONAL INFORMATION:

Date   of  Birth                                           June  15,1991

Sex                                                           Female

Status                                                       Single

Hobbies/Interests                                        Reading,Play Badminton

EDUCATION

  • Hatyaiwittayalai  School,Hatyai                                             
  • Suan Sunandha Rajabhat University,Finace and Banking            


 

 

SKILL

  • Computer: MS Word, Internet and Email.

สวัสดีค่ะ

อาจารย์สอนสนุก ไม่น่าเบื่อ และเข้าใจง่าย พร้อมกับ สอดแทรกศัพท์ภาษาอังกฤษในทุกๆคาบเรียน ทำให้มีความรู้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วยค่ะ

My name is           Rungnaphaa     Maneerat 

 My nickname is     Som

My old                   19  year old

My Birthday is       November 16, 2534

My old school         Thongchaiwittaya school

My domicile is       Prachuap Khiri Khan

comment about  professor

     I enjoyed studying with a teacher. Made I know the English words.But  I don't understand the somevocabulary words.Thank you.

 

Budsaya "Bud" your future are Banker , sure !!!!

That's nice.

Islam Bank of Thailand is fitting for you.

I'll see you happy in class and sit in the first row with the lady from Loei.

อาจารย์น่ารักดีครับ ผมรักอาจารย์ครับ จุ๊บุ๊ๆ

                                

                                               ReSuMe

NAME Thanachote  Pongutta

NICKNAME   Best

BIRTH  31   March  1992

ADDERSS  649/1 soi Ladprao 101  R.Ladprao Wangthonglang BKK 10310>

HIGHT 170

WEIGHT  57

STUDY NOW  Suansunandha Rajabhat University

FACULTURE  Management sci,Bussinessadmin(financial&banking)

STATUS  Single

TEL 080-9055188

E-MAIL    [email protected]

 

Thanachote

You don't love me. I'm afraid. (especially จุ๊บๆ)

You should love my style instant.

..Resume..

 Name:  Suchada   KaewKwan

Nick Name: Kwan

Brithday : 6 December 1991

Address: 21/90 m.2  Sattahip Chonburi  20180

Education: Graduate from Singsamut School.The education now  Suan  Sunanddha University.Business administration branch         (financial and banking).

Tel: 089-7944259 

E-mail: [email protected]



Resume

 

Title                                                   Mrs.

First name                                       Chonthicha

Last name                                        Kaewkasem

nickname                                         Jhaja

Age                                                     20

Marital Status                                single

Nationality                                      Thai

Race                                                   Thai

Date of Birth                                   6/7/1991

Address                                            296  M.4  T.Thachana  A.Thachana

                                                            Suratthani 84170

Mobile phone                                 084-8495127

Education                                      Graduate from Khanjanapisekvittayalai Surattani School. The education now Suan Sunanddha Ratchabhat University. Business administration branch (financial and banking).
Email address
                                 [email protected] 

Special skill                                                play    guitar

Special interests                            I want to tour  Pai Maehongsorn.

Additional Information              I like to travel go to still nature place. The place where me wants to go to is amphur Pai Maehongsorn. because see in a Pai in love the movie. I feel that Pai be the tourist attraction is based on the nature.  If, I will have gone to must never forget sure.

 

 

Resume

Name Miss Ngamjit Chanda

Nick Name Aom

Birth Day Firday 4th October 1991

Address 3/1 M.9 T. Bungkha A. Lomsak , Phetchabun Province.

Address Con. 47/736 Rama6_Mansion B Soi Charan Sanit Wong 96/1, Bang or,

Khet Bang Phat, Bangkok.

My Old School Suankularb Wittayalai Phetchabun School.

I Studying at Suan Sunandha Rajbhat University Program Business Admin (Finance&Bankking)

Comment about your professor

อาจารย์กฤษฎาสอนสนุกดีคะ ทีแรกในความคิดสอน2ภาษาโอ้หนูจะไปรอดเปล่านิ แต่เรียนไปเรียนมารู้สึกว่ามีความรู้ภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้น ไม่น่าเบื่อ เรียนไปคิดไป ถ้าไม่เข้าใจบางคำอาจารย์ก็จะขยายความให้เข้าใจมากขึ้นคะ ที่สำคัญการสอนของอาจารย์ละเอียดมากคะ

Resume

 

Title                                                   Mrs.

First name                                       Chonthicha

Last name                                        Kaewkasem

nickname                                         Jhaja

Age                                                     20

Marital Status                                single

Nationality                                      Thai

Race                                                   Thai

Date of Birth                                   6/7/1991

Address                                            296  M.4  T.Thachana  A.Thachana

                                                            Suratthani 84170

Mobile phone                                 084-8495127

Education                                      Graduate from Khanjanapisekvittayalai Surattani School. The education now Suan Sunanddha Ratchabhat University. Business administration branch (financial and banking).
Email address
                                 [email protected] 

Special skill                                                play    guitar

Special interests                            I want to tour  Pai Maehongsorn.

Additional Information              I like to travel go to still nature place. The place where me wants to go to is amphur Pai Maehongsorn. because see in a Pai in love the movie. I feel that Pai be the tourist attraction is based on the nature.  If, I will have gone to must never forget sure.

 

 

Areerat , your picture are very clear and jumbo size which are good.

Suparat , the man from sweet tamarine zone , I saw your picture already. it's look like model in Gay magazine. 5555

Name:  Miss  Duangnapha     Champajoy
Nickname:  Ray
Birthday: 1 Mach 1991  
 Age:  20    
Marital Status: Single
Address: 379  M.7   T. Nachaleang    A.Nongphai     Phetchabun   67220
Mobile phone: 084-3366531
Email address[email protected]
Education: Graduate from Mattayomnongphai  School. The education now Suan Sunanddha Ratchabhat University. Business administration branch (financial and banking).
Motto: Self-conquest  is the greats  of   victory

Jhaja

The lady from Srivijaya Empire , Big size oh not big size but super jumbo size.

So good , too good , very good.

Name : Miss Sirilak  Ponpaipal

 

Nickname  Baitoey  ^^

 

Birthday: 29 February 1992.  Age19.   Eligion Buddha.

Hometown:  address 18 Soi Ladprao 101. Ladprao Rd. Klongjan Bangkapi  Bangkok 10240

 

Education:  Graduate from Mattayomwatbeungthonglang  School.

The education now Suan Sunanddha University. Business administration branch (financial and banking).

E-Mail:  [email protected] 

 

Tel:  085-842-7738

 

 

      ..Resume..

 Name:  Suchada   KaewKwan

Nick Name: Kwan

Brithday : 6 December 1991

Address: 21/90 m.2  Sattahip Chonburi  20180

Education: Graduate from Singsamut School.The education now Suan  Sunanddha University.Business administration branch (financial and banking).

Tel: 089-7944259

E-mail: [email protected]

Ray

Not Rayya (Orange Flower with Crown , channel 3 T.V.)

So good. Super jumbo size.

I comment you should go to salon.

Your hair will hit your beautiful eye.

Kwan

Why are you so serious ?

Your professor make you or not ?

I'll improve , don't exciting , you'll meet another harder. 555555555555555

Boitoey

Screw pine leave , smell sweet

Smile sweet

Religion Buddhism not Eligion Buddha

Resume

Name Miss Ngamjit Chanda

Nick Name Aom

Birth Day Firday 4th October 1991

Address 3/1 M.9 T. Bungkha A. Lomsak , Phetchabun Province.

Address Con. 47/736 Rama6_Mansion B Soi Charan Sanit Wong 96/1, Bang or,

Khet Bang Phat, Bangkok.

My Old School Suankularb Wittayalai Phetchabun School.

I Studying at Suan Sunandha Rajbhat University Program Business Admin (Finance&Bankking)

Comment about your professor

อาจารย์กฤษฎาสอนสนุกดีคะ ทีแรกในความคิดสอน2ภาษาโอ้หนูจะไปรอดเปล่านิ แต่เรียนไปเรียนมารู้สึกว่ามีความรู้ภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้น ไม่น่าเบื่อ เรียนไปคิดไป ถ้าไม่เข้าใจบางคำอาจารย์ก็จะขยายความให้เข้าใจมากขึ้นคะ ที่สำคัญการสอนของอาจารย์ละเอียดมากคะ

 

Aom

I received you 2 times. Good.

Everyone about 50 minutes for this assignment.

ontime ontime ontime ontime ontime

Have a good dream.





>>>Resume <<<

Name:  Sukkamol  Khankaew

Nick Name: Looksorn

Call me :  Happy Heart

Date of Birth : 10 October 1991

Height: 44 kg.                          

Weight: 160 cm.

Address: 52/113 m.1   Meung  Petchaburi 76000.

Old School: Aroonpadit School.

The education now Suan  Sunanddha University.Business administration branch         (financial and banking).

Tel: 08-3895-4348

E-mail: [email protected]

 



อาจารย์สอนดีมากค่ะ ชอบวิธีสอนของอาจารย์ เพราะทำให้ได้ความรู้มากขึ้นเยอะเลยค่ะ เวลาเรียนก็ไม่รู้สึกว่าจะง่วง เพราะจะตื่นเต้นกับคำถามที่อาจารย์กำลังถาม และก็คิดที่จะหาคำตอบ แต่ว่าก็ตอบไม่ได้เพราะศัพท์ภาษาอังกฤษบางคำแปลความหมายไม่ได้ ก็ถือว่าอาจารย์ได้กระตุ้นให้หนูได้ฝึกภาษาไปในตัว และทำให้หนูอยากที่เรียนภาษาเพิ่มเพื่อที่จะมาใช่ในการเรียนในวิชาอาจารย์ และในชีวิตประจำวัน ขอบคุณค่ะอาจารย์

Looksorn (Happy Heart and not heart) from ขนมหม้อแกง city.

You almost late.

Send me already and not go to pub or cafe.

Read , Write and take a bath before sleep.

     Resume

First Name: Rungnapha   Pilakaew.                  

Nickname: Pan

Address: 180 M.4  Wangsapung  Loie  42130

Tel: 0828518442

Date of Birth:  22   August  1991         

Age: 19 years old.                           

Height: 47 kg.                                                

Weight: 150 cm

Study: Srisongkramwittaya  shcool

          Suan Sunandha Rajabhat University, financial & banking. 

E-mail: [email protected]

อาจารย์สอนดี ทำให้ดิฉันได้รู้ ศัพท์ภาษาอังกฤษ แต่บางครั้งดิฉันก็ฟังไม่ค่อยเข้าใจ เพราะ เร็วเกินไป

ขอบคุณค่ะ

                                       Profile

Name 
 Durnpen     Mitchob      Nickname    PEN   Id 53127312012
Age 19 year       Birthday  19 January 1992
The two doctoral students in Business Administration, Finance and Banking. Faculty of   Management  SSRU  Rajabhat   University
Tell   084-9417701      E-mail :   [email protected]
Address registration   87   Moo 2   Tombon  sompoi   District ladturad
Province   chaiyaphum    36130      Favorite   color   Pink and Red 
Motto :   Where is the effort. Success there
แสดงความคิดเห็น
                ผศ.กฤษฎาเป็นอาจารย์ที่ใช้สื่อการสอนไปด้านทางภาษาอังกฤษหนูชอบมากที่อาจารย์สอนแบบนี้เพราะจะทำให้พวกหนูเก่งภาษาอังกฤษมากขึ้นเพราะตัวหนูไม่เก่งภาษาอังกฤษเท่าไรแต่หนูรู้สึกว่าการเรียนแบบนี้ทำให้หนูเก่งภาษาอังกฤษและสามารถเข้าใจภาษาอังกฤษในศัพท์ที่หนูไม่ค่อยรู้และเข้าใจมากขึ้นและอาจารย์ได้สอนเนื้อหาและการปฎิบัติงานโดยการลงพื้นที่จริงทำให้พวกหนูได้ประสบการณ์มากขึ้นหนูอยากให้อาจารย์สอนสื่อการเรียนการสอนด้วยวิธีนี้ต่อไปนะค่ะ

Comments.
Asst. Krisda  teaching as a professor at the New York  Englishprofessor  that I like this because it makes me very good at Englishbecause  my English was not good, but I feel that area. John wasmaking was good at English.

                        Profile

Name   Durnpen         Mitchob Nickname    PEN   Id 53127312012
Age 19 year  Birthday  19 January 1992
The two doctoral students in Business Administration, Finance and Banking.
Faculty of   Management  SSRU  Rajabhat   University

Tell   084-9417701  
E-mail :  [email protected]
Address registration   87   Moo 2   Tombon  sompoi   District Jadturad Province   chaiyaphum    36130
Favorite   color   Pink and Red 
Motto :   Where is the effort. Success there
แสดงความคิดเห็น
                ผศ.กฤษฎาเป็นอาจารย์ที่ใช้สื่อการสอนไปด้านทางภาษาอังกฤษหนูชอบมากที่อาจารย์สอนแบบนี้เพราะจะทำให้พวกหนูเก่งภาษาอังกฤษมากขึ้นเพราะตัวหนูไม่เก่งภาษาอังกฤษเท่าไรแต่หนูรู้สึกว่าการเรียนแบบนี้ทำให้หนูเก่งภาษาอังกฤษและสามารถเข้าใจภาษาอังกฤษในศัพท์ที่หนูไม่ค่อยรู้และเข้าใจมากขึ้นและอาจารย์ได้สอนเนื้อหาและการปฎิบัติงานโดยการลงพื้นที่จริงทำให้พวกหนูได้ประสบการณ์มากขึ้นหนูอยากให้อาจารย์สอนสื่อการเรียนการสอนด้วยวิธีนี้ต่อไปนะค่ะ

Comments.
Asst. Krisda  teaching as a professor at the New York  Englishprofessor  that I like this because it makes me very good at Englishbecause  my English was not good, but I feel that area. John wasmaking was good at English.

Name   Durnpen         Mitchob        Nickname    PEN   Id 53127312012
Age 19 year       Birthday  19 January 1992
The two doctoral students in Business Administration, Finance and Banking.
Faculty of   Management  SSRU  Rajabhat   University

Tell   084-9417701      E-mail :   [email protected]
Address registration   87   Moo 2   Tombon  sompoi   District ladturad
Province   chaiyaphum    36130
Favorite   color   Pink and Red 
Motto :   Where is the effort. Success there
แสดงความคิดเห็น
                ผศ.กฤษฎาเป็นอาจารย์ที่ใช้สื่อการสอนไปด้านทางภาษาอังกฤษหนูชอบมากที่อาจารย์สอนแบบนี้เพราะจะทำให้พวกหนูเก่งภาษาอังกฤษมากขึ้นเพราะตัวหนูไม่เก่งภาษาอังกฤษเท่าไรแต่หนูรู้สึกว่าการเรียนแบบนี้ทำให้หนูเก่งภาษาอังกฤษและสามารถเข้าใจภาษาอังกฤษในศัพท์ที่หนูไม่ค่อยรู้และเข้าใจมากขึ้นและอาจารย์ได้สอนเนื้อหาและการปฎิบัติงานโดยการลงพื้นที่จริงทำให้พวกหนูได้ประสบการณ์มากขึ้นหนูอยากให้อาจารย์สอนสื่อการเรียนการสอนด้วยวิธีนี้ต่อไปนะค่ะ

Comments.
Asst. Krisda  teaching as a professor at the New York  Englishprofessor  that I like this because it makes me very good at Englishbecause  my English was not good, but I feel that area. John wasmaking was good at English.

  Profile

Name   Durnpen         Mitchob Nickname    PEN   Id 53127312012
Age 19 year  Birthday  19 January 1992
The two doctoral students in Business Administration, Finance and Banking.
Faculty of   Management  SSRU  Rajabhat   University

Tell   084-9417701  
E-mail :  [email protected]
Address registration   87   Moo 2   Tombon  sompoi   District Jadturad Province   chaiyaphum    36130
Favorite   color   Pink and Red  
Motto :   Where is the effort. Success there
แสดงความคิดเห็น
                ผศ.กฤษฎาเป็นอาจารย์ที่ใช้สื่อการสอนไปด้านทางภาษาอังกฤษหนูชอบมากที่อาจารย์สอนแบบนี้เพราะจะทำให้พวกหนูเก่งภาษาอังกฤษมากขึ้นเพราะตัวหนูไม่เก่งภาษาอังกฤษเท่าไรแต่หนูรู้สึกว่าการเรียนแบบนี้ทำให้หนูเก่งภาษาอังกฤษและสามารถเข้าใจภาษาอังกฤษในศัพท์ที่หนูไม่ค่อยรู้และเข้าใจมากขึ้นและอาจารย์ได้สอนเนื้อหาและการปฎิบัติงานโดยการลงพื้นที่จริงทำให้พวกหนูได้ประสบการณ์มากขึ้นหนูอยากให้อาจารย์สอนสื่อการเรียนการสอนด้วยวิธีนี้ต่อไปนะค่ะ

Comments.
Asst. Krisda  teaching as a professor at the New York  Englishprofessor  that I like this because it makes me very good at Englishbecause  my English was not good, but I feel that area. John wasmaking was good at English.

 

 

Name :         Mnaeerat  fongwarin.

Nickname :  yui  (^^ ).

Birthday :   1 March 1991, Nationality Thai.

Graduaed:  Dokkamtawittatakhom  school

from  phayao.

Education  now:  suan  sunadha  rajabhat university,

business  administration financial  and  banking.

Address :  39/343  soisukhuvit 93,  bang ja,  Phra khannong,  Bangkok 10160.

Tel : 02-3318082.084-7148011

E-mail : [email protected]

Family :  mother and I.

Quipc :    live  to  learn  to  live.

                                  

คือ ยุ้ย อัลไฟล์ อย่างเดียว ไม่ด้ายส่งผ่านบล็อ ก

เล ย ทำ ส่งวันนี้ คร่า

 

                 Resume

First Name  : Mr. Natthawut

Family Name : Panjiesaeng

Nickname  : BANK

Birth of day : 18 August,1991

Age 20 years old

Sex  : Male

Nationality  : Thai

Religion  : Buddhism

Hometown  : 1626/8 Soi Tukkufa Dindaeng Rd. Dindaeng District 10400

Bangkok

Studies :  Suan Sunandha Rajahat University

Faculty : Management Science

Branch : Business Administration

Major : FINANCIAL & BANKING

NO. : 53127312018

Favorite Color : Green Color

Favorite Sport  : Badminton and Tennis

Hobby : See the movie, listen to music, play computer and read a book or

sport magazine

Motto : Heaven never helps the men who will not act.

E-mail : [email protected]

Comment to Assistant Professor Krisada

   My teacher was very friendly with each other, students were taught in English, thank a teacher who makes a lot of terminology I Improvement and know. I was punctual. Opportunity to ask when you understand things. And finally, thanks to the Experience told me to adapt to life both at work and at university^ ^

Resume

Name: Varanya  Sangsree

Nickname: Nook

Address: 68 Moo 4, Tambon Angthong, Koh Samui, Surat Thani.

Mobile : (+66) 83-5908-090

Email : [email protected]

Age: 20                                                                                               Sex: Female

Nationality: Thai                                                          Date of Birth: 5 January 2534

Race: Thai                                                                   Place of Birth: Surat Thani

Religion: Buddhism                                                                      Marital Status: Single

High: 169                                                                    Hobby: Swim

Weigh: 59                                                                                Read a book

 

You are very good teacher, funny,not sleepy but some word i do not understand.

Resume

 

My name is Tharika Pongjun

My nickname is Moo

Date of birth  : July 8,1992

Age : 18

Sex : Female

Height : 163

Weight : 47

E-mail = [email protected]

My province is Bankkok

I studying in Suansunandha Rajabhat University class 2 year

My old school Wimuttayarampitayakorn

 

Comments. 

I like a good teacher who taught English. I will practice with the language. Be good at English. But like I said slowly. I could not listen to my words.

 

 

 

มาส่งถูกที่แล้วค่ะ >>แก้ตัว << ไปส่งผิดบล๊อกค่ะ 

Students

Sorry I told you World Bank is not IRDC but IBRD (International Bank for Reconstruction and Development)

Assignment for this week is you analyze if Yinglak will be a new Prime minister will impact Thai Economics in whatever ?

Send to me within Thursday 30 12.00 p.m. again in English version at least 10 lines.

your professor

Dr.Krisada

Resume

 

My name is Montira Usadee. My nick name Mam

 I'm 19 years old Birthday is 4 September 1991.

On my free time I play internet. My favorite food is rice with pork fried. My favorite color is green and blue.

I studying in Suansunandha Rajabhat University class 2 year

My old school Beungnakronprachasonschool

My province is Surin

 

Comments.

I like a good teacher who taught English. I will practice with the language. Be good at English. But like I said slowly. I could not listen to my words. I was taught well and make it easier to study with a teacher.

Resume

Full Name     :     Supavit  Artitayasorn

Nickname     :     Book

Age             :     19 years old.

Religion        :     Buddhist

Nationality    :     Thai

Address        :     65/22 m.5  Soy Thungmangkorn20  Thungmangkorn Road

                        Taling chan  10170 Bangkok

Tel.             :     080-6002088

E-mail          :     [email protected]

------------------------------------------------------------------------------

Comment to teacher

            I'm felling good to Dr.Kridsada. Thank you for difficult vocabulary.

I enjoy this course and happy with thai course.

หนูส่งใหม่ตอนแรกไปส่งผิด (เมื่อกี้อัฟรูปไม่ได้เลยส่งมาหลังค่ะ)

I think if yinglak as prime minister on the course. Thailand's economy is expected to be better, because once the election has passed. The prime minister has come to the country's foreign, it will have more confidence. And to invest in Thailand. Make the economy better.After being out for a rally. The country has no confidence in it about how to invest and do business in Thailand. But after this, the Economic in the positive direction to get it.The higher cost of living, while this may be a wide range of prices down. According to government policy. To cancel the sale of eggs weighing a kilogram. The sale of the original. And the higher price of rice to help farmers.

The news that India will have to withdraw from the Organization of World Heritage sites. The Preah Vihear. If the withdrawal is real. Will make the economy worse than ever. The Cambodian soldiers started to close the border of Thailand. Will result in business without confidence.And do not dare to invest. So we have to do next after the election because there is no certainty. May be more revolutionary it is. Because there will be some people who do not like it and did not want the party is the government. The assembly may have a claim.

MOO (PIGGY)

Excellent , 11 lines.

Your comment are very good in content & grammatical. You show that you work hard for my class and have good consultant. Who are your assistant ? Gig or Fan or someone ? Please tell me.

Dr.Krisada

Thailand is currently experiencing economic downturns have many people to leave and return to the original settlers. The foreign trade has suffered in terms of higher product costs and lower sales. This condition have a lot of Thai people have suffered. Find a new job. Some people have turned to a career in agriculture. For those who are working to turn to find a way to reduce the cost of the family. One must be more economical. If MS is looking. Shinawatra, the Prime Minister will affect the Thai economy.

- If the South Park Bridge, where it would be difficult. If you build a road linking the Andaman Sea and Gulf of Thailand, known as the bridge over the ground. To connect to transport goods. The boat from one coast to the other side. Will affect the islands in the South to take the boat to leave. The boat is a selling point for tourists to take a boat to soak up the atmosphere of a more direct

- 30 baht health care scheme. Maintain quality. For poor people to borrow money to maintain.

- Housing Fund to raise money for all the district around one million people in the village across the capital for investment in professional development, create jobs, generate income or revenue. Emergency and urgent relief. Without having to borrow from elsewhere.

- Poverty must be eliminated within four years, but if the credit card for farmers. To buy fertilizer or seed for planting. It would increase the liability of farmers increased.

The above is just a little. Many people think that good. But there may be many who disagree. The look on Mr. Shinawatra's policies.

-The red shirt will not protest.

-Will there be any sale of eggs weighing a kilo.

-Building dam and doors of the sea driven. Gate to drain the water and the sea around Bangkok, with additional green space for recreation. Without having to borrow money.

-Increase revenue to the public.

-Establish a community forest is a forest village communities to be more wetlands.

-Increase agricultural prices.

-Dig the main rivers well near converge.

I think if Yinglak could help eliminate the poverty of the majority of the people of Thailand. According to public well-being is likely to be employed. Income for living. Housing Fund and its role in the development of commercial potential. People's Bank to operate in the equity capital or small businesses. In the area of agriculture, it will be better. Farmers helping farmers to have greater stability in the price of rice. Development of sustainable agriculture. The well-being and stability of farmers.

In education, the better the education of Thai children in the study of modern scholarship. And loans for education. To lighten the burden on parents and helping Thai children and youth have the opportunity to continue their studies.

Assignment "Assignment for this week is you analyze if Yinglak will be a new Prime minister will impact Thai Economics in whatever ?"

If you look at the Prime Minister of the country. This is the first woman in the prime minister will have an impact on the economy of the country in a better way. Since you have graduated from a foreign country. This can lead to the development of our country for the better. It is acceptable to the people around the world. The foreign investment into the country even more. Economic growth a lot of work. The unemployment rate has a lot today. The country has progressed further. Due to new technologies. Into the country. Person's income will increase. The distribution of income from urban to rural society. To reduce the poverty of the people who live outside the city. The city did not address compression. The incidence of crime in the country will be reduced. Financial institutions. May Benefited from the expansion of credit and foreign interest According to government policy. such as Real Estate Group. May have to do more to borrow money to buy a house.

Finally

In 2015 The integration of the ASEAN Community. I want to give this new government. Economic policies to compete with other countries. And encourage everyone to become a universal language. The Thai people will be able to compete with other countries.

If Yinglak is the Prime Minister. Will affect the economy, both positive and negative.

Affected in a positive way. The economy may be better because she is a businessman first. And her brother continue to provide good advice to her. And previously was a foreign diplomat to meet with her to talk about the party's policies. It makes the foreign country the confidence to invest in the country increased. May Benefited from the expansion of credit and foreign interest According to government policy.The distribution of income from urban to rural society. To reduce the poverty of the people who live outside the city.

The negative impact it would have quite a bit as well. Because the parties did not support her as well. Cause to rally again, it is possible. If the assembly has a long duration, or the riots in the city. Will affect the image of the module. The lack of foreign confidence in the economy. Security to the country that have an impact on tourism. And people in the country will have suffered too.

I think that if Yinglak has gone up the prime minister to make the good economy. Because she was an executive at the company before, and also graduated from the Political Science.This will makes her administration more efficient. She is a business, it would make business contacts with foreign countries is easier.But she must struggle with the opposition. Because many people believe that she is nominee of Thaksin Shinawatra's brother. then she might give him amnesty. This will result in the same protest.

When a new government that will allow foreign investors confidence to invest in more, it will have working capital increased, resulting in economic growth and increase employment, reduce unemployment. Add to a higher income people. Make a better living.

Of the policy, I think it may be possible but will take a long time and a lot of money. In particular, poverty and drug problems are not going to be difficult. Which will be developed in the individual family and social development.

ณัฐวดี โชคชัยอนันตกุล 51127301021 เศรษฐศาสตร์

With regard to we will know that , if , , Yinglak, be how is a president then to affect ? us must compare with with , all policy in country administration that , succeed in where are a little country many administrations only ? , a temple has from economic problem , such as , poorness problem , depletion problem is in a hurry the four requisites , a problem migrates to migrate , welfare problem and work state , industrial sector , unbalance problem in spread income , if , a temple is or , compare with with in the past or , compare with with other country has already , our country bears fruit something good fold , more than ( lose/go dead ) , we , should lead the disadvantages comes to rectify for , the nation has developed more and more.

I think if, Yinglak, get woman person first president , as a result , will affect both of the usefulness and the bad result.

-       Economic effect in the sense of the usefulness.

  1. Economical structure modifies from improving part the production and goods exporting on the base of the innovation and the creativity for enhance the cost.
  2. Can lead the experience from doing business s come to adjust and develop the country appreciate root grass person.
  3. Don't encourage give the agriculturist is in debt , or , be in debt increase , and can help by oneself get.
  4. Effective advantage people , will a person that have root grass majority position , and people who ( lose/go dead ) the advantage is will a person that have moderate position , reach good position , as a result , be dissatisfied.

-       Economic effect in the sense of the bad result.

  1. Dishonesty calls for the gain gives with oneself and the partisan.
  2. Political unrest that have the clash between person congregate of people's allies for the democracy , bring about to the effect builds [ wasp ] the economy changes confidence way of a consumer and investor confidence are down , which , affect concern go to still consuming and the investment , besides , the income from tourism part , be down follow tourist amount that is down from the hesitation in the safety , which , have an affect on continual go to still a part serves that pertaining to the tourism , for example ,  , using serves a hotel and a restaurant , the travel travels.
นายทวีศักดิ์ รังเเก้ว

If Yinglak will be a new Prime minister will impact Thai Economics in whatever ?

    According to nowadays, the most problem also about Economic So, I think if Yinglak will be a new Prime minister Thai economic will be better more than this day. Because she is qualification to improve Thai economic and able to manage Thai people live comfortable in the poor areas.  I think everyone agree with Yinglak party because she is sister of Thaksin Chinnawat and she is collaborative with her brother returned to develop Thai country.  Actually I guess that they will get the most scores because there are lots of fans Yinglak Party.   The result will be a win for Yinglak Party. Then, when the her party tries to get other parties to join it to form a government, those parties will receive a visit or a phone call telling them not to do so.

 

เจนจิรา เลขุนทด 51127301024

think if, Yinglak, get woman person first president she would be able to eliminate these problems. She has always supported. Before the election. Rice is expensive, labor problems, cost of living is very high, unemployment is not enough revenue expenditure. Accrue on the debt was never seen before in the past 10 years, oil shortages. Queuing to buy mercenary for eggs, poultry, pork, eggs, expensive, exorbitant rate for the proposed scale grower price of rice to poor farmers seemed to fall around 5-6 thousand tons of falling agricultural prices, lower farm income. reduce The gap between the rich - the poor in growth. The pod is divided into two problems, he said severely. Lack of unity, reconciliation is not red - yellow - blue - white - pink The rally marched up to the armed assault as never before. Social problems, high crime, heavy drug degradation being highest.

All of your answer are very exciting to me. Your Eng. are too good and I want tosee you speak like you write.

Practice every day , Don't forget , think and dream in foreign version (Eng. Korea Japan etc) , you'll be much more happy than the day before.

International languages are your world.

Dr.Krisada

-Thailand has will the economy improves.

-Thailand has the change of the relation.

-The youth is likely education side.

-People has to modify of the social and the culture .

-People is likely in the work.

-People receives the gain from the policy.

-The world receives to know arrive at the change of Thai politics.

-People receives the right follows the policy in the government.

and that important , because of , Miss Yinglak Chinnawat , be accustomed to the observance of precepts , be younger sister of Mr.Taksin Chinniwat , be accustomed to the observance of precepts , the change of Thailand might resemble , by that , , member in agriculturist people will receive the gain most , there is side narcotic fight ,

I think impact both positive and negative. On the positive side exports of goods and services has increased ,increase domestic investment ,tourist attractions revenue increases ,trade expansion and additional revenue and the distribution of income community the villagers and professional growth increase. On the negative side have a gathering of supporters of the opposing party , harm caused by the protests ,economic downturn, because foreigners do not come down ,income to be reduced because of the assembly and the employment in a higher price the rate of unemployment higher because the employer not employ.

 

 

I think if Yinglak is prime woman her minister can bring about to country our development improves. She has an experience business administration side. She will make the economy has the progress and the foreign countries come in to invest in the country. Financial institution, might receive the advantage from the growth of the credit and foreign countries interest follow the policy in the government. There is Technology new lead comes in the country. There is spread of the income from a city for the local society for decrease the poorness of majority person of Thailand. There is employing increases, the income of a person will increase and help the advantage builds people part in the sense of serves the public. Encourage the social and families have the happiness, eradicate the narcotic all, and do not initiate a crime in the country. encourage give a child plays the sport and the development study of Thai child modernly have fund supporting in the education and the asset raise a loan for the education give with Thai child for lighten the load with parents helps to give a child is high class upland education goes up. But might have an obstacle in the administration and develop the country .there is the faction that don't support her. Will have the insurrection in a city affects to build the image of the country. No have confidence the imported goods in the investment affect build the economy. There is the unemployment increases. Affect build the tourism and the trade. Because she has no to meet political and country administration.

The first case.

- A leader in the development of new ones. The growth in the country. It is the policy. To raise the revenue to the public. Reduce public expenditure. And providing equal opportunities for the people "that this policy will result in better economy of Thailand.

The second case.

- When people agree that there must be people who disagree. People who do not agree, they may protest that the unrest. As a result, investment in Thailand decreased. Thailand's economy, which will make it worse.

The first case.

- A leader in the development of new ones. The growth in the country. It is the policy. To raise the revenue to the public. Reduce public expenditure. And providing equal opportunities for the people "that this policy will result in better economy of Thailand.

The second case.

- When people agree that there must be people who disagree. People who do not agree, they may protest that the unrest. As a result, investment in Thailand decreased. Thailand's economy, which will make it worse.

- Thailand has a better economy.

- Poverty will be gone in 4 years.

- Reduce corporate tax from 30% to 23%.

- His work is acknowledged Bachelor's starting salary of 15,000 Baht.

- Salary adjustment for civil servants and state enterprises.

- Local government organizations. Received increased 25% to fraud.

- Debt service for those with debt not exceeding five hundred thousand, not less than 3 years.

- Professionals who are hired to make a better place.

- 30 baht health care scheme. Maintain quality.

- All stations. Budget Rent a condo.

Yinglak if true, is he can run the country as well as her brother, former Prime Minister. Can be guided in the administration of the country. And resolves to put an end to the drug.

The elections oncoming. YINGRUK have the policy for incentives people.The large problem about economy system living and health.their are present low tax ,build the dam of flood and the library but the important for the people may be is the debt.their have the policy too.it's restructure for debt.it's good and benefits for YINGRUK to present the people.this policy is show that the economy must install incentives of people.so if their come to the government and can do it.THAILAND must go forward certainly. If she is her party's policy will cause people to have a sufficient number of charges. The nation's current economic development in a good way.

The disadvantage That is, if he became Prime Minister may have the disadvantage that she is a business that never before has a political duty to check as to whether the political will that is large enough compared to the political. directly. If the parties are not complete as it could be a drain on the finances of the government, it might be possible.

       The elections oncoming. YINGRUK have the policy for incentives people.The large problem about economy system living and health.their are present low tax ,build the dam of flood and the library but the important for the people may be is the debt.their have the policy too.it's restructure for debt.it's good and benefits for YINGRUK to present the people.this policy is show that the economy must install incentives of people.so if their come to the government and can do it.THAILAND must go forward certainly. If she is her party's policy will cause people to have a sufficient number of charges. The nation's current economic development in a good way.

       The disadvantage That is, if he became Prime Minister may have the disadvantage that she is a business that never before has a political duty to check as to whether the political will that is large enough compared to the political. directly. If the parties are not complete as it could be a drain on the finances of the government, it might be possible.

Assignment for this week is you analyze if Yinglak will be a new Prime minister will impact Thai Economics in whatever ?

  • Thailand will be the aviation hub of Asia.
  • Thailand is a center of finance and energy, Southeast Asia.
  • Thailand is a hub of health in Asia.
  • Thailand is a Buddhist world.
  • The law fairly to the eye of the international

If Ms Yingluck Shinawatra won the July 3 election and be prime minister of Thailand in next government.

I think advantages of Yingluck’s government are administration system and market mechanisms have flexible and can efficiency manage because Ms Yingluck has expertise in this area. For projects to support this policy such as making mega project for stimulus economic, increase salary for bachelor's degree etc. In addition policy of this party emphasize on technology for improve education quality such as providing a computer to each student and free internet service.

On the other hand if the Pheu Thai party won and formed the next government, a new round of political unrest was likely to follow because Pheu Thai will issue an amnesty decree and will face protests against such a move. It would issue a decree to grant an amnesty to de facto leader and former prime minister Thaksin Shinawatra, and other suspects and wrong-doers in political cases or called ''bring Thaksin home,''. These reasons cause political conflicts and conflicts between advocates of the Puea Thai party (red shirt) and other parties (yellow shirt or blue shirt) make to losing many chances to move forward. In addition Yingluck’s family has many business, there is a possibility to use of power to own benefit and associated business and some changes to what they think is the problem.

If Yinglak is the Prime Minister.

After the election, I think the economy will get better. Product cheaper. The people's lives better. Crops with higher prices. Farmers have more income. Farmers still have money left topay the debt. If she became Prime Minister. Thailand is more developed.

But personally I'm not satisfied with the party cloning.She was the only representative of her brother.

if Yinglak will be a new Prime minister will impact Thai Economics in whatever ?

I think Thailand will have a significant economic development and transportation policy. By adding the construction of the Airport train link across multiple lines in Bangkok and its vicinity. And adding high-speed rail connection to the province as a destination for each sector. To natural resources policy. The protection of the flood. Industrial policy. The promotion of a province, an agricultural industry. Policies promoted by increasing the income of workers earning the minimum. And salary increases in Navuti degree increase. The policy costs. Is that there are liability issues, etc. in the field of development in all aspects of these results in terms of comfort, speed of travel. Confident that the water will not flood. Revenue increased by boosting revenue by giving the province's agriculture industry is doing. And make people happy in every aspect. When people are happy as well as developing countries continue to have impact on the foreign and Thai tourists are interested in because of the convenience of modern travel and make money circulating in the country. a positive impact on the economy. Red, including the rally that did not cause civil unrest and harm the economy of the country.

I think if you yingruk to be prime minister at the University. Will improve the economy.
- Cancel the egg weight is kg.
- Rice selling price.
- And to invest in Thailand.
- The transportation is very convenient in accordance with government policy.
- Medical care is improved by 30 bath health care policy.

- Trade buying and selling cash flow.
- Lower cost of living.

- A study of Thai children have been developed.

Overall, the economy will improve. If you are not satisfied with the assembly after the election about the election.

I think if Yingluk as Prime Minister of Thailand. Thailand's economy will be better.

The concept is to encourage people to use gold as money has a thriving economy. Reduce debt and reduce government borrowing down. Credit system. We will focus on the creation of domestic consumption to increase. People are living better I start the water for agricultural products to raise the minimum wages. The output may be due to foreign exchange rate fluctuations. I need to focus on one income by promoting domestic consumption. Promote social and family happiness. Raise people's lives for the better. To focus on the country's fiscal balance is not paid only by looking at what the future might be like. Is that countries have to be paid back. Fiscal situation of the country and will not be a problem for developing countries. Keep spending down to the real people. Corruption is not a politician or senior official. And with the support of the loan to be used in the study.

I think if The appearance was the first female prime minister. I believe that this woman can take our country into a great example. Increase the income of the people. Reduce the cost of the public. And equal opportunity for people "that this policy will result in the economic betterment of the country.

In education, the better the education of Thai children in the study of modern scholarship. And loans for education. To lighten the burden on parents and helping Thai children and youth have the opportunity to continue their studies.

Another is. Thaksin would have amnesty. Or solve their own laws to facilitate it. It will result in the opponent's offensive against the uprising, which will allow the country to chaos.

I think that is a good chance of human changes to the Thai government. The prime minister is a woman from the country. Because some of the prime minister is hit with a man does not run the country better. Management is obsolete. If she is a woman prime minister will be fine. I think modern women do not think everything will be better.Economy, it would be nice as well. Policy to raise revenue for the people of Thailand at all levels. The coat anything. The policy of wage labor, the minimum was U.S. $ 300, salary for a bachelor's degree in general to begin a 15,000 baht, the price of agricultural products, all of the paddy they used the pledge at the carts, and 15,000 is a third policy.20 policies that the party will do if the Thai government. This country has systems and procedures. The priority reconstruction and development in the country. The framework is aimed at encouraging the public. Gold is money. Economic prosperity. Reduce debt and reduce government borrowing down.

Trade in the country's economy improves, it will flow better. The nation is prosperous, it is the busiest travel. Money from the tourists, both foreign and domestic, it will flow into the country even more. Eggs were selling like it used to be normal, there is no need to weigh the government before. Farmers Insurance The price of rice in a higher price. The poor will be helped to raise the family income increased. Students who have completed the job done. Salary increases over the original. Train services in the cheaper price of only $ 20 minimum wage increase, the more people using all workers. The country's economy. Will grow more than ever because she is a successful business in various countries are likely to change for the better. Administration is simple.

I think if Yinglak has gone up the prime minister of the country. It is. "A female prime minister. Thailand's first " policy that can be set to occur. And efficiency in the country. Stop the corruption. Solve the problem at present.

• Economic stability in a society that relies on consumer education lot of young people effectively.

• Cause anytime. To stimulate the economy. Circulation and distribution of my stack of money. Maximize the benefits to the public.

• Development of new advanced technology to the education of youth.

• Comfortable. Infrastructure. Transportation service.

• To create harmony and unity in the country.

• Ability to lead the country towards prosperity. And has been accepted by the countries in the region and creating a good friendship together

The advantage in going into the low tax environment.

International competitiveness or growth is not higher taxes. The Singapore corporate tax is 18 percent to 30 percent in the Philippines and Thailand will cut corporate tax from 30 to 23 percent in the year 2 and to 20 percent in the year 2556 for the company. Minimum salary of those who graduated from a minimum of 15,000 workers at 300 baht per day to reduce taxes and increase income people will have more money. Higher purchasing power. Eventually, it will be taxed more as "a little to much" OTOP project will generate export revenue for the country to economic prosperity, the downside is that you look. Does not end the country's first female prime minister directly and therefore mistakes can occur. The lack of foreign confidence.

I think if Yinglak. The prime minister and policy development of the country. And enhance the quality of life.

The economy has improved since The policy was "to enhance people's lives," the better is a good thing because that's a good life. In both the capital and the countryside. Will lead to economic growth. Such as agriculture and industry. The employment The income distribution, rural areas. The economic mobility. The children will have a chance to study higher education, and more importantly, migration can be reduced down to me. The investment will increase both public and private sectors. In investments. Both domestically and abroad as an investment in movable and immovable property acquisition by the investment of the business skills of many people who are buying gold in gas profits, etc. These things will make Yinglak be alert to. The country has the potential to increase.

        If Yingluk, extremely steal get a president ,how is the economy of the country ?

        If she does as her can tell the economy of the country , and the being of people ,improve will have the circulating fund in tall country , because people has money and must buy necessary things are through may make money has the easiness more and more .People has will the work does more and more can decrease unemployment problem , because , there is employying has and the minimum wage just tall more old almost life-size . A farmer who transplant rice seedlings all right good money ,there is guaranteeeing price person rice , will want to get back do the farm again . The salary of a child ends the bachelor's degree , increase , may make pregnant end the bachelor's degree increases to go to again , and might have upland competition . Old people , enhance cowrie money supports life again . And in Bangkok , will the The Secretariat of the Senate more and more because will just the dot wifi .

Assignment for this week is you analyze if Yinglak will be a new Prime minister will impact Thai Economics in whatever ?

-Thai people have a higher minimum wage.

-Those who bachelor's degree have higher minimum wages.

-Development of new advanced technology to the education of youth.

-Cancel the egg weight is kg.

-Reduce corporate taxation from 30% is 23%.

-People has to modify of the social and the culture .

I think if, Yinglak is the Prime Minister.

Economy could be improved Because of the policy.

They have many policies such as supporting the export ang import of agricultural product and also resulted in foreigner travel in the country.So,there is the flow of money in the country and can help people to have a job and increase the revenue cotinuously. For the policy for people who work in the city is to raise wages and the cost of living still the same.It allows people to spend more than before.In addition,public debt will decline as well.

the disadvantages are if Yingluk will be the priminister,some groups of people will not support and cause the protest. So,it has an effect on the income of country because the foreigner will not come to travel.

The business companies will not come to invest in our country because they afraid to lose the profit.

Now many of the policy parties do not agree so there are many disadvantage.All the problems are depend on there will have the conflict or not after the election.

If Yinglak will be a new Prime minister Thailand is the first female prime minister.

If her make the policies laid down….

1. Thailand will develop, Education could be improved.

2. Trade could be improved.

3. May to use free Internet in the country.

I think some policies use very money. If are spending too much may cause higher costs, economy may be worse. But if her make the policies laid down economy may be good, too.

I think if Yinglak at the prime minister. Thailand's economy will be better.

_ It has convenient transportation and more.

_The Thai economy is very advanced, more because of the train. Railroad tracks with an increase in cost.

_Poverty is out of the country within four years.

_Housing Fund. Increased to one million Baht

_The $ 30 will treat all diseases. Make sure the poor have a better living.

_Reduced tax to twenty percent in 2556.

If Yinglak is. Be stated as fact. Thailand's economy would be in order.

And a lot of people. It would be better as well. Depending on the votes of all Thai people to be sure she has a Prime Minister or not.

On the positive side

- The distribution of income to the community.

- The villagers have been added revenue.

- Exports of goods and services has increased.

- Security to the country that have an impact on tourism.

- Poverty must be eliminated within four years.

- Resulting in economic growth and increase employment

On the negative side

- Have a gathering of supporters of the opposing party.

- Income to be reduced because of the assembly and the employment in a higher price

the rate of unemployment higher because the employer not employ.

- The unemployment rate has a lot today

If Yinglak will be a new Prime minister will impact Thai Economics is ?

The First is Economics of Thailand be changed in the direction of foreign investment is increasing. After the study came from the website overview is Economics of Thailand before the election takes place. Because Because Yinglak is Foreign quite sure will be the next prime minister of Thailand. Seen from the image She is confident. Business women in Thailand. come from for its business family.

The policy of the party With higher employment. The unemployment rate declined. Income distribution is increasing. The economy grew strongly.

However, in contrast If Yinglak. will be a new Prime minister. The poor economy may come back to the same. There may be a protest rally of the yellow jersey again. As a result the country has been affected by the economy worsens. From abroad can not invest in Thailand.

If Yinglak will be a new Prime minister will impact Thai Economics is ?

The First is Economics of Thailand be changed in the direction of foreign investment is increasing. After the study came from the website overview is Economics of Thailand before the election takes place. Because Because Yinglak is Foreign quite sure will be the next prime minister of Thailand. Seen from the image She is confident. Business women in Thailand. come from for its business family.

The policy of the party With higher employment. The unemployment rate declined. Income distribution is increasing. The economy grew strongly.

However, in contrast If Yinglak. will be a new Prime minister. The poor economy may come back to the same. There may be a protest rally of the yellow jersey again. As a result the country has been affected by the economy worsens. From abroad can not invest in Thailand.

I  think  anyone  can  be  a  Prime  Minister  but  they                    mush  to  develop  the  better  economic  not  thah  it's                     just  a  campaign  ,  but  did  it  then  do  not  in  my  mind           that  it  you  were  to  look  into  the  president  he  would              fix  the  problem  and  to  recover  full  economic        improvement   in  profit  to  the  drug  drugs  would  be  gone.

I think after the election has passed. Confidence in foreign investors will come. Trading in the cash flow flexibility with cost of living is lower. National income has been increased. Make everyday life better.The 30 baht health care treatment is better than ever.


 The government has said it will follow the policy that the people are.

 - The change of society and culture in a good way.

- Cancel the egg weight is kg.

 

 

อารีรัตน์ รังสิรัตน์

     I think if you if you Yinglak as prime minister. Party policies in the economic system is that Policies of the party at the party's economic policies, poverty reduction, most of the people of the country. According to public well-being are more likely to use the income for life. There is also a praise in the world. They need to accelerate economic development in the country. Therefore, people with higher incomes. Including the development of the manufacturing sector and human resources. To be able to. Compete in the global arena. To create balance and stability of the economy. Reduces the risk sensitivity and volatility of the global economy.

     To stabilize and strengthen the economy. Party's policy on the management of the balance of macro and micro economy. To ensure sustainable economic growth. This is because they believe that macroeconomic policy is comparable to helm the boat. To control the direction of Mexico and sailed into the goal. At the same time, the odds are there will be a small tool. Drive of the government of Mexico to sail forward.

Macro-economic management. Party to focus on monetary and fiscal policy by adopting various macroeconomic indices I expected. Affect the stability and economic security. Both in terms of interest rates, inflation rates, while the individual to maintain fiscal discipline. Both in terms of public debt. Management of major economic indices such as the current account deficit. Balance of payments and balance the budget. Monetary and fiscal measures to push forward. To promote foreign investment. Savings in the country. Fiscal measures to stimulate the economy. Support the development of capital markets in a flexible source of funding. As well as support the development of agricultural futures markets. To stabilize agricultural prices.

    Micro-economic management. Party's policy to give priority to capacity development. The competitiveness of the economy that already has a competitive advantage such as agriculture, to develop value-added agriculture industry. Value-added food products, herbs, creating energy security of agricultural products. Party's policy to develop and enhance their competitiveness in the hospitality industry, such as the tourism industry. Medical facilities and hospitals. Health and spa industry.

Party's policy is to strengthen small and medium-sized businesses. Focus on creating added value in the form of exotic art. The use of creativity in inventing new materials. Or the use of creativity in the application materials. Or processes that are friendly to nature. Party policy is to attract significant industry investment in the world for technology transfer. The development of the industry. High value. Or parts that require highly skilled workers. To enhance the competitiveness of these industries on the world stage.

    Party will use fiscal policy. Activities, both in the academic world. Creativity Recreation-oriented, as in Thailand. Parties shall take such measures. To reduce the cost of doing business, or the cost of transporting fuel. With the urgent construction of rail infrastructure, the party has a policy of gradual liberalization of the services sector, there will be an adaptation of the Thai business sector to compete with foreign parties. To support and improve the competitiveness of the Thai people to communicate and negotiate in International business.

    Party policy is to give people access to capital and small. To reduce external borrowing. Village fund, which has the potential to expand its role in business development. Bank of people working in the capital or small businesses.


If the policy of the party. Can see that it is equivalent to the global economy. And will have access to even more people will have the knowledge economy to have a better right to be paid in the world and proclaim to fight. And promote education has progressed even more. Some policies will also have inconsistencies in them. And some will have to solve the poverty of the people. It would be easy to give up the habit too short to live it in terms of knowledge and to develop a better self. It is better to allow it to recover the money. We see that there are good and bad policies that are inconsistent with it here.

ฟัง
อ่านออกเสียง
นายพงศ์วุฒิ ปัญจะธา

If Yinglak as prime minister, I think...

In positive.

-Debt to the poor people.

-Solve the problem of corruption in thailand.

-Support economic for the better.

-Solve the unemploynent problem.

In negative.

It'll have the assembly of opposition parties because somebody don't like Yinglak or PuerThai party.

If have the assembly the foreigner will not come to travel in thailand because they afraid dangerious happen to them.

     If   Ms.Yingluk  Chinnavat  become The first female President  in Thailand I think Thailand will be a developed country, economic issues will be refreshed and remove the gap between rich and poor, because most of Thai people has a low quality life. So the ways to solution about quality life are    1. Promote exports (OTOP)                                                                     2. pledge paddy                                                                                     3. Drug problems to disappear ,the drug users are patients who need treatment and the sellers are criminals to be punished strictly.                    4. To Build the train in 10 line and flooding protecting system for facilities and safety to the public and                                                                    5. the last one is the most important for my mind is quality and standard of education if we have smart teachers ,smart medias for education everything that I say can be happen in this time.

I think if I feel Miss. An alloy of the Minister. The economic development of Thailand's Charoen and t rise. Since the appearance that Ms. economic development plans were put on standby as well. It is the policy of the country's capacity to prevent flooding in Bangkok and the central system. Visitors will come to Bangkok safe and comf...ortable. And also a modern city. Such as ICT, as well. Creating the 10 metro lines in Bangkok. To improve the quality of life. Eliminate drugs in 12 months, the fund's top village. The organization assumes the stomach, 25 percent of credit card farmers SML fund set up to support these policies and more to help make the economy better. Poor working capital will result in income to the community. The money will come from within the country. Export Trade OTOP products ± and other equipment to the country. Economic prosperity is certainly

if Yinglak will be a new Prime minister will impact Thai Economics in whatever?

She is the first female minister of the country. The economy may be better because she is a businessman first too. Her efforts have been made and the intention to develop the country's past. This will makes her administration more efficient.

That she was thinking of the policy to the public. Such as increasing revenue and expanding opportunities for farmers and the poor. Add a production for farmers.

That will ensure the completion of the Bandit and the labor to maximize revenue and increase the purchasing power of the people.

When people have more purchasing power, it will cause liquidity in the economy of the country.

In education, it will help Thai children in the capital loan is secured by the poor children the opportunity to learn more.

And finally, I hope she will do everything possible to put the policy.

Thai economy likeil to be better because "PHEU THAI PARTY" policy to reduce public experditure the first 6 months of the government to help farmers stay debt to revive the career and income.Debt service for 5 years without interest.A policy to increase revenue to the public.The first project is an industrial province.Debt help teachers and educational personnel Residential projects.These policies will make economy better and to make people better as well.

     If Ms.Yingluk Chinnavat become The first female President in Thailand I think Thailand will be a developed county , economic issues will be refreshed and remove the gap between rich and poor , because most of Thai people has a low quality life. So the ways to solution about quality life are

  • Promote exports. (OTOP)
  • Pledge paddy.
  • Drug problems to disappear , the drug users are patients who need treatment and the sellers are criminals to be punished strictly.
  • To Build the train in 10 line and flooding protecting system forfacilities and safety to the public.
  • The last one is the most important for my mind is quality and standard of education if we have smart teachers , smart medias for education everything that I say can be happen in this time.

If Yinglak will be a new Prime minister will impact Thai Economics in whatever ?

I think the economy will get better,products’prices will decrease, people will get a higher salary.Besides this party gives precedence to the educational strategy called ‘E-Learning’ by announced the campaign ‘One student,one tablet computer’ by giving a free tablet computer to every primary school student, moreover they promised that if elected , the party will ensure that every school will has high speed internet access and Wi-Fi. It shows that if they win this election, Thailand’s education will step into the world of ‘Social Network’ entirely.

If Yinglak will be a new Prime minister will impact Thai Economics in whatever ?

I think the economy will get better,products’prices will increase,while croph,prices people will get a higher salary(especially farmers,labours and Bachelors graduates ).Besides this party gives precedence to the educational strategy called ‘E-Learning’ by announced the campaign ‘One student,one tablet computer’ by giving a free tablet computer to every primary school student, moreover they promised that if elected , the party will ensure that every school will has high speed internet access and Wi-Fi. It shows that if they win this election, Thailand’s education will step into the world of ‘Social Network’ entirely.

The Prime Minister is the head of Government and is ultimately responsible for the policy and decisions of Government. The Prime Minister also oversees the operation of the civil service .Meanwhile there are conflicts among citizenship in the country.Particulary she need to makes hamony and peace for people in the country.As long as the image of Thailand is fine,comfortable to live and attract investor to come to the country.Everything goes well with brillian image.Eventually,the next Prime minister should find way out to solve this currently problems.That would be great. This is the policy of his government If they do that I will love him all the Thai people were ready to support. Thailand is not what people expect to get good people who come into my Podhringtmhring resistant to a particular country to grow up.

นลินี สุพัตรา You're late.

Someone don't send and much of you are on time and excellent.

I tthink my student work hard and know the way to search the question and add your comment to colour or creaming your assignment.

You're very good young boy and lady too.

I wish to see you in the same way in every subject.

Please go to vote on Sunday 3rd. July at your register zone.

The man no. 5 (Chuwit) will help our country. 555555555555555555555

Dr.Krisada

I think if you look at it as the next President of the economy will improve dramatically. However, things do not improve. Commercial facilities. The cost of the Thai people eat better and less expensive for people I do not know the sergeant. People like to spend more. Do not go hungry as well. It's more comfortable. The car's surface and underground train for free Lื there are many, many, do not waste time with the car on the road. Electricity and water facilities are used consistently The people of the poor. Funds for villages in the provinces, which are intended to provide farmers with capital to make a living. To develop revenue. As their own. Sustainable living. The debt to assets, etc. It also helps to promote the Thai capital, reading in the bachelor program to confirm. And I believe you also have to look other than to encourage our country to progress further up.

RESUME

Name : Bangon  Bohin

Nickname : A

Birth Date : may18, 1992

Age : 19 years old

Height : 151 centimets

Weight : 40 kilogram

Address : 88/152  Jittaplace Suanlungroad Samutsakhon

Tel. : 084-544-9646

E-mail : [email protected]

Graduated from : Mattayom Watnongkhaem School

Nationality : Thai

Religion : Buddhism

Status : Single

         
  ตั๋วสัญญาใช้เงิน
คือ หนังสือตราสารซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่า “ผู้ออกตั๋ว” ให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งให้แก่บุคคลหนึ่ง หรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า “ผู้รับเงิน”
           อย่างไรตาม การที่ผู้สั่งจ่ายไม่ลงวันที่ในตั๋วเงิน แสดงว่ายอมให้ผู้มีสิทธิในตั๋วนั้นลงวันที่ได้โดยสุจริต ตั๋วเงินนั้นย่อมสมบูรณ์ ตั๋วสัญญาใช้เงินจะต้องมีข้อความบอกว่าเป็น “ตั๋วสัญญาใช้เงิน” มีคำมั่นอันปราศจากเงื่อนไขว่าจะใช้เงินเป็นจำนวนแน่นอน มีวัยถึงกำหนดใช้เงิน (ถ้าไม่มี ถือว่าใช้เงินเมื่อเห็น) / มีสถานที่ใช้เงิน (ถ้าไม่มี ให้ถือเอาภูมิลำเนาของผู้ออกตั๋ว) / มีชื่อหรือยี่ห้อผู้รับเงิน วันและสถานที่ออกตั๋ว (ถ้าไม่ระบุวันออกตั๋ว ผู้ทรงตั๋วชอบด้วยกฎหมายและโดยสุจริต จะจดวันถูกต้องแท้จริงลงก็ได้ ถ้าไม่ได้ระบุสถานที่ออกตั๋วไว้ ให้ถือว่าออก ณ ภูมิลำเนาของผู้ออกตั๋ว) และที่สำคัญคือ ต้องลงลายมือชื่อผู้ออกตั๋ว อนึ่ง ตั๋วสัญญาใช้เงิน ต้องระบุชื่อผู้รับเงินเสมอ จะเป็นตั๋วผู้ถือไม่ได้


เช็ค

               เช็คนั้นคือหนังสือตราสารซึ่งบุคคลหนึ่งว่าเรียกว่าผู้สั่งจ่ายสั่งธนาคารให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งเมื่อทวงถามให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งหรือให้ใช้ตามคำสั่งของอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับเงิน

ชนิดและลักษณะของเช็ค

โดยปกติเช็คจะมีความแตกต่างตามความต้องการของผู้จ่ายเช็คและผู้รับเช็คซึ่งจะได้กล่าวถึงแต่ละชนิดดังนี้
1.เช็คสั่งจ่ายตามสั่ง ( Order Cheque ) เป็นเช็คที่สั่งจ่ายให้แก่ผู้มีชื่อปรากฏในเช็คสามารถโอนกันได้โดยการสลักหลัง และส่งมอบ
2. เช็คสั่งจ่ายให้บุคคลหรือผู้ถือ ( Bearer Cheque ) หมายถึงผู้สั่งจ่ายสั่งธนาคารจ่ายเงินแก่ผู้ถือเช็คฉบับนั้นเพียงแต่เขียนในช่องจ่ายว่าเงินสดก็เป็นอันสมบูรณ์
3. เช็คสั่งจ่ายวันที่ล่วงหน้า ( Post Date Cheque ) เป็นเช็คที่ผู้สั่งจ่ายลงวันที่ล่วงหน้าจะเบิกเงินจากธนาคารได้ก็ต่อเมื่อถึงวันที่ที่ปรากฏบนเช็ค
4.เช็คขีดคร่อม ( Crossed Cheque ) เป็นเช็คที่ผู้สั่งจ่ายขีดหรือทำเครื่องหมายเส้นคู่ขนานไว้ตรงด้านหน้าของเช็คผู้ถือเช็คจะไม่สามารถเบิกเงินสดได้จะต้องนำไปเข้ากับบัญชีที่ตนฝากเงินกับธนาคารแล้วให้ธนาคารเป็นผู้ไปขึ้นเงินให้แล้วโอนเข้ากับบัญชีของผู้ทรงเช็คนั้นอีกทอดหนึ่งแยกเป็น 2 กรณีดังนี้
4.1 เช็คขีดคร่อมทั่วไปคือในระหว่างเส้นคู่ขนานไม่มีข้อความใดเขียนไว้เลยหรือมีคำว่าและบริษัท AND CO ; และหรือคำย่ออื่นๆ ทำนองเดียวกันซึ่งไม่เฉพาะเจาะลงไป4.2 เช็คขีดคร่อมเฉพาะในระหว่างเส้นคู่ขนานจะมีชื่อธนาคารใดธนาคารหนึ่งเฉพาะเจาะลงไป
5.เช็คอื่นๆเป็นเช็คที่แตกต่างไปจากที่กล่าวมาแล้วจะใช้ในเฉพาะบางกรณีได้แก่
5.1  เช็คที่ธนาคารรับรอง และอาวัล ( Certifide Cheque and Aval ) เป็นเช็คที่ธนาคารจะรับรองเพราะผู้รับเช็คไม่รู้จักผู้สั่งจ่ายดีพอ
5.2  เช็คที่ถูกสลักหลัง
5.3  เช็คที่ธนาคารเป็นผู้สั่งจ่าย ( Cashier Cheque )
5.4  เคาน์เตอร์เช็ค ( Counter Cheque ) เป็นเช็คพิเศษที่ธนาคารสำรองให้ผู้ฝากต้องการจะเบิกแต่ไม่ได้นำเช็คมา
5.5  เช็คสำหรับผู้เดินทาง ( Traveller Cheque ) เพื่อความปลอดภัยผู้เดินทางจะไม่นำเงินสดติดตัวธนาคารจะมีเช็คเดินทางขาย


ตั๋วแลกเงิน ( Bill of Exchange )

           ลักษณะของตั๋วแลกเงินนั้นคือหนังสือตราสารซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้สั่งจ่ายสั่งบุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้จ่ายให้ใช้เงินหนึ่งแก่บุคคลหนึ่งหรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้รับเงิน
           ตามลักษณะของตั๋วแลกเงินผู้สั่งจ่ายจะออกตั๋วมอบให้แก่ผู้รับเงินในเบื้องต้นผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นคู่สัญญาโดยตรงจึงมีเฉพาะผู้สั่งจ่ายและผู้รับเงินเท่านั้นผู้จ่ายเป็นบุคคลที่ผู้สั่งจ่ายระบุให้เป็นผู้จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินนั้นโดยที่ยังไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องหรือเข้ามาเป็นคู่สัญญาในตั๋วแลกเงินก็ต่อเมื่อได้มีการนำตั๋วแลกเงินนั้นไปให้ผู้จ่ายใช้เงินหรือให้รับรองตั๋ว
           ตั๋วแลกเงินจะมีผู้ค้ำประกันการรับประกันการใช้เงินทั้งจำนวนหรือบางส่วนก็ได้ซึ่งเรียกว่าอาวัล ( Aval ) การอาวัล คือการค้ำประกันให้มีการใช้เงินตามตั๋วเงินผู้อาวัล คือผู้ค้ำประกันการใช้เงินตามตั๋ว

       
        หุ้นสามัญ (
Common Stocks หรือ Ordinary Shares) คือ ตราสารสิทธิที่แสดงความเป็นเจ้าของกิจการ และเมื่อกิจการมีกำไรจากการดำเนินงาน ผู้ถือหุ้นสามัญจะได้รับเงินปันผลในอัตราที่จัดสรรโดยที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น โดยคำนวณตามสัดส่วนของจำนวนหุ้นที่ถือครอง ทั้งนี้ เงินปันผลอาจมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับผลกำไรจากการดำเนินงานประจำปีของกิจการ

        หุ้นสามัญ ( Common Stock ) เป็นตราสารประเภทหุ้นทุน ซึ่งออกโดยบริษัทมหาชนจำกัดที่ต้องการระดมเงินทุนจากประชาชน โดยผู้ถือหุ้นสามัญจะมีสิทธิร่วมเป็นเจ้าของบริษัท มีสิทธิในการออกเสียงลงมติในที่ประชุมผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนของหุ้นที่ถือครองอยู่ กล่าวคือ ร่วมเป็นผู้ตัดสินใจในปัญหาสำคัญในที่ประชุมผู้ถือหุ้น อาทิ การเพิ่มทุน การจ่ายเงินปันผล การควบรวมกิจการ นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นสามัญยังมีสิทธิได้รับเงินปันผลเมื่อบริษัทมีผลกำไร และมีโอกาสได้รับกำไรจากส่วนต่างของราคาเมื่อราคาหลักทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นตามศักยภาพของบริษัท รวมถึงมีโอกาสได้รับสิทธิในการจองซื้อหุ้นออกใหม่เมื่อบริษัทเพิ่มทุนหรือจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิต่างๆ ให้แก่ผู้ถือหุ้น



 

7.การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฏิบัติตามกฎหมายอย่างไร

ตอบ โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม

ข้อสังเกต 1.ต้องระมัดระวังในบางกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือมอบให้รับเงินแทน (ฎ.653/2514)

2. ถ้าเป็นกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ใช่โอนสิทธิเรียกร้อง (ฎ.330/2522) เจ้าหนี้ ลูกหนี้ ผู้รับโอน

3. การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำต้องทำเป็นหนังสือ (ฎ.5466/2539)

4. การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอบแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306ไม่ได้ (ฎ.2472/2519)

1.1 หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303 หลัก สิทธิเรียกร้องโอนกันได้

ข้อยกเว้น 1.สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่อง

2. คู่กรณีตกลงห้ามโอน แต่จะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้

3. สิทธิที่ศาลยึดไม่ได้(มาตรา 304) (ฎ3793/2535,ฎ.4837/2540)

1.2 วิธีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้

1.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง(มาตรา 306)

ขั้นตอนที่หนึ่ง การโอนต้องทำเป็นหนังสือระหว่างเจ้าหนี้กับผู้รับโอนาโดยไม่ต้องได้รับความ ยินยอมจากลูกหนี้ การทำเป็นหนังสือ แม้ลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว(ฎ.4139/2532)

ขั้นตอนที่สอง การยกขึ้นต่อสู้ ต้องมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ หรือ ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนเป็นหนังสือ (ฎ.5561-5567/2530,ฎ.3973/2532)

อนึ่งถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ก่อนขั้นตอนที่สองไปแล้ว ลูกหนี้ก็หลุดพ้นจากหนี้นั้น

1.การยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้รับโอน (มาตรา 308)

1.1 กรณีลูกหนี้ให้ความยินยอมในกานโอนโดยมิได้อืดเอื้อน เช่นนี้ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้

1.2 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน เช่นลูกหนี้ยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนได้

1.3 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน และลูกหนี้มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้อยู่ก่อน แต่หนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ก็แสดงเจตนาหักกลบหนี้ไปยังผู้รับโอนได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องนั้นถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ ได้โอนไป (ฎ.4392/2536)

2.ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง

2.1 ผู้รับโอนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เดิมไม่ได้

2.2เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้เดิม ไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปแล้วนั้นได้

2.3ผู้รับโอนมีสิทธิเหนือประกันแห่งหนี้ที่ได้รับโอนมาด้วย (มาตรา 305) โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้ผู้ประกันทราบ (ฎ.5237/2538)

22.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระตามเขาสั่ง(มาตรา 309) ต้องสลักหลังและส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับโอน โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้

2.2.2 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่ผู้ถือ(มาตรา 311)เป็นตราสารที่ไม่ระบุชื่อผู้ทรง ต้องส่งมอบตราสารนั้น

9.เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อต้องทำประกันภัย สิ่งปลูกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบ

ตอบ เพราะว่าถ้าหากหลักประกันบางส่วนเกิดเสียหายขึ้นก็จะทำให้ธนาคารในฐานะผู้รับจำนอง อาจจะเสียหายได้เนื่องจากหลักประกันได้เสื่อมค่าลงบางส่วน ในกรณีที่ธนาคารจะบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ ดังนั้น การประกันภัยต่างๆก็เป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่หลักประกันของธนาคารโดยให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้รับภาระในส่วนนี้ไป

10.ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฏิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

ตอบ ได้ เพราะว่าการทำงานด้านสินเชื่อจะไปเกี่ยวข้องกับการออกพบปะลูกค้าด้วย ดังนั้นต้องเกี่ยวกับวิชาการตลาดด้วย คุณต้องจัดการกระบวนการสินเชื่อตั้งแต่ต้นจนจบตามแบบแผนที่องค์กรของคุณกำหนดให้ บวกกับประสบการณ์ด้านสินเชื่อ นักการตลาด และบุคลิกภาพของคุณด้วยพร้อมกับความรู้ในด้านต่างๆ เช่น บัญชี กฎหมาย การเงิน เศรษฐศาสตร์ การเมือง ข่าวสารใหม่ๆให้ทันกับเวลาและสถานการณ์ปัจจุบัน เป็นต้น สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม มีความอดทน อดกลั้น และมีความตั้งใจในการทำงานด้านสินเชื่อขององค์กร ตั้งใจค้นหาข้อมูลใหม่ๆ มีการ Update ข้อมูลอยู่เสมอ และพยายามหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ต่อการบริหารสินเชื่อ มีความเฉลียวฉลาดทันคน ในเรื่องการรับสถานการณ์และแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้

ตัดสินใจด้วยเหตุและผล รวมทั้งยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นไม่นำความลับของลูกค้าไปเปิดเผยให้บุคคลอื่นทราบ รักเกียรติในงานของตนเอง มีคุณธรรมในการปฏิบัติหน้าที่

(ข้อ 7 ) การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฎิบัติตามกฎหมายอย่างไร

ตอบ โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้องเป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม

ข้อสังเกต 1. ต้องระมัดระวังในบางกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือมอบให้รับเงินแทน (ฎ.653/2514)

2. ถ้าเป็นกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ใช่โอนสิทธิเรียกร้อง (ฎ.330/2522)

เจ้าหนี้ ลูกหนี้

ผู้รับโอน

3. การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำต้องทำเป็นหนังสือ

(**ฎ.5466/2539)

4. การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอบแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306ไม่ได้ (ฎ.2472/2519)

1.1 หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303

หลัก สิทธิเรียกร้องโอนกันได้

ข้อยกเว้น 1. สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่อง

2. คู่กรณีตกลงห้ามโอน แต่จะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้

3. สิทธิที่ศาลยึดไม่ได้(มาตรา 304) (ฎ3793/2535,ฎ.4837/2540)

1.2 วิธีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้

1.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง(มาตรา 306)

ขั้นตอนที่หนึ่ง การโอนต้องทำเป็นหนังสือระหว่างเจ้าหนี้กับผู้รับโอนาโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกหนี้ ?การทำเป็นหนังสือ? แม้ลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว(ฎ.4139/2532)

ขั้นตอนที่สอง การยกขึ้นต่อสู้

ต้องมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ หรือ

ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนเป็นหนังสือ (ฎ.5561-5567/2530,ฎ.3973/2532)

อนึ่งถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ก่อนขั้นตอนที่สองไปแล้ว ลูกหนี้ก็หลุดพ้นจากหนี้นั้น

1.การยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้รับโอน (มาตรา 308)

1.1 กรณีลูกหนี้ให้ความยินยอมในกานโอนโดยมิได้อืดเอื้อน เช่นนี้ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้

1.2 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน เช่นลูกหนี้ยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนได้

1.3 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน และลูกหนี้มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้อยู่ก่อน แต่หนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ก็แสดงเจตนาหักกลบหนี้ไปยังผู้รับโอนได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องนั้นถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไป (ฎ.4392/2536)

2.ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง

2.1 ผู้รับโอนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เดิมไม่ได้

2.2เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้เดิม ไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปแล้วนั้นได้

2.3ผู้รับโอนมีสิทธิเหนือประกันแห่งหนี้ที่ได้รับโอนมาด้วย (มาตรา 305) โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้ผู้ประกันทราบ (ฎ.5237/2538)

2.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระตามเขาสั่ง(มาตรา 309) ต้องสลักหลังและส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับโอน โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้

2.2.2 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่ผู้ถือ(มาตรา 311)เป็นตราสารที่ไม่ระบุชื่อผู้ทรง ต้องส่งมอบตราสารนั้น

( ข้อ 9 ) เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อต้องทำประกันภัย สิ่งปลูกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบ

ตอบ การที่ธนาคารได้กำหนดให้ลูกค้าทำประกันภัยกับบริษัทที่ธนาคารกำหนด เพราะว่า เมื่อมีการจดจำนองเป็นหลักประกันกับธนาคารแล้วภาระหนี้ของลูกค้าก็ได้เกิดขึ้นแล้ว และถ้าหากหลักประกันบางส่วนเกิดเสียหายขึ้น ที่จำนองได้เกิดไฟไหม้ขึ้นก็จะทำให้ธนาคารผู้รับจำนอง อาจจะเสียหายได้เนื่องจากหลักประกันได้เสื่อมค่าลงบนบางส่วน ในกรณีนี้ธนาคารจะบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ ดังนั้น การประกันไฟหรือการประกันภัยต่างๆก็เป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่หลักประกันของธนาคารโดยให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้รับภาระในส่วนนี้ไป

(ข้อ 10 ) ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฏิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

ตอบ ได้ เพราะว่า ส่วนใหญ่งานทางด้านนิติกรรมสินเชื่อมักมีความรู้ทางด้านกฎหมาย แต่บางคนมีความรู้ทางด้านบริหารธุรกิจ คือมีการพูดคุยพบปะกับลูกค้า ดังนั้นต้องเกี่ยวกับวิชาการตลาดด้วย และผ่านการอบรมในกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และมีประสบการณ์ด้านนิติกรรมสินเชื่อ ก็สามารถทำงานด้านนิติกรรมสินเชื่อได้ด้วยเช่นเดียวกัน

7.การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฏิบัติตามกฎหมายอย่างไร

ตอบ โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม

ข้อสังเกต 1.ต้องระมัดระวังในบางกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือมอบให้รับเงินแทน (ฎ.653/2514)

2. ถ้าเป็นกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ใช่โอนสิทธิเรียกร้อง (ฎ.330/2522) เจ้าหนี้ ลูกหนี้ ผู้รับโอน

3. การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำต้องทำเป็นหนังสือ (ฎ.5466/2539)

4. การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอบแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306ไม่ได้ (ฎ.2472/2519)

1.1 หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303 หลัก สิทธิเรียกร้องโอนกันได้

ข้อยกเว้น 1.สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่อง

2. คู่กรณีตกลงห้ามโอน แต่จะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้

3. สิทธิที่ศาลยึดไม่ได้(มาตรา 304) (ฎ3793/2535,ฎ.4837/2540)

1.2 วิธีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้

1.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง(มาตรา 306)

ขั้นตอนที่หนึ่ง การโอนต้องทำเป็นหนังสือระหว่างเจ้าหนี้กับผู้รับโอนาโดยไม่ต้องได้รับความ ยินยอมจากลูกหนี้ การทำเป็นหนังสือ แม้ลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว(ฎ.4139/2532)

ขั้นตอนที่สอง การยกขึ้นต่อสู้ ต้องมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ หรือ ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนเป็นหนังสือ (ฎ.5561-5567/2530,ฎ.3973/2532)

อนึ่งถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ก่อนขั้นตอนที่สองไปแล้ว ลูกหนี้ก็หลุดพ้นจากหนี้นั้น

1.การยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้รับโอน (มาตรา 308)

1.1 กรณีลูกหนี้ให้ความยินยอมในกานโอนโดยมิได้อืดเอื้อน เช่นนี้ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้

1.2 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน เช่นลูกหนี้ยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนได้

1.3 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน และลูกหนี้มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้อยู่ก่อน แต่หนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ก็แสดงเจตนาหักกลบหนี้ไปยังผู้รับโอนได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องนั้นถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ ได้โอนไป (ฎ.4392/2536)

2.ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง

2.1 ผู้รับโอนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เดิมไม่ได้

2.2เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้เดิม ไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปแล้วนั้นได้

2.3ผู้รับโอนมีสิทธิเหนือประกันแห่งหนี้ที่ได้รับโอนมาด้วย (มาตรา 305) โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้ผู้ประกันทราบ (ฎ.5237/2538)

22.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระตามเขาสั่ง(มาตรา 309) ต้องสลักหลังและส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับโอน โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้

2.2.2 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่ผู้ถือ(มาตรา 311)เป็นตราสารที่ไม่ระบุชื่อผู้ทรง ต้องส่งมอบตราสารนั้น

9.เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อต้องทำประกันภัย สิ่งปลูกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบ

ตอบ เพราะว่า หากหลักประกันบางส่วนเกิดเสียหายขึ้น เช่น สิ่งปลูกสร้าง บ้าน อาคาร ที่จำนองได้เกิดไฟไหม้จะทำให้ธนาคารในนะผู้รับจำนอง อาจเสียหายได้คือหลักประกันได้เสื่อมค่าลง ในกรณีที่ธนาคารบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ ดังนั้น การประกันภัยต่างๆ ก็เป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นเก่หลักประกันของธนาคาร โดยให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้รับภาระในส่วนนี้ไป

10.ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฏิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

ตอบ ได้ เพราะ ในเรื่องของการประสานงานกับลูกค้า ในส่วนนี้จะเกี่ยวของกับ ด้านการตลาด(บริหารธุรกิจ) คือ ผู้ที่จบบริหารธุรกิจก็จะมีการเรียนในวิชา การตลาด การเงิน การบัญชี เศรษฐศาสตร์ กฏหมาย.. ซึ่งเนื้อหาสาระที่เรียนบางส่วนนำมาใช้ประกอบในเรื่องของงานนิติกรรมสินเชื่อได้ เช่น การประสานงานกับลูกค้าในวิชาการตลาดที่กล่าวไว้ข้างต้น เจ้าหนี้ที่สินเชื่อผู้ดูเเลบัญชีลูกค้าในวิชาการบัญชี ข่าวสารต่างๆ ที่เป็นปัจจุบัน ความรู้ความเข้าใจกฏหมาย ซึ่งสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาซึ่งเกี่ยวข้องในวิชาเศรษฐศาสตร์ เเละกฏหมาย ทั้งหมดนี้สามารถนำมาปรับใช้ในเรื่องของงานนิติกรรมสินเชื่อได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จบการศึกษานิติศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาทางด้านกฏหมายโดยตรง ก็จะสามารถปฏิบัติในงานนี้ได้ เพราะว่าเป็นงานที่ต้องอาศัยความรู้ในทางกฏหมายอย่างมาก อาศัยความรอบคอบ เเละซื่อสัตย์

7.การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฏิบัติตามกฎหมายอย่างไร

ตอบ โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม

ข้อสังเกต 1.ต้องระมัดระวังในบางกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือมอบให้รับเงินแทน (ฎ.653/2514)

2. ถ้าเป็นกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ใช่โอนสิทธิเรียกร้อง (ฎ.330/2522) เจ้าหนี้ ลูกหนี้ ผู้รับโอน

3. การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำต้องทำเป็นหนังสือ (ฎ.5466/2539)

4. การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอบแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306ไม่ได้ (ฎ.2472/2519)

1.1 หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303 หลัก สิทธิเรียกร้องโอนกันได้

ข้อยกเว้น 1.สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่อง

2. คู่กรณีตกลงห้ามโอน แต่จะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้

3. สิทธิที่ศาลยึดไม่ได้(มาตรา 304) (ฎ3793/2535,ฎ.4837/2540)

1.2 วิธีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้

1.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง(มาตรา 306)

ขั้นตอนที่หนึ่ง การโอนต้องทำเป็นหนังสือระหว่างเจ้าหนี้กับผู้รับโอนาโดยไม่ต้องได้รับความ ยินยอมจากลูกหนี้ การทำเป็นหนังสือ แม้ลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว(ฎ.4139/2532)

ขั้นตอนที่สอง การยกขึ้นต่อสู้ ต้องมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ หรือ ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนเป็นหนังสือ (ฎ.5561-5567/2530,ฎ.3973/2532)

อนึ่งถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ก่อนขั้นตอนที่สองไปแล้ว ลูกหนี้ก็หลุดพ้นจากหนี้นั้น

1.การยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้รับโอน (มาตรา 308)

1.1 กรณีลูกหนี้ให้ความยินยอมในกานโอนโดยมิได้อืดเอื้อน เช่นนี้ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้

1.2 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน เช่นลูกหนี้ยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนได้

1.3 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน และลูกหนี้มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้อยู่ก่อน แต่หนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ก็แสดงเจตนาหักกลบหนี้ไปยังผู้รับโอนได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องนั้นถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ ได้โอนไป (ฎ.4392/2536)

2.ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง

2.1 ผู้รับโอนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เดิมไม่ได้

2.2เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้เดิม ไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปแล้วนั้นได้

2.3ผู้รับโอนมีสิทธิเหนือประกันแห่งหนี้ที่ได้รับโอนมาด้วย (มาตรา 305) โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้ผู้ประกันทราบ (ฎ.5237/2538)

22.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระตามเขาสั่ง(มาตรา 309) ต้องสลักหลังและส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับโอน โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้

2.2.2 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่ผู้ถือ(มาตรา 311)เป็นตราสารที่ไม่ระบุชื่อผู้ทรง ต้องส่งมอบตราสารนั้น

9.เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อต้องทำประกันภัย สิ่งปลูกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบ

ตอบ เหตุที่ธนาคารกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อต้องทำประกันภัย สิ่งปลูกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบ  เพราะหากหลักประกันบางส่วนเกิดเสียหายขึ้น จะทำให้ธนาคารในฐานะผู้รับจำนอง อาจเสียหายได้คือหลักประกันได้เสื่อมค่าลง ในกรณีที่ธนาคารบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ ดังนั้น การประกันภัยต่างๆ ก็เป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นเก่หลักประกันของธนาคาร โดยให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้รับภาระในส่วนนี้ไป

 

10.ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฏิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

ตอบ  ได้ เพราะว่าการการศึกษาบริหารธุรกิจครอบคลุมไปในหลายๆด้านเช่นการการตลาดที่จะต้องออกไปพบปะผู้คนอยู่บ่อยๆ  อีกทั้งในตัววิชาบริหารก็ยังมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับทางนิติศาสตร์นั่นก็คือวิชากฎหมายว่าด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเอง  สามารถนำมาใช้ในด้านนิติกรรมสินเชื่อได้  โดยผู้ที่จบมาจากด้านนี้ก็ยังมีประสบการณที่ได้สั่งสมมาจากด้านการศึกษาและในชีวิตประจำวันนำมาวิเคราะห์ได้ด้วย

 

 

 

7 การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฏิบัติตามกฎหมายอย่างไร

ตอบ โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม

ข้อสังเกต 1.ต้องระมัดระวังในบางกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือมอบให้รับเงินแทน (ฎ.653/2514)

2. ถ้าเป็นกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ใช่โอนสิทธิเรียกร้อง (ฎ.330/2522)

3. การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำต้องทำเป็นหนังสือ (**ฎ.5466/2539) 4. การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอบแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306ไม่ได้ (ฎ.2472/2519)

1.1 หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303

หลัก สิทธิเรียกร้องโอนกันได้

ข้อยกเว้น 1.สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่อง

2. คู่กรณีตกลงห้ามโอน แต่จะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้

3. สิทธิที่ศาลยึดไม่ได้(มาตรา 304) (ฎ3793/2535,ฎ.4837/2540)

1.2 วิธีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้

1.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง(มาตรา 306)

1.การยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้รับโอน (มาตรา 308)

1.1 กรณีลูกหนี้ให้ความยินยอมในกานโอนโดยมิได้อืดเอื้อน เช่นนี้ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้

1.2 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน เช่นลูกหนี้ยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนได้

1.3 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน และลูกหนี้มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้อยู่ก่อน แต่หนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ก็แสดงเจตนาหักกลบหนี้ไปยังผู้รับโอนได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องนั้นถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไป (ฎ.4392/2536)

2.ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง

2.1 ผู้รับโอนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เดิมไม่ได้

2.2เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้เดิม ไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปแล้วนั้นได้

2.3ผู้รับโอนมีสิทธิเหนือประกันแห่งหนี้ที่ได้รับโอนมาด้วย (มาตรา 305) โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้ผู้ประกันทราบ (ฎ.5237/2538)

22.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระตามเขาสั่ง(มาตรา 309) ต้องสลักหลังและส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับโอน โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้

2.2.2 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่ผู้ถือ(มาตรา 311)เป็นตราสารที่ไม่ระบุชื่อผู้ทรง ต้องส่งมอบตราสารนั้น

9. เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อต้องทำประกันภัย สิ่งปลูกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบ

ตอบ เพราะว่าถ้าหากหลักประกันบางส่วนเกิดความเสียหายขึ้น เช่น บ้าน อาคาร บ้านเรือน ที่ปลูกสร้างอยู่บนที่ดิน ที่จำนอง อาจจะเสียหายได้เนื่องจากหลักประกัน ในกรณีนี้ที่ธนาคารจะบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ ดังนั้นการประกันภัยต่างๆ ก็เป็นการป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่หลักประกันของธนาคารโดยให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้รับภาระในส่วนนี้ไป

10. ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฏิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

ตอบ ได้ เพราะว่านักศึกษาบริหารธุรกิจได้เรียนศึกษาเกี่ยวกับหลักการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับงานนิติกรรมเชื่อ และครอบคลุมเนื้อการเรียนไปหลายด้าน ซึ่งสาขาที่จบมาที่สามารถปฏิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้นั้นที่พบบ่อย คือ นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และบริหารธุรกิจ เป็นต้น

7.การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฏิบัติตามกฎหมายอย่างไร

ตอบ โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม

ข้อสังเกต 1.ต้องระมัดระวังในบางกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือมอบให้รับเงินแทน (ฎ.653/2514)

2. ถ้าเป็นกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ใช่โอนสิทธิเรียกร้อง (ฎ.330/2522) เจ้าหนี้ ลูกหนี้ ผู้รับโอน

3. การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำต้องทำเป็นหนังสือ (ฎ.5466/2539)

4. การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอบแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306ไม่ได้ (ฎ.2472/2519)

1.1 หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303 หลัก สิทธิเรียกร้องโอนกันได้

ข้อยกเว้น 1.สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่อง

2. คู่กรณีตกลงห้ามโอน แต่จะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้

3. สิทธิที่ศาลยึดไม่ได้(มาตรา 304) (ฎ3793/2535,ฎ.4837/2540)

1.2 วิธีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้

1.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง(มาตรา 306)

ขั้นตอนที่หนึ่ง การโอนต้องทำเป็นหนังสือระหว่างเจ้าหนี้กับผู้รับโอนาโดยไม่ต้องได้รับความ ยินยอมจากลูกหนี้ การทำเป็นหนังสือ แม้ลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว(ฎ.4139/2532)

ขั้นตอนที่สอง การยกขึ้นต่อสู้ ต้องมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ หรือ ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนเป็นหนังสือ (ฎ.5561-5567/2530,ฎ.3973/2532)

อนึ่งถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ก่อนขั้นตอนที่สองไปแล้ว ลูกหนี้ก็หลุดพ้นจากหนี้นั้น

1.การยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้รับโอน (มาตรา 308)

1.1 กรณีลูกหนี้ให้ความยินยอมในกานโอนโดยมิได้อืดเอื้อน เช่นนี้ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้

1.2 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน เช่นลูกหนี้ยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนได้

1.3 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน และลูกหนี้มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้อยู่ก่อน แต่หนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ก็แสดงเจตนาหักกลบหนี้ไปยังผู้รับโอนได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องนั้นถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ ได้โอนไป (ฎ.4392/2536)

2.ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง

2.1 ผู้รับโอนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เดิมไม่ได้

2.2เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้เดิม ไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปแล้วนั้นได้

2.3ผู้รับโอนมีสิทธิเหนือประกันแห่งหนี้ที่ได้รับโอนมาด้วย (มาตรา 305) โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้ผู้ประกันทราบ (ฎ.5237/2538)

22.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระตามเขาสั่ง(มาตรา 309) ต้องสลักหลังและส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับโอน โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้

2.2.2 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่ผู้ถือ(มาตรา 311)เป็นตราสารที่ไม่ระบุชื่อผู้ทรง ต้องส่งมอบตราสารนั้น

9.เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อ ต้องทำประกันภัย สิ่งปลูกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบตอบ เพราะถ้าหากหลักประกันที่จำนองบางส่วนเกิดเสียหายจากการเกิดไฟไหม้ ก็จะทำให้ธนาคารผู้รับจำนอง อาจจะเสียหายได้เนื่องจากหลักประกันได้เสื่อมค่าลงบนบางส่วน ในกรณีนี้ธนาคารจะบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ ดังนั้น การประกันไฟหรือการประกันภัยต่างๆก็เป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิด ขึ้นแก่หลักประกันของธนาคารโดยให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้รับภาระในส่วนนี้ไป

10.ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฏิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

ตอบ ได้ เพราะว่างานนิติกรรมสินเชื่อจะเกี่ยวกับความรู้ด้านกฎหมาย ซึ่งการที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจนั้นจะต้องผ่านการเรียนวิชาที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับนิติกรรมมา คือ กฎหมาย การเงินการธนาคาร การตลาด เป็นต้น ซึ่งเนื้อหาที่ได้เรียนมาก็จะสามารถนำมาใช้ประกอบในการทำนิติกรรมได้ ผู้ปฏิบัติงานต้องมีความรอบครอบ ซื่อสัตย์ และต้องมีความสามารถในการประสานงานทั้งกับลูกค้า และเจ้าหน้าที่ด้านอื่นๆที่เกี่ยวข้อง และต้องหาความรู้เกี่ยวกับกฎหมายใหม่ๆ อยู่เสมอ

7.การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฏิบัติตามกฎหมายอย่างไร โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311

ตอบ   การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม

ข้อสังเกต

1).ต้องระมัดระวังในบางกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือมอบให้รับเงินแทน (ฎ.653/2514)

2). ถ้าเป็นกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ใช่โอนสิทธิเรียกร้อง (ฎ.330/2522) เจ้าหนี้ ลูกหนี้

ผู้รับโอน **

3). การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำต้องทำเป็น

หนังสือ (**ฎ.5466/2539) **

4). การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอบแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306ไม่ได้ (ฎ.2472/2519)

(1.1). หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303

หลัก สิทธิเรียกร้องโอนกันได้

ข้อยกเว้น

1).สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่อง

2). คู่กรณีตกลงห้ามโอน แต่จะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้

3). สิทธิที่ศาลยึดไม่ได้(มาตรา 304) (ฎ3793/2535,ฎ.4837/2540)

(1.2). วิธีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้

((1.2.1)). การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง(มาตรา 306)

ขั้นตอนที่หนึ่ง

การโอนต้องทำเป็นหนังสือระหว่างเจ้าหนี้กับผู้รับโอนาโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกหนี้ ?การทำเป็นหนังสือ? แม้ลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว(ฎ.4139/2532)

ขั้นตอนที่สอง การยกขึ้นต่อสู้

1). ต้องมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้

2). ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนเป็นหนังสือ (ฎ.5561-5567/2530,ฎ.3973/2532)

อนึ่งถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ก่อนขั้นตอนที่สองไปแล้ว ลูกหนี้ก็หลุดพ้นจากหนี้นั้น

1).การยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้รับโอน (มาตรา 308)

(1.1). กรณีลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนโดยมิได้อืดเอื้อน เช่นนี้ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้

(1.2). กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน เช่นลูกหนี้ยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนได้*****

(1.3). กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน และลูกหนี้มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้อยู่ก่อน แต่หนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ก็แสดงเจตนาหักกลบหนี้ไปยังผู้รับโอนได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องนั้นถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไป (ฎ.4392/2536)

2).ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง

(2.1). ผู้รับโอนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เดิมไม่ได้

(2.2). เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้เดิม ไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปแล้วนั้นได้

(2.3). ผู้รับโอนมีสิทธิเหนือประกันแห่งหนี้ที่ได้รับโอนมาด้วย (มาตรา 305) โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้ผู้ประกันทราบ (ฎ.5237/2538)

((2.2.1)). การโอนหนี้ที่ต้องชำระตามเขาสั่ง(มาตรา 309) ต้องสลักหลังและส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับโอน โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้

((2.2.2)). การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่ผู้ถือ(มาตรา 311)เป็นตราสารที่ไม่ระบุชื่อผู้ทรง ต้องส่งมอบตราสารนั้น

9.เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเขื่อต้องทำปรพกันภัยสิ่งปลูกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบ

ตอบ  เพราะเมื่อถ้าเกิดไฟไหม้ หรือ สิ่งที่นำมามาเป็นหลักประกันเสียหาย ธนาคารจึงต้องมีการสั่งบริษัทประกันภัยจะต้องมีการโอนผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ เท่าที่บริษัทประกันภัยจะรับได้ให้กับธนาคารในทุกกรณี

10.ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถทำนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

ตอบ  ได้ เพราะ ผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจก็ต้องศึกษาเกี่ยวกับวิชากฎหมายเช่นกัน

คำถามประจำบทที่ 10

ข้อ7 การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฎิบัติตามกฎหมายอย่างไร

ตอบ = โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม
ข้อสังเกต

1.ต้องระมัดระวังในบางกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือมอบให้รับเงินแทน (ฎ.653/2514)
2. ถ้าเป็นกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ใช่โอนสิทธิเรียกร้อง (ฎ.330/2522)
เจ้าหนี้ ลูกหนี้
ผู้รับโอน
** 3. การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำต้องทำเป็น
หนังสือ (**ฎ.5466/2539)
** 4. การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอบแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306ไม่ได้ (ฎ.2472/2519)
1.1 หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303
หลัก สิทธิเรียกร้องโอนกันได้
ข้อยกเว้น

1.สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่อง
2. คู่กรณีตกลงห้ามโอน แต่จะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้
3. สิทธิที่ศาลยึดไม่ได้ (มาตรา 304) (ฎ3793/2535,ฎ.4837/2540)
1.2 วิธีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้
1.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง(มาตรา 306)
ขั้นตอนที่หนึ่ง การโอนต้องทำเป็นหนังสือระหว่างเจ้าหนี้กับผู้รับโอนาโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกหนี้ การทำเป็นหนังสือ แม้ลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว(ฎ.4139/2532)
ขั้นตอนที่สอง การยกขึ้นต่อสู้
    -  ต้องมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ หรือ
    -  ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนเป็นหนังสือ (ฎ.5561-5567/2530,ฎ.3973/2532)
อนึ่งถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ก่อนขั้นตอนที่สองไปแล้ว ลูกหนี้ก็หลุดพ้นจากหนี้นั้น
1.การยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้รับโอน (มาตรา 308)
   1.1 กรณีลูกหนี้ให้ความยินยอมในกานโอนโดยมิได้อืดเอื้อน เช่นนี้ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้
   1.2 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน เช่นลูกหนี้ยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนได้
   1.3 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน และลูกหนี้มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้อยู่ก่อน แต่หนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ก็แสดงเจตนาหักกลบหนี้ไปยังผู้รับโอนได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องนั้นถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไป (ฎ.4392/2536)
2.ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง
    2.1 ผู้รับโอนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เดิมไม่ได้
   2.2 เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้เดิม ไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปแล้วนั้นได้
   2.3 ผู้รับโอนมีสิทธิเหนือประกันแห่งหนี้ที่ได้รับโอนมาด้วย (มาตรา 305) โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้ผู้ประกันทราบ (ฎ.5237/2538)
        2.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระตามเขาสั่ง(มาตรา 309) ต้องสลักหลังและส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับโอน โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้
        2.2.2 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่ผู้ถือ(มาตรา 311)เป็นตราสารที่ไม่ระบุชื่อผู้ทรง ต้องส่งมอบตราสารนั้น

ข้อ9 เพราะเหตุใดธนาคารกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อต้องทำประกันภัย สิ่งปลูกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบ

ตอบ = เพราะถ้ามีการจดจำนองเป็นหลักประกันกับธนาคารแล้วภาระหนี้ของลูกค้าได้เกิดขึ้น แต่ถ้าหลักประกันบางส่วนเกิดเสียหายหรือเกิดไฟไหม้ เช่น อาคาร บ้านเรือน จะทำให้ธนาคารในฐานะผู้รับจำนอง อาจจะเสียหายได้ เนื่องจากหลักประกันได้เสื่อมค่าลงบางส่วน ในกรณีธนาคารจะบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ ดังนั้น การประกันไฟหรือประกันภัยต่างๆก็เป็นการป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นกับหลักประกันของธนาคารโดยให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้รับภาระในส่วนนี้ไป

ข้อ10 ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฎิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

ตอบ = ได้ เพราะ ผู้ที่จะปฎิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้นั้น ก็ต้องมีความรู้ในด้านต่างๆ เช่น บัญชี การเงิน กฎหมาย ดังนั้นผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจึงปฎิบัติงานได้

คำถามประจำบทที่ 10

7.การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฎิบัติตามกฎหมายอย่างไร

ตอบ การโอนสิทธิเรียกร้อง การโอนสิทธิเรียกร้องมิใช่เป็นการประกันด้วยทรัพย์ เช่น การจำนำ การจำนอง เพียงแต่เป็นการสร้างความมั่นใจในการกู้ยืมของธนาคารผู้ให้กู้เท่านั้น โดยทั่วไปสิทธิเรียกร้องต่างๆ สามารถ โอนได้ ยกเว้นสิทธิที่เข้าลักษณะ 3 ประการที่จะนำไปโอนให้แก่กันไม่ได้ คือ

1. สิทธิเรียกร้องตามสภาพที่เป็นสิทธิพิเศษเฉพาะอย่าง เช่น สิทธิเรียกร้องถูกทำละเมิดในการเรียกค่าสินไหมทดแทนความเสียหายแก่ร่างกาย

2 .สิทธิเรียกร้องที่คู่กรณีห้ามโอนไว้โดยขัดแจ้ง

3. สิทธิร้องที่ตามกฎหมายศาลจะสั่งยึดไม่ได้ เช่น สิทธิได้ค่าอุปการะเลี้ยงดู สิทธิที่จะได้รับเบี้ยเลี้ยงยังชีพ เป็นต้น

หลักในการโอนสิทธิเรียกร้อง หลักการโอนสิทธิเรียกร้องตามกฎหมายมีอยู่ดังนี้

1. การโอนระหว่างเจ้าหนี้กับผู้โอน จะต้องทำเป็นหนังสือ

2. การโอนจะนำขึ้นใช้ยันลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกได้ ก็ต่อเมื่อจะได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้เป็นหนังสือ หรือลูกหนี้ได้ยินยอมด้วยการโอนนั้น โดยทำเป็นหนังสือ

การตอบรับโอนสิทธิเรียกร้อง แยกพิจารณาการตอบรับโอนสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้เป็น 2 ประการ ดังนี้

1. กรณีที่ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนสิทธิเรียกร้องนั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 308 วรรคแรก

2. กรณีที่ลูกหนี้มิได้ให้ความยินยอมในการโอนสิทธิเรียกร้องนั้น คือ ลูกหนี้เป็นแต่เพียงได้รับการบอกกล่าวการโอน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 308 วรรคสอง

กรณีตามข้อ 1 เป็นการให้ความยินยอมโดยไม่อิดเอื้อน มิได้มีข้อโต้แย้งหรือสงวนสิทธิของผู้ให้ความยินยอมนนั้นเลย เป็นการยอมรับชำระหนี้ตามสัญญาที่มีอยู่เดิมและเป็นการสละข้อต่อสู้ของผู้ให้ความยินยอมด้วย ลูกหนี้จึงหมดสิทธิที่จะยกข้อต่อสู้ของตนอันมีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู่ผู้รับโอน แม้หากภายหลังจะได้มีข้ออิดเอื้อนขึ้นมา ข้ออิดเอื้อนในภายหลังนี้ย่อมใช้ไม่ได้

กรณีตามข้อ 2 ลูกหนี้เป็นแต่เพียงได้รับคำบอกกล่าวการโอนจากผู้โอนหรือผู้รับโอน ลูกหนี้มีข้อต่อสู้ผู้โอนก่อนเวลาที่ได้รับคำบอกกล่าวนั้นอย่างไร ก็มีสิทธิยกข้อต่อสู้ผู้รับโอนได้ และถ้าลูกหนี้มีสิทธิเรียกร้องจากผู้โอน แต่สิทธินั้นยังไม่ถึงกำหนดเวลาบอกกล่าว ลูกหนี้มสิทธิเรียกร้องนั้นมาหักลบกันก็ได้ หากว่าสิทธินั้นจะได้ถึงกำหนดชำระไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดชำระหนี้แห่งสิทธิเรียกร้องอันได้โอนไปนั่น

ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง เมื่อการโอนสิทธิเรียกร้องนั้นได้ทำโดยถูกต้องตามกฎหมายแล้ว เจ้าหนี้เดิมผู้ทำการโอนสิทธิเรียกร้องจะหมดสิทธิไป ผู้รับโอนซึ่งเป็นเจ้าหนี้คนใหม่จะเข้าไปใช้สิทธิ ผู้รับโอนย่อมมีสิทธิเช่นเดียวกับผู้โอนตาม ป.พ.พ. มาตรา 305 ที่บัญญัติให้ผู้รับโอนมีสิทธิไปถึงอุปกรณ์แห่งหนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นสิทธิจำนอง จำนำหรือค้ำประกันอันมีต่อเจ้าหนี้เดิม ก็ให้โอนไปเป็นหลักประกันในเจ้าหนี้คนใหม่ด้วยโดยผลของกฎหมาย โดยไม่ต้องมีการตกลงกันใหม่ระหว่างผู้รับโอนกับลูกหนี้ หรือผู้จำนอง จำนำผู้ค้ำประกัน

9. เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อต้องทำประกันภัยสั่งปลุกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารที่ชอบ

ตอบ ในการของวงเงินสินเชื่อประเภทต่างๆ ที่ลูกค้าได้ขอกับธนาคารนั้น ส่วนมากก็มักจะมีการเสนอหลักประกันเพื่อนำมาวางค้ำประกันในการของวงเงินสินเชื่อนั้นๆ ซึ่งอาจจะเป็นการค้ำประกันโดยบุคคล หรือมีการจำนองที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้าง หรือเครื่องจักรหรือมีการนำหลักประกันเกี่ยวกับโอนสิทธิการเช่า นำมาให้กับธนาคาร ซึ่งหลักประกันต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ถ้าเป็นการค้ำประกันโดยบุคคล ก็มักจะไม่มีปัญหาในการปฎิบัติมากเท่าไร เนื่องจากเมื่อได้ทำเอกสารสัญญาต่างๆ ให้ลูกค้าลงนามแล้ว ก็ถือว่าเป็นการเสร็จขั้นตอนในการทำนิติกรรม แต่ถ้าหากว่าเป็นการจำนองที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้าง เครื่องจักร หรือการโอนสิทธิการเช่านั้น เมื่อมีการจดจำนองที่กรมที่ดินหรือกรมโรงงานอุตสาหกรรมแล้ว ทางธนาคาร ก็ยังมีหน้าที่ปฎิบัติโดยเจ้าหน้าที่รับผิดชอบ จะต้องดำเนินการสั่งประกันไฟในสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินที่จำนอง หรือเครื่องจักร ที่นำมาจำนองกับธนาคาร เนื่องด้วยถ้าเมื่อมีการจดจำนองเป็นหลักประกันกับธนาคารแล้วภาระหนี้ของลูกค้าก็ได้เกิดขึ้นแล้ว และถ้าหากหลักประกันบางส่วนเกิดเสียหายขึ้น เช่น บ้าน อาคาร ที่ปลูกสร้างอยู่บนที่ดิน ที่จำนอง ได้เกิดไฟไหม้ขึ้นก็จะทำให้ธนาคารในฐานะผู้รับจำนอง อาจจะเสียหายได้เนื่องจากหลักประกันได้เสื่อมค่าลงบางส่วน ในกรณีที่ธนาคารจะบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ ดังนั้น การประกันไฟหรือการประกันภัยต่างๆ ก็เป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่หลักประกันของธนาคารโดยให้บริษัทประภัยเป็นผู้รับภาระในส่วนนี้ไป

หลักประกันที่ทำประกันได้

6.2.1 สิ่งปลูกสร้าง ที่ปลูกอยู่บนที่ดินของตนเองหรือของผู้อื่น

6.2.2 เครื่องจักร

6.2.3 โอนสิทธิการเช่า

10. ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฎิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

ตอบ ได้ แต่ต้องผ่านการอบรม การปฏิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อ เป็นงานที่ต้องอาศัยความรู้ในทางกฎหมายอย่างมาก ผู้ปฎิบัติต้องเข้าใจกฎหมาย มีความรอบคอบ ซื่อสัตย์ และต้องมีความสามารถในการประสานงานทั้งกับลูกค้า เจ้าหนี้ที่สินเชื่อผู้ดูแลบัญชีลูกค้า หน่วยงานราชการภายนอกที่ต้องเกี่ยวข้อง และการเรียนสายบริหารนั้นก็เป็นสายโดยตรงอยู่แล้ว ก็ต้องสามารถปฏิบัติงานเกี่ยวกับสินเชื่อได้

ตอบคำถาม บทที่ 10

7.การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฎิบัติตามกฎหมายอย่างไร

ตอบ การโอนสิทธิเรียกร้อง การโอนสิทธิเรียกร้องมิใช่เป็นการประกันด้วยทรัพย์ เช่น การจำนำ การจำนอง เพียงแต่เป็นการสร้างความมั่นใจในการกู้ยืมของธนาคารผู้ให้กู้เท่านั้น โดยทั่วไปสิทธิเรียกร้องต่างๆ สามารถ โอนได้ ยกเว้นสิทธิที่เข้าลักษณะ 3 ประการที่จะนำไปโอนให้แก่กันไม่ได้ คือ

1. สิทธิเรียกร้องตามสภาพที่เป็นสิทธิพิเศษเฉพาะอย่าง เช่น สิทธิเรียกร้องถูกทำละเมิดในการเรียกค่าสินไหมทดแทนความเสียหายแก่ร่างกาย

2 .สิทธิเรียกร้องที่คู่กรณีห้ามโอนไว้โดยขัดแจ้ง

3. สิทธิร้องที่ตามกฎหมายศาลจะสั่งยึดไม่ได้ เช่น สิทธิได้ค่าอุปการะเลี้ยงดู สิทธิที่จะได้รับเบี้ยเลี้ยงยังชีพ เป็นต้น

การตอบรับโอนสิทธิเรียกร้อง แยกพิจารณาการตอบรับโอนสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้เป็น 2 ประการ ดังนี้

1. กรณีที่ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนสิทธิเรียกร้องนั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 308 วรรคแรก

2. กรณีที่ลูกหนี้มิได้ให้ความยินยอมในการโอนสิทธิเรียกร้องนั้น คือ ลูกหนี้เป็นแต่เพียงได้รับการบอกกล่าวการโอน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 308 วรรคสอง

กรณี 1 เป็นการให้ความยินยอมโดยไม่อิดเอื้อน มิได้มีข้อโต้แย้งหรือสงวนสิทธิของผู้ให้ความยินยอมนนั้นเลย เป็นการยอมรับชำระหนี้ตามสัญญาที่มีอยู่เดิมและเป็นการสละข้อต่อสู้ของผู้ให้ความยินยอมด้วย ลูกหนี้จึงหมดสิทธิที่จะยกข้อต่อสู้ของตนอันมีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู่ผู้รับโอน แม้หากภายหลังจะได้มีข้ออิดเอื้อนขึ้นมา ข้ออิดเอื้อนในภายหลังนี้ย่อมใช้ไม่ได้

กรณี 2 ลูกหนี้เป็นแต่เพียงได้รับคำบอกกล่าวการโอนจากผู้โอนหรือผู้รับโอน ลูกหนี้มีข้อต่อสู้ผู้โอนก่อนเวลาที่ได้รับคำบอกกล่าวนั้นอย่างไร ก็มีสิทธิยกข้อต่อสู้ผู้รับโอนได้ และถ้าลูกหนี้มีสิทธิเรียกร้องจากผู้โอน แต่สิทธินั้นยังไม่ถึงกำหนดเวลาบอกกล่าว ลูกหนี้มสิทธิเรียกร้องนั้นมาหักลบกันก็ได้ หากว่าสิทธินั้นจะได้ถึงกำหนดชำระไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดชำระหนี้แห่งสิทธิเรียกร้องอันได้โอนไปนั่น

9. เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อต้องทำประกันภัยสั่งปลุกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารที่ชอบ

ตอบ ในการของวงเงินสินเชื่อประเภทต่างๆ ที่ลูกค้าได้ขอกับธนาคารนั้น ส่วนมากก็มักจะมีการเสนอหลักประกันเพื่อนำมาวางค้ำประกันในการของวงเงินสินเชื่อนั้นๆ ซึ่งอาจจะเป็นการค้ำประกันโดยบุคคล หรือมีการจำนองที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้าง หรือเครื่องจักรหรือมีการนำหลักประกันเกี่ยวกับโอนสิทธิการเช่า นำมาให้กับธนาคาร ซึ่งหลักประกันต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ถ้าเป็นการค้ำประกันโดยบุคคล ก็มักจะไม่มีปัญหาในการปฎิบัติมากเท่าไร เนื่องจากเมื่อได้ทำเอกสารสัญญาต่างๆ ให้ลูกค้าลงนามแล้ว ก็ถือว่าเป็นการเสร็จขั้นตอนในการทำนิติกรรม แต่ถ้าหากว่าเป็นการจำนองที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้าง เครื่องจักร หรือการโอนสิทธิการเช่านั้น เมื่อมีการจดจำนองที่กรมที่ดินหรือกรมโรงงานอุตสาหกรรมแล้ว ทางธนาคาร ก็ยังมีหน้าที่ปฎิบัติโดยเจ้าหน้าที่รับผิดชอบ จะต้องดำเนินการสั่งประกันไฟในสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินที่จำนอง หรือเครื่องจักร ที่นำมาจำนองกับธนาคาร เนื่องด้วยถ้าเมื่อมีการจดจำนองเป็นหลักประกันกับธนาคารแล้วภาระหนี้ของลูกค้าก็ได้เกิดขึ้นแล้ว และถ้าหากหลักประกันบางส่วนเกิดเสียหายขึ้น

10. ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฎิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

ตอบ ได้ แต่ต้องผ่านการอบรม การทดสอบบางอย่างแล้วแต่แต่ละบริษัท จะกำหนนด เพราะการทำงานเกี่ยวกับนิติกรรมสินเชื่อนั้น ต้องอาศัยหลายอย่างประกอบควบคู่กันไปเช่น ความรู้ ประสบการณ์ ทักษะอื่นๆ และความรู้รอบตัว ฉลาด มีไหวพริบ และรู้เท่าทันคน

ตอบคำถาม บทที่ 10

7.การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฎิบัติตามกฎหมายอย่างไร

ตอบ การโอนสิทธิเรียกร้อง การโอนสิทธิเรียกร้องมิใช่เป็นการประกันด้วยทรัพย์ เช่น การจำนำ การจำนอง เพียงแต่เป็นการสร้างความมั่นใจในการกู้ยืมของธนาคารผู้ให้กู้เท่านั้น โดยทั่วไปสิทธิเรียกร้องต่างๆ สามารถ โอนได้ ยกเว้นสิทธิที่เข้าลักษณะ 3 ประการที่จะนำไปโอนให้แก่กันไม่ได้ คือ

1. สิทธิเรียกร้องตามสภาพที่เป็นสิทธิพิเศษเฉพาะอย่าง เช่น สิทธิเรียกร้องถูกทำละเมิดในการเรียกค่าสินไหมทดแทนความเสียหายแก่ร่างกาย

2 .สิทธิเรียกร้องที่คู่กรณีห้ามโอนไว้โดยขัดแจ้ง

3. สิทธิร้องที่ตามกฎหมายศาลจะสั่งยึดไม่ได้ เช่น สิทธิได้ค่าอุปการะเลี้ยงดู สิทธิที่จะได้รับเบี้ยเลี้ยงยังชีพ เป็นต้น

การตอบรับโอนสิทธิเรียกร้อง แยกพิจารณาการตอบรับโอนสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้เป็น 2 ประการ ดังนี้

1. กรณีที่ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนสิทธิเรียกร้องนั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 308 วรรคแรก

2. กรณีที่ลูกหนี้มิได้ให้ความยินยอมในการโอนสิทธิเรียกร้องนั้น คือ ลูกหนี้เป็นแต่เพียงได้รับการบอกกล่าวการโอน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 308 วรรคสอง

กรณี 1 เป็นการให้ความยินยอมโดยไม่อิดเอื้อน มิได้มีข้อโต้แย้งหรือสงวนสิทธิของผู้ให้ความยินยอมนนั้นเลย เป็นการยอมรับชำระหนี้ตามสัญญาที่มีอยู่เดิมและเป็นการสละข้อต่อสู้ของผู้ให้ความยินยอมด้วย ลูกหนี้จึงหมดสิทธิที่จะยกข้อต่อสู้ของตนอันมีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู่ผู้รับโอน แม้หากภายหลังจะได้มีข้ออิดเอื้อนขึ้นมา ข้ออิดเอื้อนในภายหลังนี้ย่อมใช้ไม่ได้

กรณี 2 ลูกหนี้เป็นแต่เพียงได้รับคำบอกกล่าวการโอนจากผู้โอนหรือผู้รับโอน ลูกหนี้มีข้อต่อสู้ผู้โอนก่อนเวลาที่ได้รับคำบอกกล่าวนั้นอย่างไร ก็มีสิทธิยกข้อต่อสู้ผู้รับโอนได้ และถ้าลูกหนี้มีสิทธิเรียกร้องจากผู้โอน แต่สิทธินั้นยังไม่ถึงกำหนดเวลาบอกกล่าว ลูกหนี้มสิทธิเรียกร้องนั้นมาหักลบกันก็ได้ หากว่าสิทธินั้นจะได้ถึงกำหนดชำระไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดชำระหนี้แห่งสิทธิเรียกร้องอันได้โอนไปนั่น

9. เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อต้องทำประกันภัยสั่งปลุกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารที่ชอบ

ตอบ ในการของวงเงินสินเชื่อประเภทต่างๆ ที่ลูกค้าได้ขอกับธนาคารนั้น ส่วนมากก็มักจะมีการเสนอหลักประกันเพื่อนำมาวางค้ำประกันในการของวงเงินสินเชื่อนั้นๆ ซึ่งอาจจะเป็นการค้ำประกันโดยบุคคล หรือมีการจำนองที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้าง หรือเครื่องจักรหรือมีการนำหลักประกันเกี่ยวกับโอนสิทธิการเช่า นำมาให้กับธนาคาร ซึ่งหลักประกันต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ถ้าเป็นการค้ำประกันโดยบุคคล ก็มักจะไม่มีปัญหาในการปฎิบัติมากเท่าไร เนื่องจากเมื่อได้ทำเอกสารสัญญาต่างๆ ให้ลูกค้าลงนามแล้ว ก็ถือว่าเป็นการเสร็จขั้นตอนในการทำนิติกรรม แต่ถ้าหากว่าเป็นการจำนองที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้าง เครื่องจักร หรือการโอนสิทธิการเช่านั้น เมื่อมีการจดจำนองที่กรมที่ดินหรือกรมโรงงานอุตสาหกรรมแล้ว ทางธนาคาร ก็ยังมีหน้าที่ปฎิบัติโดยเจ้าหน้าที่รับผิดชอบ จะต้องดำเนินการสั่งประกันไฟในสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินที่จำนอง หรือเครื่องจักร ที่นำมาจำนองกับธนาคาร เนื่องด้วยถ้าเมื่อมีการจดจำนองเป็นหลักประกันกับธนาคารแล้วภาระหนี้ของลูกค้าก็ได้เกิดขึ้นแล้ว และถ้าหากหลักประกันบางส่วนเกิดเสียหายขึ้น

10. ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฎิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

ตอบ ได้ แต่ต้องผ่านการอบรม การทดสอบบางอย่างแล้วแต่แต่ละบริษัท จะกำหนนด เพราะการทำงานเกี่ยวกับนิติกรรมสินเชื่อนั้น ต้องอาศัยหลายอย่างประกอบควบคู่กันไปเช่น ความรู้ ประสบการณ์ ทักษะอื่นๆ และความรู้รอบตัว ฉลาด มีไหวพริบ และรู้เท่าทันคน

ตอบคำถาม บทที่ 10

ข้อ 7.การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฎิบัติตามกฎหมายอย่างไร.

ตอบ โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม

ข้อสังเกต 1.ต้องระมัดระวังในบางกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือมอบให้รับเงินแทน (ฎ.653/2514)

2. ถ้าเป็นกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ใช่โอนสิทธิเรียกร้อง (ฎ.330/2522)

เจ้าหนี้ ลูกหนี้

ผู้รับโอน

** 3. การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำต้องทำเป็น

หนังสือ (**ฎ.5466/2539)

** 4. การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอบแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306ไม่ได้ (ฎ.2472/2519)

1.1 หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303

หลัก สิทธิเรียกร้องโอนกันได้

ข้อยกเว้น 1.สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่อง

2. คู่กรณีตกลงห้ามโอน แต่จะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้

3. สิทธิที่ศาลยึดไม่ได้(มาตรา 304) (ฎ3793/2535,ฎ.4837/2540)

1.2 วิธีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้

1.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง(มาตรา 306)

ขั้นตอนที่หนึ่ง การโอนต้องทำเป็นหนังสือระหว่างเจ้าหนี้กับผู้รับโอนาโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกหนี้ ?การทำเป็นหนังสือ? แม้ลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว(ฎ.4139/2532)

ขั้นตอนที่สอง การยกขึ้นต่อสู้

&#1048729; ต้องมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ หรือ

&#1048729; ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนเป็นหนังสือ (ฎ.5561-5567/2530,ฎ.3973/2532)

อนึ่งถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ก่อนขั้นตอนที่สองไปแล้ว ลูกหนี้ก็หลุดพ้นจากหนี้นั้น

1.การยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้รับโอน (มาตรา 308)

1.1 กรณีลูกหนี้ให้ความยินยอมในกานโอนโดยมิได้อืดเอื้อน เช่นนี้ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้

1.2 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน เช่นลูกหนี้ยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนได้

1.3 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน และลูกหนี้มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้อยู่ก่อน แต่หนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ก็แสดงเจตนาหักกลบหนี้ไปยังผู้รับโอนได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องนั้นถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไป (ฎ.4392/2536)

2.ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง

2.1 ผู้รับโอนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เดิมไม่ได้

2.2เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้เดิม ไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปแล้วนั้นได้

2.3ผู้รับโอนมีสิทธิเหนือประกันแห่งหนี้ที่ได้รับโอนมาด้วย (มาตรา 305) โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้ผู้ประกันทราบ (ฎ.5237/2538)

22.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระตามเขาสั่ง(มาตรา 309) ต้องสลักหลังและส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับโอน โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้

2.2.2 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่ผู้ถือ(มาตรา 311)เป็นตราสารที่ไม่ระบุชื่อผู้ทรง ต้องส่งมอบตราสารนั้น

ข้อ 9. เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อต้องทำประกันภัยสั่งปลุกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารที่ชอบ

ตอบ ในการของวงเงินสินเชื่อประเภทต่างๆ ที่ลูกค้าได้ขอกับธนาคารนั้น ส่วนมากก็มักจะมีการเสนอหลักประกันเพื่อนำมาวางค้ำประกันในการของวงเงินสินเชื่อนั้นๆ ซึ่งอาจจะเป็นการค้ำประกันโดยบุคคล หรือมีการจำนองที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้าง หรือเครื่องจักรหรือมีการนำหลักประกันเกี่ยวกับโอนสิทธิการเช่า นำมาให้กับธนาคาร ซึ่งหลักประกันต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ถ้าเป็นการค้ำประกันโดยบุคคล ก็มักจะไม่มีปัญหาในการปฎิบัติมากเท่าไร เนื่องจากเมื่อได้ทำเอกสารสัญญาต่างๆ ให้ลูกค้าลงนามแล้ว ก็ถือว่าเป็นการเสร็จขั้นตอนในการทำนิติกรรม แต่ถ้าหากว่าเป็นการจำนองที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้าง เครื่องจักร หรือการโอนสิทธิการเช่านั้น เมื่อมีการจดจำนองที่กรมที่ดินหรือกรมโรงงานอุตสาหกรรมแล้ว ทางธนาคาร ก็ยังมีหน้าที่ปฎิบัติโดยเจ้าหน้าที่รับผิดชอบ จะต้องดำเนินการสั่งประกันไฟในสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินที่จำนอง หรือเครื่องจักร ที่นำมาจำนองกับธนาคาร เนื่องด้วยถ้าเมื่อมีการจดจำนองเป็นหลักประกันกับธนาคารแล้วภาระหนี้ของลูกค้าก็ได้เกิดขึ้นแล้ว และถ้าหากหลักประกันบางส่วนเกิดเสียหายขึ้น

ข้อ 10. ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฎิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

ตอบ ได้ แต่ผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจนั้นจะต้องมีความรอบคอบ ได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี ต้องมีความรู้ในด้านต่างๆ เช่น บัญชี การเงิน กฎหมาย

แบบฝึกหัดบทที่ 10

7. การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฎิบัติตามกฎหมายอย่างไร

      การโอนสิธิเรียกร้องมิใช่เป็นการประกันด้วยทรัพย์  เพียงแต่เป็นการสร้างความมั่นใจ

ในการกู้ยืมของธนาคารหรือผู้ใหกู้เท่านั้น  โดยทั่วไปสิทธิเรียกร้อวต่างๆสามารถโอนได้ 

ยกเว้นสิทธิที่เข้าลักษณะ 3 ประการที่จะนำไปโอนให้แก่กันไม่ได้ คือ

1. สิทธิเรียกร้องตามสภาพที่เป็นสิทธิพิเศษเฉพาะอย่าง

2.สิทธิเรียกร้องที่คู่กรณีห้ามโอนไว้โดยชัดแจ้ง

3.สิทธิเรียกร้องทีตามกฎหมายศาลจะสั่งยึดไม่ได้  เช่นสิทธิจะไดค่าอุปการะเลี้ยงดู

สิทธิที่จะไดรับเบี้ยเลี้ยงชีพ  เป็นต้น

      มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้

บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม การโอน

สิทธิเรียกร้อง มีข้อปฎิบัติตามกฎหมายดังนี้ 

1. การโอนระหว่างเจ้าหนี้กับผู้โอน จะต้องทำเป็นหนังสือ 

2. การโอนจะทำขึ้นให้ยันลูกหนี้หรือบุคคลภายนอนได้ ก็ต่อเมื่อจะได้บอก ก็ต่อเมื่อจะ

ได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้เป็นหนังสือ หรือลูกหนี้ไดยินยอมด้วยในการโอนนั้น

โดยทำเป็นหนังสือ

 9. เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชือต้องทำประกัน

ภัย สิ่งปลูกสร่างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบ

     เพราะ เนื่องจากที่ลูกค้าได้ทำการขอสินเชื่อโดยที่นำสินทรัพย์มาเป็นหลักประกันนั้น

เช่น ที่ดิน หรือสิ่งปลูกสร้าง เช่น บ้าน อาคาร เครื่องจักร เป็นต้นนั้น ธานาคารต้องให้ทำ

ประกันไฟหรือประกันภัยไว้กับบริษัทประกัน เพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิด

ขึ้น เช่น ไฟไหม้ ดั้งนั้นจึงต้องทำหลักประกันโดยใหบริษัทประกันภัยเป็นผู้รัผิดชอบแทน

ธนาคาร

10. ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุระกิจจะสามารถปฎิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือ

ไม่

        ไม่ได้ เพราะเนื่องจากบุคคลที่จะทำหน้าที่เรื่องนิติกรรมสินเชื่อได้นั้น ต้องจบหลัก

สูตรที่เกี่ยวกับกฎหมายเนื่องจากการทำนิติกรรมนั้นเป็นเรื่องที่มีเนื่อหาสาระสำคัญและ

ความละเอียดมาก ดั้งนั้นหลักสูตรบริหารธุรกิจที่มีแค่นั้นหลักสูตรที่เรียนกฎหมายธุรกิจ

แค่ไม่กี่คาบต่ออาทิตย์ไม่เพียงพอกับงานนิติกรมสินเชื่อได้

การโอนสิทธิเรียกร้องมีข้อปฏิบัติตามกฎหมายอย่างไร

โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม

ข้อสังเกต 1.ต้องระมัดระวังในบางกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือมอบให้รับเงินแทน (ฎ.653/2514)

2. ถ้าเป็นกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ใช่โอนสิทธิเรียกร้อง (ฎ.330/2522)

เจ้าหนี้ ลูกหนี้

ผู้รับโอน

** 3. การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำต้องทำเป็น

หนังสือ (**ฎ.5466/2539)

** 4. การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอบแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306ไม่ได้ (ฎ.2472/2519)

1.1 หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303

หลัก สิทธิเรียกร้องโอนกันได้

ข้อยกเว้น 1.สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่อง

2. คู่กรณีตกลงห้ามโอน แต่จะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้

3. สิทธิที่ศาลยึดไม่ได้(มาตรา 304) (ฎ3793/2535,ฎ.4837/2540)

1.2 วิธีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้

1.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง(มาตรา 306)

ขั้นตอนที่หนึ่ง การโอนต้องทำเป็นหนังสือระหว่างเจ้าหนี้กับผู้รับโอนาโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกหนี้ ?การทำเป็นหนังสือ? แม้ลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว(ฎ.4139/2532)

ขั้นตอนที่สอง การยกขึ้นต่อสู้

- ต้องมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ หรือ

- ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนเป็นหนังสือ (ฎ.5561-5567/2530,ฎ.3973/2532)

อนึ่งถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ก่อนขั้นตอนที่สองไปแล้ว ลูกหนี้ก็หลุดพ้นจากหนี้นั้น

1.การยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้รับโอน (มาตรา 308)

1.1 กรณีลูกหนี้ให้ความยินยอมในกานโอนโดยมิได้อืดเอื้อน เช่นนี้ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้

1.2 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน เช่นลูกหนี้ยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนได้

1.3 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน และลูกหนี้มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้อยู่ก่อน แต่หนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ก็แสดงเจตนาหักกลบหนี้ไปยังผู้รับโอนได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องนั้นถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไป (ฎ.4392/2536)

2.ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง

2.1 ผู้รับโอนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เดิมไม่ได้

2.2เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้เดิม ไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปแล้วนั้นได้

2.3ผู้รับโอนมีสิทธิเหนือประกันแห่งหนี้ที่ได้รับโอนมาด้วย (มาตรา 305) โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้ผู้ประกันทราบ (ฎ.5237/2538)

22.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระตามเขาสั่ง(มาตรา 309) ต้องสลักหลังและส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับโอน โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้

2.2.2 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่ผู้ถือ(มาตรา 311)เป็นตราสารที่ไม่ระบุชื่อผู้ทรง ต้องส่งมอบตราสารนั้น

เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อต้องทำประกันภัยสิ่งปลูกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบ

เพราะถ้าหากว่าหลักประกันเสียหายจะทำให้ธนาคารในฐานะผู้รับจำนองเสียหายได้เนื่องจากหลักประกันได้เสื่อมค่าลงบางส่วน ในกรณีที่ธนาคารจะบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ ดังนั้น การประกันภัยต่างๆก็เป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่หลักประกันของธนาคาร โดยให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้รับภาระในส่วนนี้ไป

ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฏิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

ได้ โดยผู้ที่จะปฏิบัติงานด้านนี้จะต้องผ่านการอบรมในกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และมีประสบการด้านสินเชื่อ

7.การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฏิบัติตามกฎหมายอย่างไร

ตอบ โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม

ข้อสังเกต 1.ต้องระมัดระวังในบางกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือมอบให้รับเงินแทน (ฎ.653/2514)

2. ถ้าเป็นกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ใช่โอนสิทธิเรียกร้อง (ฎ.330/2522) เจ้าหนี้ ลูกหนี้ ผู้รับโอน

3. การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำต้องทำเป็นหนังสือ (ฎ.5466/2539)

4. การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอบแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306ไม่ได้ (ฎ.2472/2519)

1.1 หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303 หลัก สิทธิเรียกร้องโอนกันได้

ข้อยกเว้น 1.สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่อง

2. คู่กรณีตกลงห้ามโอน แต่จะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้

3. สิทธิที่ศาลยึดไม่ได้(มาตรา 304) (ฎ3793/2535,ฎ.4837/2540)

1.2 วิธีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้

1.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง(มาตรา 306)

ขั้นตอนที่หนึ่ง การโอนต้องทำเป็นหนังสือระหว่างเจ้าหนี้กับผู้รับโอนาโดยไม่ต้องได้รับความ ยินยอมจากลูกหนี้ การทำเป็นหนังสือ แม้ลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว(ฎ.4139/2532)

ขั้นตอนที่สอง การยกขึ้นต่อสู้ ต้องมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ หรือ ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนเป็นหนังสือ (ฎ.5561-5567/2530,ฎ.3973/2532)

อนึ่งถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ก่อนขั้นตอนที่สองไปแล้ว ลูกหนี้ก็หลุดพ้นจากหนี้นั้น

1.การยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้รับโอน (มาตรา 308)

1.1 กรณีลูกหนี้ให้ความยินยอมในกานโอนโดยมิได้อืดเอื้อน เช่นนี้ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้

1.2 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน เช่นลูกหนี้ยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนได้

1.3 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน และลูกหนี้มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้อยู่ก่อน แต่หนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ก็แสดงเจตนาหักกลบหนี้ไปยังผู้รับโอนได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องนั้นถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ ได้โอนไป (ฎ.4392/2536)

2.ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง

2.1 ผู้รับโอนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เดิมไม่ได้

2.2เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้เดิม ไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปแล้วนั้นได้

2.3ผู้รับโอนมีสิทธิเหนือประกันแห่งหนี้ที่ได้รับโอนมาด้วย (มาตรา 305) โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้ผู้ประกันทราบ (ฎ.5237/2538)

22.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระตามเขาสั่ง(มาตรา 309) ต้องสลักหลังและส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับโอน โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้

2.2.2 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่ผู้ถือ(มาตรา 311)เป็นตราสารที่ไม่ระบุชื่อผู้ทรง ต้องส่งมอบตราสารนั้น

9. เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อต้องทำประกันภัยสั่งปลุกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารที่ชอบ

เนื่องจากที่ลูกค้าได้ทำการขอสินเชื่อโดยที่นำสินทรัพย์มาเป็นหลักประกันนั้น เช่น ที่ดิน หรือสิ่งปลูกสร้าง เช่น บ้าน อาคาร เครื่องจักร เป็นต้นนั้น ธานาคารต้องให้ทำประกันไฟหรือประกันภัยไว้กับบริษัทประกัน เพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น เช่น ไฟไหม้ ดั้งนั้นจึงต้องทำหลักประกันโดยที่บริษัทประกันภัยเป็นผู้รับผิดชอบแทนในส่วนนั้น

ข้อ 10. ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฎิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

ได้ แต่ต้องผ่านการอบรมในกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และต้องมีประสบการณ์มากพอ

คำถามประจำบทที่ 10

7.การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฏิบัติตามกฎหมายอย่างไร

ตอบ โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม

ข้อสังเกต 1.ต้องระมัดระวังในบางกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือมอบให้รับเงินแทน (ฎ.653/2514)

2. ถ้าเป็นกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ใช่โอนสิทธิเรียกร้อง (ฎ.330/2522) เจ้าหนี้ ลูกหนี้ ผู้รับโอน

3. การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำต้องทำเป็นหนังสือ (ฎ.5466/2539)

4. การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอบแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306ไม่ได้ (ฎ.2472/2519)

1.1 หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303 หลัก สิทธิเรียกร้องโอนกันได้

ข้อยกเว้น 1.สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่อง

2. คู่กรณีตกลงห้ามโอน แต่จะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้

3. สิทธิที่ศาลยึดไม่ได้(มาตรา 304) (ฎ3793/2535,ฎ.4837/2540)

1.2 วิธีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้

1.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง(มาตรา 306)

ขั้นตอนที่หนึ่ง การโอนต้องทำเป็นหนังสือระหว่างเจ้าหนี้กับผู้รับโอนาโดยไม่ต้องได้รับความ ยินยอมจากลูกหนี้ การทำเป็นหนังสือ แม้ลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว(ฎ.4139/2532)

ขั้นตอนที่สอง การยกขึ้นต่อสู้ ต้องมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ หรือ ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนเป็นหนังสือ (ฎ.5561-5567/2530,ฎ.3973/2532)

อนึ่งถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ก่อนขั้นตอนที่สองไปแล้ว ลูกหนี้ก็หลุดพ้นจากหนี้นั้น

1.การยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้รับโอน (มาตรา 308)

1.1 กรณีลูกหนี้ให้ความยินยอมในกานโอนโดยมิได้อืดเอื้อน เช่นนี้ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้

1.2 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน เช่นลูกหนี้ยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนได้

1.3 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน และลูกหนี้มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้อยู่ก่อน แต่หนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ก็แสดงเจตนาหักกลบหนี้ไปยังผู้รับโอนได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องนั้นถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ ได้โอนไป (ฎ.4392/2536)

2.ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง

2.1 ผู้รับโอนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เดิมไม่ได้

2.2เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้เดิม ไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปแล้วนั้นได้

2.3ผู้รับโอนมีสิทธิเหนือประกันแห่งหนี้ที่ได้รับโอนมาด้วย (มาตรา 305) โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้ผู้ประกันทราบ (ฎ.5237/2538)

22.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระตามเขาสั่ง(มาตรา 309) ต้องสลักหลังและส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับโอน โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้

2.2.2 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่ผู้ถือ(มาตรา 311)เป็นตราสารที่ไม่ระบุชื่อผู้ทรง ต้องส่งมอบตราสารนั้น

9. เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อต้องทำประกันภัยสั่งปลุกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารที่ชอบ

ตอบ เนื่องจากที่ลูกค้าได้ทำการขอสินเชื่อโดยที่นำสินทรัพย์มาเป็นหลักประกันนั้น เช่น ที่ดิน หรือสิ่งปลูกสร้าง เช่น บ้าน อาคาร เครื่องจักร เป็นต้นนั้น ธานาคารต้องให้ทำประกันไฟหรือประกันภัยไว้กับบริษัทประกัน เพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น เช่น ไฟไหม้ ดั้งนั้นจึงต้องทำหลักประกันโดยที่บริษัทประกันภัยเป็นผู้รับผิดชอบแทนในส่วนนั้น

ข้อ 10. ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฎิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

ตอบ ได้ เพราะ ผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจได้ศึกษาเกี่ยวกับวิชากฎหมายในหลักสูตรอยู่แล้วและมีความรู้ในการปล่อยสินเชื่อ

                                             คำถามท้ายบทที่ 10

 ข้อ7.การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฏิบัติตามกฏหมายอย่างไร

ตอบ   โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม

     ข้อสังเกตุ

1. สิทธิเรียกร้องตามสภาพที่เป็นสิทธิพิเศษเฉพาะอย่าง เช่น สิทธิเรียกร้องถูกทำละเมิดในการเรียกค่าสินไหมทดแทนความเสียหายแก่ร่างกาย

2 .สิทธิเรียกร้องที่คู่กรณีห้ามโอนไว้โดยขัดแจ้ง

3. สิทธิร้องที่ตามกฎหมายศาลจะสั่งยึดไม่ได้ เช่น สิทธิได้ค่าอุปการะเลี้ยงดู สิทธิที่จะได้รับเบี้ยเลี้ยงยังชีพ เป็นต้น

การตอบรับโอนสิทธิเรียกร้อง แยกพิจารณาการตอบรับโอนสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้เป็น 2 ประการ ดังนี้

1. กรณีที่ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนสิทธิเรียกร้องนั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 308 วรรคแรก

2. กรณีที่ลูกหนี้มิได้ให้ความยินยอมในการโอนสิทธิเรียกร้องนั้น คือ ลูกหนี้เป็นแต่เพียงได้รับการบอกกล่าวการโอน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 308 วรรคสอง

กรณี 1 เป็นการให้ความยินยอมโดยไม่อิดเอื้อน มิได้มีข้อโต้แย้งหรือสงวนสิทธิของผู้ให้ความยินยอมนนั้นเลย เป็นการยอมรับชำระหนี้ตามสัญญาที่มีอยู่เดิมและเป็นการสละข้อต่อสู้ของผู้ให้ความยินยอมด้วย ลูกหนี้จึงหมดสิทธิที่จะยกข้อต่อสู้ของตนอันมีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู่ผู้รับโอน แม้หากภายหลังจะได้มีข้ออิดเอื้อนขึ้นมา ข้ออิดเอื้อนในภายหลังนี้ย่อมใช้ไม่ได้

กรณี 2 ลูกหนี้เป็นแต่เพียงได้รับคำบอกกล่าวการโอนจากผู้โอนหรือผู้รับโอน ลูกหนี้มีข้อต่อสู้ผู้โอนก่อนเวลาที่ได้รับคำบอกกล่าวนั้นอย่างไร ก็มีสิทธิยกข้อต่อสู้ผู้รับโอนได้ และถ้าลูกหนี้มีสิทธิเรียกร้องจากผู้โอน แต่สิทธินั้นยังไม่ถึงกำหนดเวลาบอกกล่าว ลูกหนี้มสิทธิเรียกร้องนั้นมาหักลบกันก็ได้ หากว่าสิทธินั้นจะได้ถึงกำหนดชำระไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดชำระหนี้แห่งสิทธิเรียกร้องอันได้โอนไปนั่น

ข้อ9.เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อต้องทำประกันภัย สิ่งปลูกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบ

 ตอบ เพราะถ้าหากหลักประกันบางส่วนเกิดเสียหายขึ้น เช่นบ้าน อาคาร ที่ปลูกสร้างอยู่บนที่ดิน ที่จำนองได้เกิดไฟไหม้ขึ้นก็จะทำให้ธนาคารผู้รับจำนอง อาจจะเสียหายได้เนื่องจากหลักประกันได้เสื่อมค่าบางส่วนลง กรมธรรม์ประกันภัยทุกฉบับที่ธนาคารทำได้สั่งบริษัทประกันภัยจะต้องมีการโอนผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ เท่าที่บริษัทประกันภัยจะรับได้ให้กับธนาคารในทุกกรณี

ข้อ10. ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฏิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

ตอบ ได้ เพราะ พื้นฐานของบริหารธุรกิจจำเป็นจะต้องมีเรียนรู้กฎหมายเกี่ยวกับธุรกิจ เนื่องด้วยทั้งสองเป็นสิ่งที่ต้องเข้าด้วยกัน นักธุรกิจที่ดีต้องมีกฎหมายธุรกิจไว้ศึกษางานจะได้ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ

 

(ข้อ 7 ) การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฏิบัติตามกฎหมายอย่างไร

ตอบ โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้องเป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม

ข้อสังเกต 1. ต้องระมัดระวังในบางกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือมอบให้รับเงินแทน (ฎ.653/2514)

2. ถ้าเป็นกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ใช่โอนสิทธิเรียกร้อง (ฎ.330/2522)

เจ้าหนี้ ลูกหนี้

ผู้รับโอน

3. การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำต้องทำเป็นหนังสือ

(**ฎ.5466/2539)

4. การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอบแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306ไม่ได้ (ฎ.2472/2519)

1.1 หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303

หลัก สิทธิเรียกร้องโอนกันได้

ข้อยกเว้น 1. สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่อง

2. คู่กรณีตกลงห้ามโอน แต่จะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้

3. สิทธิที่ศาลยึดไม่ได้(มาตรา 304) (ฎ3793/2535,ฎ.4837/2540)

1.2 วิธีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้

1.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง(มาตรา 306)

ขั้นตอนที่หนึ่ง การโอนต้องทำเป็นหนังสือระหว่างเจ้าหนี้กับผู้รับโอนาโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกหนี้ ?การทำเป็นหนังสือ? แม้ลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว(ฎ.4139/2532)

ขั้นตอนที่สอง การยกขึ้นต่อสู้

ต้องมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ หรือ

ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนเป็นหนังสือ (ฎ.5561-5567/2530,ฎ.3973/2532)

อนึ่งถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ก่อนขั้นตอนที่สองไปแล้ว ลูกหนี้ก็หลุดพ้นจากหนี้นั้น

1.การยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้รับโอน (มาตรา 308)

1.1 กรณีลูกหนี้ให้ความยินยอมในกานโอนโดยมิได้อืดเอื้อน เช่นนี้ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้

1.2 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน เช่นลูกหนี้ยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนได้

1.3 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน และลูกหนี้มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้อยู่ก่อน แต่หนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ก็แสดงเจตนาหักกลบหนี้ไปยังผู้รับโอนได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องนั้นถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไป (ฎ.4392/2536)

2.ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง

2.1 ผู้รับโอนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เดิมไม่ได้

2.2เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้เดิม ไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปแล้วนั้นได้

2.3ผู้รับโอนมีสิทธิเหนือประกันแห่งหนี้ที่ได้รับโอนมาด้วย (มาตรา 305) โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้ผู้ประกันทราบ (ฎ.5237/2538)

2.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระตามเขาสั่ง(มาตรา 309) ต้องสลักหลังและส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับโอน โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้

2.2.2 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่ผู้ถือ(มาตรา 311)เป็นตราสารที่ไม่ระบุชื่อผู้ทรง ต้องส่งมอบตราสารนั้น

( ข้อ 9 ) เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อต้องทำประกันภัย สิ่งปลูกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบ

ตอบ เพราะว่า เมื่อมีการจดจำนองเป็นหลักประกันกับธนาคารแล้วภาระหนี้ของลูกค้าก็ได้เกิดขึ้นแล้ว และถ้าหากหลักประกันบางส่วนเกิดเสียหายขึ้น ที่จำนองได้เกิดไฟไหม้ขึ้นก็จะทำให้ธนาคารผู้รับจำนอง อาจจะเสียหายได้เนื่องจากหลักประกันได้เสื่อมค่าลงบนบางส่วน ในกรณีนี้ธนาคารจะบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ ดังนั้น การประกันไฟหรือการประกันภัยต่างๆก็เป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่หลักประกันของธนาคารโดยให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้รับภาระในส่วนนี้ไป

(ข้อ 10 ) ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฏิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

ตอบ ได้ เพราะว่า บางคนมีความรู้ทางด้านบริหารธุรกิจ คือมีการพูดคุยพบปะกับลูกค้า ดังนั้นต้องเกี่ยวกับวิชาการตลาดด้วย และผ่านการอบรมในกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และมีประสบการณ์ด้านนิติกรรมสินเชื่อ ก็สามารถทำงานด้านนิติกรรมสินเชื่อได้ด้วยเช่นเดียวกัน

7. การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฏิบัติตามกฎหมายอย่างไร

ตอบ โอนสิทธิเรียกร้องตามมาตรา 303-311 เป็นกรณีที่เจ้าหนี้โอนสิทธิที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่า "ผู้รับโอน" โดยทางนิติกรรมโอนมีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรมโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฏิบัติดังนี้

1. การโอนระหว่างเจ้าหนี้กับผู้โอน จะต้องทำเป็นหนังสือ

2. การโอนจะทำขึ้นให้ลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกได้ ก็ต่อเมื่อจะได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้เป็นหนังสือ หรือลูกหนี้ยินยอมด้วยการโอนนั้นโดยทำเป็นหนังสือ

ข้อสังเกต

1. ต้องควรระมัดระวัง ในกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือให้รับมอบเงินแทน (ฎ.653/2514)

2. ถ้าเป็นในกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ถือว่าเป็นการโอนสิทธิเรียกรร้อง (ฎ.330/2522) เจ้าหนี้ลูกหนี้ผู้รับโอน

3. การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำเป็น(ฎ.5466/2539)

4. การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอยแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306 ไม่ได้ (ฎ.2472/2519)

ข้อยกเว้น

1. สิทธิเรียกร้องตามสภาพที่เป็นสิทธิพิเศษเฉพาะอย่าง

2. สิทธิเรียกร้องที่คู่กรณีห้ามโอนไว้โดยชัดเจน

3. สิทธิเรียกร้องที่ตามกฎหมาย ศาลจะสั่งยืดไม่ได้ เช่น สิทธิจะได้ค่าอุปการะเลี้ยงดู สิทธิที่จะได้รับเบี้ยเลี้ยงชีพ เป็นต้น

9. เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อ ต้องทำประกันภัยสิ่งปลูกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบ

ตอบ เพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่หลักประกันของธนาคาร โดยให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้รับภาระในส่วนนี้ไป ถ้าหากว่าหลักประกันเสียหายจะทำให้ธนาคารในฐานะผู้รับจำนองเสียหายได้เ เนื่องจากได้เสื่อมค่าลงบางส่วน ลูกค้าที่ได้ทำการขอสินเชื่อโดยที่นำสินทรัพย์มาเป็นหลักประกัน เช่น ที่ดิน หรือสิ่งปลูกสร่้าง เช่น บ้าน อาคาร เครื่องจักร เป็นต้น เพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น ไฟไหม้ เป็นต้น

10. ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฏิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้ หรือไม่

ตอบ ได้ แต่ต้องมีการผ่านการอบรมในกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และมีประสบการณืทางด้านสินเชื่อ มีไหวพริบในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

ข้อ 7. การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฏิบัติตามกฎหมายอย่างไร

ตอบ โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม

ข้อสังเกต 1.ต้องระมัดระวังในบางกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือมอบให้รับเงินแทน (ฎ.653/2514)

2. ถ้าเป็นกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ใช่โอนสิทธิเรียกร้อง (ฎ.330/2522) เจ้าหนี้ ลูกหนี้ ผู้รับโอน

3. การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือ (**ฎ.5466/2539)

4. การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอบแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306ไม่ได้ (ฎ.2472/2519)

1.1 หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303 หลัก สิทธิเรียกร้องโอนกันได้

ข้อยกเว้น 1.สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่อง

2. คู่กรณีตกลงห้ามโอน แต่จะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้

3. สิทธิที่ศาลยึดไม่ได้(มาตรา 304) (ฎ3793/2535,ฎ.4837/2540)

1.2 วิธีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้

1.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง(มาตรา 306)

ขั้นตอนที่หนึ่ง การโอนต้องทำเป็นหนังสือระหว่างเจ้าหนี้กับผู้รับโอนาโดยไม่ต้องได้รับความ ยินยอมจากลูกหนี้ การทำเป็นหนังสือ แม้ลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว(ฎ.4139/2532)

ขั้นตอนที่สอง การยกขึ้นต่อสู้ ต้องมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ หรือ ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนเป็นหนังสือ (ฎ.5561-5567/2530,ฎ.3973/2532)

อนึ่งถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ก่อนขั้นตอนที่สองไปแล้ว ลูกหนี้ก็หลุดพ้นจากหนี้นั้น

1.การยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้รับโอน (มาตรา 308)

1.1 กรณีลูกหนี้ให้ความยินยอมในกานโอนโดยมิได้อืดเอื้อน เช่นนี้ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้

1.2 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน เช่นลูกหนี้ยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนได้

1.3 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน และลูกหนี้มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้อยู่ก่อน แต่หนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ก็แสดงเจตนาหักกลบหนี้ไปยังผู้รับโอนได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องนั้นถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ ได้โอนไป (ฎ.4392/2536)

2.ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง

2.1 ผู้รับโอนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เดิมไม่ได้

2.2เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้เดิม ไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปแล้วนั้นได้

2.3ผู้รับโอนมีสิทธิเหนือประกันแห่งหนี้ที่ได้รับโอนมาด้วย (มาตรา 305) โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้ผู้ประกันทราบ (ฎ.5237/2538)

2.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระตามเขาสั่ง(มาตรา 309) ต้องสลักหลังและส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับโอน โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้

2.2.2 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่ผู้ถือ(มาตรา 311)เป็นตราสารที่ไม่ระบุชื่อผู้ทรง ต้องส่งมอบตราสารนั้น

ข้อ 9. เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อต้องทำประกันภัย สิ่งปลูกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบ

ตอบ เมื่อมีการจดจำนองเป็นหลักประกันกับธนาคารแล้วภาระหนี้ของลูกค้าก็ได้เกิดขึ้นแล้ว และถ้าหลักประกันบางส่วนเกิดเสียหาย ขึ้น เช่น บ้าน อาคาร ที่ปลูกสร้างอยู่บนที่ดิน ที่จำนอง ได้เกิดไฟไหม้ขึ้นก็จะทำให้ธนาคารในฐานะผู้รับจำนอง อาจจะเสียหายได้เนื่องจากหลักประกันได้เสื่อมค่าลงบางส่วน ในกรณีที่ธนาคารจะบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ ดังนั้น การประกันไฟ หรือการประกันภัยต่างๆก็เป็น การป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่หลักประกันของธนาคาร โดยให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้รับภาระในส่วนนี้ไป

ข้อ 10. ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฏิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

ตอบ ได้ เพราะในการเรียนนิติกรรม ก็มีนักกฎหมายเพื่อปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับบริหารธุรกิจ ดังนั้นในการเรียนบริหารธุรกิจก็มีการเรียนเกี่ยวกับกฎหมาย และในการให้สินเชื่อจะต้องมีนักกฎหมายที่ต้องทำงานในหน่วยงานนั้น ในการปฏิบัติงานจะต้องมีเจ้าหน้าที่ทั้งสองด้านควบคู่กัน เพื่อให้งานที่ทำมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ข้อ 7. การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฏิบัติตามกฎหมายอย่างไร

โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม

ข้อสังเกต

1.ต้องระมัดระวังในบางกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือมอบให้รับเงินแทน (ฎ.653/2514)

2. ถ้าเป็นกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ใช่โอนสิทธิเรียกร้อง (ฎ.330/2522)

เจ้าหนี้ ลูกหนี้

ผู้รับโอน

** 3. การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำต้องทำเป็น

หนังสือ (**ฎ.5466/2539)

** 4. การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอบแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306ไม่ได้ (ฎ.2472/2519)

1.1 หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303

หลัก สิทธิเรียกร้องโอนกันได้

ข้อยกเว้น 1.สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่อง

2. คู่กรณีตกลงห้ามโอน แต่จะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้

3. สิทธิที่ศาลยึดไม่ได้(มาตรา 304) (ฎ3793/2535,ฎ.4837/2540)

1.2 วิธีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้

1.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง(มาตรา 306)

ขั้นตอนที่หนึ่ง การโอนต้องทำเป็นหนังสือระหว่างเจ้าหนี้กับผู้รับโอนาโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกหนี้ ?การทำเป็นหนังสือ? แม้ลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว(ฎ.4139/2532)

ขั้นตอนที่สอง การยกขึ้นต่อสู้

1. ต้องมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ หรือ

2. ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนเป็นหนังสือ (ฎ.5561-5567/2530,ฎ.3973/2532)

อนึ่งถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ก่อนขั้นตอนที่สองไปแล้ว ลูกหนี้ก็หลุดพ้นจากหนี้นั้น

1.การยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้รับโอน (มาตรา 308)

1.1 กรณีลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนโดยมิได้อืดเอื้อน เช่นนี้ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้

1.2 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน เช่นลูกหนี้ยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนได้*****

1.3 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน และลูกหนี้มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้อยู่ก่อน แต่หนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ก็แสดงเจตนาหักกลบหนี้ไปยังผู้รับโอนได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องนั้นถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไป (ฎ.4392/2536)

2.ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง

2.1 ผู้รับโอนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เดิมไม่ได้

2.2เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้เดิม ไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปแล้วนั้นได้

2.3ผู้รับโอนมีสิทธิเหนือประกันแห่งหนี้ที่ได้รับโอนมาด้วย (มาตรา 305) โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้ผู้ประกันทราบ (ฎ.5237/2538)

22.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระตามเขาสั่ง(มาตรา 309) ต้องสลักหลังและส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับโอน โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้

2.2.2 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่ผู้ถือ(มาตรา 311)เป็นตราสารที่ไม่ระบุชื่อผู้ทรง ต้องส่งมอบตราสารนั้น

ข้อ 9. เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อต้องทำประกันภัย สิ่งปลูกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบ

เนื่องจากที่ลูกค้าได้ทำการขอสินเชื่อโดยที่นำสินทรัพย์มาเป็นหลักประกันนั้น เช่น ที่ดิน หรือสิ่งปลูกสร้าง เช่น บ้าน อาคาร เครื่องจักร เป็นต้นนั้น ธานาคารต้องให้ทำประกันไฟหรือประกันภัยไว้กับบริษัทประกัน เพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น เช่น ไฟไหม้ ดั้งนั้นจึงต้องทำหลักประกันโดยที่บริษัทประกันภัยเป็นผู้รับผิดชอบแทนในส่วนนั้น

ข้อ 10. ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฏิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

ได้ เพราะ ผู้ที่จะปฎิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้นั้น ก็ต้องมีความรู้ในด้านต่างๆ เช่น บัญชี การเงิน กฎหมาย ดังนั้นผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจึงปฎิบัติงานได้

คำถามบทที่ 10

ข้อ 7. การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฏิบัติตามกฎหมายอย่างไร

ตอบ โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม

ข้อสังเกต 1.ต้องระมัดระวังในบางกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือมอบให้รับเงินแทน (ฎ.653/2514)

2. ถ้าเป็นกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ใช่โอนสิทธิเรียกร้อง (ฎ.330/2522)

เจ้าหนี้ ลูกหนี้

ผู้รับโอน

** 3. การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำต้องทำเป็น

หนังสือ (**ฎ.5466/2539)

** 4. การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอบแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306ไม่ได้ (ฎ.2472/2519)

1.1 หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303

หลัก สิทธิเรียกร้องโอนกันได้

ข้อยกเว้น 1.สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่อง

2. คู่กรณีตกลงห้ามโอน แต่จะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้

3. สิทธิที่ศาลยึดไม่ได้(มาตรา 304) (ฎ3793/2535,ฎ.4837/2540)

1.2 วิธีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้

1.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง(มาตรา 306)

ขั้นตอนที่หนึ่ง การโอนต้องทำเป็นหนังสือระหว่างเจ้าหนี้กับผู้รับโอนาโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกหนี้ ?การทำเป็นหนังสือ? แม้ลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว(ฎ.4139/2532)

ขั้นตอนที่สอง การยกขึ้นต่อสู้

&#1048729; ต้องมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ หรือ

&#1048729; ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนเป็นหนังสือ (ฎ.5561-5567/2530,ฎ.3973/2532)

อนึ่งถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ก่อนขั้นตอนที่สองไปแล้ว ลูกหนี้ก็หลุดพ้นจากหนี้นั้น

1.การยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้รับโอน (มาตรา 308)

1.1 กรณีลูกหนี้ให้ความยินยอมในกานโอนโดยมิได้อืดเอื้อน เช่นนี้ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้

1.2 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน เช่นลูกหนี้ยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนได้

1.3 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน และลูกหนี้มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้อยู่ก่อน แต่หนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ก็แสดงเจตนาหักกลบหนี้ไปยังผู้รับโอนได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องนั้นถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไป (ฎ.4392/2536)

2.ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง

2.1 ผู้รับโอนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เดิมไม่ได้

2.2เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้เดิม ไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปแล้วนั้นได้

2.3ผู้รับโอนมีสิทธิเหนือประกันแห่งหนี้ที่ได้รับโอนมาด้วย (มาตรา 305) โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้ผู้ประกันทราบ (ฎ.5237/2538)

22.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระตามเขาสั่ง(มาตรา 309) ต้องสลักหลังและส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับโอน โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้

2.2.2 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่ผู้ถือ(มาตรา 311)เป็นตราสารที่ไม่ระบุชื่อผู้ทรง ต้องส่งมอบตราสารนั้น

ข้อ9 เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อต้องทำประกันภัย สิ่งปลูกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบ

ตอบ เมื่อนำบ้าน อาคาร ที่ดินสร้างที่อยู่บนที่ดินที่จำนอง ได้เกิดไฟไหม้ขึ้นจะทำให้ธนาคารในฐานะผู้รับจำนอง อาจจะเสียหายได้เนื่องจากหลักประกันได้เสื่อมค่าลงบางส่วน ในกรณีที่ธนาคารจะบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ ดังนั้นการประกันไฟ หรือการประกันต่างๆ ก็เป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่หลักประกันของธนาคารโดยให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้รับผิดชอบ

10. ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฎิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

ตอบได้ แต่ต้องผ่านการอบรมด้านความรู้ทางด้านกฎหมายของทางบริษัท และต้องช่างสังเกต คิดวิเคราะห์ถึงความเสียงได้ ว่าจะมีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด แต่ในธนาคารจะมีคนที่จำมาหลายแขนงเช่นกัน

คำถามประจำบทที่ 10

ข้อ7 การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฎิบัติตามกฎหมายอย่างไร

ตอบ โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม

ข้อสังเกต

1.ต้องระมัดระวังในบางกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือมอบให้รับเงินแทน (ฎ.653/2514)

2. ถ้าเป็นกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ใช่โอนสิทธิเรียกร้อง (ฎ.330/2522)

เจ้าหนี้ ลูกหนี้

ผู้รับโอน

** 3. การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำต้องทำเป็น

หนังสือ (**ฎ.5466/2539)

** 4. การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอบแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306ไม่ได้ (ฎ.2472/2519)

1.1 หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303

หลัก สิทธิเรียกร้องโอนกันได้

ข้อยกเว้น

1.สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่อง

2. คู่กรณีตกลงห้ามโอน แต่จะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้

3. สิทธิที่ศาลยึดไม่ได้ (มาตรา 304) (ฎ3793/2535,ฎ.4837/2540)

1.2 วิธีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้

1.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง(มาตรา 306)

ขั้นตอนที่หนึ่ง การโอนต้องทำเป็นหนังสือระหว่างเจ้าหนี้กับผู้รับโอนาโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกหนี้ การทำเป็นหนังสือ แม้ลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว(ฎ.4139/2532)

ขั้นตอนที่สอง การยกขึ้นต่อสู้

- ต้องมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ หรือ

- ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนเป็นหนังสือ (ฎ.5561-5567/2530,ฎ.3973/2532)

อนึ่งถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ก่อนขั้นตอนที่สองไปแล้ว ลูกหนี้ก็หลุดพ้นจากหนี้นั้น

1.การยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้รับโอน (มาตรา 308)

1.1 กรณีลูกหนี้ให้ความยินยอมในกานโอนโดยมิได้อืดเอื้อน เช่นนี้ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้

1.2 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน เช่นลูกหนี้ยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนได้

1.3 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน และลูกหนี้มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้อยู่ก่อน แต่หนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ก็แสดงเจตนาหักกลบหนี้ไปยังผู้รับโอนได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องนั้นถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไป (ฎ.4392/2536)

2.ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง

2.1 ผู้รับโอนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เดิมไม่ได้

2.2 เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้เดิม ไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปแล้วนั้นได้

2.3 ผู้รับโอนมีสิทธิเหนือประกันแห่งหนี้ที่ได้รับโอนมาด้วย (มาตรา 305) โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้ผู้ประกันทราบ (ฎ.5237/2538)

2.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระตามเขาสั่ง(มาตรา 309) ต้องสลักหลังและส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับโอน โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้

2.2.2 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่ผู้ถือ(มาตรา 311)เป็นตราสารที่ไม่ระบุชื่อผู้ทรง ต้องส่งมอบตราสารนั้น

ข้อ9 เพราะเหตุใดธนาคารกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อต้องทำประกันภัย สิ่งปลูกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบ

ตอบ เพราะถ้ามีการจดจำนองเป็นหลักประกันกับธนาคารแล้วภาระหนี้ของลูกค้าได้เกิดขึ้น แต่ถ้าหลักประกันบางส่วนเกิดเสียหายหรือเกิดไฟไหม้ เช่น อาคาร บ้านเรือน จะทำให้ธนาคารในฐานะผู้รับจำนอง อาจจะเสียหายได้ เนื่องจากหลักประกันได้เสื่อมค่าลงบางส่วน ในกรณีธนาคารจะบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ ดังนั้น การประกันไฟหรือประกันภัยต่างๆก็เป็นการป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นกับหลักประกันของธนาคารโดยให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้รับภาระในส่วนนี้ไป

ข้อ10 ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฎิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

ตอบ ได้ เพราะ ผู้ที่จะปฎิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้นั้น ก็ต้องมีความรู้ในด้านต่างๆ เช่น บัญชี การเงิน กฎหมาย ดังนั้นผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจึงปฎิบัติงานได้

คำถามท้ายบทที่ 10

 ข้อ7.การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฏิบัติตามกฏหมายอย่างไร

ตอบ   โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม

ข้อสังเกตุ

1. สิทธิเรียกร้องตามสภาพที่เป็นสิทธิพิเศษเฉพาะอย่าง เช่น สิทธิเรียกร้องถูกทำละเมิดในการเรียกค่าสินไหมทดแทนความเสียหายแก่ร่างกาย

2 .สิทธิเรียกร้องที่คู่กรณีห้ามโอนไว้โดยขัดแจ้ง

3. สิทธิร้องที่ตามกฎหมายศาลจะสั่งยึดไม่ได้ เช่น สิทธิได้ค่าอุปการะเลี้ยงดู สิทธิที่จะได้รับเบี้ยเลี้ยงยังชีพ เป็นต้น

การตอบรับโอนสิทธิเรียกร้อง แยกพิจารณาการตอบรับโอนสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้เป็น 2 ประการ ดังนี้

1. กรณีที่ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนสิทธิเรียกร้องนั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 308 วรรคแรก

2. กรณีที่ลูกหนี้มิได้ให้ความยินยอมในการโอนสิทธิเรียกร้องนั้น คือ ลูกหนี้เป็นแต่เพียงได้รับการบอกกล่าวการโอน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 308 วรรคสอง

กรณี 1 เป็นการให้ความยินยอมโดยไม่อิดเอื้อน มิได้มีข้อโต้แย้งหรือสงวนสิทธิของผู้ให้ความยินยอมนนั้นเลย เป็นการยอมรับชำระหนี้ตามสัญญาที่มีอยู่เดิมและเป็นการสละข้อต่อสู้ของผู้ให้ความยินยอมด้วย ลูกหนี้จึงหมดสิทธิที่จะยกข้อต่อสู้ของตนอันมีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู่ผู้รับโอน แม้หากภายหลังจะได้มีข้ออิดเอื้อนขึ้นมา ข้ออิดเอื้อนในภายหลังนี้ย่อมใช้ไม่ได้

กรณี 2 ลูกหนี้เป็นแต่เพียงได้รับคำบอกกล่าวการโอนจากผู้โอนหรือผู้รับโอน ลูกหนี้มีข้อต่อสู้ผู้โอนก่อนเวลาที่ได้รับคำบอกกล่าวนั้นอย่างไร ก็มีสิทธิยกข้อต่อสู้ผู้รับโอนได้ และถ้าลูกหนี้มีสิทธิเรียกร้องจากผู้โอน แต่สิทธินั้นยังไม่ถึงกำหนดเวลาบอกกล่าว ลูกหนี้มสิทธิเรียกร้องนั้นมาหักลบกันก็ได้ หากว่าสิทธินั้นจะได้ถึงกำหนดชำระไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดชำระหนี้แห่งสิทธิเรียกร้องอันได้โอนไปนั่น

ข้อ9.เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อต้องทำประกันภัย สิ่งปลูกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบ

 ตอบ เพราะเนื่องจากที่ลูกค้าได้ทำการขอสินเชื่อโดยที่นำสินทรัพย์มาเป็นหลักประกันนั้น

เช่น ที่ดิน หรือสิ่งปลูกสร้าง เช่น บ้าน อาคาร เครื่องจักร เป็นต้นนั้น ธนาคารต้องให้ทำ

ประกันไฟหรือประกันภัยไว้กับบริษัทประกัน เพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิด

ขึ้น เช่น ไฟไหม้ ดั้งนั้นจึงต้องทำหลักประกันโดยให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้รู้ผิดชอบแทน

ธนาคาร

 ข้อ10. ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฏิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

ตอบ ได้ เพราะ ทั้งกฎหมายเป็นส่วนเกี่ยวข้องกับบริการธุรกิจ มันต้องรู้กฎหมายเพื่อที่จะทำการทำงานไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบได้

 

7.การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฏิบัติตามกฎหมายอย่างไร 
ตอบ โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม
ข้อสังเกต 1.ต้องระมัดระวังในบางกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือมอบให้รับเงินแทน (ฎ.653/2514)
2. ถ้าเป็นกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ใช่โอนสิทธิเรียกร้อง (ฎ.330/2522)
เจ้าหนี้ ลูกหนี้
ผู้รับโอน
** 3. การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำต้องทำเป็น
หนังสือ (**ฎ.5466/2539)
** 4. การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอบแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306ไม่ได้ (ฎ.2472/2519)
1.1 หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303
หลัก สิทธิเรียกร้องโอนกันได้
ข้อยกเว้น 1.สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่อง
2. คู่กรณีตกลงห้ามโอน แต่จะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้
3. สิทธิที่ศาลยึดไม่ได้(มาตรา 304) (3793/2535,ฎ.4837/2540)
1.2 วิธีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้
1.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง(มาตรา 306)
ขั้นตอนที่หนึ่ง การโอนต้องทำเป็นหนังสือระหว่างเจ้าหนี้กับผู้รับโอนาโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกหนี้ ?การทำเป็นหนังสือ? แม้ลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว(ฎ.4139/2532)
ขั้นตอนที่สอง การยกขึ้นต่อสู้
    ต้องมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ หรือ ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนเป็นหนังสือ (ฎ.5561-5567/2530,ฎ.3973/2532)
     อนึ่งถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ก่อนขั้นตอนที่สองไปแล้ว ลูกหนี้ก็หลุดพ้นจากหนี้นั้น
1.การยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้รับโอน (มาตรา 308)
1.1 กรณีลูกหนี้ให้ความยินยอมในกานโอนโดยมิได้อืดเอื้อน เช่นนี้ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้
1.2 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน เช่นลูกหนี้ยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนได้
1.3 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน และลูกหนี้มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้อยู่ก่อน แต่หนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ก็แสดงเจตนาหักกลบหนี้ไปยังผู้รับโอนได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องนั้นถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไป (ฎ.4392/2536)
2.ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง
2.1 ผู้รับโอนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เดิมไม่ได้
2.2เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้เดิม ไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปแล้วนั้นได้
2.3ผู้รับโอนมีสิทธิเหนือประกันแห่งหนี้ที่ได้รับโอนมาด้วย (มาตรา 305) โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้ผู้ประกันทราบ (ฎ.5237/2538)
22.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระตามเขาสั่ง(มาตรา 309) ต้องสลักหลังและส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับโอน โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้
2.2.2 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่ผู้ถือ(มาตรา 311)เป็นตราสารที่ไม่ระบุชื่อผู้ทรง ต้องส่งมอบตราสารนั้น
9.เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อต้องทำประกันภัยสิ่งปลูกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบ
ตอบ เมื่อนำบ้าน อาคาร ที่ดินสร้างที่อยู่บนที่ดิน ที่จำนอง มีการจดจำนองเป็นหลักประกันกับธนาคารแล้วภาระหนี้ของลูกค้าได้เกิดขึ้น ได้เกิดไฟไหม้ขึ้นจะทำให้ธนาคารในฐานะผู้รับจำนอง อาจจะเสียหายได้เนื่องจากหลักประกันได้เสื่อมค่าลงบางส่วน ในกรณีที่ธนาคารจะบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ ดังนั้นการประกันไฟ หรือการประกันต่างๆ ก็เป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่หลักประกันของธนาคารโดยให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้รับผิดชอบภาระในส่วนนั้นไป
10.ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฏิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่
ตอบ ได้ค่ะแต่ผู้ที่จบด้านบริหารธุรกิจมาต้องมีความรู้ด้านกฎหมาย การเงินการธนาคาร การตลาด การบัญชี มาด้วยอย่างละเอียดรอบคอบ ต้องมีความซื่อสัตย์ รอบคอบ ช่างสังเกตุและต้องมีประสบการณ์ด้านกฏหมายเรื่องนิติกรรมมาให้มากๆจะได้รู้เท่าทันผู้ที่มากู้สินเชื่อกับเรา จะได้ไม่ถูกผู้มากู้โกงได้



7. การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฏิบัติตามกฎหมายอย่างไร

ตอบ โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม

ข้อสังเกต 1.ต้องระมัดระวังในบางกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือมอบให้รับเงินแทน (ฎ.653/2514)

2. ถ้าเป็นกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ใช่โอนสิทธิเรียร้อง (ฎ.330/2522) เจ้าหนี้ ลูกหนี้ ผู้รับโอน

3. การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำต้องทำเป็นหนังสือ (ฎ.5466/2539)

4. การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอบแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306ไม่ได้ (ฎ.2472/2519)

1.1 หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303 หลัก สิทธิเรียกร้องโอนกันได้

ข้อยกเว้น 1. สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่อง

2. คู่กรณีตกลงห้ามโอน แต่จะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้

3. สิทธิที่ศาลยึดไม่ได้(มาตรา 304) (ฎ3793/2535,ฎ.4837/2540)

1.2 วิธีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้

1.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง(มาตรา 306)

ขั้นตอนที่หนึ่ง การโอนต้องทำเป็นหนังสือระหว่างเจ้าหนี้กับผู้รับโอนาโดยไม่ต้องได้รับความ ยินยอมจากลูกหนี้ การทำเป็นหนังสือ แม้ลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว(ฎ.4139/2532)

ขั้นตอนที่สอง การยกขึ้นต่อสู้ ต้องมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ หรือ ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนเป็นหนังสือ (ฎ.5561-5567/2530,ฎ.3973/2532)

อนึ่งถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ก่อนขั้นตอนที่สองไปแล้ว ลูกหนี้ก็หลุดพ้นจากหนี้นั้น

1. การยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้รับโอน (มาตรา 308)

1.1 กรณีลูกหนี้ให้ความยินยอมในกานโอนโดยมิได้อืดเอื้อน เช่นนี้ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้

1.2 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน เช่นลูกหนี้ยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนได้

1.3 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน และลูกหนี้มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้อยู่ก่อน แต่หนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ก็แสดงเจตนาหักกลบหนี้ไปยังผู้รับโอนได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องนั้นถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ ได้โอนไป (ฎ.4392/2536)

2. ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง

2.1 ผู้รับโอนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เดิมไม่ได้

2.2 เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้เดิม ไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปแล้วนั้นได้

2.3 ผู้รับโอนมีสิทธิเหนือประกันแห่งหนี้ที่ได้รับโอนมาด้วย (มาตรา 305) โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้ผู้ประกันทราบ (ฎ.5237/2538)

2.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระตามเขาสั่ง (มาตรา 309) ต้องสลักหลังและส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับโอน โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้

2.2.2 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่ผู้ถือ (มาตรา 311) เป็นตราสารที่ไม่ระบุชื่อผู้ทรง ต้องส่งมอบตราสารนั้น

9. เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อ ต้องทำประกันภัย สิ่งปลูกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบตอบ

ตอบ เพราะถ้าหากหลักประกัน บ้าน อาคาร ที่ดินสร้างที่อยู่บนที่ดิน ที่มีการจดจำนองเป็นหลักประกันกับธนาคารที่จำนองบางส่วนเกิดเสียหายจากการเกิดไฟไหม้ ก็จะทำให้ธนาคารผู้รับจำนอง อาจจะเสียหายได้เนื่องจากหลักประกันได้เสื่อมค่าลงบนบางส่วน ในกรณีนี้ธนาคารจะบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ ดังนั้น การประกันไฟหรือการประกันภัยต่างๆก็เป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิด ขึ้นแก่หลักประกันของธนาคารโดยให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้รับภาระในส่วนนี้ไป

10.ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฏิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

ตอบ ได้ เพราะว่า งานนิติกรรมสินเชื่อจะเกี่ยวข้องกับความรู้ทางด้านกฎหมาย ซึ่งการที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจนั้นจะต้องผ่านการเรียนวิชาที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับนิติกรรมมา คือ กฎหมายธุรกิจ การเงินการธนาคาร การตลาด เป็นต้น ซึ่งเนื้อหาที่ได้เรียนมาก็จะสามารถนำมาใช้ประกอบในการทำนิติกรรมได้ ผู้ปฏิบัติงานจะต้องมีความรอบครอบ มีความซื่อสัตย์ และต้องมีความสามารถในการประสานงานทั้งกับลูกค้า และเจ้าหน้าที่ด้านอื่นๆที่เกี่ยวข้อง และต้องหาความรู้เกี่ยวกับกฎหมายใหม่ๆ อยู่เสมอและตลอดเวลา

 

ข้อ 7 การโอยสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฏิบัติตามกฎหมายอย่างไร
  ตอบ  
โอนสิทธิเรียกร้อง คือ การที่เจ้าหน้าที่ตกลงยินยอมโอนสิทธิที่เรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง มีผลให้บุคคลผู้รับโอนเข้ามาเป็นเจ้าหนี้คนใหม่แทนเจ้าหนี้เดิมมีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้เช่นเจ้าหนี้เดิม
            โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม
              ข้อสังเกต
1.ต้องระมัดระวังในบางกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือมอบให้รับเงิน  (ฎ.653/2514)

2. ถ้าเป็นกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ใช่โอนสิทธิเรียกร้อง (ฎ.330/2522)
เจ้าหนี้ ลูกหนี้
ผู้รับโอน
** 3. การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำต้องทำเป็น
หนังสือ (**ฎ.5466/2539)
** 4. การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอบแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306ไม่ได้ (ฎ.2472/2519)
1.1 หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303
หลัก สิทธิเรียกร้องโอนกันได้
ข้อยกเว้น

1.สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่อง
2. คู่กรณีตกลงห้ามโอน แต่จะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้
3. สิทธิที่ศาลยึดไม่ได้(มาตรา 304) (ฎ3793/2535,ฎ.4837/2540)
1.2 วิธีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้
1.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง(มาตรา 306)
ขั้นตอนที่หนึ่ง การโอนต้องทำเป็นหนังสือระหว่างเจ้าหนี้กับผู้รับโอนาโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกหนี้ ?การทำเป็นหนังสือ? แม้ลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว(ฎ.4139/2532)

ขั้นตอนที่สอง การยกขึ้นต่อสู้
 
          ต้องมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ หรือ
           
ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนเป็นหนังสือ (ฎ.5561-5567/2530,ฎ.3973/2532)
อนึ่งถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ก่อนขั้นตอนที่สองไปแล้ว ลูกหนี้ก็หลุดพ้นจากหนี้นั้น
1.การยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้รับโอน (มาตรา 308)
      
1.1 กรณีลูกหนี้ให้ความยินยอมในกานโอนโดยมิได้อืดเอื้อน เช่นนี้ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้
      
1.2 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน เช่นลูกหนี้ยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนได้
      
1.3 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน และลูกหนี้มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้อยู่ก่อน แต่หนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ก็แสดงเจตนาหักกลบหนี้ไปยังผู้รับโอนได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องนั้นถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไป (ฎ.4392/2536)
2.ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง
     
2.1 ผู้รับโอนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เดิมไม่ได้
     
2.2เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้เดิม ไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปแล้วนั้นได้
     
2.3ผู้รับโอนมีสิทธิเหนือประกันแห่งหนี้ที่ได้รับโอนมาด้วย (มาตรา 305) โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้ผู้ประกันทราบ (ฎ.5237/2538)

22.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระตามเขาสั่ง(มาตรา 309) ต้องสลักหลังและส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับโอน โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้

2.2.2 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่ผู้ถือ(มาตรา 311)เป็นตราสารที่ไม่ระบุชื่อผู้ทรง ต้องส่งมอบตราสารนั้น



ข้อ 9 เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อต้องทำประกันภัย สิ่งปลูกสร้างไว้กับ บริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบ
    ตอบ เพราะเมื่อลูกค้าได้ทำการขอสินเชื่อแล้ว เพราะว่าในกรณีอย่างเช่น บ้าน อาคาร หรือ สิ่งปลูกสร้างอยู่บนที่ดิน ที่จำนอง ได้เกิดไฟไหม้ขึ้นก็จะทำให้ธนาคารในฐานะผู้รับจำนอง อาจจะเสียหายเนื่องจากหลักประกันได้เสื่อมค่าลงบ่างส่วน ในกรณีที่ธนาคารจะบังคับชำระจากลูกหนี้ ดังนั้นการประกันไฟหรือการประกันภัยต่างๆก็เป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นเเก่หลักประกันของธนาคารโดยให้บริษัทประกันภัยที่ผู้ขอสินเชื่อได้ทำประกันภัยไว้กับบริษัทนั้นๆเป็นผู้รับภาระในส่วนนี้ไปโดยที่ธนาคารผู้ให้สินเชื่อเองไม่ต้องเป็นผู้รับภาระนี้

ข้อ 10 ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฏิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่ 
     ตอบ ได้ เพราะ เพราะการที่เราจะปฏิบัติงานทางด้านนิติกรรมสินเชื่อเราจะต้องมีความรู้ในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการเงิน กฎหมาย บัญชี เศรษฐศาสตร์ และสาขาที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย งานด้านสินเชื่อจะต้องอาศัยทั้งการประเมินราคา ทั้งด้านกฎหมาย ควบคู่กันไปดังนั้นผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจึงสามารถปฏิบัติงานด้านสินเชื่อได้

 

 

ตอบคำถามบทที่ 10

7. การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฎิบัติตามกฎหมายอย่าไร

ตอบ โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม

ข้อสังเกต...

1.ต้องระมัดระวังในบางกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือมอบให้รับเงินแทน (ฎ.653/2514)

2. ถ้าเป็นกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ใช่โอนสิทธิเรียกร้อง (ฎ.330/2522)เจ้าหนี้ ลูกหนี้ ผู้รับโอน

3. การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำต้องทำเป็นหนังสือ (**ฎ.5466/2539)

4. การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอบแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306ไม่ได้ (ฎ.2472/2519)

1.1 หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303หลัก สิทธิเรียกร้องโอนกันได้

ข้อยกเว้น...

1.สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่อง

2. คู่กรณีตกลงห้ามโอน แต่จะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้

3. สิทธิที่ศาลยึดไม่ได้(มาตรา 304) (ฎ3793/2535,ฎ.4837/2540)

1.2 วิธีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้

1.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง(มาตรา 306)

ขั้นตอนที่หนึ่ง การโอนต้องทำเป็นหนังสือระหว่างเจ้าหนี้กับผู้รับโอนาโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกหนี้ การทำเป็นหนังสือแม้ลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว(ฎ.4139/2532)

ขั้นตอนที่สอง การยกขึ้นต่อสู้

1. ต้องมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ หรือ

2. ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนเป็นหนังสือ (ฎ.5561-5567/2530,ฎ.3973/2532)

อนึ่งถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ก่อนขั้นตอนที่สองไปแล้ว ลูกหนี้ก็หลุดพ้นจากหนี้นั้น

1.การยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้รับโอน (มาตรา 308)

1.1 กรณีลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนโดยมิได้อืดเอื้อน เช่นนี้ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้

1.2 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน เช่นลูกหนี้ยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนได้

1.3 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน และลูกหนี้มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้อยู่ก่อน แต่หนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ก็แสดงเจตนาหักกลบหนี้ไปยังผู้รับโอนได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องนั้นถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไป (ฎ.4392/2536)

2.ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง

2.1 ผู้รับโอนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เดิมไม่ได้

2.2เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้เดิม ไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปแล้วนั้นได้

2.3ผู้รับโอนมีสิทธิเหนือประกันแห่งหนี้ที่ได้รับโอนมาด้วย (มาตรา 305) โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้ผู้ประกันทราบ (ฎ.5237/2538)

22.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระตามเขาสั่ง(มาตรา 309) ต้องสลักหลังและส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับโอน โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้

2.2.2 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่ผู้ถือ(มาตรา 311)เป็นตราสารที่ไม่ระบุชื่อผู้ทรง ต้องส่งมอบตราสารนั้น

9. เพระเหตุใดธนาคารกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อต้องทำประกันภัย สิ่งปลูกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบ

ตอบ เพราะถ้ามีการจดจำนองเป็นหลักประกันกับธนาคารแล้วภาระหนี้ของลูกค้าได้เกิดขึ้นแล้ว แต่ถ้าหากหลักประกันบางส่วนเกิดเสียหายขึ้น ก็จะทำให้ธนาคารในฐานะผู้รับจำนอง อาจจะได้รับความเสี่ยงด้วย เนื่องจากหลักประกันได้เสื่อมค่าลงบางส่วน อาจทำให้ธนาคารได้รับต่าตอบแทนที่ช้าลงหรืออาจจะไม่ได้เลยก้ได้

10. ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฎิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

ตอบ ไม่ได้ เพราะบุคคลที่จะสามารถทำงานในด้านนิติกรรม ต้องมีความรู้ที่เพรียงพอ หรือเรียกว่า มีความรู้มากพอ ที่จะสามารถแนะนำได้

คำถามประจำบทที่ 10

ข้อ7 การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฎิบัติตามกฎหมายอย่างไร

ตอบ = โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม

ข้อสังเกต

1.ต้องระมัดระวังในบางกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือมอบให้รับเงินแทน (ฎ.653/2514)

2. ถ้าเป็นกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ใช่โอนสิทธิเรียกร้อง (ฎ.330/2522)

เจ้าหนี้ ลูกหนี้

ผู้รับโอน

** 3. การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำต้องทำเป็น

หนังสือ (**ฎ.5466/2539)

** 4. การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอบแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306ไม่ได้ (ฎ.2472/2519)

1.1 หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303

หลัก สิทธิเรียกร้องโอนกันได้

ข้อยกเว้น

1.สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่อง

2. คู่กรณีตกลงห้ามโอน แต่จะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้

3. สิทธิที่ศาลยึดไม่ได้ (มาตรา 304) (ฎ3793/2535,ฎ.4837/2540)

1.2 วิธีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้

1.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง(มาตรา 306)

ขั้นตอนที่หนึ่ง การโอนต้องทำเป็นหนังสือระหว่างเจ้าหนี้กับผู้รับโอนาโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกหนี้ การทำเป็นหนังสือ แม้ลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว(ฎ.4139/2532)

ขั้นตอนที่สอง การยกขึ้นต่อสู้

- ต้องมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ หรือ

- ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนเป็นหนังสือ (ฎ.5561-5567/2530,ฎ.3973/2532)

อนึ่งถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ก่อนขั้นตอนที่สองไปแล้ว ลูกหนี้ก็หลุดพ้นจากหนี้นั้น

1.การยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้รับโอน (มาตรา 308)

1.1 กรณีลูกหนี้ให้ความยินยอมในกานโอนโดยมิได้อืดเอื้อน เช่นนี้ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้

1.2 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน เช่นลูกหนี้ยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนได้

1.3 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน และลูกหนี้มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้อยู่ก่อน แต่หนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ก็แสดงเจตนาหักกลบหนี้ไปยังผู้รับโอนได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องนั้นถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไป (ฎ.4392/2536)

2.ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง

2.1 ผู้รับโอนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เดิมไม่ได้

2.2 เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้เดิม ไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปแล้วนั้นได้

2.3 ผู้รับโอนมีสิทธิเหนือประกันแห่งหนี้ที่ได้รับโอนมาด้วย (มาตรา 305) โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้ผู้ประกันทราบ (ฎ.5237/2538)

2.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระตามเขาสั่ง(มาตรา 309) ต้องสลักหลังและส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับโอน โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้

2.2.2 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่ผู้ถือ(มาตรา 311)เป็นตราสารที่ไม่ระบุชื่อผู้ทรง ต้องส่งมอบตราสารนั้น

ข้อ9 เพราะเหตุใดธนาคารกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อต้องทำประกันภัย สิ่งปลูกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบ

ตอบ = เพราะถ้ามีการจดจำนองเป็นหลักประกันกับธนาคารแล้วภาระหนี้ของลูกค้าได้เกิดขึ้น แต่ถ้าหลักประกันบางส่วนเกิดเสียหายหรือเกิดไฟไหม้ เช่น อาคาร บ้านเรือน จะทำให้ธนาคารในฐานะผู้รับจำนอง อาจจะเสียหายได้ เนื่องจากหลักประกันได้เสื่อมค่าลงบางส่วน ในกรณีธนาคารจะบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ ดังนั้น การประกันไฟหรือประกันภัยต่างๆก็เป็นการป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นกับหลักประกันของธนาคารโดยให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้รับภาระในส่วนนี้ไป

ข้อ10 ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฎิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

ตอบ = ได้ เพราะ ผู้ที่จะปฎิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้นั้น ก็ต้องมีความรู้ในด้านต่างๆ เช่น บัญชี การเงิน กฎหมาย ดังนั้นผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจึงปฎิบัติงานได้

คำถามท้ายบทที่ 10 เรื่อง พิธีการและนิติกรรมสินเชื่อ 7.การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฏิบัติตามกฎหมายอย่างไร ตอบ โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม ข้อสังเกต 1.ต้องระมัดระวังในบางกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือมอบให้รับเงินแทน (ฎ.653/2514) 2. ถ้าเป็นกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ใช่โอนสิทธิเรียกร้อง (ฎ.330/2522) เจ้าหนี้ ลูกหนี้ ผู้รับโอน 3. การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำต้องทำเป็นหนังสือ (ฎ.5466/2539) 4. การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอบแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306ไม่ได้ (ฎ.2472/2519) 1.1 หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303 หลัก สิทธิเรียกร้องโอนกันได้ ข้อยกเว้น 1.สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่อง 2. คู่กรณีตกลงห้ามโอน แต่จะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้ 3. สิทธิที่ศาลยึดไม่ได้(มาตรา 304) (ฎ3793/2535,ฎ.4837/2540) 1.2 วิธีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้ 1.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง(มาตรา 306) ขั้นตอนที่หนึ่ง การโอนต้องทำเป็นหนังสือระหว่างเจ้าหนี้กับผู้รับโอนาโดยไม่ต้องได้รับความ ยินยอมจากลูกหนี้ การทำเป็นหนังสือ แม้ลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว(ฎ.4139/2532) ขั้นตอนที่สอง การยกขึ้นต่อสู้ ต้องมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ หรือ ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนเป็นหนังสือ (ฎ.5561-5567/2530,ฎ.3973/2532) อนึ่งถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ก่อนขั้นตอนที่สองไปแล้ว ลูกหนี้ก็หลุดพ้นจากหนี้นั้น 1.การยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้รับโอน (มาตรา 308) 1.1 กรณีลูกหนี้ให้ความยินยอมในกานโอนโดยมิได้อืดเอื้อน เช่นนี้ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้ 1.2 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน เช่นลูกหนี้ยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนได้ 1.3 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน และลูกหนี้มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้อยู่ก่อน แต่หนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ก็แสดงเจตนาหักกลบหนี้ไปยังผู้รับโอนได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องนั้นถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ ได้โอนไป (ฎ.4392/2536) 2.ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง 2.1 ผู้รับโอนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เดิมไม่ได้ 2.2เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้เดิม ไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปแล้วนั้นได้ 2.3ผู้รับโอนมีสิทธิเหนือประกันแห่งหนี้ที่ได้รับโอนมาด้วย (มาตรา 305) โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้ผู้ประกันทราบ (ฎ.5237/2538) 22.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระตามเขาสั่ง(มาตรา 309) ต้องสลักหลังและส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับโอน โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้ 2.2.2 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่ผู้ถือ(มาตรา 311)เป็นตราสารที่ไม่ระบุชื่อผู้ทรง ต้องส่งมอบตราสารนั้น 9.เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อ ต้องทำประกันภัย สิ่งปลูกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบ ตอบ เพราะ ถ้าหากหลักประกัน เช่น บ้าน อาคาร ที่ดินสร้างที่อยู่บนที่ดิน ที่มีการจดจำนองเป็นหลักประกันกับธนาคารที่จำนองบางส่วนเกิดเสียหายจากการเกิดไฟไหม้ ก็จะทำให้ธนาคารผู้รับจำนอง อาจจะเสียหายได้เนื่องจากหลักประกันได้เสื่อมค่าลงบนบางส่วน ในกรณีนี้ธนาคารจะบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ ดังนั้น การประกันไฟหรือการประกันภัยต่างๆก็เป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิด ขึ้นแก่หลักประกันของธนาคารโดยให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้รับภาระในส่วนนี้ไป 10.ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฏิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่ ตอบ ได้ เพราะว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจนั้น ต้องมีความรู้หลายๆ ด้าน เช่น กฎหมายทางด้านธุรกิจ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ การเงินการธนาคาร การตลาด การจัดการสินเชื่อ บัญชี เป็นต้น ซึ่งเนื้อหาที่ได้เรียนมาก็จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ประกอบในการทำนิติกรรมได้ เพื่อไมให้โดนเอารัดเอาเปรียบจากทำธุรกิจ และผู้ปฏิบัติงานต้องมีความรอบครอบ ซื่อสัตย์ และต้องมีความสามารถในการประสานงานทั้งกับลูกค้า และเจ้าหน้าที่ด้านอื่นๆที่เกี่ยวข้อง และต้องหาความรู้เกี่ยวกับกฎหมายใหม่ๆ อยู่เสมอ

คำถามท้ายบทที่ 10

เรื่อง  พิธีการและนิติกรรมสินเชื่อ

7.การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฏิบัติตามกฎหมายอย่างไร

ตอบ โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม

ข้อสังเกต 1.ต้องระมัดระวังในบางกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือมอบให้รับเงินแทน (ฎ.653/2514)

2. ถ้าเป็นกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ใช่โอนสิทธิเรียกร้อง (ฎ.330/2522) เจ้าหนี้ ลูกหนี้ ผู้รับโอน

3. การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำต้องทำเป็นหนังสือ (ฎ.5466/2539)

4. การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอบแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306ไม่ได้ (ฎ.2472/2519)

1.1 หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303 หลัก สิทธิเรียกร้องโอนกันได้

ข้อยกเว้น 1.สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่อง

2. คู่กรณีตกลงห้ามโอน แต่จะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้

3. สิทธิที่ศาลยึดไม่ได้(มาตรา 304) (ฎ3793/2535,ฎ.4837/2540)

1.2 วิธีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้

1.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง(มาตรา 306)

ขั้นตอนที่หนึ่ง การโอนต้องทำเป็นหนังสือระหว่างเจ้าหนี้กับผู้รับโอนาโดยไม่ต้องได้รับความ ยินยอมจากลูกหนี้ การทำเป็นหนังสือ แม้ลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว(ฎ.4139/2532)

ขั้นตอนที่สอง การยกขึ้นต่อสู้ ต้องมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ หรือ ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนเป็นหนังสือ (ฎ.5561-5567/2530,ฎ.3973/2532)

อนึ่งถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ก่อนขั้นตอนที่สองไปแล้ว ลูกหนี้ก็หลุดพ้นจากหนี้นั้น

1.การยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้รับโอน (มาตรา 308)

1.1 กรณีลูกหนี้ให้ความยินยอมในกานโอนโดยมิได้อืดเอื้อน เช่นนี้ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้

1.2 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน เช่นลูกหนี้ยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนได้

1.3 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน และลูกหนี้มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้อยู่ก่อน แต่หนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ก็แสดงเจตนาหักกลบหนี้ไปยังผู้รับโอนได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องนั้นถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ ได้โอนไป (ฎ.4392/2536)

2.ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง

2.1 ผู้รับโอนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เดิมไม่ได้

2.2เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้เดิม ไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปแล้วนั้นได้

2.3ผู้รับโอนมีสิทธิเหนือประกันแห่งหนี้ที่ได้รับโอนมาด้วย (มาตรา 305) โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้ผู้ประกันทราบ (ฎ.5237/2538)

22.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระตามเขาสั่ง(มาตรา 309) ต้องสลักหลังและส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับโอน โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้

2.2.2 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่ผู้ถือ(มาตรา 311)เป็นตราสารที่ไม่ระบุชื่อผู้ทรง ต้องส่งมอบตราสารนั้น

9.เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อ ต้องทำประกันภัย สิ่งปลูกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบ

ตอบ  เพราะ ถ้าหากหลักประกัน เช่น  บ้าน อาคาร ที่ดินสร้างที่อยู่บนที่ดิน ที่มีการจดจำนองเป็นหลักประกันกับธนาคารที่จำนองบางส่วนเกิดเสียหายจากการเกิดไฟไหม้ ก็จะทำให้ธนาคารผู้รับจำนอง อาจจะเสียหายได้เนื่องจากหลักประกันได้เสื่อมค่าลงบนบางส่วน ในกรณีนี้ธนาคารจะบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ ดังนั้น การประกันไฟหรือการประกันภัยต่างๆก็เป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิด ขึ้นแก่หลักประกันของธนาคารโดยให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้รับภาระในส่วนนี้ไป

10.ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฏิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

ตอบ ได้ เพราะว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจนั้น ต้องมีความรู้หลายๆ ด้าน เช่น กฎหมายทางด้านธุรกิจ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ การเงินการธนาคาร การตลาด  การจัดการสินเชื่อ บัญชี เป็นต้น ซึ่งเนื้อหาที่ได้เรียนมาก็จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ประกอบในการทำนิติกรรมได้ เพื่อไมให้โดนเอารัดเอาเปรียบจากทำธุรกิจ และผู้ปฏิบัติงานต้องมีความรอบครอบ ซื่อสัตย์ และต้องมีความสามารถในการประสานงานทั้งกับลูกค้า และเจ้าหน้าที่ด้านอื่นๆที่เกี่ยวข้อง และต้องหาความรู้เกี่ยวกับกฎหมายใหม่ๆ อยู่เสมอ

 

7.การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฏิบัติตามกฎหมายอย่างไร

ตอบ สกัดหลักกฎหมาย : โอนสิทธิเรียกร้อง [มาตรา 303-311]

โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม

ข้อสังเกต 1.ต้องระมัดระวังในบางกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือมอบให้รับเงินแทน (ฎ.653/2514)

2. ถ้าเป็นกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ใช่โอนสิทธิเรียกร้อง (ฎ.330/2522)

เจ้าหนี้ ลูกหนี้

ผู้รับโอน

3. การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำต้องทำเป็นหนังสือ (**ฎ.5466/2539)

4. การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอบแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306ไม่ได้ (ฎ.2472/2519)

1.1 หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303

หลัก สิทธิเรียกร้องโอนกันได้

ข้อยกเว้น 1.สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่อง

2. คู่กรณีตกลงห้ามโอน แต่จะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้

3. สิทธิที่ศาลยึดไม่ได้(มาตรา 304) (ฎ3793/2535,ฎ.4837/2540)

1.2 วิธีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้

1.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง(มาตรา 306)

ขั้นตอนที่หนึ่ง การโอนต้องทำเป็นหนังสือระหว่างเจ้าหนี้กับผู้รับโอนาโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกหนี้ ?การทำเป็นหนังสือ? แม้ลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว(ฎ.4139/2532)

ขั้นตอนที่สอง การยกขึ้นต่อสู้

ต้องมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ หรือ ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนเป็นหนังสือ (ฎ.5561-5567/2530,ฎ.3973/2532)

อนึ่งถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ก่อนขั้นตอนที่สองไปแล้ว ลูกหนี้ก็หลุดพ้นจากหนี้นั้น

1.การยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้รับโอน (มาตรา 308)

1.1 กรณีลูกหนี้ให้ความยินยอมในกานโอนโดยมิได้อืดเอื้อน เช่นนี้ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้

1.2 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน เช่นลูกหนี้ยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนได้

1.3 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน และลูกหนี้มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้อยู่ก่อน แต่หนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ก็แสดงเจตนาหักกลบหนี้ไปยังผู้รับโอนได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องนั้นถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไป (ฎ.4392/2536)

2.ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง

2.1 ผู้รับโอนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เดิมไม่ได้

2.2เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้เดิม ไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปแล้วนั้นได้

2.3ผู้รับโอนมีสิทธิเหนือประกันแห่งหนี้ที่ได้รับโอนมาด้วย (มาตรา 305) โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้ผู้ประกันทราบ (ฎ.5237/2538)

2.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระตามเขาสั่ง(มาตรา 309) ต้องสลักหลังและส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับโอน โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้

2.2.2 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่ผู้ถือ(มาตรา 311)เป็นตราสารที่ไม่ระบุชื่อผู้ทรง ต้องส่งมอบตราสารนั้น

9. เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อต้องทำประกันภัย สิ่งปลูกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบ

ตอบ เพราะเมื่อมีการจดจำนองเป็นหลักประกันกับธนาคารแล้วภาระหนี้ของลูกค้าได้เกิดขึ้นแล้ว และถ้าหากหลักประกันบางส่วนเกิดเสียหาย ก็จะทำให้ธนาคารในฐานะผู้รับจำนอง อาจจะเสียหายได้เนื่องจากหลักประกันได้เสื่อมค่าลงบางส่วน ในกรณีที่ธนาคารจะบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ ดังนั้น การประกันไฟ หรือการประกันภัยต่างๆ จะเป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่หลักประกันของธนาคาร โดยให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้รับภาระในส่วนนี้ไป

10.ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฏิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

ตอบ ได้ แต่ต้องมีความรู้ด้านกฎหมายเพียงพอ ที่จะสามารถเอาชนะคู่แข่ง หรือให้คำแนะนำกับลูกค้าได้ ทั้งนี้ ผู้ที่จะปฏิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อนอกจากจะต้องมีความรู้ทางด้านกฎหมายแล้ว ยังจะต้องมีความรู้ครอบคลุมไปถึง งานด้านการเงิน การตลาด รวมทั้งต้องรู้วิธีการจัดการสินเชื่อเป็นอย่างดี จึงจะสามารถปฏิบัติงานได้อย่างบรรลุวัตถุประสงค์

แบบฝึกหัดบทที่ 10

7.การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฏิบัติตามกฎหมายอย่างไร

ตอบ  โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311   การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม

ข้อสังเกต

1).ต้องระมัดระวังในบางกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือมอบให้รับเงินแทน (ฎ.653/2514)

2). ถ้าเป็นกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ใช่โอนสิทธิเรียกร้อง (ฎ.330/2522) เจ้าหนี้ ลูกหนี้

ผู้รับโอน **

3). การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำต้องทำเป็น

หนังสือ (**ฎ.5466/2539) **

4). การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอบแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306ไม่ได้ (ฎ.2472/2519)

(1.1). หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303

หลัก สิทธิเรียกร้องโอนกันได้

ข้อยกเว้น

1).สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่อง

2). คู่กรณีตกลงห้ามโอน แต่จะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้

3). สิทธิที่ศาลยึดไม่ได้(มาตรา 304) (ฎ3793/2535,ฎ.4837/2540)

(1.2). วิธีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้

((1.2.1)). การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง(มาตรา 306)

ขั้นตอนที่หนึ่ง

การโอนต้องทำเป็นหนังสือระหว่างเจ้าหนี้กับผู้รับโอนาโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกหนี้ ?การทำเป็นหนังสือ? แม้ลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว(ฎ.4139/2532)

ขั้นตอนที่สอง การยกขึ้นต่อสู้

1). ต้องมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้

2). ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนเป็นหนังสือ (ฎ.5561-5567/2530,ฎ.3973/2532)

อนึ่งถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ก่อนขั้นตอนที่สองไปแล้ว ลูกหนี้ก็หลุดพ้นจากหนี้นั้น

1).การยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้รับโอน (มาตรา 308)

(1.1). กรณีลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนโดยมิได้อืดเอื้อน เช่นนี้ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้

(1.2). กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน เช่นลูกหนี้ยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนได้*****

(1.3). กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน และลูกหนี้มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้อยู่ก่อน แต่หนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ก็แสดงเจตนาหักกลบหนี้ไปยังผู้รับโอนได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องนั้นถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไป (ฎ.4392/2536)

2).ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง

(2.1). ผู้รับโอนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เดิมไม่ได้

(2.2). เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้เดิม ไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปแล้วนั้นได้

(2.3). ผู้รับโอนมีสิทธิเหนือประกันแห่งหนี้ที่ได้รับโอนมาด้วย (มาตรา 305) โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้ผู้ประกันทราบ (ฎ.5237/2538)

((2.2.1)). การโอนหนี้ที่ต้องชำระตามเขาสั่ง (มาตรา 309) ต้องสลักหลังและส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับโอน โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้

((2.2.2)). การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่ผู้ถือ (มาตรา 311) เป็นตราสารที่ไม่ระบุชื่อผู้ทรง ต้องส่งมอบตราสารนั้น

9.เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเขื่อต้องทำประกันภัย สิ่งปลูกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบ

ตอบ  เพราะ อาจเกิดขึ้นกับสิ่งปลูกสร้างที่ได้รับผลโดยตรง เช่น ไฟฟ้าลัดวงจร อาจทำให้เกิดอัคคีภัย ไฟไหม้ หรือสิ่งที่นำมามาเป็นหลักประกันเสียหาย ธนาคารจึงต้องมีการสั่งบริษัทประกันภัยจะต้องมีการโอนผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ เท่าที่บริษัทประกันภัยจะรับได้ให้กับธนาคารในทุกกรณี

10.ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถทำนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

ตอบ  ได้ เพราะ นักศึกษาบริหารธุรกิจได้มีความรู้เกี่ยวกับด้านกฎหมาย  การเงิน และสามารถวิเคราะห์ทางด้านสินเชื่อได้เช่นกัน

 

ตอบคำถามท้ายบทที่ 10

เรื่อง พิธีการและนิติกรรมสินเชื่อ

7.การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฏิบัติตามกฎหมายอย่างไร

        การโอนสิทธิเรียกร้อง คือ การโอนระหว่างเจ้าหนี้กับผู้โอน จะต้องทำเป็นหนังสือ ซึ่งการโอนนั้นจะ

ใช้กับลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกได้ ก็ต่อเมื่อได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้เป็นหนังสือ หรือลูกหนี้ได้

ยินยอมด้วยการโอนนั้น โดยทำเป็นหนังสือ

 โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม

ข้อสังเกต 1.ต้องระมัดระวังในบางกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือมอบให้รับเงินแทน (ฎ.653/2514)

2. ถ้าเป็นกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ใช่โอนสิทธิเรียกร้อง (ฎ.330/2522)

เจ้าหนี้ ลูกหนี้

ผู้รับโอน

** 3. การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำต้องทำเป็น

หนังสือ (**ฎ.5466/2539)

** 4. การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอบแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306ไม่ได้ (ฎ.2472/2519)

1.1 หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303

หลัก สิทธิเรียกร้องโอนกันได้

ข้อยกเว้น 1.สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่อง

2. คู่กรณีตกลงห้ามโอน แต่จะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้

3. สิทธิที่ศาลยึดไม่ได้(มาตรา 304) (ฎ3793/2535,ฎ.4837/2540)

1.2 วิธีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้

1.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง(มาตรา 306)

ขั้นตอนที่หนึ่ง การโอนต้องทำเป็นหนังสือระหว่างเจ้าหนี้กับผู้รับโอนาโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกหนี้ ?การทำเป็นหนังสือ? แม้ลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว(ฎ.4139/2532)

ขั้นตอนที่สอง การยกขึ้นต่อสู้

               ต้องมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ หรือ

               ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนเป็นหนังสือ (ฎ.5561-5567/2530,ฎ.3973/2532)

อนึ่งถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ก่อนขั้นตอนที่สองไปแล้ว ลูกหนี้ก็หลุดพ้นจากหนี้นั้น

1.การยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้รับโอน (มาตรา 308)

1.1 กรณีลูกหนี้ให้ความยินยอมในกานโอนโดยมิได้อืดเอื้อน เช่นนี้ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้

1.2 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน เช่นลูกหนี้ยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนได้

1.3 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน และลูกหนี้มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้อยู่ก่อน แต่หนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ก็แสดงเจตนาหักกลบหนี้ไปยังผู้รับโอนได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องนั้นถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไป (ฎ.4392/2536)

2.ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง

2.1 ผู้รับโอนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เดิมไม่ได้

2.2เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้เดิม ไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปแล้วนั้นได้

2.3ผู้รับโอนมีสิทธิเหนือประกันแห่งหนี้ที่ได้รับโอนมาด้วย (มาตรา 305) โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้ผู้ประกันทราบ (ฎ.5237/2538)

22.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระตามเขาสั่ง(มาตรา 309) ต้องสลักหลังและส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับโอน โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้

2.2.2 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่ผู้ถือ(มาตรา 311)เป็นตราสารที่ไม่ระบุชื่อผู้ทรง ต้องส่งมอบตราสารนั้น

 

9. เพระเหตุใดธนาคารกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อต้องทำประกันภัย สิ่งปลูกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบ

            เพราะถ้ามีการจดจำนองเป็นหลักประกันกับธนาคารแล้วภาระหนี้ของลูกค้าได้เกิดขึ้นแล้ว  และถ้าหากมีหลักประกันบางส่วนเสียหายขึ้น เช่น อาคาร บ้านเรือน จะทำให้ธนาคารในฐานะผู้รับจำนอง อาจจะเสียหายได้ เนื่องจากหลักประกันได้เสื่อมค่าลงบางส่วน ในกรณีธนาคารจะบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ ดังนั้น

การประกันไฟหรือประกันภัยต่างๆก็เป็นการป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นกับหลักประกันของธนาคารโดยให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้รับภาระในส่วนนี้ไป

10. ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฎิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

             ได้ เพราะในการปฎิบัติการเป็นเจ้าหน้าที่นิติกรรมสินเชื่อนั้นผู้ที่จบทางด้านบริหารก็สามารถปฏิบัติงานได้เช่นกัน เพราะในการเรียนในหลักสูตรบริหาร หนึ่งในนั้นต้องมีวิชากฏหมายธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อนำไปปรับใช้ในการทำงานจริงได้

7.การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฏิบัติตามกฎหมายอย่างไร

ตอบ โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม

ข้อสังเกต

1).ต้องระมัดระวังในบางกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือมอบให้รับเงินแทน (ฎ.653/2514)

2). ถ้าเป็นกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ใช่โอนสิทธิเรียกร้อง (ฎ.330/2522) เจ้าหนี้ ลูกหนี้ ผู้รับโอน **

3). การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำต้องทำเป็น หนังสือ (**ฎ.5466/2539) **

4). การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอบแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306ไม่ได้ (ฎ.2472/2519)

 (1.1). หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303 หลัก สิทธิเรียกร้องโอนกันได้ ข้อยกเว้น

1).สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่อง

2). คู่กรณีตกลงห้ามโอน แต่จะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้

3). สิทธิที่ศาลยึดไม่ได้(มาตรา 304) (ฎ3793/2535,ฎ.4837/2540)

(1.2). วิธีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้

((1.2.1)). การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง(มาตรา 306) ขั้นตอนที่หนึ่ง การโอนต้องทำเป็นหนังสือระหว่างเจ้าหนี้กับผู้รับโอนาโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกหนี้ ?การทำเป็นหนังสือ? แม้ลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว(ฎ.4139/2532) ขั้นตอนที่สอง การยกขึ้นต่อสู้

1). ต้องมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้

2). ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนเป็นหนังสือ (ฎ.5561-5567/2530,ฎ.3973/2532) อนึ่งถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ก่อนขั้นตอนที่สองไปแล้ว ลูกหนี้ก็หลุดพ้นจากหนี้นั้น 1).การยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้รับโอน (มาตรา 308)

(1.1). กรณีลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนโดยมิได้อืดเอื้อน เช่นนี้ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้

 (1.2). กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน เช่นลูกหนี้ยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนได้*****

(1.3). กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน และลูกหนี้มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้อยู่ก่อน แต่หนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ก็แสดงเจตนาหักกลบหนี้ไปยังผู้รับโอนได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องนั้นถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไป (ฎ.4392/2536) 2).ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง

 (2.1). ผู้รับโอนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เดิมไม่ได้

 (2.2). เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้เดิม ไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปแล้วนั้นได้

(2.3). ผู้รับโอนมีสิทธิเหนือประกันแห่งหนี้ที่ได้รับโอนมาด้วย (มาตรา 305) โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้ผู้ประกันทราบ (ฎ.5237/2538)

((2.2.1)). การโอนหนี้ที่ต้องชำระตามเขาสั่ง (มาตรา 309) ต้องสลักหลังและส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับโอน โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้

((2.2.2)). การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่ผู้ถือ (มาตรา 311) เป็นตราสารที่ไม่ระบุชื่อผู้ทรง ต้องส่งมอบตราสารนั้น

 9.เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่ออต้องทำประกันภัย สิ่งปลูกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบ

ตอบ เพราะ ถ้าหากหลักประกันบางส่วนเสียหายขึ้น เช่น บ้าน อาคาร ที่จำนองเกิดไฟไหม้จะทำให้ธนาคารผู้รับจำนองอาจจะสียหายได้ เนื่องจากหลักประกันเสื่อมค่าลงบางส่วน การประกันภัยจึงเป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่หลักประกันของธนาคารได้

10.ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถทำนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

 ตอบ ได้ เพราะ งานทางด้านสินเชื่อเป็นงานที่ต้องใช้ความรู้ทางกฎหมาย ผู้ที่ปฏิบัติงานต้องเข้าใจกฎหมาย และมีความสามารถในการประสานงานกับลูกค้า นักศึกษาบริหารธุรกิจจำเป็นต้องเรียนรู้วิชาทางด้านกฎหมาย และด้านสินเชื่อ จึงจะสามารถทำงานได้

คำถามท้ายบทที่ 10

เรื่อง พิธีการและนิติกรรมสินเชื่อ

7.การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฏิบัติตามกฎหมายอย่างไร

ตอบ        การโอนสิทธิเรียกร้อง คือ การโอนระหว่างเจ้าหนี้กับผู้โอน จะต้องทำเป็นหนังสือ ซึ่งการโอนนั้นจะ

ใช้กับลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกได้ ก็ต่อเมื่อได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้เป็นหนังสือ หรือลูกหนี้ได้

ยินยอมด้วยการโอนนั้น โดยทำเป็นหนังสือ

 โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม

ข้อสังเกต 1.ต้องระมัดระวังในบางกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือมอบให้รับเงินแทน (ฎ.653/2514)

2. ถ้าเป็นกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ใช่โอนสิทธิเรียกร้อง (ฎ.330/2522)

เจ้าหนี้ ลูกหนี้

ผู้รับโอน

** 3. การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำต้องทำเป็น

หนังสือ (**ฎ.5466/2539)

** 4. การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอบแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306ไม่ได้ (ฎ.2472/2519)

1.1 หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303

หลัก สิทธิเรียกร้องโอนกันได้

ข้อยกเว้น 1.สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่อง

2. คู่กรณีตกลงห้ามโอน แต่จะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้

3. สิทธิที่ศาลยึดไม่ได้(มาตรา 304) (ฎ3793/2535,ฎ.4837/2540)

1.2 วิธีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้

1.2.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง(มาตรา 306)

ขั้นตอนที่หนึ่ง การโอนต้องทำเป็นหนังสือระหว่างเจ้าหนี้กับผู้รับโอนาโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกหนี้ ?การทำเป็นหนังสือ? แม้ลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว(ฎ.4139/2532)

ขั้นตอนที่สอง การยกขึ้นต่อสู้

  - ต้องมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ หรือ

 - ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนเป็นหนังสือ (ฎ.5561-5567/2530,ฎ.3973/2532)

อนึ่งถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ก่อนขั้นตอนที่สองไปแล้ว ลูกหนี้ก็หลุดพ้นจากหนี้นั้น

1.การยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้รับโอน (มาตรา 308)

1.1 กรณีลูกหนี้ให้ความยินยอมในกานโอนโดยมิได้อืดเอื้อน เช่นนี้ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้

1.2 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน เช่นลูกหนี้ยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนได้

1.3 กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน และลูกหนี้มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้อยู่ก่อน แต่หนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ก็แสดงเจตนาหักกลบหนี้ไปยังผู้รับโอนได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องนั้นถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไป (ฎ.4392/2536)

2.ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง

2.1 ผู้รับโอนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เดิมไม่ได้

2.2เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้เดิม ไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปแล้วนั้นได้

2.3ผู้รับโอนมีสิทธิเหนือประกันแห่งหนี้ที่ได้รับโอนมาด้วย (มาตรา 305) โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้ผู้ประกันทราบ (ฎ.5237/2538)

22.1 การโอนหนี้ที่ต้องชำระตามเขาสั่ง(มาตรา 309) ต้องสลักหลังและส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับโอน โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้

2.2.2 การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่ผู้ถือ(มาตรา 311)เป็นตราสารที่ไม่ระบุชื่อผู้ทรง ต้องส่งมอบตราสารนั้น

9. เพระเหตุใดธนาคารกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อต้องทำประกันภัย สิ่งปลูกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบ

ตอบ เพราะถ้ามีการจดจำนองเป็นหลักประกันกับธนาคารแล้วภาระหนี้ของลูกค้าได้เกิดขึ้นแล้ว  และถ้าหากมีหลักประกันบางส่วนเสียหายขึ้น และในกรณีธนาคารจะบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ ดังนั้น การประกันไฟหรือประกันภัยต่างๆก็เป็นการป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นกับหลักประกันของธนาคารโดยให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้รับภาระในส่วนนี้ไป

10. ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถปฎิบัติงานนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

ตอบ ได้ เพราะ ในการเรียนด้านบริหารธุรกิจนั้น จำเป็นที่จะต้องมีวิชากฏหมายธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง ในเนื้อหาของวิชากฏหมายธุรกิจก็ได้กล่าวถึงเรื่องการทำธุรกรรมต่างๆ ที่สามารถนำไปใช้ปฏิบัติงานจริงได้เช่นกัน

 

นายพงศ์วุฒิ ปัญจะธา

7.การโอนสิทธิเรียกร้อง มีข้อปฏิบัติตามกฎหมายอย่างไร

ตอบ โอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303-311 การโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ โอนสิทธิ ที่มีต่อลูกหนี้ให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่าผู้รับโอน โดยทางนิติกรรมโอน มีสิทธิเรียกร้องโดยนิติกรรม

ข้อสังเกต

1).ต้องระมัดระวังในบางกรณีไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง แต่เป็นเพียงหนังสือมอบให้รับเงินแทน (ฎ.653/2514)

2). ถ้าเป็นกรณีเจ้าหนี้สละสิทธิเรียกร้อง ก็ไม่ใช่โอนสิทธิเรียกร้อง (ฎ.330/2522) เจ้าหนี้ ลูกหนี้ ผู้รับโอน **

3). การตกลงซื้อขายสิทธิเรียกร้องที่ผู้ซื้อไม่สามารถบังคับลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้ ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่จำต้องทำเป็น หนังสือ (**ฎ.5466/2539) **

4). การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาต่างตอบแทนจะใช้วิธีแบบโอนสิทธิเรียกร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306ไม่ได้ (ฎ.2472/2519)

(1.1). หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง มาตรา 303 หลัก สิทธิเรียกร้องโอนกันได้ ข้อยกเว้น

1).สภาพแห่งสิทธิไม่เปิดช่อง

2). คู่กรณีตกลงห้ามโอน แต่จะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้สุจริตไม่ได้

3). สิทธิที่ศาลยึดไม่ได้(มาตรา 304) (ฎ3793/2535,ฎ.4837/2540)

(1.2). วิธีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือโอนหนี้

((1.2.1)). การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง(มาตรา 306) ขั้นตอนที่หนึ่ง การโอนต้องทำเป็นหนังสือระหว่างเจ้าหนี้กับผู้รับโอนาโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกหนี้ ?การทำเป็นหนังสือ? แม้ลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้ว(ฎ.4139/2532) ขั้นตอนที่สอง การยกขึ้นต่อสู้

1). ต้องมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้

2). ลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนเป็นหนังสือ (ฎ.5561-5567/2530,ฎ.3973/2532) อนึ่งถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ก่อนขั้นตอนที่สองไปแล้ว ลูกหนี้ก็หลุดพ้นจากหนี้นั้น 1).การยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้รับโอน (มาตรา 308)

(1.1). กรณีลูกหนี้ให้ความยินยอมในการโอนโดยมิได้อืดเอื้อน เช่นนี้ลูกหนี้จะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนไม่ได้

(1.2). กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน เช่นลูกหนี้ยกข้อต่อสู้ที่มีอยู่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนได้*****

(1.3). กรณีลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวการโอน และลูกหนี้มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้อยู่ก่อน แต่หนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ก็แสดงเจตนาหักกลบหนี้ไปยังผู้รับโอนได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องนั้นถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไป (ฎ.4392/2536) 2).ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง

(2.1). ผู้รับโอนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เดิมไม่ได้

(2.2). เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของเจ้าหนี้เดิม ไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องที่ได้โอนไปแล้วนั้นได้

(2.3). ผู้รับโอนมีสิทธิเหนือประกันแห่งหนี้ที่ได้รับโอนมาด้วย (มาตรา 305) โดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้ผู้ประกันทราบ (ฎ.5237/2538)

((2.2.1)). การโอนหนี้ที่ต้องชำระตามเขาสั่ง (มาตรา 309) ต้องสลักหลังและส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับโอน โดยไม่ต้องบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้

((2.2.2)). การโอนหนี้ที่ต้องชำระแก่ผู้ถือ (มาตรา 311) เป็นตราสารที่ไม่ระบุชื่อผู้ทรง ต้องส่งมอบตราสารนั้น

9.เพราะเหตุใดธนาคารจึงกำหนดให้ลูกค้าทุกรายที่ได้รับอนุมัติสินเชื่ออต้องทำประกันภัย สิ่งปลูกสร้างไว้กับบริษัทประกันภัยที่ธนาคารเห็นชอบ

ตอบ เพราะ ถ้าหากหลักประกันบางส่วนเสียหายขึ้น เช่น บ้าน อาคาร ที่จำนองเกิดไฟไหม้จะทำให้ธนาคารผู้รับจำนองอาจจะสียหายได้ เนื่องจากหลักประกันเสื่อมค่าลงบางส่วนเสียหายขึ้น และในกรณีธนาคารจะบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้ ดังนั้น การประกันไฟหรือประกันภัยต่างๆก็เป็นการป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นกับหลักประกันของธนาคารโดยให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้รับภาระในส่วนนี้ไป

10.ท่านคิดว่าผู้ที่จบการศึกษาบริหารธุรกิจจะสามารถทำนิติกรรมสินเชื่อได้หรือไม่

ตอบ ได้ เพราะ งานทางด้านสินเชื่อเป็นงานที่ต้องใช้ความรู้ทางกฎหมาย ผู้ปฏิบัติงานต้องมีความรอบครอบ ซื่อสัตย์ และต้องมีความสามารถในการประสานงานทั้งกับลูกค้า และเจ้าหน้าที่ด้านอื่นๆที่เกี่ยวข้อง และต้องหาความรู้เกี่ยวกับกฎหมายใหม่ๆ อยู่เสมอ

( ข้อ7 ) ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียงและได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชน

• Select text and expressions to suit the customers and prospects. I must be careful not to underestimate the customer. It should be written in a polite and expect customers to pay quickly.

• debts in the first letter. Should write one. Remind customers that payment is due for payment immediately.

• If you write a letter to one of the debts and still have not answered a letter from a customer in any way to track a second time. The reason I ask the client. The most gentle and polite. The author asserts that the desire to maintain a good reputation and financial. The customer.

• To send a letter to the debts, then 2-3, but has not yet been answered. May submit a payment schedule and a lack of reference to the implementation of the law.

If it is impractical to Default Re: How can I get it 100%.

- The contractor's debts as a matchmaker. This accounts for the hard-headed bunch of their pies, Christmas items, from nails to the pile. Rude staff wages and stop cheating, I said it I knew it I had a great boss to have. I know his answer. She is not. I know what I go tucked away that I sent a detective to look at it for 24 hours for it to come across. Default Re: I get to the golf course. How it is. I see it as a subordinate. It hit two home games if they hit four out of the house. I ran to catch up on his golf course, the Ram. I know it's golf, I told my boss to go to the local police Kaแrg one call, it says that there is urgency. When it comes to it. I turned to the war debts. My boss told me that it is obviously not the color. The Gallery is open Yong slightly I lost it to his severe that it intended to cheat. I heard the club. How's it going, I actually respect it. I told them to say. I have a lighter color. And go in the toilet. Was the last pay check. Finish

Accounts receivable - the pain never returned home but left wives and children. These accounts do not have a headache Maametg Default Re: Default Re: I can not do it. Default Re: I give this to his wife about it. It's not a matter of law. I know I did not come out the other side they say they do not fear God damn it I like it but it did not feel it. Default Re: I have people come every day and they challenged the lawsuit as well. This boss was a pain temples that I do not say that the accounts of this abuse, as in the morning to go shopping to Default Re: It's the middle market, but damn it if they could even work when it is 2 inch does not look fresh to me. I have it out, it was back then, I pay money for gold, but I have a dog, it says that I'm strong, I must say that I do with my day, remember to use it if I had. You were wrong.

- Receivables contractor. According to the government to know where to get the harassment complaint was not going to pay. The official history does not tarnish. The debtor must not threaten the debtor that if you do not pay me to take a court order to withhold the money that the government immediately. You need to have a history of bad government will blacklist you. You will not be ashamed to be an urgent Kighnga. If people do not pay for it. People like me do not threaten me, I must say I do not use this pulpit, in general, the debtor shall pay the same place.

คำถามประจำบทที่ 11

7.ให้ท่านอธิบายวิการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียง และได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชน

ตอบ Debt collection today. This action is inappropriate and unfair to the debtor or the consumer. Including creating a nuisance to third parties other than the debtor. Which affect the society and to the public as a whole suffered a lot. So far, the Collection will be using various methods, such as speech and language use is a violation of privacy seriously. Threatened by the use of force or defamation. Including the provision of false information to mislead the debtor and others. In addition, there is no law regarding the criteria and conditions in the debt collection specifically so as to fix and establish standards for the proper and fair debt collection. This will bring benefits to operators. Debtors or consumers. And any other person involved as a whole. It is therefore necessary to enact a fair debt collection act up.

Although the Bank of Thailand Has issued guidelines for debt to financial institutions under the law on financial institutions. The non-financial business credit card. Business and personal loans, under the supervision of financial institutions which are not universally implemented. However, because the penalties for violating the law. And do not include the supervision of the business with no debt, or the law relating to debt collection agencies in Thailand particular, and without any direct supervision. Ministry of Finance has prepared a bill for debt collection services. Or authorized by corporate lenders, financial institutions, some of which are engaged in external debt. Which is beyond the laws and regulations of the Bank of

คำถามประจำบทที่ 11

7.ให้ท่านอธิบายวิการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียง และได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชน

Ans.

We know already that the debt to the debt we must repay them under the agreement made with the creditors. But the debts of the creditors, it should be committed in the framework of respect for the rights of the debtor as well. I do not care about anything. Made every effort to get the debt back.

Although the law specifies the methods to enforce payment. Lawsuit Legal Sequestrate Auction

But it does not mean that Creditors will do something. Let's look at the debt should be treated with the debtor or the debt is to be justified and respect the rights of the debtor.

Creditors to consider debt in a timely manner. Without the consent of the debtor. Creditors should contact the debtor at the right time. Creditors should not use the postcard in the collection. If the debts used to contact by mail or fax. I do not use language or symbols on an envelope or fax to tell others about it as a debt. But if the debtor has to appoint an attorney to contact the debtor and any related liabilities. And creditors know the name and address of the debtor's attorney. Creditors would have no contact with anyone other than the debtor's attorney. Unless lawyers are ignored or not transmitted back to the debts in a timely manner. Or unless the attorney consents to the debts, contact the debtor directly.

For an unlawful threat or use of power perhaps we can see from the people who serve the debt. May be considered a violation of the privacy of the debt significantly.

Creditors should be aware of. Not be regarded as a threat to the wrongful persecution of debts.

Violence or acts dangerous to health or property of the debtor. The use of profanity or inappropriate language. And published a list of debtors who refuse to pay the debt. If treated as such. Creditors will be able to track debts as needed.

คำถามประจำบทที่  11

7.ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียง และได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชน

Methods of debt collection.- to collect debt from someone other than the debtor, such as relatives, brother, sister or colleague. Unless the consent of the debtor or a legal right.

- not to use violence to make debt payments, such as assault or property of the debtor's reputation.

- is not false misleading information. Document or a gesture which makes the debtor is an example. (1) is false as the others. Or use a name other than your real name. Do not include false information on the presence or authority of the carrier collection. Do not use symbols or gestures to make loans that mistake. From government agencies. Or credit information.(2) is false due to misunderstanding that the document collection. The document used in connection with the debtor. Or licensed or certified by a state agency or credit information. The debtor or misleading in any material respect the laws of such documents.(3) is not false misleading or false information about the debt exceeds the existing laws such as the type of current status. Or collection fees incurred as a false gesture, etc., or due to mistake in the settlement.

- does not intimidate or harass, such as unlawful.(1), threats of violence. Assault. Property or reputation of the debtor or other person. Or threatened to sue the debtor made false statements that are illegal if they do not pay the debt.(2), threatening to add attorneys' fees. The detective in charge of debt collection. The financial services. Any other fees or charges which can not be true under the law. Example : Accounts, such as military police officers, some of the more difficult because he claimed that he knew the law as well. We can not do anything drastic.

Solutions

 In case of receivables, such as lawyers, military, police wise • Some people with some subproblems is our policy not to credit the accounts of this group. If the loan is guaranteed by a guarantor who is a supervisor or supervisors that can accelerate debt repayment or return of the vehicle.

 If this group accounts •. Trying to contact the guarantor to help expedite negotiations for debt negotiations with these accounts. I was asked to help pay off debt, or because the threat does not work if the other fails, it must send out the casino operation. Then filed away. Because the majority has no intention to repay. And not influenced by the return property leasing.

 

 

 

 

เเบบฝึกหัดบทที่11

( ข้อ7 ) ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียงและได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชน

1. The area to monitor accounts receivable.

1.1 out of customers back late morning, the staff can not follow the normal working hours. Leave the house, it had no effect at all.

- To work early. The debtor must be found to be at work.

1.2 The customer does not come home. Because there is no map.

- I check my mail, telephone nearby / inquiries to the police station or the original data from the application / call back.

1.3, but due to the relative Leave it to contact you.

- On deposit with the relatives of the debtor. The debtor does not respond. I do not know why they call you back. Peace of mind that does not have to pay.

1.4 Following the execution of a lease or leases involved. Can not find customers. The rules of some companies.

- Keep track of the hire or lease and to eat.

1.5 customers, the car fled the area. Can not be contacted. You can use any means to bring the car back.

- Understand the debtor. / Give / take a sample of cases to look at.

1.6 clients relocate or return home. Which is not in an area where a branch is located. Difficult to track.

- Call the village. The new registration.

1.7 debts moved without informing the company. Employees not to pursue it. Send mail to bounce.

- Reference checks registration /'s house / post office / workplace / guarantee.

1.8 Registration of rural customers in areas of less than 3 years old car with no guarantee. After the car is outstanding. The current track is home to rent or move out. If you live in the area, but I find it sometimes.

I moved back to the provinces.

- Contact the headman of the village / the arrears may affect performance.

2. The problem of debts.

2.1 age groups. Irresponsible

- I talk a good talk with their parents shows that there is still a chance in the future. I came back down again.

2.2 The customer does not get away without paying.

- Customers who cheat. / Do not return the car / does not solve the problem / need to be encouraged / threatened with / problems that will ensue.

2.3 The meeting was postponed for more than two or more times / default Often times, we often need to be paid.

- Default Re: Early warning of debt, often sticky.

2.4 Changing customer contact is not / is moved / search for it.

- Disguised as a friend. Cover information from someone close.

2.5 Debtors not hire the unemployed. Or work, then money is not enough.

- Get the urge to find a job as possible.

2.6 debts liabilities other than debt to finance a car. The monthly payments so they can not pay them.

- Establish a system of household accounts / highlight the importance of a motorcycle.

2.7 debts as saying that I do not accept the reality that they hold up the car. And customers, pretending not to recognize reality.

- Contracts / liability / impact / work / credit of the debtor / s to reinforce the impact (the fear).

2.8 The lease arrangements have been made to pay. I often put off. I was not paid. No payment. It is also used to confirm the car is.

- Its weakness is that the car needs to be done by private contract, and 12.2 / illegal possession to be seized.

2.9 The lease payments do not wait for the third installment will be paid a second installment will be due during the first period.

- Wise / Athletic penalty / termination / non-collection of payment / non-registration.

3. The influence.

3.1 The customer has no influence in the area fled and did not pay off.

- Photography, motorcycles / tape recorder, audio / video recording s / inform the police / police not to talk / village.

3.2 debts as a challenge to hit a heavy challenge and the influence of money, but out of debt.

- Find someone local to talk to / I / I's good to be stuck with what I talk about it. We talk to. I have nothing to tell me. Recommended that all new cars and downs is not difficult. And does not have a problem with them.

Their self-seeking Should not be telling the truth about these people. The square.

3.3 Receivables from the military, police officers, some of the more difficult. Some people claim to know the law better. Is not that some agencies refused to meet. I notice that I do not know how. It does not work, what to eat with it.

Depict

- Written request that the supervisor / trap waiting / for that / I (track) / parking area / ask colleagues / call to wait / change many people call / change the pearl. Alternatively, bait / mail / send people to the track / no deposit no.

The man next door.

4. The problem of the truck / car loan.

4.1 Law in the misappropriation of assets. Back to top. Involving motorcycles.

- Possession / fraud misappropriate personal / others.

4.2 In case the vehicle to the customer and the customer is not the car. The car is hideout to another. Sometimes I lost my cousin and I used to know some good laws.

- To make it to the criminal proceedings.

4.3 debtors to pledge or sell the vehicle without fear and would not change the contract. Want to know the law can be enforced with the leaders to pledge and the pledge.

- Seconds to get started P.a. 352 (imprisonment for 3 years) to get started with Section 357 (5) profit (10 year).

4.4 In case there are legal and do not have to attach the property. This is what I can do.

- Terminate the contract immediately request a refund of the middle of the middle P.a. Section 33 (1) used in the offense.

4.5 is a client in a cemetery car. Take out the money to be redeemed. (The redemption price).

- Susan is a loan on a car or not. (Sittiiึdhnewg) would like to see legal action taken to negotiate Section 259 as a deposit to hire a car to maintain or repair the car and not pay for repairs etc.

4.6 debts is not good. Time is lost or the vehicle was arrested.

- Understand / speak with relatives / help figure out a solution to the customer / lease it / them is / for the case. (The decision to look at).

4.7 Receivables from the car to repair it does not pay for repairs to the garage.

- Talk to previous clients. That the grace period, not the car to believe it. Were allowed to borrow from relatives.

5. Hire non-car users.

5.1 The hire car, but do not use the car. A relative or sibling or friend, a car / can not follow them to the car.

- Focused on the misappropriation of property / unlawful possession of a / i for the lawsuits. Issued a call to the threat.

คำถามประจำบทที่ 11

7.ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียง และได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชน

1. If the debtor is a military police officers, some will be very difficult. I do not live with that. Some agencies do not have to wait outside. I notice it will not go back that I did not come to work to eat and so on.

Solutions.

 If the debtor is not to be. May leave a message or leave a note head - Commander - your colleagues. And reiterated that it is important to get back.

 not to be found. May be used to claim to be friends - relatives. Contact or personal matters. If a deposit to cover the notes that we can not be found. Immediately to pay the debt off as quickly as otherwise required to comply with the request to meet with leaders - the commander - a colleague and instead use a strategy to release the news that the debtor is about to be carried out according to procedures already. Now they come in contact later today. To pressure the debtor to appear to come out.

2. Accounts, such as military police officers, some of the more difficult because he claimed that he knew the law as well. We can not do anything drastic.

Solutions.

 In case of receivables, such as lawyers, military police, some wise subproblems that some companies have a policy not to credit the accounts of this group. If the loan is guaranteed by a guarantor who is a supervisor or supervisors that can accelerate debt repayment or return of the vehicle.

 If the debtor group. Trying to contact the guarantor to help expedite negotiations for debt negotiations with these accounts. I was asked to help pay off debt, or because the threat does not work if the other fails, it must send out the casino operation. Then filed away. Because the majority has no intention to repay. And not influenced by the return property leasing.

7.ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียง และได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชน

If you are dealing with a common debtor. Creditor or a debt or meet any debts that should be considered at the right time to keep up with debt. Without the consent of the debtor. The debts should not be in contact with the debtor at the right time. Is the time from 8:00 to 21:00 pm, the debts should not be used to track credit card. If the debts used to contact by mail or fax. Do not use language or symbols on an envelope or fax it to tell others about it as debt. But if the debtor has to appoint an attorney to contact the debtor and any related liabilities. Know your name, address, and the debts of the debtor's attorney. The debts will be no contact with anyone other than the debtor's attorney. Unless lawyers are ignored or not transmitted back to the debts in a timely manner. Or unless the attorney consents to the debts, contact the debtor directly.

If you are dealing with a third party. In fact, those debts should not be dealing withsomeone other than the debtor regarding the debt. Unless the consent of the debtor.

However. The debts may make contact with the debtor's attorney. Creditor's attorney. Or even a lawyer's debts. Or you can contact the credit bureaus in case the debts belong to a credit bureau. If the debts need to contact third parties to request the address of the debtor should not let that person know that their debtsare being asked to keep track of accounts receivable or debts that

For the threat or use of power which is love, maybe we can see from the people who serve the debt. May be considered a violation of the privacy of the debtsignificantly. Their debts, so be careful. Not be regarded as a threat to thewrongful persecution of debts, such as the use of violence. Or acts dangerous to health or property of the person known as a receivable. The use of profanity or inappropriate language. The language of the wrongful use of power to the listener or reader. Published a list of debtors who refuse to pay the debt. The credit bureau disclosed to any person or calling repeatedly or continuously toannoy or harass, or threaten the phone number.

7.ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียง และได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชน

(1).Negotiations(ใช้วิธีเจรจาต่อรอง)

It is the easiest way to track debt.But we have to negotiate a straight, not over the phone.

(2).Negotiate a compromise(เจรจาแบบประนีประนอม)

The need to create a friendly atmosphere and find solutions to the debt repayment terms.

7.ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียง และได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชน

Negotiation The first method is used to keep track of debts by negotiating a Wึe Pages by negotiation rather than by phone, the need to study the habits of customers, that is. Is honest or not, to find solutions in advance. What part of the negotiations, such as the golf course won the game because of Albuquerque ใa. I can understand that it is clearly impatient to concentrate integrity or Leh-sided because it takes a long time together.

Negotiations with the debtor. A compromise solution. And psychology

คำถามประจำบทที่11

7.ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียง และได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชน

In any loan or credit card. If it fails to pay or spend money until they can not pay immediately. The creditors have the right to sue in civil court is a debtor to repay with interest. If you do not have the right to settle in court. The debtor's property is sold to pay off debt. If the debtor has no assets to be seized by creditors that hold the case within the time limit of 10 years if the lapse of 10 years to force settlements, but the statute itself.

However, most previous demand that the prosecution will have to pay beforehand. If the debtor does not have to settle lawsuits. If you do not pay money to prosecute a lawsuit to court.

Private practice payments.

Go register to use non-threatening, should have prepared information about the debt or the amount of debt available. The use of composite dialogue will contribute to the strong demand and we could not leave space for negotiation. To call in a professional manner and will not make a good business reputation and image. And allows the debtor can not sell and do business with us as well.

The common practice in the debt with the debtor. 
(1) time and frequency of contact for the debt. 
                                To contact the debtor for debt collection. Be carried out within 08.00 am to 20.00 pm Monday to Friday. Except public holidays. Be carried out within 08.00 am to 18.00 pm This is a assumes the right track. 
(2) the identification for the purpose of debt collection. 
                                Operators and service providers to collect the debt yourself against the debtor. The name and the purpose of contacting the debtor has been advised correctly. In the event that the carrier collection contact the debtor directly (face to face) service providers to collect the debt instrument, which shows that they have permission from the debt collection business as well. 
(3) methods of debt collection. 
(3.1) to collect debt from someone other than the debtor, such as relatives, brother, sister or colleague. Unless the consent of the debtor or a legal right. 
                                 (3.2) not to use violence to make debt payments, such as assault or property of the debtor's reputation. 
 (3.3) is not false misleading information. Document or a gesture which makes the debtor is an example. 
                                                 (3.3.1) is false as the others. Or use a name other than your real name. Do not include false information on the presence or authority of the carrier collection. Do not use symbols or gestures to make loans that mistake. From government agencies. Or credit information. 
                                                 (3.3.2) is false due to misunderstanding that the document collection. The document used in connection with the debtor. Or licensed or certified by a state agency or credit information. The debtor or misleading in any material respect the laws of such documents. 
                                                 (3.3.3) is not false misleading or false information about the debt exceeds the existing laws such as the type of current status. Or collection fees incurred as a false gesture, etc., or due to mistake in the settlement. 
(3.4) does not intimidate or harass, such as unlawful. 
                                                 (3.4.1), threats of violence. Assault. Property or reputation of the debtor or other person. Or threatened to sue the debtor made false statements that are illegal if they do not pay the debt. 
                                                 (3.4.2), threatening to add attorneys' fees. The detective in charge of debt collection. The financial services. Any other fees or charges which can not be true under the law. 

(3.4.3) threatening to commit any of the operators and service providers to collect the debt without the intent to act or not act according to law. 
                                                 (3.4.4), threats of tampering or disclosure of the debt outstanding, which is false or defamatory information to the debtor. 
(3.5) without interference or harassment without reasonable cause, such as accounts receivable. 
                                                 (3.5.1) to call several times without reason. Or make the phone constantly to make a loan or other nuisance. 
                                                 (3.5.2) with a telephone contact with the debtor or another person anonymously. 
(3.6) does not use threatening, profane or obscene language implied that the impact on the manner of threats related to the debtor or the debtor. Receivables from misunderstanding or that the debtor has done something illegal or immoral as well. 
                                (4) The confidentiality of the debtor. 
                The operators and service providers, debt collection professionals to use caution due to the confidentiality of the debtor. And do not disclose information about the debtor's income during the contact with other people. Unless the consent of the debtor as 
(4.1) does not reveal the message. Or symbols that indicate whether the debtor has liabilities. Which are intended to be accessed as a debtor and a disgrace as a postcard or fax. 
                                                                However, keep in touch by mail. The outer envelope should not identify any other text or symbol indicates that the debtor liabilities. In addition to the address and name of the collection. 
                                                (4.2) in contact with the debtor's employer. Keep in touch with the right frequency to verify employment or address of the debtor, but the only question that the debtor is an employee or not. And must not disclose information about the debtor's liabilities. 
                (4.3) in contact with the family of the debtor. Keep in touch with the band and in the right place. And must not disclose information about the debtor's liabilities. 
                (4.4) should not contact anyone other than the debt from the person mentioned under (4.2) and (4.3) except for the Call for the address of the debtor or the consent of the debtor. 
                                (5) receipts from debtors. 
                                                The operators and service providers, collection systems, and proof of payment of debts in a reasonable and legal. 
1.1.1 The contractor debt collection services, debt collection instead. 
(1) hiring a debt collection service. 
                                          (1.1) in the carrier collection. Operators will be responsible for the debtor and third party business as the process itself. And must provide a written contract. As well as the practice of debt collection services to a standard as well as the business process itself. 
                                           
(2) the selection of the carrier collection. 
                                          In the selection of the carrier collection. The operator of a provider of debt collection with the establishment of a company or partnership. And consider the history of the company or partnership. To shareholders or partners and managers, financial status. Regulatory system, the performance of employees. The confidentiality of your account and visit the provider's collection as well as provide an evaluation of the service provider's collection that is based on the practices of debt collection. Bank of Thailand. To be used as a factor in determining the employment contract service provider's collection. 
          This allows operators to monitor the performance of the carrier collection is closely and consistently. 
(3) providing information to the debtor. 
                                          In the process of debt collection. To notice or care providers of business services, debt collection notice to the debtor prior to the assignment of a debt collection service is operated by the need to send proof of debt with the debtor.At least the following details. 
        (3.1) the amount and duration of arrears. 
        (3.2) a telephone number to contact regarding the debt. 
        (3.3) the cost of collection (if any). 
        (3.4) of the method and location of the debtor's petition. 
        (3.5) the rights of the debtor in a settlement with the operator any one time. In the event that the collection has been employed by many businesses to collect the debt from the debtor (if any). 
4.2.3 The system for getting in touch and receive complaints from the debtor. 
              (1) the business operator's policy. Procedures for receiving and handling complaints related to the debt of the debtor's right. As well as provide presentations to senior executives acknowledged as well. 
              (2), business contacts and accounts receivable system to a complaint methodically. Devoted to issues that may occur. 

คำถามประจำบทที่11

7.ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียง และได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชน

In any loan or credit card. If it fails to pay or spend money until they can not pay immediately. The creditors have the right to sue in civil court is a debtor to repay with interest. If you do not have the right to settle in court. The debtor's property is sold to pay off debt. If the debtor has no assets to be seized by creditors that hold the case within the time limit of 10 years if the lapse of 10 years to force settlements, but the statute itself.

However, most previous demand that the prosecution will have to pay beforehand. If the debtor does not have to settle lawsuits. If you do not pay money to prosecute a lawsuit to court.

Private practice payments.

Go register to use non-threatening, should have prepared information about the debt or the amount of debt available. The use of composite dialogue will contribute to the strong demand and we could not leave space for negotiation. To call in a professional manner and will not make a good business reputation and image. And allows the debtor can not sell and do business with us as well.

Monitoring of debts should be a clear and unambiguous cause delays, such as depriving hospital nurseries instead of asking the debtor to allow us to question whether I should be able to pay the debt within ... It will lead to the required payment date is provided to us by himself, the demand of the customer to schedule more efficient.

When payments due but not paid. You need to call immediately. This may provide a way of calling or sending a demand letter. Mailing the notice may be slower than a phone. However, most often used to send it. Would lead to a diversion rather than legal. The letter repeated the same claim could be 3-4 to make the response slower than calling up the first letter if the letter did not receive a response. The settler may be used to serve cooked the Credit may be claimed to the court, or force a settlement.

7.ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียง และได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชน

Ans. Negotiate a compromise(เจรจาแบบประนีประนอม)

Pattern bargaining, the best among all the parties agreed that the work is satisfactory (win-win) so that everyone in the group feel positive about the situation when you conclude the negotiations. This can lead to long-term relationship further.

The mood in the negotiations is not appropriate. Because such action does not demonstrate a reason, and may cause to dictate or dominate it.

7.ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียง และได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชน

ตอบ If the debtor is an individual pursuit of debts that will be easy, but keeping track of debts the debtor has a reputation for keeping track of Default Re: This is very difficult. Because of the high risk that we may not get a refund. It does not give way.

There are three ways in which the debts.

1 A negotiation.

2 mailings.

3 track over the phone.

If it works or it does not depend on whether the debtor is required to restore much.

คำถามท้ายบทที่ 11

ข้อ 7.ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียงและได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชน

Answer. Because the debtor is a person's reputation to track debts as a result.

      Need to be negotiated,this page is not available by phone. It also required that a customer habits. In order to resolve customer problems.And be prepaired to deal with the situation.

     For the negotiations that   Should go to the golf course,because golf can be a trait of our customers.The negotiations will be negotiated in the afternoon.Between the need to create a friendly atmosphere to the debtor will have to cooperate.However, if the debtor does not cooperate.Will need to use psychology,will be invited to participate in negotiations with the guarantor to create an atmosphere pressure and increases in loan negotiations.And notify the debtor that will be prosecuted.The accounts receivable will be a problem(black list).

    Make contact with other institutions, not forever.The closing of their own business.                                                                                 >>>MOS

คำถามท้ายบทที่ 11

ข้อ7 ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียงและได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชน

Ans.

The debt must be channels.

1. Debt via phone (Phone Collector).

2. Debt by a debt collection letter (Collection Letter).

3. Collection by field staff (Field Collector).

How to deal with debt. The first thing to consider. We'll have to check the proof of debt contracts such as what evidence the delivery of invoices loan agreement with a shared agreement on the document is completed. Not sure about. Amount owed by the need to ensure that Outstanding principal amount of how much. How much interest. From day to day. Principal and interest to the present figure. Is how much money. The principal and interest is very important because if you calculate the settlement amount. Interest and specify the errors in the list. To take advantage of the debtor. Debtors will not take the opportunity to negotiate with the debtor. To take part if you intend to cheat the debtor and the creditor that you are the calculation of the capital. And interest. Must be explained. The debtor can understand. Clearly. There is no dispute, the next thing to consider. Details about the address. Debtor's contact details. Including time off the routine. Remember the days of the debtor. Cars and vehicles used by the debtor. Telephone at work, home, cell phone, pager, a description of the debtor. The next step is learning about history, debts and debts that are owed for a long time ago, a few months a few years ago. I've been to before to see what debts it. When we know the history. And behavior of the debtor. Detailed. If debts are to be successful. What we need to do next is to define strategies for the debts and debts for the debtor's behavior. The behavior of the receivables include financial status, social position. Knowledge of legal education, the possibility of the debtor's business. Details. Assets of the debtor. The channels of the debtor's business. The debts that you are competent. And experience appropriate to the individual accounts receivable as a high. These types of debts that need to be educated enough. And to understand the legal process as well. If the experience of interaction with the debtor will have to argue against the accounts receivable but does not say anything to my back garden for evidence and then expire. You are not a victim. What do I do not think the response to this type of loan you are applying as a law school directly. You understand the discrepancy with the law. This case does not expire, and you pay a bounced check You can be arrested immediately, do not believe you can ask your lawyer. If the agreement does not, you know you will be taken to jail, police may not be ready to bail if the creditor does not. You must be seized. It makes you ashamed. Creditors cannot talk to you. You have to be taken. I say that, but it's what it means to lose face someone who is not credited as attorneys' fees.

คำถามท้ายบทที่ 11

ข้อ 7.ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียงและได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชน

Will be required by law to accelerate the debt repayment. That way, honest. Contests in your mail. Does not violate privacy rights. Or create a nuisance. Or uneasiness to the debtor. If the client is a reputable place, they should be prepared to negotiate. This afternoon should be a place that is a golf course. It will have more time to negotiate the debt and build good relationships with each other. The negotiations will be intelligent and cunning skills to adapt to real environments.

แบบฝึกหัดบทที่ 11

How to accelerate the debt or debts.

When payment is due but not paid. Default Re I need to follow up immediately. Which may be used to call any phone or mail. The letter of demand may be much slower than using the telephone. However, most often used to send call. It will be more legally binding. Default Re: The letter repeatedly. The response may be slower than calling up. If the first letter did not receive a response. May be used to accelerate the debt or claim to the court to force payment.

Owner should be picking up the phone to contact clients who have problems on their own. Rather than let the finance officer as a contact call.

In mind that the debts should not bother to make trouble for customers. But to show clients that we have traded in a transparent manner. Frankly, as a professional. It is a debt incurred by the righteousness of our affairs. Should receive from the sale of goods or services.

Contact should be a clear demand. Unambiguous and can cause delays, such as negligent rather than asking customers to pay us when Should replace the question is whether it can pay to have it. This will lead to customers paying a certain date. The next call is scheduled by the debtor as defined and more effective.

The collection of receivables is not necessary that we must give reasons. It is the responsibility of the debtor to repay debts.

No need to inquire whether the debtor has a problem or not. This may cause the image that we want to help. Cause to extend the loan for another. Should be left to the debtor is the story of his own. Then we decide that it would help much.

Any foul not a threat, especially, should be educated about the history of debt repayment to be ready. The debtor will continue to do business with us without prejudice.

คำถามท้ายบทที่11

ข้อ 7.ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียงและได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชน

Three people have debts to customers to use the negotiations. Occur at any time, whether it be in business. The daily life of our own. In the world of work.When we have to coordinate with others in opera. Whether it is negotiating with whom we must remain engaged with the or negotiations that are in everyday life, it's a verbal does apply in other dimensions. Living with a verbal Just the matter should be negotiated or not. For or against the odds.

Negotiation means the party to resolve the problem by peaceful means. To achieve a compromise. Try to find an acceptable agreement of the two parties are talking with the exchange offer. The benefits to both the opera two parties (win-win) and I feel good.

ข้อ7 ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียงและได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชน

      In this case is very important because if the customer is the most famous and important support from community leaders as well. Or simply as Napoleon, the famous and the line itself. Contact debts, which makes it possible, more difficult than many other cases.

      However, it can be done. We will use negotiation as a page. This makes it easier to use media such as phones or mail rather than the way we use it.
1. Compromise. To discuss the problem and work together to find solutions to them. Adjust the terms of settlement negotiations. And second, it must be accepted by both parties and the main emphasis must comply with the conditions Egie two sides or it can be.
2. The psychology of the debtor does not cooperate. The authority shall not make or repay debts. We can not keep track of debts or use it regularly. The default time than it took 5-6 months for us once. Using their own power to bargain with us, so we must act as impartial. Comments as appropriate. The most important thing.Refer to the Credit. The conditions need to be prepared to go ahead and convince them to accept. I agree that the negotiations are unsuccessful, it must refer to the. Who will be subject to This may be lawyers or end. In many cases, the result will be invited to participate in negotiations with the guarantor. To create an atmosphere pressure and increases in loan negotiations. And notify the debtor that legal action may be will be up black lisk which will make contact with other institutions, not only financial institutions can not do any credit to.

       And important. We have intelligence. Acumen and skills that need to be tailored to meet the real environment, we are faced with the situation.



( ข้อ7 ) ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียงและได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชน

ตอบ Debts in the first is to write a letter.

• Select text and expressions to suit the customers and prospects. I must be careful not to underestimate the customer. It should be written in a polite and expect customers to pay quickly.

• debts in the first letter. Should write one. Remind customers that payment is due for payment immediately.

• If you write a letter to one of the debts and still have not answered a letter from a customer in any way to track a second time. The reason I ask the client. The most gentle and polite. The author asserts that the desire to maintain a good reputation and financial. The customer.

• To send a letter to the debts, then 2-3, but has not yet been answered. May submit a payment schedule and a lack of reference to the implementation of the law.

1. Debts boss as a contractor. This accounts for the hard-headed bunch of their pies, Christmas items, from nails to the pile. Rude staff wages and stop cheating, I said it I knew it I had a great boss to have. I say men. I know she is. I know what I go tucked away that I sent a detective to look at it for 24 hours for it to come across. Default Re: I get to the golf course. How it is. I see it as a subordinate. It hit two home games if they hit four out of the house. I ran to catch up on his golf course, the Ram. I know it's golf, I told my boss to go to the local police Kaแrg one call, it says that there is urgency. When it comes to it. I turned to the war debts. My boss told me that it is obviously not the color. The Gallery is open Yong slightly I lost it to his severe that it intended to cheat. I heard the club. How's it going, I actually respect it. I told them to say. I have a lighter color. And go in the toilet. Last pay check was the end.

2. Receivables, the pain never returned home but left his wife and children. These accounts do not have a headache Mืaametึg Default Re: Default Re: I can not do it. Default Re: When to tell your husband, wife, husband does not. I do not have the money, it's sassy, not afraid to say how much I sin but I do not feel I was not shy about saying that. Default Re: I have people come every day and they challenged the lawsuit as well. This boss was a pain temples that I do not say that the accounts of this abuse, as in the morning to go shopping to Default Re: It's the middle market, but damn it if they could even work when it is 2 inch does not look fresh to me. I have it out, it was back then, I pay money for gold, but I have a dog, it says that I'm strong, I must say that I do with my day, remember to use it if I had. You were wrong.

3. Receivables contractor. According to the government to know where to get the harassment complaint was not going to pay. The official history does not tarnish. The debtor must not threaten the debtor that if you do not pay me to take a court order to withhold the money that the government immediately. You need to have a history of bad government will blacklist you. You will not be ashamed to be an urgent Kighnga. If people do not pay for it. People like me do not threaten me, I must say I do not use this pulpit, in general, the debtor shall pay the same place.

7.ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียง และได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชน

Ans. Negotiate a compromise

Pattern bargaining, the best among all the parties agreed that the work is satisfactory (win-win) so that everyone in the group feel positive about the situation when you conclude the negotiations. This can lead to long-term relationship further

The need to create a friendly atmosphere and find solutions to the debt repayment terms.

There are three ways in which the debts.

1 A negotiation.

2 mailings.

3 track over the phone.

If it works or it does not depend on whether the debtor is required to restore much.

7.ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียง และได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชน

Going out this regulation has no the change from the standard originally , that is to say , the businessperson and the facilitator levy a debt should contact with with a debtor while , fix , there is self show when , follow press the claim this , systematically collection and the saving heal the secret of a debtor , including , fix the way and the language that use in Ministry of Interior graft ask a debt but [ T letter ] , be appropriate , besides , in case of , the businessperson uses to serve the facilitator levies a debt , the businessperson still have the responsibility builds [ wasp ] a debtor and an outsider , like to the operator by oneself , and supposed to the standard in the meditation chooses the facilitator levy a debt that are appropriate and inform to give a debtor receive to know the data sufficiently with , in order that , , the businessperson is supposed to the policy , the step in taking and manage about [ story ] complain that about Ministry of Interior graft ask a debt of a debtor who are appropriate with.

-use the statement that is appropriate.

-building system trend alarm protect a debt gets into trouble.

-study the detail before negotiating.

-use the way compromises .

7.ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียง และได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชน

Tracking debts. If you have any problems. About debt. The administration is warning people not to call because of the large number of customers. However, this amount is enough to go back to the retail credit. The number and amount will be less, so it takes quite a lot of people. In addition, personnel administration and collection. The use of debt. Employee performance can be recorded as a liability. It may be stated that the employee must contact a few customers. (To be a collection of the Collection is often approach negotiations in Geneva early in the first method, the debt owed. The Dar contact telephone call. Loan officers. The staff must be prepared to accelerate debt repayment is. Refer to the negotiations. What happens to the affairs of the debtor that issues such as problems occur, temporary or permanently, and also to study the habits of customers. That the media is true or not. To find out solutions in advance and be prepared according to the need to negotiate with the debtor may be conditional later time, it is important to consider as well. Typically, creditors are negotiated debt in the afternoon. It is believed that the debtor pay the debt he will trade in the morning, stumble.

And negotiations with the debtor. There is no way that a user must have the intelligence and common sense, and human relations that are tailored to environmental challenges. Tracking debts by mail. Purposive To inform them of repayment. Often used as a warning or announcement, but also to the termination of the contract to be legal and correct procedure, but every way I can keep up with demand, it must approach the court for prosecution.

1. Compromise. If the customer uses to cooperate. Create the conditions agreed. By the way, and the language used to keep track of debts must be decent, not contrary to law and morality.

Would not make a nuisance or threatening, abuse or vulgar words, which interfere with the rights.

The debts should take into account the time is right on track with debt. Without the consent of the debtor. The debts should not be in contact with the debtor at the right time. Is the time from 8:00 to 21:00 pm, the debts should not be used to track credit card. If the debts used to contact by mail or fax. I do not use language or symbols on an envelope or fax to tell others about it as a debt.

2. The psychology of the debtor does not cooperate. Have to temper it. I command the force but not a high tea. Preparation conditions, go ahead and convince them to accept. If the negotiation fails, the creditor can sue in court. The loan repayment is required by law. The customer has signed a note in which you made the debt. Even the way the debtor is not a contract of any debt.

I was able to get them to slip up as evidence in litigation.

คำถามท้ายบทที่11

ข้อ 7.ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียงและได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชน

Answer The Tracing or tracing credit needs to be done very methodically. Good planning for ability credit quickly ,punctual. Not to damage the positive images of the credit and control the coats. Creditor is review system loan regularly and nearby. Review system loan is include

     1. Type of the credit.

     2. Collateral in present is the correct.

     3. Entrepreneurs of the customer as the original ones.

     4. The operation is business profits. (Sun rise ,Sun shine ,Sun                set)

     5. Financial status.

     6. The capital of liquidity.

     7. Average debt balance per month.

     8. Team manager and management.

 When review system loan. tracking techniques of credit

      1. Negotiation is face.

     2. Tracking credit by mail.     

     3. Tracking by phone.

     The last 4. Prosecution court.



There are many ways to keep track of debts is to negotiate a bargain. Often used as a way to keep track of debts owed by bargaining negotiations, which talks about the effect that the negotiations should be calling for negotiations with the trade and minimalistic look. Some of the negotiations on the holiday. I have a feeling that's not too formal. Many customers are willing to pay the debt in a stadium such as Adolf in mechanical ใใ is winning the game. Can understand the character of the people was clear. Negotiations with the debtor. A compromise solution. And psychology.

There are three ways in which the debt.

negotiation.

Is that he is ready to return to the days when we need to do as the promised payment.

mailings.

Send me remind you that I specify. Please pay with.

ovIf track.

To see if he is still alive you. Or that he is the same you. To know that he will not cheat us.

If the client is seeking an individual debtor's debt that will be easy. However, the debt the debtor has a reputation for keeping track of Default Re: This is difficult because of the high risk that we may not get your money back.

7.ให้ท่านอธิบายวิการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียง และได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชน

If you are dealing with a common debtor. Creditor or a debt or meet any debts that should be considered at the right time to keep up with debt. Without the consent of the debtor. The debts should not be in contact with the debtor at the right time. Is the time from 8:00 to 21:00 pm, the debts should not be used to track credit card. If the debts used to contact by mail or fax. Do not use language or symbols on an envelope or fax it to tell others about it as debt. But if the debtor has to appoint an attorney to contact the debtor and any related liabilities. Know your name, address, and the debts of the debtor's attorney. The debts will be no contact with anyone other than the debtor's attorney. Unless lawyers are ignored or not transmitted back to the debts in a timely manner. Or unless the attorney consents to the debts, contact the debtor directly.

If you are dealing with a third party. In fact, those debts should not be dealing withsomeone other than the debtor regarding the debt. Unless the consent of the debtor.

However. The debts may make contact with the debtor's attorney. Creditor's attorney. Or even a lawyer's debts. Or you can contact the credit bureaus in case the debts belong to a credit bureau. If the debts need to contact third parties to request the address of the debtor should not let that person know that their debtsare being asked to keep track of accounts receivable or debts that

For the threat or use of power which is love, maybe we can see from the people who serve the debt. May be considered a violation of the privacy of the debtsignificantly. Their debts, so be careful. Not be regarded as a threat to thewrongful persecution of debts, such as the use of violence. Or acts dangerous to health or property of the person known as a receivable. The use of profanity or inappropriate language. The language of the wrongful use of power to the listener or reader. Published a list of debtors who refuse to pay the debt. The credit bureau disclosed to any person or calling repeatedly or continuously toannoy or harass, or threaten the phone number.

7.ให้ท่านอธิบายวิการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียง และได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชน

= We know already that the debt to the debt we must repay them under the agreement made with the creditors. But the debts of the creditors, it should be committed in the framework of respect for the rights of the debtor as well. I do not care about anything. Made every effort to get the debt back.

Although the law specifies the methods to enforce payment. Lawsuit Legal Sequestrate Auction

But it does not mean that Creditors will do something. Let's look at the debt should be treated with the debtor or the debt is to be justified and respect the rights of the debtor.

Creditors to consider debt in a timely manner. Without the consent of the debtor. Creditors should contact the debtor at the right time. Creditors should not use the postcard in the collection. If the debts used to contact by mail or fax. I do not use language or symbols on an envelope or fax to tell others about it as a debt. But if the debtor has to appoint an attorney to contact the debtor and any related liabilities. And creditors know the name and address of the debtor's attorney. Creditors would have no contact with anyone other than the debtor's attorney. Unless lawyers are ignored or not transmitted back to the debts in a timely manner. Or unless the attorney consents to the debts, contact the debtor directly.

For an unlawful threat or use of power perhaps we can see from the people who serve the debt. May be considered a violation of the privacy of the debt significantly.

Creditors should be aware of. Not be regarded as a threat to the wrongful persecution of debts.

Violence or acts dangerous to health or property of the debtor. The use of profanity or inappropriate language. And published a list of debtors who refuse to pay the debt. If treated as such. Creditors will be able to track debts as needed.

ข้อ 7. ให้ท่านอธิบายการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลููกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียงและได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมนุม

Answer  The debts will have a much more courtesy. Employees say it was not a threat. The debtor can be sued or reported it. If an employee vioates their privacy. The Bank hired a fear of losing images. He is very careful about this.

The debts of the famous. The following should be influential.

In this cause the debtors claim influential person. First you should advise debtors before the debt. If debtors not on the phone or can't receive your e-mail or busy in that moment. You should leave your message with someone that talk on the phone. If your debtors don't pay or contract you back. Try to contract your debtors again and use the way to compromise. Remember compromise. Finally,we nee.

 

แบบฝึกหัดที่ 11

ข้อที่ 7 .ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล   กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียงและได้รับการสนันสนุนจากผู้นำชุมนุม

In case we need to track customers' debts. Who are famous. We should do the following.
1. When the customer has time to recover loans. I have been sending money in installments over the period. It has been a good customer.
2. When the customer has changed his position or a promotion. Customers need to send money every year because customers have a salary increase. And effective delivery. In order not to hold the line, such as car payments and phone bills.
3. When a client has been holding monthly limit. We need to keep in line. In order to be effective. Payable by the customer or borrow money. In order not to have caused extinction debt. or losing money.

ตอบคำถามท้ายบทที่ 11

7. ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผลกรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียงและได้รับการสนับสนุนจาก ผู้นำชุมชน

1.Owner should be talking on the phone with Customers Manually.

2. The debt. Should Understanding It is not vexed to customer.

3. Contact call Should be used The data are clear That To avoid delays To make a call next time by the customer have can to pay the debt .

4. Tracking of receivables We do not need to be Give reasons for did To the customer Bargaining power.

5. Asked whether the debtor has a problem or no.

6. Use word Polite Not a threat and the information Demand in the negotiations About the amount of debt Claim a professional manner.

7. Use word Polite Not a threat and the information Demand in the negotiations About the amount of debt Claim a professional manner Unspoilt Image and Made Customers continue to the next transaction.

แบบฝึกหัดที่ 11

ข้อที่ 7 .ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียงและได้รับการสนันสนุนจากผู้นำชุมนุม

As you can see from the proposition. We believe that our voice and support of community leaders. We need to keep track of debts and Mia my tires. With good planning. To be able to collect debts on time as not to damage the reputation of the loan.

First, we need to know about the problems of the debt that is because we do not have to settle for the normal duration. Kuan and flexible according to circumstances.

The atmosphere, it's necessary, it should be a place which gives us an advantage in negotiations and should be in the afternoon. There is talk of a compromise agreement. With the use of psychology by telling the management of the debts they may have to step up prosecution. After the debts have been sent again. When a customer is not the response we had to sue to help deal with challenges as a way for us to do.

This is why we need to do business with us because Lu is a sound that we need to pursue debts in a systematic plan to give effect to that voice of each party to a minimum.

ข้อที่ 7 .ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียงและได้รับการสนันสนุนจากผู้นำชุมนุม

 1. Longan to keep the debt from a person other than the debtor, such as relatives or colleagues. Unless he has been hearing from the debtor or with legal rights.

 2. Do not use violence in order to make debt payments, such as physical abuse. The H pipes sound. Or property of the debtor.

3. Spoofing. Distort the data. The cause of this document, or an important gesture.

 
4. Intimidation or harassment as illegal.

 


5. Interferes with or harasses debtors. By telephone several times.

 


6. Do not use threatening, profane or obscene language implied that the impact on the manner of threats related to the debtor or the debtor. Receivables from misunderstanding or that the debtor has done something illegal or immoral as well.

แบบฝึกหัดบทที่11 ข้อ7

Debts and keeping track of who has the support of community leaders need to be used to monitor the situation existing Default Re: This is a negotiation. In this negotiation, which refers to pages not on the phone. To negotiate a compromise. The need to create a friendly atmosphere. Show compassion as appropriate. If you do not understand how psychology. Referred to the supervisor level, but do not identify the person. Refer to the Credit Committee. The conditions need to be prepared to advance and more likely to accept.

แบบฝึกหัดท้ายบทที่11

ของนายสุภรัตน์ อินทร์เดช (เอ้) เนื่องจากมีปัญหาเรื่องรหัสผ่านจึงเข้าไม่ได้

I asked what the debtor has defaulted on payment. And allows the debtor to solve existing problems. A compromise solution. And create a good atmosphere. To become intimate with the debtor. And we should know more people. By Napoleon in the area. We feel the receivable.

แบบฝึกหัดที่ 11

ข้อที่ 7 .ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียงและได้รับการสนันสนุนจากผู้นำชุมนุม

By

1. Negotiations at non by telephone.

    - Detailed study before the negotiations.

    - Prepare a place in the negotiations.

2. Negotiations with the debtor.

3. Pursue debts through the mail.

4. Debts to the telephone.

5. Sue.

       It is plain that the debtor will have a bad reaction. But we must be strong. Back to the debtor. York. I used to call them directly. Especially in the debt first.Or do not have a history of bad debts before, be careful. It can sometimes be caused by the technique.

แบบฝึกหัดที่ 11

ข้อที่ 7 .ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียงและได้รับการสนันสนุนจากผู้นำชุมนุม

Collection of famous, it will be difficult because of the reputation that will affect your reputation with your bank and also has an influence in the region, we need money and how to collect the debt. The model, which is not very strong, because he has a huge impact on how we should compromise over the well. Demands are known, should have negotiated a compromise and prepared to place at least as well, and should offer to pay the debt, such as lowering interest rates. The reason for the call and tell them this time.

Trying to contact the guarantor to help expedite negotiations for negotiation with debt. These accounts. I was asked to help pay off debt, or because the threat does not work if the other fails, it must send out the casino operation. Then filed away. Because the majority has no intention to repay. And not influenced by the return property leasing.

แบบฝึกหัดที่ 11

ข้อที่ 7 )
ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียงและได้รับการสนันสนุนจากผู้นำชุมนุม

Trying to contact the guarantor to help expedite negotiations for negotiation with debt. These accounts. I was asked to help pay off debt, or because the threat does not work if the other fails, it must send out the casino operation. Then filed away. Because the majority has no intention to repay. And not influenced by the return property leasing.

 

แบบฝึกหัดที่ 11

          7.ให้ท่านอธิบายวิการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียง และได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชน

Solutions.

             This case to contact the chief commander of the debtor or guarantor to help put pressure on repayment. If you do not pay. You may be asked to help hold the car back. If you ignore it. The technology and the continued operation and a receivable from the blacklist. No further loans. Because most debt is sticky and difficult.

              If not met. May be used to claim to be friends - relatives •. Contact or personal matters. If a deposit to cover the notes that we can not be found. Do not pay the debt off as quickly as otherwise required or taken steps to meet the leaders - the commander - a colleague and instead use the tactics that the debtor Are being implemented steps to immediately contact the Express today. To pressure the debtor to appear to come out.

7.ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียง และได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชน

If the person is a debtor of the company. And we are lending to hotels, famous people, he thought he would not have to pay back the debt, we should be.

1. Explained that he understood. We agreed before we give credit to him. And demanding that he comply.

2. A letter sent to the home of the person. To allow him to acknowledge that we are subject to prosecution.

3. We must be resourceful to get the debts of that person. Because he and I are the same. He is not God. But he was stronger than me. We will fight to the end.

ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียงและได้รับการสนันสนุนจากผู้นำชุมนุม

If the loan. The contract as collateral,because on breach of contract documents that can be confirmed.Always keep track of customers.A good way lenders should not be the best.

ให้ท่านอธิบายวิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียงและได้รับการสนันสนุนจากผู้นำชุมนุม

Ans

- The application for extension of repayment. To reduce payments to a minimum.

- A loan to pay the interest owed​​. Along with a request to extend the loan.

- The application for payment of the interest period.

- To reduce the amount of the installment for each period.

- Reduced interest rate is a special case.

- The interest rate that is not in default.

สอบวันที่ 20 วิชา การจัดการสินเชื่อ วรัญญา แสงศรี 53127312005

1.ให้เปรียบเทียบประเด็นพิจารณาในการให้สินเชื่อระหว่าง สินเชื่อพาณิชยกรรม (Modern Trade)  และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Development) รายใหญ่ๆในประเทศไทย

ตอบ สินเชื่อพาณิชยกรรม (Modern Trade) จะอำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้ประกอบธุรกิจ ด้วยสินเชื่อธุรพาณิชยกรรม ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการประกอบธุรกิจของคุณให้ง่ายมากขึ้น ช่วยเพิ่มเงินทุนหรือเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจ

วัตถุประสงค์การกู้เพื่อใช้ในการประกอบธุรกิจอุตสาหกรรม ธุรกิจพาณิชยกรรม ธุรกิจบริการและเกษตรกรรม

      พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Development) การส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เป็นแรงจูงใจต่อผู้ประกอบการสำหรับการพัฒนาตลาดที่อยู่อาศัยระดับล่าง การปรับหลักเกณฑ์ด้านราคาที่ผู้ประกอบการจะได้รับการส่งเสริมการลงทุน จากเดิมที่คอนโดมิเนียมราคาขายไม่เกิน 6 แสนบาท มาเป็นไม่เกิน 1 ล้านบาท และบ้านปรับเป็นราคาขายไม่เกิน 1.2 ล้านบาท เพื่อให้ราคาสะท้อนต้นทุนที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นราคาที่ดินและวัสดุก่อสร้าง เนื่องจากหลักเกณฑ์เดิมนั้นใช้มาตั้งแต่ปี 1993 ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ที่เป็นไปได้ค่อนข้างยากในสถานการณ์ปัจจุบัน ดังนั้นการปรับหลักเกณฑ์ของ BOI ในปีที่แล้วส่งผลให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างโครงการรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยระดับล่างได้ง่ายขึ้น

      การให้สินเชื่อ การวิเคราะห์สินเชื่อ (CREDIT ANALYSIS)

            การวิเคราะห์สินเชื่ออย่างรอบคอบจะช่วยให้ลดจำนวนหนี้ที่มีปัญหาไปได้มาก  ฉะนั้นความรู้ความสามารถของเจ้าหน้าที่สินเชื่อ  เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับองค์กร  ควรมีการพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ  เมื่อเกิดหนี้ที่มีปัญหาขึ้น  ผลการวิเคราะห์มักพบเสมอว่า  หลายกรณีเกิดจากการที่อนุมัติวงเงินสินเชื่อบกพร่อง  ซึ่งพอสรุปได้ ดังนี้

1.      การจัดวงเงินสินเชื่อไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ที่ใช้

2.      การขาดข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้

3.      การวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้คืนผิดพลาด

4.      การกำหนดระยะเวลาชำระคืนไม่เหมาะสม

5.      ขาดเงื่อนไขในการใช้วงเงินสินเชื่อแต่ละประเภท

6.      ขาดการควบคุมการใช้วงเงินสินเชื่อ

7.      ให้วงเงินสินเชื่อมากหรือน้อยเกินไป

8.      DOUBLE FINANCING

3.การควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่สำคัญมาก ท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ และ บอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง 

ตอบ  แนวทางในควบคุมสินเชื่อ 

  1. การควบคุมในแนวดิ่ง (Vertical Control )

เป็นการควบคุมที่มีอยู่ ในลักษณะตามสายการบังคับบัญชาที่ผู้เป็นหัวหน้าต้องดูแลเอาใจใส่ ให้คำแนะนำ (Supervion) แก่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของตน และประการสุดท้ายก็คือ ผู้ทำการวิเคราะห์ที่อยู่ในสายการบังคับบัญชานั้นได้ใช้ดุลพินิจหรือวิจารณญาณอย่างรอบคอบสมเหตุสมผล และเป็นอิสระจากภาวการณ์กดดันได้ดีเพียงพอแล้ว ซึ่งทำให้องค์กรลดความเสี่ยงลงได้

  1. 2.      การควบคุมในแนวนอน (Horizontal Control)

เป็นการควบคุมในระดับเดียวกันแต่เป็นการควบคุมระหว่างหน่อยงานที่ทำหน้าที่แต่ละด้านให้กับองค์กร สิ่งที่มักพบเห็นเสมอก็คือ ธนาคารหลายแห่งจะมีเจ้าหน้าที่สินเชื่อทำงานด้านหารตลาด เพื่อพบประกับลูกค้าและเสนอแนะบริการด้านสินเชื่อ มีเจ้าหน้าที่ที่ต้องวิเคราะห์สินเชื่อที่ต้องออกไปพบลูกค้าพร้อมกับฝ่ายการตลาดเพื่อร่วมรับรู้ถึงธุรกิจของลูกค้า และขอเอกสารต่างๆ จากลูกค้าและรวมถึงหาข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ  เพื่อทำความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละราย มีเจ้าหน้าที่ประเมินราคาหลักประกัน ที่ต้องไปพบลูกค้าด้วยเช่นกัน เพื่อรวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องทางทรัพย์สินที่จะนำมาเป็นหลักประกัน สุดท้ายยังมีเจ้าหน้าที่ในงานพิธีกร ที่ต้องคอยทำหน้าที่เตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทำนิติกรรมระหว่างลูกค้ากับผู้ให้สินเชื่อคือธนาคาร เมื่อลูกค้าลงนามครบถ้วนแล้ว ก็ต้องจัดเก็บอย่างปลอดภัยมีระบบรักษาความลับลูกค้ามิให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องมารับรู้หรือค้นหา เพราะจะทำให้เกิดการสูญหายต่อธนาคารได้

  1. 3.      การควบคุมด้วยการตรวจสอบภายในองค์กร (Internal Audit Control)

ซึ่งจะต้องทำอย่างน้อยปีละครั้ง โดยใช้ระบบสุ่มตรวจและต้องไม่ให้ฝ่ายสินเชื่อทราบล่วงหน้า เพราะจะทำให้ไม่พบจุกบกพร่องในขณะที่ผู้เขียนทำงานอยู่ที่ธนาคารไทยพาณิชย์นั้น ฝ่ายตรวจสอบจะแบ่งทีมงานเป็นหลายชุด ที่จะออกตรวจในสาขาภูมิภาค

วัตถุประสงค์ในการควบคุมการให้สินเชื่อ

  1. ป้องกันหรือลดโอกาสการทำทุจริตประพฤติมิชอบของพนักงานสินเชื่อ
  2. ส่งเสริมการให้ความรู้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา โดยใช้ระบบการสอนงาน เพื่อให้ผู้อ่อนประสบการณ์ได้ใช้ความ

คิด

  1. เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขในรายละเอียดการให้กู้ระหว่างกันให้ควบถ้วน รอบคอบก่อนอนุมัตให้เบิกถอนเงินกู้ออกไป

การกำหนดอำนาจอนุมัติและการลงนาม

เพราะบางครั้งผู้มีอำนาจลงนามติดธุรกิจ ผู้อื่นในระดับเดียวกันก็สามารถลงนามแทนกันได้ ซึ่งในการนี้เพื่อให้ลดความเสี่ยงลงไปอีก จึงมักจะกำหนดผู้มีอำนาจลงนามที่จะต้องร่วมกันอนุมัติมากกว่า 2 คนขึ้นไป

สถาบันการเงินมักกำหนดอำนาจอนุมัติ

  1. 1.      ตำแหน่งทางการบริหาร      เช่นระดับกรรมการ ก็จะลงนามเกือบทุกเรื่อง
  2. 2.      วงเงินและประเภทวงเงินสินเชื่อ   เช่นวงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท
  3. 3.      ระยะเวลาการกู้ ถ้าเป็นระยะเวลาสั้นๆ   เช่นวงเงินชั่วคราว 3 เดือน
  4. 4.      หลักประกัน  เช่นกรณีที่ได้รับหลักประกันเพิ่ม หัวหน้าสายงานสินเชื่อ2 คน ก็จะลงนามได้
  5. อัตราดอกเบี้ย         ที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาสินเชื่อของธนาคารอนุมัติสินเชื่อให้ลูกค้าแล้วในอัตราดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่า 2%

การควบคุมสินเชื่อของสถาบันการเงินหรือธนาคารโดยฝ่ายสินเชื่อ

  1. ธนาคารจะทบทวนผลการติดต่อกับลูกค้าทุกรายอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อทราบว่ามีการเดินบัญชีสม่ำเสมอหรือไม่ ชำระเงินต้นดอกเบี้ย ตรงตามเงื่อนไขหรือไม่
  2. ทบทวนผลการประกอบการลูกค้าจากการวิเคราะห์งบการเงิน ซึ่งเป็นการวิเคราะห์เชิงประมาณด้านอื่นๆ เช่น การบริการงาน การพัฒนาผลิตภัณฑ์
  3. ทบทวนหรือสำรวจหลักประกันว่ามีสภาพไม่ด้อยไปจากเดิม
  4. เยี่ยมชมกิจการของลูกค้า โดยปกติพนักงานสินเชื่อจะมีโอกาสในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่จะนำของขวัญไปอวยพรให้กับลูกค้า

การควบคุมสินเชื่อของสถาบันการเงินหรือธนาคารโดยฝ่ายตรวจสอบภายใน 3 ด้านคือ

  1. พิจารณาว่าได้จัดทำนิติกรรมตามระเบียบของธนาคารอย่างครบถ้วนก่อนลูกค้าเบิกเงินกู้หรือไม่ หลักประกันทุกสิ่งทุกต้องมีต่อกัน ได้จัดอย่างปลอดภัย ยากแก่การสูญหาย และยากต่อการเข้าถึงของผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
  2. พิจารณาเจาะจงไปที่ฝ่ายสินเชื่อเลยว่า พนังงานสินเชื่อได้ทำตามนโยบายของธนาคารที่กำหนดให้ ณ ขณะนั้นๆ หรือไม่ เช่น นโยบายการให้กู้กับธุรกิจอสังหริมทรัพย์
  3. พิจารณาในแง่คุณภาพหนี้ว่าอยู่ในชั้นใด สัดส่วนเป็นอย่างไร

สินเชื่อปกติ

สินเชื่อที่ควรเอาใจใส่เป็นพิเศษ

สินเชื่อจัดชั้นตำกว่ามาตรฐาน

สินเชื่อจัดชั้นสงสัย

สินเชื่อจัดชั้นสงสัยจะสูญ

สินเชื่อชั้นสูญ

กรณีตัวอย่างที่ 1 การควบคุมภายในด้านการอนุมัติสินเชื่อของบริษัทเงินทุนประเด็นสำคัญในการพิจารณา

  1. จะต้องรู้กฎระเบียบของบริษัททุกอย่าง
  2. การพิจารณาวงเงินการอนุมัติแต่ละรายจะต้องเป็นไปตามกฎ ระเบียบ พิธีการ ปฎิบัติของบริษัทที่กำหนดทุกกรณี
  3. การพิจารณาอนุมัติวงเงินสินเชื่อแต่ละรายจะต้องผ่านการลงนามอนุมัติจากผู้ที่มีอำนาจตามที่ได้แต่งตั้งเป็นลายลักษณือักษร ทุกครั้ง
  4. ผู้มีอำนาจอนุมัติวงเงินสินเชื่อที่ได้รับการแต่งตั้งจะต้องไม่เป็นบุคคลซึ่งมีส่วนได้เสียกับลูกค้าผู้ขอวงเงินสินเชื่อ
  5. บริษัทจะต้องจัดให้มีบัตรตัวอย่างลายมือชื่อของลูกค้าและจัดเก็บในที่ปลอดภัยภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ที่บริษัทกำหนดไว้
  6. การให้กู้ยืม การรับซื้อ ซื้อลด และรับช่วงซื้อลด
  7. จัดแฟ้มลูกหนี้รายตัวซึ่งควรมีรายละเอียดดังนี้

สำเนาภาพถ่ายหลักฐานแสดงตัวเป็นนายทะเบียนบ้านของลูกหนี้และผู้ค้ำประกัน

กรณีตัวอย่างที่ 4 การควบคุมและการตรวจสอบสต๊อกสินค้าเกษตรของธนาคาร

คุณสมบัติของลูกค้า

  1. ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการค้าและการผลิตสินค้าเกษตรเป็นอาชีพหลักและมีประสบการณืเกี่ยวกับสินค้าที่จะนำมจำนำเป็นอย่างดี
  2. มีวงเงินสินเชื่อประเภทอื่นอยู่กับธนาคารอยู่ก่อนแล้ว
  3. มีฉาง โกดัง หรือโรงเก็บสินค้า ที่ธนาคารพิจารณาแล้วว่าจัดเก็บสินค้าที่จะจำนำเป็นประกับกับธนาคารได้
  4. ลูกค้าประวัติการติดต่อที่ดีกับธนาคาร มีความซื่อสัตย์ เชื่อถือได้ และมีเครดิตในวงการธุรกิจอยู่ในเกณฑ์ดี
  5. อัตราการหมุนเเวียนของลูกหนี้ =  ยอดขายเชื่อสุทธิ

   ลูกหนี้เฉลี่ย

       2. ระยะเวลาเก็บหนี้โดยเฉลี่ย         =     360

                                                      อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้

       3. ดัชนีการขาดทุนจากหนี้สูญ          =     หนี้สูญ

                                                       ยอดขายเชื่อสุทธิ

 ลยุทธ์การติดตามหนี้ให้ได้ผล

            ในปัจจุบันการแข่งขันทางการค้ามีความรุนแรง จึงทำให้เจ้าของกิจการขายสินค้าและบริการและถูกหลอกถูกโกงจากลูกค้า ที่ไม่มีความซื่อสัตย์ มีปัญหาเกี่ยวกับเครดิต อันสืบเรื่องมาจากว่าผู้ขายสินค้าหรือบริการขาดความเข้าใจในการปล่อยสินเชื่อ หรือปล่อยสินเชื่อโดยไม่มีการตรวจสอบข้อมูลของลูกค้า ก่อให้เกิดหนี้เสีย ทำให้สถานภาพทางการเงินของบริษัทย่ำแย่ และต้องปิดกิจการในที่สุด เพื่อให้การเร่งรัดหนี้สินหรือการปล่อยสินเชื่อหรือการติดตามหนี้สินที่ค้างชำระหรือการบังคับคดี ทุกบริษัทควรจะมีการฝึกอบรมให้พนักงานซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้าหรือบริการ พนักงานบัญชี ฝ่ายผลิตสินค้า ฝ่ายตรวจสอบเครดิต หัวหน้าหน่วยงาน รวมถึงผู้มีอำนาจสูงสุดขององค์กร มีความรู้มีความเข้าใจเพื่อให้เพื่อให้เท่าทันกลโกงหรือเล่ห์เหลี่ยมของคู่ค้าเพื่อป้องกันการเสียเปรียบทางการค้าในอนาคต

1. หนี้ดี  หนี้เสีย

 - หนี้ดี คงไม่ต้องเชิญผมมาบรรยาย เพราะมีปัญหาเรื่องหนี้เสีย คือถูกเบี้ยว ถูกชักดาบ ถูกเลื่อน ทำให้ต้องให้ผมมาบรรยายในวันนี้

2. ปัญหาการเบี้ยวหนี้

- ยอดขายสูง ยอดเก็บเป็นศูนย์หรือเก็บหนี้ไม่ได้เลย อยู่เฉย ๆ ดีกว่า ปัญหาการเบี้ยวหนี้มีอัตราการขยายตัวเพิ่มมากขึ้นทั้งในสถาบันการเงินและบริษัทการค้าทั่วไป เกิดขึ้นจากหลายเหตุผลดังนี้  

- ตั้งใจโกง เช่น ตั้งบริษัทขึ้นมาเหมือนบริษัทค้าส่งหรือตัวแทนจำหน่าย สั่งซื้อสินค้าจำนวนมาก ๆ ประเภทเดียวกันจากหลายบริษัท แล้วจ่ายเช็คเด้ง หลังจากส่งของ นับวันจะมีมากขึ้น เช็คที่จ่ายเป็นของคนขับรถ คนทางภาคอีสานเป็นต้นดำเนินคดีอาญาก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร เนื่องจากลูกหนี้ไม่มีตัวตน หรือมีตัวตนก็ไม่มีทรัพย์สิน ไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ ไอ้พวกนี้ไม่น่าเรียกว่าลูกหนี้ น่าจะเรียกว่า 18 มงกุฎหรือมิจฉาชีพ

- เบี้ยวแบบเกาะติดสถานการณ์ เห็นคนอื่นเขาเบี้ยว เห็นคนอื่นเขาโกง ขอโดยสารไปด้วย มีเงินจ่ายแต่ไม่อยากจ่าย พวกนี้ก็เยอะ อันไหนจำเป็นก็จ่าย บริษัทไหนไม่จำเป็นต้องค้าขายต่อก็ไม่จ่าย พวกนี้ก็มากขึ้นทุกวัน

- พวกจนจริง ๆ ทำธุรกิจแบบโง่ ๆ ไร้ระเบียบ ถูกหลอกถูกโกงจากลูกค้า ค้าขายแบบไร้หลักการ ไม่มีระเบียบแบบแผน เชื่อคนง่าย ปล่อยสินเชื่อแบบสะเป๊ะสะปะ สุดท้ายไปไม่รอด ไอ้พวกนี้น่าเห็นใจ

3. การเก็บเงินค่างวด

      - ต้องไปให้ตรงเวลา ถ้าผิดเวลาเมื่อไร เข้าทางลูกหนี้ เปรียบเหมือนการ์ดต่ำ เปิดโอกาสให้ลูกหนี้เบี้ยวหนี้ได้ ต้องรักษาคำมั่นสัญญา ต้องไปให้ตรงเวลา

- เตรียมเอกสารให้พร้อม ใบเสร็จ ยอดเงินต้นดอกเบี้ย ไม่ใช่เดินไปตัวเปล่า ลูกหนี้เตรียมเงินพร้อมแต่คุณไม่มีใบเสร็จ ตัวใครตัวมัน ลูกหนี้ไม่เชื่อถือคนเก็บเงิน

4. การทวงหนี้ทางโทรศัพท์

- เน้นเรื่องเสียงเป็นหลัก เปรียบเหมือนนักจัดรายการวิทยุ  สวยหรือหล่อไม่สำคัญ แก่หรือเด็กก็ไม่สำคัญ เน้นที่คารม คมคาย พูดแล้วน่าฟัง น่าสนใจ น่าติดตาม น่าเชื่อ น่าเร้าใจ จะทำให้การสนทนาเป็นไปอย่างราบรื่น

- หลักการ การทวงหนี้ทางโทรศัพท์ อย่างที่ผมบอกเหมือนนักจัดรายการ คุณต้องประเมินก่อนว่าคนฟังชอบฟังแบบไหน ลูกทุ่ง ลูกกรุง บู้หรือหมุน ด่าพ่อล่อแม่ ชิมไปบ่นไป พูดคำด่าคำ ใบมีดโกนอาบน้ำผึ้ง  เหน็บตลอด หรือชอบเสียดชอบสี หรือชอบเสียว หรือพวกซาดิส นิยมความรุนแรง

ดังนั้นก่อนคุย หาข้อมูลก่อน ลูกหนี้คนนี้ชอบแบบไหน บ้าจี้ บ้ายอหรือชอบแบบข่มขู่ หรือชอบท้าทาย หลังจากนั้นจึงกำหนดกลยุทธ์ในการทวงหนี้

5.การทวงหนี้ทางจดหมาย

- การทวงหนี้โดยวิธีนี้ มุมมองผมได้ผลน้อยที่สุด ไม่สามารถสร้างแรงกดดันโดยตรงกับลูกหนี้ได้ การทวงทางโทรศัพท์ยังสามารถด่าทอข่มขู่ลูกหนี้ได้ บีบบังคับได้ แต่จดหมายลูกหนี้จะเปิดอ่านหรือไม่เปิดอ่านก็ได้

6. การทวงหนี้โดยทนายความ

- โนติสทนาย ลูกหนี้ก็ยังเกรงใจอยู่ แต่ในยุคข้อมูลข่าวสาร ลูกหนี้เมื่อได้รับโนติสก็มักจะปรึกษาทนาย ว่าทำอย่างไรกูถึงไม่ต้องจ่ายตอนนี้ หรือ กูจะหาทางหนีทีไล่อย่างไร  กูจะยื้ออย่างไร กูจะโกงอย่างไร กูจะเบี้ยวได้อีกนานไหม ถ้ากูไม่จ่ายเจ้าหนี้จะทำอะไรกูได้ไหม กว่าจะฟ้องศาลอีกนานไหม กว่าจะยึดทรัพย์อีกกี่ปี กูพอจะมีเวลายักย้ายถ่ายเททรัพย์สินกี่วันกี่เดือน กูจะโอนทรัพย์สินให้ลูกให้เมียจะติดคุกไหม หรือว่ากูต้องขายทิ้งเลย หรือจะต้องหนีออกนอก และสุดท้าย ถ้ากูไม่มีทรัพย์สินเลยจะทำอะไรกูได้ไหม จะฟ้องล้มละลายกูได้หรือเปล่า ถ้าได้รับความมั่นใจจากทนาย ลูกหนี้ก็อาจจะโกงเจ้าหนี้ได้

7. การทวงหนี้ถึงภูมิลำเนาของลูกหนี้

- เป็นวิธีที่ดีที่สุด เห็นหน้าเห็นตา เจรจากดดันทั้งดุทั้งด่า ทั้งเสียดทั้งสี  เล่นกันแบบตรง ๆ ได้ผลที่สุด แต่สิ่งสำคัญจะต้องหาตัวลูกหนี้ให้เจอ ส่วนใหญ่เจอด่านสะกัดหลายด่านเช่น นัดหมาย รับโทรศัพท์ บอกครับ ๆ พอไปถึงเผ่นไปแล้ว เสียเวลาเปล่า ก่อนไปพบหาข้อมูลทางลับก่อน ส่งคนไปดู หรือถามเลียบ ๆ เคียง ๆ จากลูกน้องลูกหนี้ ไปอย่านัดหมาย เพราะถ้านัดหมายไม่เจอแน่ เจอหน้าแล้วต้องเอาให้อยู่ พูดภาษามวยต้องชนะน็อคอย่างเดียว ไปแล้วอย่าเสียเที่ยวลูกหนี้จ่ายเท่าไรรับมาก่อน ไม่ว่าจะเงินสด เช็คหรือทำหนังสือรับสภาพหนี้ จำผมไว้ ต้องมีอะไรติดไม้ติดมือมาบ้าง

8. การทวงหนี้รายย่อยและรายใหญ่

- ทวงหนี้รายย่อยเปรียบเหมือนคนหาเช้ากินค่ำ การศึกษาน้อย ชั้นเชิงไม่มาก มองออกง่ายจะโกงหรือไม่โกง ชกไม่กี่หมัดก็จับไต๋ได้ เนื่องจากความรู้ต่ำ เล่ห์เหลี่ยมถึงแม้จะมี ก็ข้าง ๆ คู ๆ

- ทวงหนี้รายใหญ่ ซับซ้อน ไม่รู้ว่าคนไหนเป็นลูกหนี้ตัวจริง ไม่รู้ว่าคนไหนเป็นผู้มีอำนาจ จะดูจากผู้มีอำนาจลงนาม ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นนอมีนีหรือไม่ หรือเป็นแค่ลูกจ้าง หรือคนขับรถ หรือยาม ดูยากมาก การทวงหนี้รายใหญ่ ต้องหาตัวผู้มีอำนาจตัวจริงให้ได้ เปรียบเหมือนคดีซุกหุ้น ไม่รู้ว่าใครเป็นนอมีนีใคร ซับซ้อน

4.  จงอธิบายถึงอัตราส่วนทางการเงิน  (Financial Ratio) ที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ พร้อมทั้งอธิบายลงไปในรายละเอียดด้วยว่ามีวิธีการพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้

ตอบ พิธีการสินเชื่อ  งานด้านสินเชื่อ แบ่งเป็นสองด้าน
1.ด้านพิจารณาสินเชื่อ
2.ด้านพิธีการสินเชื่อ
หลักการพิจาณาสินเชื่อ ต้องอาศัยศิลป ความมีประสพการณ์สูงความชำนาญเฉพาะด้านในด้านสินเชื่ออุตสาหกรรมประเภทนั้นๆหรือประเภทสินเชื่อ เช่น ด้านอุตสาหกรรม ด้านการส่งออก ด้านการนำเข้า ด้านก่อสร้างขนส่ง ด้านสินเชื่อการค้าทั่วไปรวมถึง สินเชื่อรายย่อย  ในประเภทสินเชื่อดังกล่าวยังแบ่งเป็นสินเชื่อรายใหญ่ และสินเชื่อรายย่อย เพื่อความสะดวกในการควบคุมสินเชื่อของธนาคาร
สำหรับรายใหญ่ในการพิจารณาสินเชื่อจะต้องมีแนวการศึกษาโครงการ FEASIBILITY  STUDY  PROJECT มาประกอบเป็นสำคัญ
หลักการพิจารณาสินเชื่อ คือ
หลักของ 6’C
1. Character หรือ คุณสมบัติของผู้กู้
การวิเคราะห์คุณสมบัติของผู้กู้ หมายถึง การพิจารณาผู้กู้ในด้านต่าง ๆ กรณีถ้าเป็นบุคคลจะพิจารณา เช่น ประสบการณ์ การศึกษา อายุ อุปนิสัย ความตั้งใจ กรณีเป็นบริษัทจะพิจารณาจากความพร้อมและประสบการณ์ของทีมงาน การวิเคราะห์คุณสมบัติของผู้กู้นี้ก็เพื่อให้มั่นใจได้ว่าลูกค้ามีความตั้งใจและสามารถนำเงินทุนนี้ไปใช้ในการประกอบการให้ประสบความสำเร็จตามที่

ตั้งใจไว้ เป็นต้น
2. Capacity หรือ ความสามารถในการชำระหนี้
การวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้สินเชื่อนี้จะคล้ายกับที่ได้อธิบายไปแล้วในกรณี Payment
3. Capital หรือ เงินทุน
การลงทุนในสินทรัพย์ของลูกค้านั้น ลูกค้าควรจะมีเงินทุนของตนเองส่วนหนึ่งมาลงทุนด้วยธนาคารมักจะไม่สนับสนุนโครงการที่จะขอเงินกู้ทั้ง 100 % จากธนาคาร เพราะจะทำให้ภาระหนี้สินของโครงการอยู่ในระดับสูงซึ่งจะไปเพิ่มความเสี่ยงทางการเงินของกิจการให้สูงขึ้นด้วย
4. Collateral หรือ หลักประกัน
หลักประกันที่ธนาคารพาณิชย์ร้องขอจากลูกค้านั้นก็เพื่อใช้ป้องกันความเสี่ยง เช่นเดียวกับที่ได้อธิบายไว้ในกรณีของ Protection
5. Condition หรือ สภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่และแนวโน้ม
ในการปล่อยสินเชื่อนั้น แม้ว่าจะวิเคราะห์มาแล้วเป็นอย่างดีว่าลูกค้ามีคุณสมบัติต่าง ๆ ตาม C ทั้ง 4 ข้อข้างต้น ก็ยังไม่ได้หมายความว่าจะเป็นสินเชื่อที่ดีมีคุณภาพได้ ถ้าภาวะเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจไม่เอื้ออำนวย เจ้าหน้าที่สินเชื่อของธนาคารจึงจำเป็นต้องรู้ข้อมูลความเป็นไปของเศรษฐกิจระดับมหภาค ข้อมูลโครงสร้างและการแข่งขันในอุตสาหกรรมของธุรกิจนั้น เพื่อเป็นข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสและอุปสรรคสำหรับธุรกิจนั้นประกอบการตัดสินใจให้สินเชื่อหรือไม่ต่อไป
หรือ จะพิจารณาแบบ 3’P  ดังนี้
หลักของ 3P
1. Purpose หรือ วัตถุประสงค์
การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์จะต้องรู้ก่อนว่าผู้กู้หรือลูกหนี้สินเชื่อต้องการเงินทุนเท่าใด ไปทำอะไร ต้องการเงินทุนระยะสั้นเพื่อใช้หมุนเวียนในกิจการ หรือต้องการเงินทุนระยะยาวเพื่อสร้างโรงงาน เครื่องจักร การทราบความต้องการหรือวัตถุประสงค์จะช่วยให้ธนาคารพาณิชย์สามารถจัดวงเงินสินเชื่อให้เหมาะสมกับลูกค้าได้
2. Payment หรือ ความสามารถในการชำระหนี้
การปล่อยสินเชื่อยังต้องดูด้วยว่า เมื่อลูกค้าได้เงินทุนไปใช้ในกิจการแล้วจะมีความสามารถในการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยได้หรือไม่ การวัดความสามารถข้างต้นนี้เป็นการวิเคราะห์ดูว่า เงินทุนที่ลูกค้าได้ไปนั้น ลูกค้านำไปลงทุนสินทรัพย์อะไร ถูกต้องตามวัตถุประสงค์หรือไม่ และสินทรัพย์เหล่านั้นทำให้เกิดรายได้และกำไรกับลูกค้าได้อย่างไร และลูกค้ามีกระแสเงินสดคงเหลือที่จะมาชำระหนี้คืนแก่ธนาคารได้หรือไม่ เท่าใด และในระยะเวลาเท่าใด
3. Protection หรือ การป้องกันความเสี่ยง
ในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารให้ลูกค้านั้น ในบางครั้งลูกค้าแม้ว่าจะมีความสามารถในการชำระหนี้ได้แต่ก็ไม่มีความเต็มใจที่จะชำระ หรือในบางกรณีเกิดภาวะของรายได้และกำไรของลูกค้าไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ลูกค้าก็จะไม่สามารถชำระหนี้ได้ แม้ว่าจะเต็มใจชำระก็ตาม เหตุการณ์เหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทำความเสียหายให้กับธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากเงินทุนส่วนใหญ่ที่นำมาปล่อยสินเชื่อนี้ก็จะมาจากเงินฝากจากประชาชนหรือเงินกู้จากเจ้าหนี้ ซึ่งธนาคารพาณิชย์ต้องมีความรับผิดชอบในเงินทุนเหล่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าวธนาคารพาณิชย์จึงควรเรียกหลักประกันซึ่งอาจอยู่ในรูปสังหาริมทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์ หรือ บุคคลค้ำประกัน ให้มีมูลค่าเหมาะสมและเพียงพอต่อความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้
ด้านพิธีการสินเชื่อ
1.ปัจจุบันนี้อันดับแรกคือ การตรวจสอบแบล็คลิสต์ ต้องไม่มีชื่อในตาข่ายแบล็คลิสต์
2.ตรวจสอบหลักประกัน การประเมินมูลค่าที่ดิน อาคาร สิ่งปลูกสร้าง พิธีการด้านกฎหมายเกี่ยวกับการจำจำนอง ปลดจำนอง การไถ่ถอนฯลฯ
3.จัดทำเอกสารสัญญาต่างๆ  เช่น คำขอเงินกู้ สัญญาเงินกู้ สัญญาค้ำประกัน(บุคคล) สัญญา จำนำ จำนอง  ค้ำประกันสัญญา
4.การจัดทำประมวลผลสรุปรายงานสินเชื่อประจำงวด รายวัน สัปดาห์ เดือน ไตรมาส งวดครึ่งปี รายปี

5. ท่านคิดว่างานพิธีการสินเชื่อมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด เมื่อเปรียบเทียบกับงานด้านการตลาดสินเชื่อ  และถ้าต้องทำงานทั้ง 2 ด้านในคนเดียวกันในสาขาของธนาคารแห่งหนึ่งนั้น ท่านจะบริหารจัดการเวลาของตนเองและการบริหารความเสี่ยงของธนาคารให้มีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผล

ตอบ  การบริหารความเสี่ยง (RISK MANAGEMENT)

            ธุรกิจธนาคาร  เป็นธุรกิจที่เกิดขึ้นจากการบริการความเสี่ยงเป็นหัวใจสำคัญ  ฉะนั้นถ้าสามารถลดความเสี่ยงลงได้มากเท่าไร  ก็จะมีสถานะมั่นคงมากเท่านั้น  และควรคำนึงถึงด้วยว่า  ถ้าเสี่ยงมาก  ควรได้รับผลตอบแทนมาก  ถ้าเสี่ยงน้อย  ผลตอบแทนน้อย  ก็ไม่เป็นไร  การบริหารความเสี่ยง  มีประเด็นที่ต้องคำนึงถึง คือ

            GOOD QUANLITY OF ASSET คือ การบริหารสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดี เลือกลงทุนในธุรกิจที่มีผลตอบแทนสูง สินเชื่อที่ธนาคารปล่อยก็ถือว่าเป็นสินทรัพย์ด้วย ฉะนั้น การปล่อยสินเชื่อที่ดี ก็จะสามารถลดความเสี่ยงได้

            INDUSTRIAL DISTRIBUTION คือ การกระจายสัดส่วนสินเชื่อใน PORTFOLIO ไปตามประเภทของธุรกิจต่าง ๆ ไม่ควรปล่อยสินเชื่อธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งมากจนเกินไป หากธุรกิจนั้น ๆ มีปัญหา ผลกระทบก็จะรุนแรงตามไปด้วย

 

 

6. เมื่อท่านได้ศึกษาเพาเวอร์พอยท์ เรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคาร ไปนั้น ขอให้ท่านจับประเด็นให้ได้ว่ามีประเด็นใดบ้างที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียมตัวมากู้เงินจากธนาคาร และประเด็นเหล่านั้นธนาคารสามารถตรวจสอบได้อย่างไร

ตอบ      ประเด็นของ Capital หรือ เงินทุน

             การลงทุนในสินทรัพย์ของลูกค้านั้น ลูกค้ามีเงินทุนของตนเองส่วนหนึ่งเพื่อมาลงทุนแต่การที่ลูกค้าเอาเงินมาลงทุนนั้นอาจจะทำได้หลายอย่างเช่นการจ้างวานคนอื่นที่มีการศึกษาน้อยมาเปิดบริษัท และทางลูกค้ามาแจ้งกับธนาคารว่าได้นำเงินไปซื้อของกับบริษัทที่ได้จ้างวานให้ผู้อื่นมาทำ เป็นต้น              

              ด้วยธนาคารต้องปล่อยเงินกู้ให้แก่ลูกค้า ธนาคารไม่ควรสนับสนุนโครงการที่จะขอเงินกู้ทั้ง 100 % จากธนาคาร เพราะจะทำให้ภาระหนี้สินของโครงการอยู่ในระดับสูงซึ่งจะไปเพิ่มความเสี่ยงทางการเงินของกิจการให้สูงขึ้นด้วยและควรที่จะตรวจสอบให้ละเอียดก่อนปล่อยเงินกู้ให้แก่ลูกค้า

2.  การที่เกิดภาวะเงินบาทมีค่าลดลงมาก  (เงินบาทอ่อนตัว) มีผลต่อการที่ธนาคารของท่านในการให้สินเชื่ออย่างไรบ้าง  และการที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่นั้น  จะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในประเด็นใดบ้าง 

ตอบ 

การอ่อนค่าลงของค่าเงินบาทน่าจะส่งผลกระทบเพิ่มเติมต่อการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศ เนื่องจากราคาน้ำมันและอาหารในตลาดโลกที่มีหน่วยในการซื้อขายเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐไม่ได้มีการปรับตัวลดลงตามมา การอ่อนค่าลงของเงินบาทจึงทำให้ราคาน้ำมันและอาหารที่คิดเป็นหน่วยเงินบาทปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นไปจากเดิมอีก การอ่อนค่าลงของเงินบาทในครั้งนี้จะสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย

ข้อดี: ของนอกรับเข้ามาถูก คนไทยใช้จ่ายกันเยอะ น้ำมันถูก แต่คนส่งออกไม่ได้กำไร  
ค่าเงินบาทอ่อนตัวเป็นผลดีต่อผู้ส่งออกของไทย เพราะฉะนั้นการที่ธนาคารจะให้สินเชื่อต้องคำนึงถึงว่าธุรกิจประเภทนั้นได้เกี่ยวข้องกับการส่งออกหรือไม่ ถ้าเกี่ยวข้องจะเป็นการเสี่ยงต่อการให้สินเชื่อ

- จะส่งผลในการให้สินเชื่อในประเด็นความน่าเชื่อถือเพราะผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่นี้เคยเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)จึงทำให้ การให้สินเชื่อของธนาคารเป็นไปได้ง่าย

3.  การควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่สำคัญมาก ท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ และ บอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

ตอบ การควบคุมสินเชื่อบุคคลนั้น เป็นเรื่องที่ควรจะทำในลักษณะของการกำหนดมาตรฐาน แต่ควรจะให้มีความยืดหยุ่น หรือขอบเขตที่กว้างพอสมควร เพื่อที่จะได้เกิดการแข่งขันแบบเสรีได้ เพราะการที่แต่ละผู้ประกอบการให้ข้อเสนอที่แตกต่างกัน ผู้บริโภคก็จะเป็นผู้ตัดสิน โดยพยายามเลือกข้อเสนอที่ดีที่สุดให้ตนเอง ซึ่งตามหลักของ demand และ supply อัตราดอกเบี้ยจะลดลงแน่นอน หากมีผู้ประกอบการมากรายขึ้นแนวทางการบริหารความเสี่ยง (Risk Management Guiding Principles)

ธนาคารได้กำหนดแนวทางการบริหารความเสี่ยง เพื่อการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ  สรุปได้ดังนี้

  1. การบริหารความเสี่ยงที่ครอบคลุม  ความเสี่ยงที่สำคัญจากการให้บริการและการดำเนินงานของธนาคารทุกประเภทจะต้องได้รับการบริหารอย่างเป็นระบบและครอบคลุม  ทั้งในระดับนโยบาย การปฏิบัติ และกระบวนการที่เกี่ยวข้อง  นอกจากนี้ต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ของความเสี่ยงแต่ละประเภทอีกด้วย
  2. การกำหนดหน้าที่รับผิดชอบ   ในการบริหารความเสี่ยงจะต้องมีการมอบหมายหน้าที่และความรับผิดชอบอย่างชัดเจน  ไม่เฉพาะแต่หน่วยงานบริหารความเสี่ยงที่ต้องรับผิดชอบเท่านั้น  หน่วยงานธุรกิจที่เป็นจุดเริ่มต้นของความเสี่ยง เช่น การให้สินเชื่อ  การบริหารเงิน  และเทคโนโลยีสารสนเทศ  รวมถึงผู้บริหารที่เกี่ยวข้องจะต้องได้รับการมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบต่อความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น  ดังนั้นการบริหารความเสี่ยงจึงเป็นความรับผิดชอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับ
  3. การประเมินการบริหารความเสี่ยง   เนื่องจากความเสี่ยงมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  การบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพจึงจำเป็นต้องมีการประเมินและปรับกระบวนการเพื่อรองรับกับความเสี่ยงในรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ  ทั้งนี้เพื่อให้แนวทางบริหารความเสี่ยงของธนาคารมีความสอดคล้องกับลักษณะการดำเนินงานของธนาคารในแต่ละช่วงเวลา  รวมถึงภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป
  4. ความรวดเร็วและทันกาล   แนวทางบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพควรมีการระบุ  การวัด  และการประเมินความเสี่ยงที่เกิดขึ้นและความเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยง ก่อนดำเนินการตัดสินใจ  ซึ่งนอกจากจะช่วยในการกำหนดราคาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ขึ้นกับค่าความเสี่ยง (Risk-Based Policy) แล้ว  ยังทำให้ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นสอดคล้องกับนโยบายการรับความเสี่ยง (Risk  Appetite) และแนวนโยบายที่คณะกรรมการธนาคารกำหนดไว้
  5. การจัดสรรเงินกองทุน  เนื่องจากเงินกองทุนเป็นสิ่งที่มีจำกัด  จึงจำเป็นต้องจัดสรรเงินกองทุนให้แต่ละธุรกิจอย่างสอดคล้องกับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่จะได้รับ  ซึ่งต้องกำหนดโดยมีตัววัดที่เหมาะสม เช่น Risk Adjusted Return on Capital (RAROC)

การติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

1. การเจรจาประนอมหนี้

- การเจรจาควรเน้นในลักษณะเห็นอกเห็นใจลูกหนี้

- สร้างแรงจูงใจให้ลูกหนี้อยากชำระหนี้ ชี้ให้เห็นถึงผลดีผลเสียในการชำระหนี้กับไม่ชำระหนี้

4.  จงอธิบายถึงอัตราส่วนทางการเงิน  (Financial Ratio) ที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ พร้อมทั้งอธิบายลงไปในรายละเอียดด้วยว่ามีวิธีการพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้

ตอบ  หลักของ 3P
1. Purpose หรือ วัตถุประสงค์
การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์จะต้องรู้ก่อนว่าผู้กู้หรือลูกหนี้สินเชื่อต้องการเงินทุนเท่าใด ไปทำอะไร ต้องการเงินทุนระยะสั้นเพื่อใช้หมุนเวียนในกิจการ หรือต้องการเงินทุนระยะยาวเพื่อสร้างโรงงาน เครื่องจักร การทราบความต้องการหรือวัตถุประสงค์จะช่วยให้ธนาคารพาณิชย์สามารถจัดวงเงินสินเชื่อให้เหมาะสมกับลูกค้าได้
2. Payment หรือ ความสามารถในการชำระหนี้
การปล่อยสินเชื่อยังต้องดูด้วยว่า เมื่อลูกค้าได้เงินทุนไปใช้ในกิจการแล้วจะมีความสามารถในการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยได้หรือไม่ การวัดความสามารถข้างต้นนี้เป็นการวิเคราะห์ดูว่า เงินทุนที่ลูกค้าได้ไปนั้น ลูกค้านำไปลงทุนสินทรัพย์อะไร ถูกต้องตามวัตถุประสงค์หรือไม่ และสินทรัพย์เหล่านั้นทำให้เกิดรายได้และกำไรกับลูกค้าได้อย่างไร และลูกค้ามีกระแสเงินสดคงเหลือที่จะมาชำระหนี้คืนแก่ธนาคารได้หรือไม่ เท่าใด และในระยะเวลาเท่าใด
3. Protection หรือ การป้องกันความเสี่ยง
ในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารให้ลูกค้านั้น ในบางครั้งลูกค้าแม้ว่าจะมีความสามารถในการชำระหนี้ได้แต่ก็ไม่มีความเต็มใจที่จะชำระ หรือในบางกรณีเกิดภาวะของรายได้และกำไรของลูกค้าไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ลูกค้าก็จะไม่สามารถชำระหนี้ได้ แม้ว่าจะเต็มใจชำระก็ตาม เหตุการณ์เหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทำความเสียหายให้กับธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากเงินทุนส่วนใหญ่ที่นำมาปล่อยสินเชื่อนี้ก็จะมาจากเงินฝากจากประชาชนหรือเงินกู้จากเจ้าหนี้ ซึ่งธนาคารพาณิชย์ต้องมีความรับผิดชอบในเงินทุนเหล่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าวธนาคารพาณิชย์จึงควรเรียกหลักประกันซึ่งอาจอยู่ในรูปสังหาริมทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์ หรือ บุคคลค้ำประกัน ให้มีมูลค่าเหมาะสมและเพียงพอต่อความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้

5.ท่านคิดว่างานพิธีการสินเชื่อมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด เมื่อเปรียบเทียบกับงานด้านการตลาดสินเชื่อ  และถ้าต้องทำงานทั้ง 2 ด้านในคนเดียวกันในสาขาของธนาคารแห่งหนึ่งนั้น ท่านจะบริหารจัดการเวลาของตนเองและการบริหารความเสี่ยงของธนาคารให้มีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผลได้อย่างไร

ตอบ งานด้านสินเชื่อ แบ่งเป็นสองด้าน คือ
1.ด้านพิจารณาสินเชื่อ
2.ด้านพิธีการสินเชื่อ
หลักการพิจาณาสินเชื่อ ต้องอาศัยศิลปะ ความมีประสบการณ์สูงความชำนาญเฉพาะด้านในด้านสินเชื่ออุตสาหกรรมประเภทนั้นๆหรือประเภทสินเชื่อ เช่น ด้านอุตสาหกรรม ด้านการส่งออก ด้านการนำเข้า ด้านก่อสร้างขนส่ง ด้านสินเชื่อการค้าทั่วไปรวมถึง สินเชื่อรายย่อย  ในประเภทสินเชื่อดังกล่าวยังแบ่งเป็นสินเชื่อรายใหญ่ และสินเชื่อรายย่อย เพื่อความสะดวกในการควบคุมสินเชื่อของธนาคาร
สำหรับรายใหญ่ในการพิจารณาสินเชื่อจะต้องมีแนวการศึกษาโครงการ FEASIBILITY  STUDY  PROJECT มาประกอบเป็นสำคัญ

ด้านพิธีการสินเชื่อ
1.ปัจจุบันนี้อันดับแรกคือ การตรวจสอบแบล็คลิสต์ ต้องไม่มีชื่อในตาข่ายแบล็คลิสต์
2.ตรวจสอบหลักประกัน การประเมินมูลค่าที่ดิน อาคาร สิ่งปลูกสร้าง พิธีการด้านกฎหมายเกี่ยวกับการจำจำนอง ปลดจำนอง การไถ่ถอนฯลฯ
3.จัดทำเอกสารสัญญาต่างๆ  เช่น คำขอเงินกู้ สัญญาเงินกู้ สัญญาค้ำประกัน(บุคคล) สัญญา จำนำ จำนอง  ค้ำประกันสัญญา
4.การจัดทำประมวลผลสรุปรายงานสินเชื่อประจำงวด รายวัน สัปดาห์ เดือน ไตรมาส งวดครึ่งปี รายปี

  • ปฏิบัติงานด้านเอกสารสัญญาสิน เชื่อ ทั้งสินเชื่อวงเงินและสินเชื่อรายฉบับ
  • จัดทำเอกสารสัญญาหลักประกัน
  • บันทึก อายัด และถอนอายัดเงินฝากที่เป็นหลักประกันสินเชื่อ
  • บันทึกวง เงินสัญญาสินเชื่อและระบบข้อมูลลูกค้า
  • ควบคุม และดูแลรักษาเอกสารสัญญาต้นฉบับ

ถ้าเราทั้ง 2 ด้านนั้นเราก็สามารถทำให้ธนาคารของเรานั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเสี่ยงให้กับสาขา

6. เมื่อท่านได้ศึกษาเพาเวอร์พอยท์ เรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคาร ไปนั้น ขอให้ท่านจับประเด็นให้ได้ว่ามีประเด็นใดบ้างที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียมตัวมากู้เงินจากธนาคาร และประเด็นเหล่านั้นธนาคารสามารถตรวจสอบได้อย่างไร

ตอบ ปลอมแปลงรายได้กับค่าใช้จ่าย เพื่อที่จะสร้างรายได้ และค่าใช้จ่ายปลอมขึ้นมา โดย ว่าจ้าง ชาวบ้านมาเป็นผู้ชื้อ ผู้ขายแต่ไม่ได้มีการจ่ายเงินออกไปจริง และสร้างรายได้เพื่อลดหย่อนค่าภาษี ทำการปลอกแปลงรายได้ให้น้อยเพื่อที่จะได้จ่ายค่าภาษีน้อยลงจากเดิม

การตรวจสอบ คือ ตรวจสอบเอกสารหลักฐานที่บันทึกไว้ในสมุดบัญชี เช่นใบกำกับสินค้าใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงิน หรือ ใบสำคัญจ่าย ต่างๆ

 

 

4.จงอธิบายอัตราส่วนทางการเงิน ที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ พร้อมทั้งอธิบายลงไปในรายละเอียดด้วยว่ามีวิธีการพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้

ตอบ1.1อัตราส่วนที่สำคัญที่สุด อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนหรืออัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio)

อัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current Ratio) = สินทรัพย์หมุนเวียน (CA) /หนี้สินหมุนเวียน (CL)

วัด ความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น ถ้าค่าที่คำนวณได้สูงเท่าใด แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนที่ประกอบไปด้วย เงินสด ลูกหนี้ และสินค้าคงเหลือมากกว่าหนี้ระยะสั้น ทำให้คล่องตัวในการชำระหนี้ระยะสั้นมีค่อนข้างมาก โดยปกติ อัตราส่วน 2 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว

1.2 อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio or Acid Test Ratio)

อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio) = (สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงเหลือ) /หนี้สินหมุนเวียน

หรือ( Quick Ratio = CA - Inventory )/CL

เป็น การวัดส่วนของสินทรัพย์ที่ได้หักค่าสินค้าคงเหลือ ที่เป็นสินทรัพย์ระยะสั้นและมีความคล่องตัวในการเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ต่ำสุด ออก เพื่อให้ทราบถึงสภาพคล่องที่แท้จริงของกิจการได้ โดยปกติอัตราส่วน 1 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว

1.3 อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover)

อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover)

A/R Turnover = ขายเชื่อสุทธิ หรือใช้ยอดขายรวม (ครั้ง หรือ รอบ) /ลูกหนี้ถัว เฉลี่ย

ลูกหนี้ถัว เฉลี่ย = (ลูกหนี้ต้นงวด + ลูกหนี้ปลายงวด )/ 2

หากค่าที่คำนวณได้ มีค่าสูง แสดงถึงความสามารถในการบริหารลูกหนี้ให้แปลงสภาพเป็นเงินสดได้เร็ว

1.4 ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Average Collection Period)

ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Avg. Collection Period) (วัน) = 365 วัน /อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้

ยิ่งต่ำยิ่งดี

แสดงให้เห็นถึงระยะเวลาในการเรียกเก็บหนี้ว่าสั้นหรือยาว เพื่อให้ทราบถึงคุณภาพของลูกหนี้

ประสิทธิภาพในการเรียกเก็บหนี้ และนโยบายในการให้สินเชื่อทางธุรกิจ

1.5 อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover)

อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover) = ต้นทุนสินค้าขาย (COGS) /สินค้าคงเหลือเฉลี่ย (Avg. Inventory)

สินค้าคงเหลือเฉลี่ย =( สินค้าต้นงวด + สินค้าปลายงวด )/ 2

หากค่าคำนวณได้สูง ย่อมแสดงถึงความสามารถในการบริหารการขายสินค้าได้เร็ว

1.6 ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า

ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า(วัน) = 365 (วัน) /อัตราหมุนเวียนของสินค้า (Inventory Turnover) ยิ่งขายได้เร็ว (ระยะเวลาสั้น) ยิ่งดี

2.ความสามารถในการหากำไร (Profitability Ratio)

1.1 อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)

1.2 อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit Margin)

1.3 อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)

1.4 อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Return On Equity or ROE)

อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)(%) = ขายสุทธิ - ต้นทุนขาย หรือ SALES - COGS / ขายสุทธิ SALES = กำไรขั้นต้น หรือ Gross Profit /ขายสุทธิ SALES ยิ่งสูงยิ่งดี

อัตรากำไรจากผลการดำเนินงาน(Operating Profit Margin)(%) = กำไรจากการดำเนินงาน(Operating Profit Margin) /ขายสุทธิ (SALES)ยิ่งสูงยิ่งดี

อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)(%) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /ขายสุทธิ (SALES)

ยิ่งสูงยิ่งดี แสดงให้เห็นประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทในการทำกำไร หลังจากหักต้นทุนค่าใช้จ่ายรวมทั้งภาษีเงินได้หมดแล้ว

ผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE %) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) ยิ่ง สูงยิ่งดี แสดงให้เห็นว่าเงินลงทุนในส่วนของเจ้าของ จะได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาจากการดำเนินการของกิจการนั้นในอัตราส่วนเท่าไร หากมีค่าสูง แสดงถึงประสิทธิภาพในการหากำไรสูงด้วย

Dupont Equation

ROE (%) = NP (or EAT) = (EAT/SALES) (SALES/ASSETS) (ASSETS/EQUITY) /Equity

หรือ ROE (%) =รายได้จากการขาย สินทรัพย์ทั้งหมด= กำไรสุทธิ X รายได้จากการขาย X สินทรัพย์ทั้งหมด / ส่วนของผู้ถือหุ้น

= (ความสามารถในการหากำไร) (การใช้เงินทุน) (ความสามารถในการหาทุน)

หรือ สมการนี้เท่ากับ

ROE (%) = (Net Profit Margin) (Total Asset Turnover) (Financial Leverage)

3. อัตราส่วนแสดงประสิทธิภาพในการทำงาน (Efficiency Ratio)

อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม (ROA)(%) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /สินทรัพย์รวม (Total Assets)

ยิ่ง สูงยิ่งดี เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรของสินทรัพย์ทั้งหมดที่ธุรกิจใช้ในการ ดำเนินงาน ว่าให้ผลตอบแทนจากการดำเนินงานได้มากน้อยเพียงใด หากมีค่าสูง แสดงถึงการใช้สินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ

อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ถาวร (ROFA) = กำไรสุทธิ (Net Profit or NP) /รวมสินทรัพย์ถาวร (Fix Assets)

อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Turnover)

อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Turnover)(ครั้ง) = ขายสุทธิ (SALES) /สินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset)

ยิ่งสูงยิ่งดี

อัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total Assets Turnover)

อัตราส่วนการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total Assets Turnover) (ครั้งหรือเท่า) = ขายสุทธิ (SALES) /สินทรัพย์รวม (Total Assets)

จำนวน ครั้งสูง ดี เป็นอัตราส่วนที่แสดงถึงประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ทั้งหมด (TA) เมื่อเทียบกับยอดขาย (SALES) ถ้าอัตราส่วนนี้ต่ำ แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์มากเกินความต้องการ

4. อัตราส่วนวิเคราะห์นโยบายทางการเงิน (Leverage Ratio or Financial Ratio)

เพื่อให้ทราบถึงแหล่งที่มาของเงินทุนว่ามาจากหนี้สินหรือส่วนของเจ้าของ ว่ามีมากน้อยเพียงใด

อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt/Equity Ratio) (เท่า) = หนี้สินรวม (Total Debt) /ส่วนของเจ้าของ (Equity)

ยิ่งต่ำ ยิ่งดี แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงในด้านเจ้าหนี้และเจ้าของกิจการ ถ้าอัตราส่วนสูง

แสดงว่า กิจการมีความเสี่ยงจากการกู้ยืมเงินมาใช้ในการดำเนินกิจการ

ความ สามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest Coverage) (เท่า) = {กำไรสุทธิ (NP) + ภาษีเงินได้ (Tax) - ดอกเบี้ยจ่าย(Interest)} /ดอกเบี้ยจ่าย (Interest)

เป็นการวัดความสามารถของธุรกิจในการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ ผลคำนวณออกมามีค่าสูง แสดงว่าธุรกิจมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยสูง

อัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout) = เงินปันผลต่อหุ้น (Dividend /share) /กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS)

แสดงถึงนโยบายการจ่ายเงินปันผลของธุรกิจ

อัตราส่วนที่กล่าวมาเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์หลักทรัพย์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน เพื่อท่านจะได้พิจารณางบการเงินได้ในระดับหนึ่ง

สัญญาณเตือนภัยจากการวิเคราะห์งบการเงิน

1.ขาดทุนมากๆ และติดต่อกันหลายปี

2.ระยะเวลาการเก็บหนี้นานขึ้น

3.อัตราหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของสูงขึ้นเร็วมาก

4.สินค้าคงคลังสูงมากผิดปกติ

5.ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น

6.ยอดขายสูงขึ้น แต่กำไรลดลง

7.หนี้สูญเพิ่มขึ้น

8.รายงานผู้สอบบัญชีผิดปกติ เปลี่ยนผู้สอบบัญชีใหม่

9.ขายสินทรัพย์ของบริษัท เพื่อสร้างกำไรให้เข้าเป้าในระยะสั้น

6.เมื่อท่านได้ศึกษาเพาเวอร์พอยท์ เรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคารไปนั้นขอให้ท่านจับประเด็นให้ได้ว่ามีประเด็นใดบ้างที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียมตัวมากู้เงินจากธนาคาร และประเด็นเหล่านั้นธนาคารสามารถตรวจสอบได้อย่างไร

ตอบ จับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคาร

ต้องพิจารณา 6c’s

1.เรียนให้จบป.ตรี มีประสบการณ์กับเรื่องที่จะกู้เงิน แต่งตัวภูมิฐาน พูดเป็นระบบ วางตัวเป็นสากล Character ผ่าน

2.สร้างงบการเงินให้ดูดี กิจการมีกำไร มีอัตราส่วนทางการเงินดี อธิบาย Cash flow (กระแสเงินสด) ว่าสามารถคืนหนี้ได้ ทำธุรกิจกว่า 3 ปี capacity ผ่าน

3. กู้อย่าให้เกิน 80 % ของราคาทรัพย์สินที่จะใช้เป็นหลักประกัน capital ผ่าน

4. หลักประกันต้องดูโด่ดเด่น อยู่ในทำเลดี มีสภาพคล่อง มีโอกาสเพิ่มมูลค่าเพิ่มในอนาคต Collateral ผ่าน

5. เงื่อนไขในการชำระคืนดอกเบี้ยและเงินต้นมาจากตัวเลขใน Cash flow ทำให้ธนาคารเชื่อได้ว่าจะเหลือเงิน และคืนหนี้ธนาคารได้ตามแผนหนี้ condition ผ่าน

3. ตอบ ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้จัดชั้นสินเชื่อเป็น 6 ระดับ Age schedule

1. สินเชื่อชั้นปกติ ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ > 1%

ไม่มีสัญญานของการผิดนัดชำระหนี้

2. สินเชื่อชั้นกล่าวถึงพิเศษ > 2%

สินเชื่อที่ค้างชำระต้นหรือดอกเบี้ยเกิน 1 เดือนแต่ < 3 ด

3. สินเชื่อต่ำกว่ามาตรฐาน > 20%

ค้างชำระ > 3 ด < 6ด

4. สินเชื่อชั้นน่าสงสัย > 50%

ค้าง > 6 ด< 1ปี

5. สินเชื่อชั้นสงสัยจะสูญ 100%

ค้าง > 1 ปี

6. สินเชื่อชั้นหนี้สูญ

สินเชื่อที่มีคุณสมบัติตามที่ ธปท. กำหนดบ่งชี้ได้ว่าการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยไม่มีโอกาสเกิดขึ้น

การทบทวนความเสี่ยงของสินเชื่อ (Loan Review)

การใช้ไปของสินเชื่อตรงตามวัตถุประสงค์หรือไม่

ขนาดของสินเชื่อ ทบทวนดูว่ายังเหมาะสมหรือไม่

สภาพทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้

-สภาพคล่อง

-ความสามารถในการชำระหนี้

-ความสามารถในการทำกำไร

-ความสามารถในการบริหารสินทรัพย์

ความสมบูรณ์ของเอกสาร

ดูแลหลักประกันไม่ให้เสื่อมค่า

ดูผลการดำเนินงานของธุรกิจ

การเปลี่ยนผู้บริหาร

ควรทำการทบทวนทุกปี เว้นแต่มีเหตุเช่น จ่ายช้า ก็ต้องตรวจสอบทันที

แนวทางในการพิจารณาควบคุมสินเชื่อ

1.การควบคุมในแนวดิ่ง เป็นการควบคุมที่อยู่ในลักษณะตามสายการบังคับบัญชาที่ผู้เป็นหัวหน้าต้องดูแลเอาใจใส่ ให้คำแนะนำแก่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของตน

2. การควบคุมในแนวนอน เป็นการควบคุมในระดับเดียวกัน แต่เป็นการควบคุมระหว่างหน่วยงานที่ทำหน้าที่แต่ละด้านให้กับองค์กร

3. การควบคุมด้วยการตรวจสอบภายใน โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบภายใน ซึ่งจะต้องทำอย่างน้อยปีละครั้ง โดยใช้ระบบสุ่มตรวจ และต้องไม่ให้ฝ่ายสินเชื่อทราบล่วงหน้า

การติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพ 1การเจรจาเป็นการติดตามหนี้ที่ดีที่สุดที่จะได้พบตัวลูกหนี้ และจะได้ทราบว่าลูกหนี้มีปัญหาทางด้านการเงินอย่างไร 2.การส่งจดหมายให้ลูกหนี้ได้ทราบว่าได้มีปัญหาเกิดขึ้นเพื่อที่จะได้ให้ลูกหนี้ได้ทราบและมาแก้ไข

1.ตอบ ในการให้สินเชื่อระหว่าง สินเชื่อพาณิชยกรรม และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ๆในประเทศไทย การให้สินเชื่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ๆในประเทศไทยจะมีงบการเงินที่ดี อธิบาย cash flow ว่าสามารถคืนเงินได้ และเพราะเป็นรายใหญ่ๆของประเทศไทยจึงต้องทำธุรกิจมาเป็นเวลานาน ส่วนการให้สินเชื่อพาณิชยกรรมประเด็นการพิจารณาอาจจะดีได้ไม่เท่าของพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

5. ตอบ งานด้านพิธีการสินเชื่อมีความสำคัญมากเพราะจะทำให้งานด้านสินเชื่อดำเนินการไปได้ทั้งในเรื่องการจัดทำแฟ้มลูกหนี้ การทบทวนความเสี่ยงของสินเชื่อ และการติดตามหนี้สิน ถ้าต้องทำงานทั้งด้านพิธีการสินเชื่อและด้านการตลาดสินเชื่อ ในธนาคารแห่งหนึ่งนั้นก็จะต้องทำทุกอย่างรอบครอบเพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยงโดยการที่จะให้สินเชื่อแก่ลูกค้าก็จะต้องพิจารณาถึง 6c’s ต้องแบ่งชั้นสินเชื่อออกเป็นระดับต่าง เช่น สินเชื่อชั้นปกติ สินเชื่อต่ำกว่ามาตรฐาน สินเชื่อชั้นหนี้สูญ เป็นต้น ควรทบทวนความเสี่ยงของสินเชื่อ ว่าลูกค้าขอไปใช้ตามวัตถุประสงค์หรือไม่ ควรทำทุกปีแต่ถ้ามีเหตุให้ต้องจ่ายช้าต้องรีบตรวจสอบทันที การติดตามหนี้สินก็ควรนัดเป็นการเจรจาจะได้พบตัวลูกค้าว่ายังอยู่ไม่ได้หนีหายไป เพื่อที่จะได้สอบถามถึงปัญหาในกาเงิน และเป็นการรักษาลูกค้าไว้ด้วยเพื่อป้องกันความเสี่ยงและจะได้เกิดประสิทธภาพสูงสุด

4. จงอธิบายถึงอัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratio) ที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ พร้อมทั้งอธิบายลงไปในรายละเอียดด้วยว่ามีวิธีการพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้

ตอบ อัตราส่วนทางการเงิน (Financial ratio) เป็นการนำตัวเลขที่อยู่ในงบการเงินมาหาอัตราส่วนเพื่อใช้ในการวิเคราะห์เปรียบเทียบกับกิจการอื่น หรือ เปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานในอดีต ช่วยให้ผู้วิเคราะห์ประเมินผลการดำเนินงาน แนวโน้ม และความเสี่ยงของกิจการได้ดียิ่งขึ้น

การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินแบ่งตามวัตถุประสงค์ในการใช้งาน 4 ประการ

1. การวิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity Ratio)

2. การวิเคราะห์ความสามารถในการหากำไร (Profitability Ratio)

3. การวิเคราะห์ความสามารถ (ประสิทธิภาพ) ในการดำเนินงาน (Efficiency Ratio)

4. การวิเคราะห์โครงสร้างของเงินทุนหรือภาระหนี้สิน (Leverage Ratio or Financial Policy Ratio)

1.การวิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity Ratio)

1.1 อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนหรืออัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio)

อัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current Ratio) = สินทรัพย์หมุนเวียน (CA) /หนี้สินหมุนเวียน (CL)

วัดความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น ถ้าค่าที่คำนวณได้สูงเท่าใด แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนที่ประกอบไปด้วย เงินสด ลูกหนี้ และสินค้าคงเหลือมากกว่าหนี้ระยะสั้น ทำให้คล่องตัวในการชำระหนี้ระยะสั้นมีค่อนข้างมาก โดยปกติ อัตราส่วน 2 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว

1.2 อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio or Acid Test Ratio)

อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio) = (สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงเหลือ) /หนี้สินหมุนเวียน

หรือ( Quick Ratio = CA – Inventory )/CL

เป็นการวัดส่วนของสินทรัพย์ที่ได้หักค่าสินค้าคงเหลือ ที่เป็นสินทรัพย์ระยะสั้นและมีความคล่องตัวในการเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ต่ำสุดออก เพื่อให้ทราบถึงสภาพคล่องที่แท้จริงของกิจการได้ โดยปกติอัตราส่วน 1 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว

1.3 อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover)

อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover)

A/R Turnover = ขายเชื่อสุทธิ หรือใช้ยอดขายรวม (ครั้ง หรือ รอบ) /ลูกหนี้ถัว เฉลี่ย

ลูกหนี้ถัว เฉลี่ย = (ลูกหนี้ต้นงวด + ลูกหนี้ปลายงวด )/ 2

หากค่าที่คำนวณได้ มีค่าสูง แสดงถึงความสามารถในการบริหารลูกหนี้ให้แปลงสภาพเป็นเงินสดได้เร็ว

1.4 ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Average Collection Period)

ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Avg. Collection Period) (วัน) = 365 วัน /อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ยิ่งต่ำยิ่งดี

แสดงให้เห็นถึงระยะเวลาในการเรียกเก็บหนี้ว่าสั้นหรือยาว เพื่อให้ทราบถึงคุณภาพของลูกหนี้

ประสิทธิภาพในการเรียกเก็บหนี้ และนโยบายในการให้สินเชื่อทางธุรกิจ

1.5 อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover)

อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover) = ต้นทุนสินค้าขาย (COGS) /สินค้าคงเหลือเฉลี่ย (Avg. Inventory)

สินค้าคงเหลือเฉลี่ย =( สินค้าต้นงวด + สินค้าปลายงวด )/ 2

หากค่าคำนวณได้สูง ย่อมแสดงถึงความสามารถในการบริหารการขายสินค้าได้เร็ว

1.6 ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า

ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า(วัน) = 365 (วัน) /อัตราหมุนเวียนของสินค้า (Inventory Turnover)

ยิ่งขายได้เร็ว (ระยะเวลาสั้น) ยิ่งดี

2.ความสามารถในการหากำไร (Profitability Ratio)

1.1 อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)

1.2 อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit Margin)

1.3 อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)

1.4 อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Return On Equity or ROE)

อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)(%) = ขายสุทธิ – ต้นทุนขาย หรือ SALES – COGS / ขายสุทธิ SALES

= กำไรขั้นต้น หรือ Gross Profit /ขายสุทธิ SALES

ยิ่งสูงยิ่งดี

อัตรากำไรจากผลการดำเนินงาน(Operating Profit Margin)(%) = กำไรจากการดำเนินงาน(Operating Profit Margin) /ขายสุทธิ (SALES)

ยิ่งสูงยิ่งดี

อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)(%) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /ขายสุทธิ (SALES)

ยิ่งสูงยิ่งดี แสดงให้เห็นประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทในการทำกำไร หลังจากหักต้นทุนค่าใช้จ่ายรวมทั้งภาษีเงินได้หมดแล้ว

ผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE %) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity)

ยิ่งสูงยิ่งดี แสดงให้เห็นว่าเงินลงทุนในส่วนของเจ้าของ จะได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาจากการดำเนินการของกิจการนั้นในอัตราส่วนเท่าไร หากมีค่าสูง แสดงถึงประสิทธิภาพในการหากำไรสูงด้วย

Dupont Equation

ROE (%) = NP (or EAT) = (EAT/SALES) (SALES/ASSETS) (ASSETS/EQUITY) /Equity

หรือ ROE (%) =รายได้จากการขาย สินทรัพย์ทั้งหมด= กำไรสุทธิ X รายได้จากการขาย X สินทรัพย์ทั้งหมด / ส่วนของผู้ถือหุ้น

= (ความสามารถในการหากำไร) (การใช้เงินทุน) (ความสามารถในการหาทุน)

หรือ สมการนี้เท่ากับ

ROE (%) = (Net Profit Margin) (Total Asset Turnover) (Financial Leverage)

3. อัตราส่วนแสดงประสิทธิภาพในการทำงาน (Efficiency Ratio)

อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม (ROA)(%) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /สินทรัพย์รวม (Total Assets)

ยิ่งสูงยิ่งดี เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรของสินทรัพย์ทั้งหมดที่ธุรกิจใช้ในการดำเนินงาน ว่าให้ผลตอบแทนจากการดำเนินงานได้มากน้อยเพียงใด หากมีค่าสูง แสดงถึงการใช้สินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ

อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ถาวร (ROFA) = กำไรสุทธิ (Net Profit or NP) /รวมสินทรัพย์ถาวร (Fix Assets)

อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Turnover)

อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Turnover)(ครั้ง) = ขายสุทธิ (SALES) /สินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset)

ยิ่งสูงยิ่งดี

อัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total Assets Turnover)

อัตราส่วนการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total Assets Turnover) (ครั้งหรือเท่า) = ขายสุทธิ (SALES) /สินทรัพย์รวม (Total Assets)

จำนวนครั้งสูง ดี เป็นอัตราส่วนที่แสดงถึงประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ทั้งหมด (TA) เมื่อเทียบกับยอดขาย (SALES) ถ้าอัตราส่วนนี้ต่ำ แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์มากเกินความต้องการ

4. อัตราส่วนวิเคราะห์นโยบายทางการเงิน (Leverage Ratio or Financial Ratio)

เพื่อให้ทราบถึงแหล่งที่มาของเงินทุนว่ามาจากหนี้สินหรือส่วนของเจ้าของ ว่ามีมากน้อยเพียงใด

อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt/Equity Ratio) (เท่า) = หนี้สินรวม (Total Debt) /ส่วนของเจ้าของ (Equity)

ยิ่งต่ำ ยิ่งดี แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงในด้านเจ้าหนี้และเจ้าของกิจการ ถ้าอัตราส่วนสูง

แสดงว่า กิจการมีความเสี่ยงจากการกู้ยืมเงินมาใช้ในการดำเนินกิจการ

ความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest Coverage) (เท่า) = {กำไรสุทธิ (NP) + ภาษีเงินได้ (Tax) – ดอกเบี้ยจ่าย(Interest)} /ดอกเบี้ยจ่าย (Interest)

เป็นการวัดความสามารถของธุรกิจในการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ ผลคำนวณออกมามีค่าสูง แสดงว่าธุรกิจมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยสูง

อัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout) = เงินปันผลต่อหุ้น (Dividend /share) /กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS)

แสดงถึงนโยบายการจ่ายเงินปันผลของธุรกิจ

ประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้ คือ

อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity ratio : D/E) คือ อัตราส่วนที่นำหนี้สินรวม หารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้น อัตราส่วนนี้จะแสดงโครงสร้างเงินทุนของกิจการว่าสินทรัพย์ของกิจการมาจากการกู้ยืม หรือมาจากทุนของกิจการ ถ้าอัตราส่วนนี้สูงมีโอกาสที่กิจการจะไม่สามารถชำระดอกเบี้ยได้สูงตามไปด้วย เนื่องจากหนี้สินที่มากทำให้กิจการมีภาระผูกพันที่ต้องชำระดอกเบี้ยทุกงวดไม่ว่ากิจการนั้นจะกำไรหรือขาดทุน ซึ่งต่างจากส่วนของผู้ถือหุ้นที่หากกิจการขาดทุนอาจจะพิจารณาไม่จ่ายเงินปันผลก็ได้

3. การควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่สำคัญมาก ท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ และ บอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

ตอบ การควบคุมในแนวดิ่ง (vertical control) คือ เป็นการควบคุมที่อยู่ในลักษณะตามสายการบังคับบัญชา ที่มีหัวหน้าเป็นผู้ดูแลเอาใจใส่ ให้คำแนะนำ ( supervision) แก่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของตน เพื่อให้พนักงานทำงานด้านสินเชื่ออย่างถูกต้อง

การควบคุมในแนวนอน ( Horizontal Control) เป็นการควบคุมในระดับเดียวกัน แต่เป็นการควบคุมระหว่างหน่วยงานที่ทำหน้าที่แต่ละด้านให้กับองค์กร มักจะมีเจ้าหน้าที่สินเชื่อด้านการตลาด เจ้าหน้าที่วิเคราะห์สินเชื่อ และเจ้าหน้าที่ประเมินราคาหลักประกัน

การควบคุมด้วยการตรวจสอบภายในองค์กร ( Internal Audit Control) โดยเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภายใน จะต้องทำอย่างนี้ปีละครั้ง โดยใช้ระบบสุ่มตรวจ และต้องไม่ให้ฝ่ายสินเชื่อทราบล่วงหน้า พนักงานในแต่ละชุดของฝ่ายตรวจสอบจะต้องมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนหน่วยงานที่ออกไปตรวจทุกที่ เพราะจะทำให้เกิดความคุ้นเคยกันกับพนักงานสินเชื่อ

ตัวอย่างการติดตามหนี้

ลูกหนี้ที่เป็นข้าราชการ ทหาร ตำรวจบางคนจะตามได้ยากมาก เพราะไม่ค่อยอยู่กับที่ หรือบางหน่วยงานไม่ค่อยให้เข้าพบต้องรออยู่ด้านนอก พอแจ้งให้ทราบก็จะกลับมาบอกว่าไม่อยู่ ไปไหนไม่รู้ ไม่มาทำงาน ไปทานข้าว เป็นต้น

วิธีแก้ไข

• กรณีลูกหนี้อยู่ไม่เป็นที่ อาจฝากโน้ตข้อความไว้หรือฝากหัวหน้า-ผู้บังคับบัญชา-เพื่อนร่วมงาน และย้ำว่าเป็นเรื่องสำคัญให้รีบติดต่อกลับ

• กรณีไม่ให้เข้าพบ อาจใช้วิธีอ้างว่าเป็นเพื่อน-ญาติ มาติดต่อเรื่องสำคัญหรือเรื่องส่วนตัว หากปกปิดอีกให้ฝากโน้ตข้อความไว้ว่าเรามาหาแล้วไม่พบ ให้รีบดำเนินการชำระหนี้หรือคืนรถโดยเร็วมิฉะนั้นจำต้องดำเนินการตามขั้นตอน หรือขอเข้าพบ หัวหน้า-ผู้บังคับบัญชา-เพื่อนร่วมงานแทนและใช้ยุทธวิธีปล่อยข่าวว่าลูกหนี้กำลังจะถูกดำเนินการตามขั้นตอนแล้วให้รีบมาติดต่อด่วนภายในวันนี้ เพื่อกดดันลูกหนี้ให้ปรากฏตัวออกมา

ลูกหนี้ชอบผลัด และไม่มาจ่ายตามที่ผลัดไว้จะผลัดไปเรื่อยๆ

วิธีแก้ไข

ถามเหตุผลที่ลูกหนี้ขอผลัดเพราะอะไร มีเหตุผล และความจำเป็นจริงหรือไม่ที่จะขอผัดผ่อน พิจารณาเป็นกรณีไปหากไม่มีเหตุผลเพียงพอพยามยามไม่ให้ผัดผ่อนตื๊อตามเก็บให้ได้หรือหากลูกหนี้มีความจำเป็นจริงๆ ก็ให้นัดระยะเวลาอันใกล้พร้อมกับมีเงื่อนไขว่าหากผิดนัดตามที่ผัดผ่อนอีกจำต้องขอรถกลับก่อน เพื่อสร้างแรงกดดันและป้องกันมิให้ผิดนัดตามที่ผลัดไว้อีก

• ถ้าพบลูกหนี้ประเภทนี้พยายามดูรายละเอียด หลังการ์ดจะเห็นประวัติการผิดนัดหลายครั้งหลายหน ใช้ข้อมูลเหล่านั้นมายืนยันกับลูกหนี้ว่า เคยผิดนัดมาแล้วหลายครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย มิฉะนั้นจำเป็นต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

• การตกลงนัดหมายพยายามทำเป็นหนังสือระบุเงื่อนไข หากผิดนัดยินดีคืนรถหรือให้ยึดได้ทันที และให้ลูกหนี้ลงลายมือชื่อไว้ด้วย ทำสำเนาให้ลูกหนี้ไว้ด้วย 1 ชุด เพื่อช่วยเตือนความจำ

1. ให้เปรียบเทียบประเด็นพิจารณาในการให้สินเชื่อระหว่าง สินเชื่อพาณิชยกรรม (Modern Trade) และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Development) รายใหญ่ๆในประเทศไทย

พิจารณาในการให้สินเชื่อพาณิชยกรรม (Modern Trade)

ลักษณะของธุรกิจ

- เป็นกิจการซื้อมาขายไป

- ไม่มีโรงงานเพื่อทำการผลิต

- มีการลงทุนในทรัพย์สินถาวรในสัดส่วนต่ำเมื่อเทียบกับสินทรัพย์หมุนเวียน

- มีอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนเร็วต่ำ

- สินค้าคงคลังมีมูลค่าค่อนข้างสูง

การดำเนินธุรกิจของผู้ได้รับสินเชื่อ

- ทำการค้าเฉพาะภายในประเทศ

- ทำการค้าโดยติดต่อกับต่างประเทศ

อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Development)

พิจารณาการให้สินเช่าโดย แบ่งเป็นธุรกิจจัดสรร ธุรกิจอาคารชุด และธุรกิจที่พักอาศัยให้เช่า

- ผู้บริหารมีประสบการณ์มากเพียงพอ

- ประเภทโครงการมีความเหมาะสม

- ทำเลที่ตั้งโครงการสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย

- การวางแผนโครงการเป็นไปตามระบบ

นายพงศ์วุฒิ ปัญจะธา

ข้อ 4. ตอบ.

อัตราส่วนวิเคราะห์นโยบายทางการเงิน (Leverage Ratio or Financial Ratio)

เพื่อให้ทราบถึงแหล่งที่มาของเงินทุนว่ามาจากหนี้สินหรือส่วนของเจ้าของ ว่ามีมากน้อยเพียงใด

อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt/Equity Ratio) (เท่า) = หนี้สินรวม (Total Debt) /ส่วนของเจ้าของ (Equity)

ยิ่งต่ำ ยิ่งดี แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงในด้านเจ้าหนี้และเจ้าของกิจการ ถ้าอัตราส่วนสูง

แสดงว่า กิจการมีความเสี่ยงจากการกู้ยืมเงินมาใช้ในการดำเนินกิจการ ความ สามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest Coverage) (เท่า) = {กำไรสุทธิ (NP) + ภาษีเงินได้ (Tax) - ดอกเบี้ยจ่าย(Interest)} /ดอกเบี้ยจ่าย (Interest)

เป็นการวัดความสามารถของธุรกิจในการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ ผลคำนวณออกมามีค่าสูง แสดงว่าธุรกิจมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยสูง อัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout) = เงินปันผลต่อหุ้น (Dividend /share) /กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) แสดงถึงนโยบายการจ่ายเงินปันผลของธุรกิจ อัตราส่วนที่กล่าวมาเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์หลักทรัพย์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน เพื่อท่านจะได้พิจารณางบการเงินได้ในระดับหนึ่ง

สัญญาณเตือนภัยจากการวิเคราะห์งบการเงิน

1.ขาดทุนมากๆ และติดต่อกันหลายปี

2.ระยะเวลาการเก็บหนี้นานขึ้น

3.อัตราหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของสูงขึ้นเร็วมาก

4.สินค้าคงคลังสูงมากผิดปกติ

5.ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น

6.ยอดขายสูงขึ้น แต่กำไรลดลง

7.หนี้สูญเพิ่มขึ้น

8.รายงานผู้สอบบัญชีผิดปกติ เปลี่ยนผู้สอบบัญชีใหม่

9.ขายสินทรัพย์ของบริษัท เพื่อสร้างกำไรให้เข้าเป้าในระยะสั้น

สําหรับหลักเกณฑในการพิจารณาสินเชื่อมีการเปลี่ยนแปลง สรุปไดดังนี้

1) ชวงกอนเกิดวิกฤตการณทางการเงิน

เชนเดียวกับการพิจารณาสินเชื่อโดยทั่วไป แยกเปน การวิเคราะหเชิงคุณภาพตามหลัก 3 P’s และ 6C’s และการวิเคราะหเชิงปริมาณโดยการวิเคราะหงบดุล งบกําไรขาดทุน และอัตราสวทางการเงิน ซึ่งการพิจารณาสินเชื่อจะมีความเขมงวดไมมากนัก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศและทั่วโลกกําลังเจริญเติบโต ประกอบกับมีการแขงขันในการขยายสินเชือของธนาคารพาณิชยส่งโดยการพิจารณาสินเชื่อใหความสําคัญกับการวิเคราะหเชิงคุณภาพมากกวาการวิเคราะหเชิงปริมาณและเนนทางดานหลักประกันคุมมูลหนี้ เพื่อลดความเสียงในระดับหนึง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจอยูในชวงกําลังเจริญเติบโต ธุรกิจของลูกคาสวนใหญมรายไดสามารถชําระหนี้คืนธนาคารได ทังนี้อาจกลาวไดวา การพิจารณาอนุมัติสนเชื่อในชวงกอนเกิดวิกฤตการณทางการเงินของผูจัดการสาขาบางทานที่ยังมีความรู้ความสามารถในการวิเคราะหสินเชื่อไมมากพอเปนสวนหนึงที่กอใหเกิดสินเชื่อที่ไมกอใหเกิดรายไดมีหลักเกณฑในการพิจารณาสินเชื่อ

2) ชวงหลังเกิดวิกฤตการณทางการเงิน

เชนเดียวกับการพิจารณาสินเชื่อโดยทั่วไปและการพิจารณาสินเชื่อในชวงกอนเกิดวิกฤตการณทางการเงิน แตมีความแตกตางในสวนของมุมมองของผู้พิจารณาที่มีความเขมงวดมากขึ้น มีความระมัดระวังและความรอบคอบมากขึ้น เนื่องจากหลังเกิดวิกฤตการณทางการเงิน ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ภาคธุรกิจชะลอความตองการสินเชื่อ ประกอบกับปญหาสินเชื่อที่ไมกอใหเกิดรายไดทําใหธนาคารเขมงวดในการปลอยสินเชื่อเปนพิเศษ โดยการพิจารณาสินเชื่อในชวงหลังเกิดวิกฤตการณทางการเงินนีจะเนน 3 ดานหลัก ไดแก การวิเคราะหทางการเงิน (Financial Analysis) ธุรกิจและอุตสาหกรรม (Industry) และการบริหาร การจัดการ (Management) และมีการเช็คสอบขอมูลเครดิตบูโร โดยในการวิเคราะหสนเชื่อใหความสําคัญกับการวิเคราะหเชิงปริมาณมากกวาการวิเคราะหเชิงคุณภาพ และเนนถึงแนวโนมธุรกิจ ความสามารถในการชําระหนี้ กระแสเงินสด(Cash Flow) ของผูกูเปนหลัก นอกจากนี้ยงมีการวิเคราะหถงมูลคาของโครงการ (EnterpriseValue) และการวิเคราะหถง Sensitivity Analysis ของโครงการ และมีการพัฒนานโยบายบริหารความเสียงดานสินเชื่อ (Credit Risk Management) ซึงครอบคลุมกระบวนการตั้งแตการกําหนดกลยุทธ กระบวนการวิเคราะหสินเชื่อตามหลักเกณฑที่ดี การกําหนดอัตราดอกเบี้ยที่อิงตามระดับความเสี่ยง การแบงแยกบทบาทหนาที่ของผูเสนอขาย และผูวิเคราะหอนุมัติสนเชื่อ ตลอดจนจริยธรรมและจรรยาบรรณของการพิจารณาสินเชื่อ และชวยสร้างภูมิคุมกันจากผลกระทบของวิกฤตการณทางเศรษฐกิจทีอาจเกิดขึ้นในอนาคตได

ข้อ. 3 ตอบ.

มาตรการควบคุมสัดส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าสินทรัพย์ (LTV) เพื่อควบคุมการปล่อยสินเชื่อบ้านของธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบัน

สำหรับคอนโดมิเนี่ยม ที่มีราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาทต่อยูนิต สัดส่วน LTV จะถูกจำกัดอยู่ที่ 90.0% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2554

ส่วนโครงการแนวราบ (บ้าน ทาวน์เฮ้าส์) สัดส่วน LTV จะถูกจำกัดอยู่ที่ 95.0% เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2555

มาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้กับการซื้ออสังหาฯ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2554 (สำหรับคอนโดมิเนี่ยม) และตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2555 (สำหรับโครงการแนวราบ) เป็นต้นไป โดยจะไม่มีผลย้อนหลัง ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าว ไม่มีผลบังคับใช้กับการปล่อยสินเชื่อให้กับข้าราชการพลเรือน และพนักงานรัฐวิสาหกิจ

ผลกระทบ

เราเห็นว่ามาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบค่อนข้างจำกัดต่อความต้องการอสังหาฯ แม้แต่ในตลาดที่อยู่อาศัยราคาถูกก็ตาม

ตามปกติผู้ประกอบการอสังหาฯ เรียกเงินมัดจำตามราคาของที่อยู่อาศัย กล่าวคือ ราคาที่อยู่อาศัยยิ่งสูง เงินมัดจำก็จะสูงยิ่งขึ้น สำหรับบริษัทพัฒนาฯ ที่มีลูกค้าเป้าหมายอยู่ในตลาดระดับล่างถึงกลาง โดยปกติเงินมัดจำจะอยู่ที่ 5.0-10.0%

ทั้งนี้ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (GHB) ซึ่งเป็นธนาคารของรัฐ และไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของ ธปท. เป็นผู้ปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยรายใหญ่ในตลาดที่อยู่อาศัยราคาถูก โดยธนาคารฯ จะปล่อยสินเชื่อที่ประมาณ 90.0-95.0% ของราคาที่อยู่อาศัย

ภายใต้มาตรการใหม่ดังกล่าว เราเชื่อว่าผลกระทบเพียงประการเดียวต่อผู้ประกอบการอสังหาฯ (ถ้าจะมี) คือ การชะลอซื้อบ้านของผู้ซื้อที่ไม่มีเงินเก็บพอจะจ่ายเงินมัดจำ อย่างไรก็ดี เนื่องจากตามปกติผู้ประกอบการอสังหาฯ ส่วนมากจะเรียกเงินมัดจำ 5.0-10.0% หรือสูงกว่าจากลูกค้าอยู่แล้ว ผมเชื่อว่ามาตรการใหม่ดังกล่าวแทบจะไม่มีผลกระทบผู้ประกอบการฯ เลย

วิธีติดตามหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อ 1. ลูกหนี้มักจะไม่อยู่บ้าน

วิธีแก้ไข

กรณีนี้ต้องดูว่าลูกหนี้ทำงานอะไร เราออกตามช่วงเวลาไหน ลูกหนี้จงใจหลบหรือไม่อยู่เพราะออกไปทำงาน – ทำธุระหรือไม่ พยายามออกตามช่วงลูกหนี้อยู่บ้าน เช่น บางรายต้องออกตามช่วงเช้ามืด หรือดึกๆ หรือวันเสาร์-อาทิตย์ เป็นต้น หากไปแล้วไม่พบควรฝากโน๊ตไว้ว่าเรามาตามและให้รีบติดต่อกลับโดยเร็ว โดยให้เบอร์โทรศัพท์ติดต่อกลับด้วย

ข้อ 2. ลูกหนี้ไม่สามารถชำระค่างวดได้ตรงตามกำหนด หรือล่วงเลยเกินเวลาอันสมควร

วิธีแก้ไข

ลูกหนี้ที่มีปัญหาไม่ชำระหนี้ตามกำหนดนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากความสามารถในการชำระหนี้อ่อน เช่น มีปัญหาการเงิน รายได้ลดลง หรือมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น หรือบางส่วนเกิดจากความตั้งใจในการชำระคือน้อยลงเช่น พวกเหนียวหนี้ มีอิทธิพล นำเงินไปหมุนจุดอื่นก่อน พวกนี้จะประวิงการชำระหนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ วิธีแก้ไขคือ

1. กรณีความสามารถในการชำระหนี้อ่อน พิจารณาถึงสาเหตุเป็นรายๆ ไป เช่น ถ้ามีความจำเป็นเกี่ยวกับการใช้เงินเพื่อรักษาตัว อุบัติเหตุ ฯลฯ อาจอนุโลมผ่อนผันให้ลูกหนี้ได้ แต่ถ้ามีปัญหาการเงินเพราะเล่นการพนันใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เที่ยวเตร่ ฯลฯ คงต้องรีบกดดันให้ชำระหนี้โดยเร็วหากไม่ชำระอาจต้องสืบหาทรัพย์เช่าซื้อเตรียมยึดคืน เมื่อกดดันให้ชำระหนี้ที่ค้าง หรือให้ชำระปิดบัญชี

2. กรณีความตั้งใจในการชำระคืนน้อยลง กรณีนี้คงต้องรีบสืบหาทรัพย์เช่าซื้อโดยเร็ว และยึดคืนเพื่อหยุดยั้งความเสียหายที่จะเกิดแก่ทรัพย์เช่าซื้อและบริษัท เพราะลูกหนี้ไม่ตั้งใจจะชำระหนี้ประวิงเวลา เพื่อใช้ทรัพย์เช่าซื้อไปเรื่อยๆ เมื่อยึดทรัพย์เช่าซื้อแล้ว โดยมากมักให้ชำระหนี้ปิดบัญชีเท่านั้น หากใช้อิทธิพลไม่ยอมให้ยึดหรือหลบซ่อน รีบออกโนติสและดำเนินคดีโดยเร็วเพื่อเร่งให้ชำระหนี้โดยอาศัยอำนาจของกฎหมาย

ข้อ 1. ตอบ

สินเชื่อพาณิชยกรรม

๑. คุณสมบัติผู้กู้

๑.๑ เป็นบุคคลธรรมดา อายุไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปีบริบูรณ์ หรือนิติบุคคล

๑.๒ สัญชาติไทย หรือจดทะเบียนตามกฎหมายไทย

๑.๓ ประกอบธุรกิจที่มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไร เช่น ธุรกิจอุตสาหกรรม ธุรกิจพาณิชยกรรม ธุรกิจบริการ เป็นต้น

๒. วัตถุประสงค์การกู้ เพื่อใช้ในการประกอบธุรกิจอุตสาหกรรม ธุรกิจพาณิชยกรรม ธุรกิจบริการ และเกษตรกรรม ดังนี้

๒.๑ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ

๒.๒ เพื่อลงทุนในทรัพย์สินถาวร

๒.๓ เพื่อไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น

ยกเว้น การซื้อขายที่ดินที่มีลักษณะเก็งกำไร

๓. ประเภทสินเชื่อ

๓.๑ ประเภทเงินกู้ระยะสั้น เช่น เงินกู้เบิกเกินบัญชี เป็นต้น

๓.๒ ประเภทเงินกู้ระยะยาว

๔. จำนวนเงินให้กู้ ตามความจำเป็น และความสามารถในการชำระคืนเกินกว่ารายละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ขึ้นไป แต่ไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท

๕. ระยะเวลาชำระเงินกู้

๕.๑ เงินกู้ระยะสั้น ไม่เกิน ๑ ปี ทั้งนี้ ให้มีการทบทวนวงเงินทุกปี

๕.๒ เงินกู้ระยะยาว ไม่เกิน ๑๐ ปี

กรณีใช้บุคคลค้ำประกัน เมื่อรวมระยะเวลาชำระเงินกู้กับอายุผู้ค้ำประกันแล้ว ต้องไม่เกิน ๖๕ ปี

๖. อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และอัตราดอกเบี้ยกรณีผิดนัดไม่ชำระหนี้ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารประกาศกำหนด

๗. หลักประกันเงินกู้ ให้ใช้ประเภทใดประเภทหนึ่งหรือหลายประเภท ดังนี้

๗.๑ สมุดฝากเงินออมสินทุกประเภท หรือสลากออมสินพิเศษ ของผู้กู้หรือของบุคคลอื่นตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด

๗.๒ อสังหาริมทรัพย์ ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด

๗.๓ พันธบัตรรัฐบาล หรือพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด

๗.๔ บุคคลค้ำประกันเพื่อเป็นหลักประกันเสริม ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด

๗.๕ หลักประกันอื่นเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

๘. สถานที่ติดต่อขอกู้ ให้ยื่นกู้ได้ที่ สำนักพหลโยธิน สำนักราชดำเนิน และธนาคารออมสินทุกสาขา

๙. หลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

สินเชื่อการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

สรุปเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารพาณิชย์ที่มีอยู่เดิมตั้งแต่ปี 2552 สำหรับที่อยู่อาศัยที่มีราคาซื้อขายตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป และเกณฑ์ใหม่ที่มีราคาซื้อขายต่ำกว่า 10 ล้านบาทลงมา ดังนี้

ระดับและประเภทสินเชื่อ มาตรการ หมายเหตุ

เกณฑ์เดิม

1. สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย * LTV ratio _10 ล้านบาท * LTV ratio > 80% ได้ RW = 75% วางเงินดาวน์ 20 % ธนาคารพาณิชย์จะต้องมี

เงินกองทุน = 100 x 35 x 8.5 = 2.975 บาท

100 100

เกณฑ์ใหม่ที่เพิ่มเติม

2. สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย < 10 ล้านบาท

2.1 แนวสูง * LTV ratio 90% ได้ RW = 75% เพราะมีการหักเงินเดือนและมีความมั่นคง

มีผลใช้เฉพาะสัญญาจะซื้อจะขายที่ทำตั้งแต่ ของตำแหน่งหน้าที่การงาน ความเสี่ยงจึงต่ำกว่า 1 ม.ค. 2554

2.2 แนวราบ * LTV ratio 95% ได้ RW = 75% * ที่อยู่อาศัยแนวราบขายเปลี่ยนมือน้อยกว่าที่

ทาวน์เฮ้าส์ มีผลใช้เฉพาะสัญญาจะซื้อจะขายที่ทำตั้งแต่ อยู่อาศัยแนวสูง และผู้ซื้อส่วนใหญ่เกือบ

1 ม.ค. 2555 ทั้งหมดซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง

ทั้งนี้ การออกมาตรการดังกล่าวมิได้หมายความว่า ธปท. ห้ามปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่เกินระดับที่กล่าว แต่หากธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อดังกล่าวเกินระดับที่กำหนดก็จะต้องมีเงินกองทุนรองรับที่เพิ่มขึ้น

1. ให้เปรียบเทียบประเด็นพิจารณาในการให้สินเชื่อระหว่าง สินเชื่อพาณิชยกรรม (Modern Trade) และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Development) รายใหญ่ๆในประเทศไทย
          ตอบ เมื่อเปรียบเทียบประเด็นพิจารณาในการให้สินเชื่อระหว่าง สินเชื่อพาณิชยกรรม (Modern Trade) และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Development) มุมมองในการให้สินเชื่อรายใหญ่ (Corporate Loans) นั้นจะแตกต่างอย่างมากจากมุมมองในการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจ SMEs การใช้บรรทัดฐานเดียวกันในการให้สินเชื่อรายใหญ่ และสินเชื่อเพื่อธุรกิจSMEs นั้นย่อมเป็นสิ่งที่ผิด เนื่องจากความเสี่ยงไม่เหมือนกัน ธุรกิจรายใหญ่มักมีความเสี่ยงต่ำกว่า มีอายุการดำเนินงานยาวนานกว่า มีขนาดใหญ่กว่าและมีสายป่านทางการเงินที่ยาวกว่าธุรกิจ SMEs ธนาคารหลายแห่งมีความชำนาญในการให้สินเชื่อรายใหญ่มานานเคยชินกับระบบการวิเคราะห์ที่มีรูปแบบ พอหันเข้ามาแข่งขันในตลาด SMEs กลับพบว่าลูกค้า SMEs นั้นไม่อยู่ในเกณฑ์ที่สมควรให้กู้เลยแม้แต่รายเดียว มองไปทางไหนก็เห็นว่าเสี่ยงหมด ผลสุดท้ายก็คือขยายสินเชื่อไม่ได้เลย การประเมินระดับความเสี่ยงของธุรกิจรายใหญ่นั้นทำได้ง่ายกว่าธุรกิจ SMEs ซึ่งมีขนาดที่แตกต่างกันหลากหลายมากมาย ตั้งแต่เป็นผู้ประกอบการที่เป็นบุคคลคนเดียวมียอดขายปีละต่ำกว่า 5 ล้านบาทลงมา จนถึงที่เป็นบริษัทจำกัดที่มียอดขายหลายร้อยล้านบาทต่อปี ส่งผลให้การประเมินความเสี่ยงนั้นทำได้ยากมาก ไม่มีธุรกิจขนาดใกล้เคียงกันมาทำการเทียบเคียงเหมือนสินเชื่อรายใหญ่เช่นกลุ่มบริษัทข้ามชาติ หรือที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การพิจารณาให้สินเชื่อแก่ลูกค้า SMEs จึงต้องทำการวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงเป็นรายๆไป ผิดบ้าง ถูกบ้าง มากน้อยแตกต่างกันไป ขาดบรรทัดฐานที่เชื่อถือได้ที่ช่วยในการวิเคราะห์และตัดสินใจ ซึ่งส่งผลให้ธนาคารที่เคยชินกับการให้สินเชื่อแก่ธุรกิจรายใหญ่ที่มียอดขายระดับหลายพันล้านบาทต่อปีขึ้นไป ประสบความลำบากอย่างมากในการวิเคราะห์และตัดสินใจในการให้สินเชื่อแก่ธุรกิจ SMEs สำหรับธนาคารที่ประสบผลสำเร็จในการให้สินเชื่อแก่ธุรกิจ SMEs นั้นผู้เขียนพบว่าผู้บริหารและเจ้าหน้าที่วิเคราะห์มีความเข้าใจใน ความแตกต่างข้างต้นได้ดีมาก ยอมรับในจุดอ่อนของธุรกิจ SMEs และพยายามทำความเข้าใจและมองหาวิธีการที่จะเข้าถึงความเสี่ยงของผู้กู้แต่ละราย ที่มีกลยุทธ์การดำเนินงานที่แตกต่างกัน ที่มีขนาดของยอดขายและทรัพย์สินที่แตกต่างกัน และอยู่ในธุรกิจอุตสาหกรรมที่หลากหลายไม่เหมือนกัน ปรับวิธีคิดและมุมมองใหม่ด้วยการทบทวนบรรทัดฐานและเกณฑ์ความเสี่ยงใหม่ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงในลูกค้าแต่ละราย โดยไม่ได้มองประเด็นความเสี่ยงของลูกค้าว่าจะต้องคงที่(Static) เป็นเช่นนั้นตลอดไป แต่มองว่าธุรกิจของลูกค้านั้นย่อมจะต้องขยับขยายและเติบโตต่อไปในอนาคตตามกาลเวลา และการขยายตัวของเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งการเติบโตที่มั่นคงขึ้นก็ย่อมหมายถึงระดับความเสี่ยงที่น่าจะต้องลดน้อยลงตามไปด้วย เมื่อเปรียบเทียบการใก้สินเชื่อทั้งสองอย่างแล้วพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Development) การขอสินเชื่อแก่ธนาคารถือเป็นการขอสินเชื่อที่มากว่าสินเชื่อพาณิชยกรรม (Modern Trade) เพราะสินเชื่อพาณิชยกรรมจะเป็นธุรกิจเกี่ยว SME ที่ส่วนมากจะมีแต่รายๆเสียมากว่า แต่พัฒาอสังหาริมทรัยพ์เป็นการขอสินเชื่อ เช่น การสร้างคอนโด สร้างโครงการบ้านจัดสรร ประเด็นในการพิจารณาสินเชื่อธนาคารจะพิจารณาจาก
   การเลือกใช้ในพิจารณาที่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง หลักการของ 5 C’s และ 4 P’s ที่ใช้ในการวิเคราะห์สินเชื่อนั้น แม้ว่าจะเป็นหลักสากลตลอดกาลที่เป็นที่ยอมรับทั่วไป ว่าสามารถนำไปใช้ได้กับกับธุรกิจทุกขนาดทุกประเภท แต่ก็ควรต้องมีการปรับและให้น้ำหนักที่แตกต่างกันออกไปพอสมควรสำหรับการวิเคราะห์สินเชื่อประเภท SMEs ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้กู้รายย่อยขนาดเล็กและเป็นผู้ประกอบการประเภทบุคคล (Sole Proprietor- Entrepreneur)ค่อนข้างมาก ปัจจัยที่เห็นชัดมากที่สุดก็คือการให้น้ำหนักของ Character มากเป็นพิเศษ ด้วยการมองประเด็นการวิเคราะห์ที่เป็น More Human (หมายเหตุ- ตัวอย่างที่ดีได้แก่การที่ผู้บริหารระดับสูงในอดีตของธนาคารขนาดใหญ่บางแห่งให้สินเชื่อโดยพิจารณาจากโหงวเฮ้งของผู้กู้แต่ละราย) มากขึ้นกว่าการมองแบบตะวันตกที่อิงกับ Capacity ที่มักอิงกับตัวเลขหรือสูตรทางการคำนวณค่อนข้างมาก ซึ่งมักจะใช้ได้ดีมากในการวิเคราะห์สินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ ที่มีผลิตภัณฑ์มากมายหลากหลาย มีรายงานงบการเงินที่ชัดเจน มีรูปแบบการดำเนินธุรกิจสลับซับซ้อนยากแก่การมองเห็นด้วยตาเปล่าเหมือนกับธุรกิจรายย่อยประเภท SMEs หลักการพิจารณาการให้สินเชื่อนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคารและประเภทของสินเชื่อ เช่น
- ต้องไม่มีประวัติเสียหายด้านการเงิน หรือ มีหนี้สินล้นพ้นตัว
- อายุถึงที่กำหนดไว้
- เป็นผู้มีเงินเดือน หรือ รายได้ประจำที่แน่นอน
- มีบุคคลหรือหลักทรัพย์ค้ำประกัน
- บัญชีธนาคารที่เงินเดือนเข้าย้อนหลัง 3 เดือน

3. การควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่สำคัญมาก ท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ และ บอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง
     ตอบ แนวทางในการควบคุมสินเชื่อ
         1. การควบคุมในแนวดิ่ง ( Vertical Control) ผู้เป็นหัวหน้าต้องดูแลเอาใจใส่ ให้คำแนะนำแก่ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของตนทั้งนี้เพื่อให้พนักงานเหล่านั้น ทำงานด้านสินเชื่ออย่างถูกต้อง ตามระเบียบขั้นตอนตามที่องค์การกำหนดไว้ สิ่งที่มักจะต้องดูแลก็คือ พิจารณาว่าพนักงานสินเชื่อได้ทำการตรวจสอบ เก็บรวบรวมข้อมูล และทำการวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นของตัวผู้กู้ และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาวการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบพอเพียงต่อการอนุมัติสินเชื่อหรือยัง
        2. การควบคุมในแนวนอน (Horizontla Control) เป็นการควบคุมในระดับเดียวกัน แต่เป็นการควบคุมระหว่างหน่วยงานที่ทำหน้าที่แต่ละด้านให้กับองค์การสิ่งที่มักพบเห็นเสมอก็คือ ธนาคารหลายแห่งจะมีเจ้าหน้าที่สินเชื่อทำงานด้านการตลาด เพื่อพบปะลูกค้านำเสนองานทางด้านสินเชื่อ มีเจ้าหน้าที่วิเคราะห์สินเชื่อที่ต้องออกไปพบลูกค้าพร้อมกับฝ่ายการตลาดเพื่อร่วมรับรู้ถึงธุรกิจของลูกค้า และขอเอกสารต่างๆจากลูกค้า รวมทั้งหาข้อมูลจากแหล่งอื่นๆเพื่อทำการวิเคราะห์ความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละราย มีเจ้าหน้าที่ต้องประเมินราคาหลักประกัน ทีต้องไปพบลูกค้าเช่นกัน เพื่อทำการประเมินตามหลักวิชาการเพื่อให้เจ้าหน้าที่สินเชื่อและเจ้าหน้าที่วิเคราะห์สินเชื่อได้ใช้อ้างอิงในการกำหนดวงเงินสินเชื่อ
           3. การควบคุมด้วยการตรวจสอบภายในองค์การ ซึ่งจะต้องทำอย่างน้อยปีละครั้ง โดยใช้ระบบสุ่มตรวจ และไม่ต้องให้ฝ่ายสินเชื่อทราบล่วงหน้าเพราะทำให้ไม่พบจุดบกพร่อง ฝ่ายตรวจสอบภายในจะต้องมีการแบ่งทีมงานเป็นหลายชุด
   ตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพ
         1. การเจรจาต่อรอง มักใช้เป็นวิธีแรกในการติดตามทวงหนี้ค้างชำระ ในที่นี้หมายถึงการเจรจาต่อรองแบบซึ่งหน้าไม่ใช้ทางโทรศัพท์ ซึ่งเจ้าหนี้ที่ติดตามหนี้อาจเป็นพนักงานสินเชื่อ หรือพนักงานเร่งรัดหนี้สิน จะต้องมีการเตรียมตัวดังต่อไปนี้
            1.1 ศึกษารายละเอียดก่อนเจรจา เช่นปัญหาที่แท้จริง เกิดจากภายในกิจการของลูกหนี้ หรือมาจากเหตุการณ์ภายในนอก ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวหรือเกิดขึ้นตลอดไป ทั้งยังต้องศึกษานิสัยลูกค้าว่าเป็นอย่างไร พร้อมที่จะให้ความร่วมมือหรือต้าน เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาไว้ล่วงหน้า และต้องเตรียมพร้อมให้ยืดหยุ่นตามสถานการณ์ที่จะเจรจาด้วย
            1.2 เตรียมบรรยากาศการเจรจา เช่น สถานที่เจรจามีผลมากที่จะทำให้ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว ถ้าใช้สำนักงานของเจ้าหนี้หรือธนาคารจะทำให้ได้เปรียบ บางครั้งอาจจะต้องใช้สถานที่กลางในการเจรจา เช่น สมาคมการค้า
           1.3 การเจรากับลูกหนี้
               1.3.1 วิธีประณีประนอม จะใช้วิธีนี้กับลูกค้าที่ให้ความร่วมมือ โดยต้องสร้างบรรยากาศให้เป็นกันเอง แสดงความเห็นใจตามสมควร ร่มปรึกษาหารือกันในปัญหาที่เกิดขึ้น
              1.3.2 วิธีจิตวิทยา ใช้วิธีนี้กับลูกค้าที่ให้ความร่วมมือในการแก้ปัญหาโดยต้องวางตัวเป็นกลาง สิ่งสำคัญคือต้องควบคุมอารมณ์ให้ได้และต้องอ้างถึงคำสั่งที่ได้รับมอบหมายให้ทำ
      2. การติดตามทวงหนี้ทางจดหมาย มีจุดมุ่งหมาย 2 ประการ คือ
         2.1 เพื่อแจ้งข่าวการค้างชำระ และเตือนให้ชำระหนี้ที่ค้างอยู่อย่างเป็นทางการและมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร
       2.2 เพื่อทำให้ถูกขันตอนของกฎหมายหรือข้อบังคับ เพื่อให้การบอกกล่าว บอกเลิกสัญญานั้นชอบด้วยกฎหมาย สามารถทำการฟ้องร้องได้ถูกต้องได้สมบูรณ์มีผลตามกฎหมาย แต่ถ้าได้ติดตามหนี้ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วยังไม่ได้ผล ก็ต้องหลักในการฟ้องร้องต่อสาลให้ศาลดำเนินคดีตามกฎหมาย

4. จงอธิบายถึงอัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratio) ที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ พร้อมทั้งอธิบายลงไปในรายละเอียดด้วยว่ามีวิธีการพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้
      ตอบ อัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratio) ที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ 1.การวิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity Ratio)
1.1 อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนหรืออัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio) อัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current Ratio) = สินทรัพย์หมุนเวียน (CA) /หนี้สินหมุนเวียน (CL) วัด ความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น ถ้าค่าที่คำนวณได้สูงเท่าใด แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนที่ประกอบไปด้วย เงินสด ลูกหนี้ และสินค้าคงเหลือมากกว่าหนี้ระยะสั้น ทำให้คล่องตัวในการชำระหนี้ระยะสั้นมีค่อนข้างมาก โดยปกติ อัตราส่วน 2 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว
1.2 อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio or Acid Test Ratio) อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio) = (สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงเหลือ) /หนี้สินหมุนเวียน หรือ( Quick Ratio = CA - Inventory )/CL เป็น การวัดส่วนของสินทรัพย์ที่ได้หักค่าสินค้าคงเหลือ ที่เป็นสินทรัพย์ระยะสั้นและมีความคล่องตัวในการเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ต่ำสุด ออก เพื่อให้ทราบถึงสภาพคล่องที่แท้จริงของกิจการได้ โดยปกติอัตราส่วน 1 : 1 ถือว่เหมาะสมแล้ว
1.3 อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover) หากค่าที่คำนวณได้ มีค่าสูง แสดงถึงความสามารถในการบริหารลูกหนี้ให้แปลงสภาพเป็นเงินสดได้เร็ว
1.4 ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Average Collection Period) ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Avg. Collection Period) (วัน) = 365 วัน /อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ ยิ่งต่ำยิ่งดีแสดงให้เห็นถึงระยะเวลาในการเรียกเก็บหนี้ว่าสั้นหรือยาว เพื่อให้ทราบถึงคุณภาพของลูกหนี้ ประสิทธิภาพในการเรียกเก็บหนี้ และนโยบายในการให้สินเชื่อทางธุรกิจ
1.5 อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover) อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover) = ต้นทุนสินค้าขาย (COGS) /สินค้าคงเหลือเฉลี่ย(Avg. Inventory) สินค้าคงเหลือเฉลี่ย =( สินค้าต้นงวด + สินค้าปลายงวด )/ 2 หากค่าคำนวณได้สูง ย่อมแสดงถึงความสามารถในการบริหารการขายสินค้าได้เร็ว
1.6 ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า(วัน) = 365 (วัน) /อัตราหมุนเวียนของสินค้า (Inventory Turnover) ยิ่งขายได้เร็ว (ระยะเวลาสั้น) ยิ่งดี
   2.ความสามารถในการหากำไร (Profitability Ratio) 1.1 อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ยิ่งสูงยิ่งดี
1.2 อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit Margin) ยิ่งสูงยิ่งดี
1.3 อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ยิ่งสูงยิ่งดี แสดงให้เห็นประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทในการทำกำไร หลังจากหักต้นทุนค่าใช้จ่ายรวมทั้งภาษีเงินได้หมดแล้ว
1.4 อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Return On Equity or ROE)ยิ่ง สูงยิ่งดี แสดงให้เห็นว่าเงินลงทุนในส่วนของเจ้าของ จะได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาจากการดำเนินการของกิจการนั้นในอัตราส่วนเท่าไร หากมีค่าสูง แสดงถึงประสิทธิภาพในการหากำไรสูงด้วย
    3. อัตราส่วนแสดงประสิทธิภาพในการทำงาน (Efficiency Ratio) ยิ่ง สูงยิ่งดี เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรของสินทรัพย์ทั้งหมดที่ธุรกิจใช้ในการ ดำเนินงาน ว่าให้ผลตอบแทนจากการดำเนินงานได้มากน้อยเพียงใด หากมีค่าสูง แสดงถึงการใช้สินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ
    4. อัตราส่วนวิเคราะห์นโยบายทางการเงิน (Leverage Ratio or Financial Ratio) เพื่อให้ทราบถึงแหล่งที่มาของเงินทุนว่ามาจากหนี้สินหรือส่วนของเจ้าของ ว่ามีมากน้อยเพียงใด ยิ่งต่ำ ยิ่งดี แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงในด้านเจ้าหนี้และเจ้าของกิจการ ถ้าอัตราส่วนสูง แสดงว่า กิจการมีความเสี่ยงจากการกู้ยืมเงินมาใช้ในการดำเนินกิจการ ความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest Coverage) เป็นการวัดความสามารถของธุรกิจในการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ ผลคำนวณออกมามีค่าสูง แสดงว่าธุรกิจมีความสามารถใการจ่ายดอกเบี้ยสูง
ปัจจัยที่ควรพิจารณา

1.วัตถุประสงค์ของวงเงินที่ขออนุมัติ โดยดูว่าวงเงินทีลูกค้าขอนั้นนำไปใช้เพื่ออะไร เช่น 1.1 วงเงินกู้ระยะยาว ควรจะนำไปลงทุนในสินทรัพย์ถาวร
1.2 วงเงินทุนหมุนเวียน ควรจะนำไปใช้หมุนเวียนในการดำเนินงาน และจะต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับลักษณะวงเงินแต่ละประเภทด้วย
2. ระยะเวลาที่จะต้องสนับสนุนวงเงิน ปกติจะเริ่มจากากรซื้อสินค้าจนกระทั่งเก็บเงินได้จาการขาย
3. จำนวนเงินที่ต้องพิจารณาให้ จะมีปริมาณหรือน้อยขึ้นอยู่กับ
3.1 ความจำเป็นในการที่จะต้องใช้สินเชื่อประเภทนั้น
3.2 เพื่อผลทางการตลาดในสภาวะแข่งขันของตลาดที่มีสูง
3.3 การป้องกันความเสี่ยง มีวิธีการควบคุมการใช้เงินของลูกค้าได้อย่างไร หรือการเรียกหลักประกันเพิ่ม และการทำนิติกรรมในส่วนที่ธนาคารให้วงเงินเพิ่มจากเดิมให้ครบถ้วน

 

5. ท่านคิดว่างานพิธีการสินเชื่อมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด เมื่อเปรียบเทียบกับงานด้านการตลาดสินเชื่อ และถ้าต้องทำงานทั้ง 2 ด้านในคนเดียวกันในสาขาของธนาคารแห่งหนึ่งนั้น ท่านจะบริหารจัดการเวลาของตนเองและการบริหารความเสี่ยงของธนาคารให้มีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผลได้อย่างไร
        ตอบ งานพิธีการสินเชื่อถือเป็นส่วนที่สำคัญมากในวงการสินเชื่อเมื่อเปรียบเทียบกับงานด้านการตลาดสินเชื่อ เพราะแผนกพิธีการสินเชื่อจะต้องช่วยเหลือพนักงานต่างๆทางด้านการปล่อยกู้เงินหรือการให้สินเชื่อกู้ลูกค้าซึ่งงานพิธีการสินเชื่อประกอบไปด้วย 1.รวบรวมข้อมูลสถานะทางกฎหมายของลูกค้า
2. ตรวจสอบหลักประกัน เช่น ราคาประเมินทางราชการของหลักประกันนั้นๆ
3. นำนิติกรรมสำหรับผู้ให้กู้แก่ลูกค้า ประกอบด้วย สัญญากู้และเอกสารประกอบการกู้สัญญาค้ำประกัน สัญญาจำนอง สัญญาจำนำ
4. จัดเก็บนิติกรรมและหลักประกัน ถ้าต้องทำงานสองด้านในคนเดียวกันนั้น ข้าพเจ้าจะบริหารจัดการเวลาของตนเองคือ เราต้องมีการแบ่งตารางของเราก่อนว่าวันนี้มีนัดหรือมีงานกับลูกค้าหรือไม่แล้วบริหารเวลาให้เพียงพอต่อแผนกทั้งสองแผนกให้เท่าเทียมกัน และหลักการบริหารความเสี่ยงของธนาคารให้มีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผลได้ดังนี้
ความเสี่ยงด้านหลัก ๆ ซึ่งธนาคารหรือตัวเราต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด ประกอบด้วย 1. ความเสี่ยงด้านสินเชื่อ ความเสี่ยงด้านสินเชื่อ หมายถึงความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากลูกค้าหรือคู่สัญญาไม่ปฏิบัติตามภาระผูกพันตามสัญญาเมื่อครบกำหนดสัญญา ซึ่งภาระผูกพันตามสัญญานี้อาจเกิดขึ้นในบัญชีงบดุลหรือนอกบัญชีงบดุล เช่น การปล่อยสินเชื่อโดยตรง การบริการด้านการค้าระหว่างประเทศ รายรับจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงิน สัญญาการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ และ ธุรกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อ ธนาคารได้จัดตั้งคณะกรรมการสินเชื่อเพื่อกำหนดตัวแปรที่ใช้ในการวัดความเสี่ยงด้านสินเชื่อที่ยอมรับได้ และกำหนดนโยบาย ขั้นตอนการปฏิบัติงานด้านสินเชื่อ เพื่อให้เกิดความแน่ใจว่ามีการกระจายความเสี่ยงด้านสินเชื่อที่ดีพอ และมีการรักษาฐานสินเชื่อที่มีคุณภาพดี ธนาคารมีกระบวนการที่เข้มงวดในการสอบทาน ตรวจสอบและรายงานข้อมูลสินเชื่อทั้งหมดเป็นประจำอย่างต่อเนื่องรวมทั้งความเสี่ยงและการกระจุกตัวการให้สินเชื่อภาคอุตสาหกรรมเดียวกันมากเกินไป ปริมาณของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ และความเพียงพอของเงินสำรองหนี้
2.ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง หมายถึงความเสียหายที่ธนาคารอาจจะไม่สามารถปฏิบัติตามภาระผูกพันตามข้อตกลงได้เมื่อครบกำหนดตามสัญญา ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องเกิดขึ้นได้จากแหล่งเงินทุนในการทำธุรกรรมของธนาคาร และการบริหารสินทรัพย์ของธนาคาร ธนาคารได้กำหนดให้มีการรักษาสภาพคล่องของเงินทุนในการทำธุรกรรมในแต่ละวันเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการถอนเงินของลูกค้า ความต้องการขอสินเชื่อและการชำระเงินสินเชื่อเมื่อครบกำหนดตามสัญญา การบริหารความเสี่ยงด้านสภาพคล่องเป็นดำเนินการที่ต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยผสมผสานการบริหารกระแสเงินสด สภาพคล่อง การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องที่มีคุณภาพและการลงทุนระยะสั้นที่มีสภาพคล่องสูง การกระจายแหล่งเงินทุน และการบริหารจัดการฐานเงินฝากหลักของธนาคาร จัดทำแผนงานด้านสภาพคล่องในภาวะฉุกเฉินเพื่อให้มั่นใจได้ว่าธนาคารจะมีแหล่งเงินทุนเพียงพอเพื่อลดความเสี่ยงด้านสภาพคล่องให้น้อยที่สุด ในกรณีเกิดสถานการณ์วิกฤติทางด้านสภาพคล่อง คณะกรรมการบริหารสินทรัพย์และหนี้สินทำหน้าที่กำหนดนโยบายและแผนกลยุทธ์ด้านการบริหารความเสี่ยงสภาพคล่อง รวมถึงการสอบทานโครงสร้างสินทรัพย์และหนี้สินของธนาคาร สายงานบริหารสินทรัพย์และหนี้สินซึ่งอยู่ภายใต้กลุ่มบริหารเงินทำหน้าที่ควบคุมสภาพคล่องของธนาคารในแต่ละวัน สายงานบริหารความเสี่ยงด้านการตลาดและสภาพคล่องซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระแยกจากหน่วยงานด้านธุรกิจจะควบคุมและรายงานความเสี่ยงด้านสภาพคล่องต่อคณะกรรมการบริหารสินทรัพย์และหนี้สินอย่างสม่ำเสมอ
3.ความเสี่ยงด้านฐานะการเงิน ความเสี่ยงด้านฐานะการเงิน หมายถึง ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงในส่วนของรายได้ ซึ่งมีผลมาจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในบัญชีเพื่อการธนาคารซึ่งไม่ใช่บัญชีเพื่อการค้า คณะกรรมการบริหารสินทรัพย์และหนี้สินกำหนดนโยบายการจัดการและควบคุมผลกระทบความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจรวมถึงการปรับปรุงอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมและอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และโครงสร้างสัดส่วนของสินทรัพย์และหนี้สินให้มีความเหมาะสม การบริหารความเสี่ยงด้านเงินตราต่างประเทศทำโดยการกำหนดเพดานการซื้อขายแบบข้ามคืนและการซื้อขายระหว่างวัน สายงานบริหารความเสี่ยงด้านการตลาดและสภาพคล่องมีหน้าที่ติดตามและทบทวนความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอ โดยการวิเคราะห์การไม่เท่าเทียมกันของการปรับอัตราดอกเบี้ยในสินทรัพย์และหนี้สิน และวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยต่อรายได้ของธนาคารโดยใช้เครื่องมือต่างๆ อาทิ ตารางครบกำหนดของสินทรัพย์และหนี้สิน และการปรับอัตราดอกเบี้ยของสินทรัพย์และหนี้สิน นอกจากนั้นยังมีการจัดทำรายงานด้านอัตราดอกเบี้ยของสินทรัพย์และหนี้สิน และความเสี่ยงด้านฐานะการเงินของธนาคารเพื่อรายงานต่อคณะกรรมการบริหารสินทรัพย์และหนี้สินอย่างสม่ำเสมอ
4. ความเสี่ยงด้านตลาด ความเสี่ยงด้านตลาดหมายถึงความเสียหายที่อาจจะเกิดจากราคาตลาดของหลักทรัพย์ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลง เช่น อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ อัตราดอกเบี้ย ราคาหุ้น และอัตราการซื้อขายออพชั่น ธนาคารมีความเสี่ยงด้านการตลาดในการซื้อขายและการลงทุนในหลักทรัพย์ ด้วยเหตุที่มูลค่าการซื้อขายหรือการลงทุนมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงด้านราคาและอัตราทางการตลาด การบริหารความเสี่ยงด้านตลาดของธนาคารอยู่ภายใต้กรอบนโยบายบริหารความเสี่ยงด้านตลาด มีแนวทางการควบคุมความเสี่ยงและวงเงินสำหรับความเสี่ยงและผลขาดทุน ทั้งนี้วงเงินสำหรับความเสี่ยงและผลขาดทุนจะถูกเสนอโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้กลุ่มบริหารเงิน และสอบทานโดยสายงานบริหารความเสี่ยงด้านการตลาดและสภาพคล่อง โดยต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมบริหารสินทรัพย์และหนี้สินและคณะกรรมการธนาคารเป็นประจำทุกปี ส่วนสายงานปฏิบัติการส่วนกลาง ด้านบริหารเงิน มีหน้าที่ตรวจสอบควบคุมวงเงินความเสี่ยงด้านตลาดในแต่ละวันและรายงานกรณีการใช้เกินวงเงิน เพื่อขออนุมัติ ความเสี่ยงด้านการตลาดสามารถวัดโดยใช้แบบจำลอง VaR (Value at Risk) สำหรับฐานะในบัญชีเพื่อการค้าของธนาคาร นอกจากนั้นยังมีการประเมินความเสี่ยงภายใต้ภาวะวิกฤติในบัญชีเพื่อการค้า เพื่อให้มีระบบเตือนภัยล่วงหน้าโดยเป็นการจัดการกับเหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงเหล่านี้ ในกรณีที่มีโอกาสเกิดผลขาดทุนจากสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดภายใต้ภาวะการเปลี่ยนแปลงของตลาดเงินอย่างรวดเร็ว 5.ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการคือความเสียหายที่อาจจะเกิดจากความผิดพลาดในการควบคุมภายในหรือการละเลยต่อการใช้หลักบรรษัทภิบาลทำให้เกิดความผิดพลาด เช่น การฉ้อโกง ความล้มเหลว ความล่าช้าในการปฏิบัติงาน หรือกรณีที่พนักงานตัดสินใจประนีประนอมเกี่ยวกับผลประโยชน์ของธนาคารโดยพลการ นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงด้านการปฏิบัติการอื่น จากความบกพร่องของระบบการทำงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น เพลิงไหม้ น้ำท่วม ภัยธรรมชาติอื่นๆ โอกาสที่จะเกิดความเสียหายนั้นอาจอยู่ในรูปของความเสียหายทางการเงินหรือความเสียหายในรูปแบบอื่น เช่น การทำให้เกิดการสูญเสียความเชื่อมั่นของสาธารณชนซึ่งกระทบต่อความน่าเชื่อถือและการติดต่อธุรกิจ ส่งผลต่อสภาพคล่องและการขยายตัวทางธุรกิจของธนาคาร ธนาคารบริหารความเสี่ยงด้านปฏิบัติการภายใต้กรอบนโยบายภายในของธนาคาร มีการควบคุมโดยระเบียบการปฏิบัติงานและมาตรการตรวจวัด กรอบนโยบายดังกล่าวครอบคลุมถึงการระบุความเสี่ยงด้านปฏิบัติการที่สำคัญๆ แนวทางการจัดการควบคุม การประเมินตนเองของหน่วยงานทั้งด้านธุรกิจและสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการตรวจสอบและการรายงานอย่างระมัดระวัง ภายใต้กรอบนโยบายการบริหารความเสี่ยงด้านปฏิบัติการมีการจัดทำแผนการปฏิบัติงานในการประกอบธุรกรรมซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้แน่ใจว่าความเสี่ยงที่เกิดจากธุรกรรมใหม่ของธนาคารถูกระบุ วิเคราะห์และมีกระบวนการจัดการก่อนมีการอนุมัติให้ทำรายการ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการใช้บริการจากผู้ให้บริการภายนอกเนื่องจากสามารถบริหารต้นทุนของธนาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้มีการกำหนดนโยบายดังกล่าวเพื่อใช้ควบคุมการใช้บริการจากบุคคลภายนอกอีกด้วย ธนาคารได้ตระหนักถึงความสำคัญในการฝึกอบรมพนักงานในการปรับปรุงและยกระดับระบบ กระบวนการและระเบียบวิธีดำเนินงาน สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของภาพรวมในการบริหารความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ ถ้าเราสามารถนำหลักบริหารเวลาและหลักการบริหารความเสี่ยงข้างต้นที่ได้กล่าวมาปฏิบัติได้ก็จะทำให้ธนาคารที่เราปฏิบัติงานอยู่มีหลักการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ

 

6. เมื่อท่านได้ศึกษาเพาเวอร์พอยท์ เรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคาร ไปนั้น ขอให้ท่านจับประเด็นให้ได้ว่ามีประเด็นใดบ้างที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียมตัวมากู้เงินจากธนาคาร และประเด็นเหล่านั้นธนาคารสามารถตรวจสอบได้อย่างไร
    ตอบ จับกลโกงลูกค้าเงินกู้ธนาคาร ลูกค้ามักจะทำในการเตรียมตัวมากู้เงินจากธนาคารจะกู้เงินให้ได้ต้องทำให้ตัวเองเข้าหลัก 6C’เพื่อวิเคราะห์สินเชื่อ
1. ดูคุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อ (Character) เป็นคุณสมบัติประการแรกที่ผู้ให้สินเชื่อพิจารณาว่าผู้ขอสินเชื่อมีลักษณะนิสัย ความประพฤติ หรืออาชีพการทำงานที่มีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด ตัวอย่างคุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อที่ควรหลีกเหลี่ยง เช่น ผู้มีอายุมาก มีโรคประจำตัว ผู้มีนิสัยเกเร ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล ในบางครั้งจึงพยายามหลีกเลี่ยงการให้กู้กับผู้ที่อยู่ในอาชีพ ทหาร ตำรวจ นักการเมือง นักหนังสือพิมพ์ และในบางกรณีก็มองกว้างไปถึงผู้ทำธุรกิจโรงเรียนเอกชน โรงพยาบาลเอกชน เนื่องจากในกรณีที่มีปัญหาสังคมคือบุคคลที่ 3 เช่น นักเรียนซึ่งเป็นเยาวชนจะไม่มีที่เรียน หรือผู้ป่วยจะไม่ได้รับการรักษาพยาบาลต่อเนื่อง **เรียนให้จบ ป.ตรี มีประสบการณ์ที่จะกู้เงิน แต่งตัวให้ดูภูมิฐาน พูดจาให้ดุเป็นระบบ วางตัวให้เป็นสากล (Character)
2. ความสามารถในการชำระหนี้ (Capacity) เป็นคุณสมบัติที่พิจารณาในแง่การมีรายได้ในการประกอบอาชีพ หรือทำธุรกิจเพียงพอที่จะชำระหนี้ได้ตามที่ตกลงไว้ด้วยกันในแง่ธุรกิจก็จะพิจารณาในแง่ของงบการเงินในอดีตและประมาณการรายได้ในอนาคต ตัวอย่างที่สามารถมองได้ง่ายคือ เจ้าหนี้มีต้องการให้กู้กับร้านสะดวกซื้อ ที่ขาย 24 ชั่วโมง วันละ 3 กะ โดยไม่มีวันหยุด รวมถึงสาขามากว่า 5,000 สาขา มากว่าที่จะให้กู้กับกิจการที่มีสาขาน้อย มีวันหยุดกิจการ เพราะกิจการประเภทหลังจะมีความสารถในการชำระหนี้ที่ต่ำกว่าประเภทแรก ส่วนในแง่บุคคลต้องพิจารณารายได้ว่ามีความมั่นคงและเพิ่มขึ้นพียงพอจะชำระหนี้ได้หรือไม่ รวมทั้งอาจตรวจสอบถึงหนี้สินเดิมที่ผู้ขอสินเชื่อมีอยู่ด้วยว่ายังมีภาระผูกพันอยู่มากน้อยเพียงใด เพราะในบางครั้งก็อาจพบว่าเป็นการกู้ไปเพื่อชำระหนี้สินเดิม ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อผู้ให้กู้รายใหม่ ** สร้างระบบการเงินให้ดูดี กิจการมีกำไร มีอัตราส่วนทางการเงินดี อธิบาย Flow สามรถคืนหนี้ได้ ทำธุรกิจมาซัก 3 ปี (Capacity) 3. เงินทุน (Capital) เป็นคุณสมบัติอีกประการหนึ่งที่ผู้ให้สินเชื่อพิจารณาว่าผู้ขอสินเชื่อนั้นมีมูลค่าทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินในปัจจุบันอยู่เท่าได หรือถ้าพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ เจ้าหนี้มีมักให้กับลูกค้าที่มีเงินทุนอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งโดยปกติมีลักเป็นจำนวนเกินครึ่งของเงินที่ใช้ในวัตถุประสงค์นั้นๆ ซึ่งจะทำให้ผู้กู้มีความเสี่ยงต่ำนั่นเอง ** กู้เงินอย่าให้เกิน 80 % ของราคาประเมินราคาทรัพย์สินที่จะใช้เป็นหลักประกัน (Capital)
4. หลักประกัน (Collateral) เป็นคุณสมบัติประการถัดมาที่มีความสำคัญมากเช่นกันจนถึงกับมีคำกล่าวว่า “No Land No Loan” ซึ้งแปลว่า ถ้าไม่มีหลักประกันคุ้มมูลค่าหนี้โดยเฉพาะที่ดิน (อสังหาริมทรัพย์) ก็ไม่มีโอกาสได้รับสินเชื่อ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจย่ำแย่ ** หลักประกันต้องดูโดดเด่นอยู่ในทำเลที่ดี มีสภาพคล่อง มีโอกาสเพิ่มมูลค่าในอนาคต (Collateral)
5. สภาพทางเศรษฐกิจ (Condition) เป็นคุณสมบัติในเชิงมหาภาคที่ผู้ให้สินเชื่อต้องมีความรู้ถึงภาวะแวดล้อมภายนอกที่ส่งผลกระทบทั้งในแง่บวกและลบต่อผู้ขอสินเชื่อ และจะส่งผลกลับมายังผู้ให้สินเชื่อในที่สุด โดยทั่วไปที่ต้องพิจารณาก็คือ กฎหมาย การเมือง เศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี อัตราภาษี อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน ต้นทุนแรงงาน เป็นต้น ซึ่งหลายปัจจัยในการเปลี่ยนแปลงที่มีลักษณะเป็น วัฏจักรซึ่งอาจพยากรณ์ล่วงหน้าได้ในระดับหนึ่ง ** เงือนไขในการชำระคืนดอกเบี้ยและเงินต้น มาจากตัวเลข Cash Flow ทำให้ธนาคารเชื่อได้ว่าจะเหลือเงินแล้วคืนหนี้ให้ธนาคารตามแผน (Condition) 6. ประเทศที่ติดต่อด้วย (Country) เป็นคุณสมบัติประการสำคัญในปัจจุบันที่ต้องพิจารณา เพระถึงแม้จะเป็นการให้สินเช

6. เมื่อท่านได้ศึกษาเพาเวอร์พอยท์ เรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคาร ไปนั้น ขอให้ท่านจับประเด็นให้ได้ว่ามีประเด็นใดบ้างที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียมตัวมากู้เงินจากธนาคาร และประเด็นเหล่านั้นธนาคารสามารถตรวจสอบได้อย่างไร

-การที่โกหกในเรื่องหลักทรัพย์ในการขอกู้เช่น เป็นสถานที่ทำเลดีแต่ที่จริงเป้นที่มุมอับม่สามารถทำมาค้าขายได้

-การโกหกข้อมูลกิจการเช่นกำไรน้อย แต่ทำให้มันเยอะหรือสร้างภาพพจน์ให้กิจการออกมาดีเพื่อให้ได้สินเชื่อ

-การที่พนักานในธนาคารร่วมกันช่วยในการโกงเพื่อให้ได้สินเชื่อ

ธนาคารสามารถตรวจสอบได้อย่างไร

-การเซ็นสัญญาทำธุรกิจถือเป็นวิถีปกติที่เกิดขึ้นเป็นประจำในการดำเนินงาน ดังนั้นก่อนที่ผู้ประกอบการจะทำสัญญาร่วมงานกับลูกค้า ธนาคารจะต้องแน่ใจและตรวจสอบรายละเอียดในสัญญาเสียก่อนว่ามันตรงกับความเป็นจริงที่ตกลงกันไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคา รูปแบบและรายละเอียดต่างๆ

4. จงอธิบายถึงอัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratio) ที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ พร้อมทั้งอธิบายลงไปในรายละเอียดด้วยว่ามีวิธีการพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้

อัตราส่วนทางการเงิน (Financial ratio) เป็นการนำตัวเลขที่อยู่ในงบการเงินมาหาอัตราส่วนเพื่อใช้ในการวิเคราะห์เปรียบเทียบกับกิจการอื่น หรือ เปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานในอดีต ช่วยให้ผู้วิเคราะห์ประเมินผลการดำเนินงาน แนวโน้ม และความเสี่ยงของกิจการได้ดียิ่งขึ้นโดยการวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน เป็น การนำรายการต่างๆ ในงบการเงินมาเทียบอัตราส่วนเพื่อหาความสัมพันธ์ว่า มีความเหมาะสมเพียงใด การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินแบ่งตามวัตถุประสงค์ในการใช้งาน 4 ประการ

1. การวิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity Ratio)

2. การวิเคราะห์ความสามารถในการหากำไร (Profitability Ratio)

3. การวิเคราะห์ความสามารถ (ประสิทธิภาพ) ในการดำเนินงาน (Efficiency Ratio)

4. การวิเคราะห์โครงสร้างของเงินทุนหรือภาระหนี้สิน (Leverage Ratio or Financial Policy Ratio)

ที่สามารถบอกข้อมูลของกิจการเพื่อง่ายต่อการพิจารณาให้สินเชื่อแก่ลูกค้าและนอกจากนั้นทางธนาคารจะ

มีการกำหนดนโยบาย ระเบียบ หลักเกณฑ์การให้สินเชื่อ ลงทุน ก่อภาระผูกพัน และต้องมีการทบทวนนโยบายดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ โดยควรครอบคลุมถึง การมอบหมายอำนาจหน้าที่ ความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ของธนาคารพาณิชย์ให้ชัดเจน รวมถึงกระบวนการในการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตซึ่งนโยบายดังกล่าวข้างต้นต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการของธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ธนาคารพาณิชย์ควรกำหนดหลักเกณฑ์ หรือแนวปฏิบัติเกี่ยวกับเอกสารประกอบการพิจารณาการให้สินเชื่อ เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์สามารถตัดสินใจอนุมัติสินเชื่อและประเมินความเสี่ยงได้อย่างต่อเนื่องประชาชนส่วนใหญ่จะถูกปฏิเสธสินเชื่อเพราะติด Black list หรือ เครดิตบูโร โดยทางธนาคารจะพิจารณาอนุมัติสินเชื่อในแต่ละครั้งและสถาบันการเงินใช้ปัจจัยใดบ้างในการพิจารณา ก่อนจะอนุมัติ หรือปฏิเสธสินเชื่อนั้นๆ อะไรคือ ตัวชี้วัดว่า เครดิตของผู้ขอสินเชื่อดีเพียงพอสำหรับการให้เงินก็และรวมทั้งการเพิ่มวงเงินและการอนุมัติบัตรเครดิต

ทุกครั้งในการขอสินเชื่อ สถาบันการเงิน จะให้ผู้ขอสินเชื่อกรอกใบสมัครขอสินเชื่อ เอกสารประกอบ และหนังสือยินยอม เพื่อใช้ในการเรียกดูข้อมูลเครดิตของผู้ขอสินเชื่อ ในเบื้องต้นสถาบันการเงิน มักใช้ข้อมูลจากทั้ง ใบสมัครขอสินเชื่อของผู้ขอสินเชื่อ จากเอกสารประกอบ และข้อมูลจากเครดิตบูโร เพื่อเป็นเอกสารอ้างอิงประกอบการตัดสินใจว่า ผู้ขอสินเชื่อ จะเป็นลูกค้า ที่เมื่อรับเงินกู้ไปแล้ว จะมีความสามารถในการจ่ายคืนได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งสถาบันการเงินเกือบทุกรายมักจะใช้หลัก6Csในการประเมินเครดิตของผู้ขอ

1.Character หรือ Credit Reputation คือคุณลักษณะหรือวินัยในการใช้และการชำระสินเชื่อในอดีตซึ่งบอกถึงการรักษาสัญญาในการใช้สินเชื่อการชำระหนี้ตรงเวลาหรือไม่อย่างไร การจัดการกับสินเชื่อโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่มีปัญหาสะดุดทางการเงินได้ติดต่สถาบันการเงินเพื่อแก้ไขปัญหาได้ดีอย่างไรซึ่งคุณลักษณะในปัจจัยนี้ได้มาจากรายงานของเครดิตบูโร

2.Capacity คือความสามารถในการจ่ายชำระหนี้คืน เป็นต้นว่า ผู้ขอสินเชื่อมีงานการที่มั่นคงหรือไม่และมีอายุการทำงานมานานเท่าไรในบริษัทที่ทำอยู่ในปัจจุบัน รายได้เพียงพอต่อหนี้สินที่มีอยู่หรือไม่ความสามารถของผู้ขอสินเชื่อที่จะสามารถชำระหนี้ได้ในระยะเวลาที่กำหนดไว้ซึ่งปัจจัยในข้อนี้แสดงถึงความมั่นคงของรายได้ที่จะนำมาชำระหนี้ในอนาคต

3. Capital คือ เงินทุน หรือสินทรัพย์ หรือเงินฝากของผู้ขอสินเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสินเชื่อที่ใช้เพื่อการประกอบธุรกิจจะให้ความสำคัญในปัจจัยนี้มากสถาบันการเงินจะพิจารณาเฉพาะเงินทุนหรือสินทรัพย์ของผู้ขอกู้ในขณะที่พิจารณาสินเชื่อนั้นๆแม้ว่าเงินทุนหรือสินทรัพย์หรือเงินฝากจะไม่ใช่แหล่งของเงินที่สถาบันการเงินคาดหวังว่าจะได้รับการชำระจากแหล่งเงินเหล่านี้ก็ดีแต่แหล่งเงินทุนนี้จะเป็นแหล่งเงินสำรองสำหรับการชำระหนี้ของผู้กู้ในกรณีที่เกิดปัญหากับรายได้ของผู้กู้ขึ้น

4.Conditionsคือปัจจัยที่เป็นเงื่อนไขอื่นที่มีผลกระทบต่อรายได้เป็นต้นว่าเศรษฐกิจ อาชีพ หรือเงื่อนไขในการกู้ ตัวอย่างเช่น ในสภาวะของเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นจะทำให้รายได้สุทธิลดลงซึ่งจะมีผลต่อความสามารถในการชำระซึ่งสถาบันการเงินก็จะต้องคำนึงถึงสิ่งนี้ในการพิจารณาสินเชื่อ อาชีพบางอาชีพมีความมั่นคงในรายได้ และการงาน เช่น การรับราชการ การกู้ร่วมก็เป็นเงื่อนไขหนึ่งในการพิจารณาสินเชื่อเช่นกัน

5.Collateralคือหลักประกันที่เป็นทรัพย์สินซึ่งผู้กู้จะนำมาจำนำหรือจำนองเพื่อให้สถาบันการเงินมีความมั่นใจและลดความเสี่ยงหากผู้ขอสินเชื่อไม่ชำระหนี้ตามกำหนดก็สามารถนำมาขายทอดตลาดได้ตามที่กฎหมายกำหนด อาทิเช่น สินเชื่อที่อยู่อาศัย เป็นต้น ซึ่งการให้สินเชื่อประเภทนี้ก็มักจะมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ

6.Common Sense คือปัจจัยที่สถาบันการเงินใช้ในการพิจารณาสินเชื่อว่า ผู้ขอสินเชื่อจะใช้สินเชื่ออย่างสมเหตุสมผลและจะไม่เป็นการก่อร่างสร้างหนี้จนเกินตัวหรือไม่มีเหตุผลที่จะต้องมีสินเชื่อที่ขอเพิ่ม อาทิเช่น การมีบัตรเครดิตจำนวนหลายใบถึงแม้จะไม่เคยมีประวัติการผิดนัดชำระหรือการใช้บัตรในแต่ละใบเลยก็ตาม การพิจารณาของสถาบันการเงินอาจมองว่าไม่มีเหตุผลที่จะให้บัตรเครดิตอีกใบเพิ่มเพราะอาจทำให้สร้างหนี้จนเกินตัวหรือได้ไปก็ไม่ใช้ก็เป็นได้ ดังนั้น หากผู้ขอสินเชื่อมีบัตรเครดิตหลายใบและไม่ได้ใช้วงเงินสินเชื่อดังกล่าว ก็ควรที่จะแจ้งยกเลิกและปิดบัญชีเสีย

โดยที่สำคัญเราจะต้องพิจารณาลูกค้าให้ดีควรพิจารณาตามความเป็นจริง Capital คือ เงินทุน หรือสินทรัพย์ หรือเงินฝากของผู้ขอสินเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสินเชื่อที่ใช้เพื่อการประกอบธุรกิจจะให้ความสำคัญในปัจจัยนี้มากสถาบันการเงินจะพิจารณาเฉพาะเงินทุนหรือสินทรัพย์ของผู้ขอกู้

สถาบันการเงินให้กู้หรือไม่ให้กู้ด้วยปัจจัยอะไรบ้างเพื่อหาคำตอบเพียงคำตอบเดียวที่ว่า ผู้ขอสินเชื่อจะมีความสามารถชำระเงินกู้ได้หรือไม่ และจะยังมีความสามารถในการชำระแม้จะมีปัญหาสะดุดในบางโอกาส สุดท้ายนี้ นอกจากรายได้ ซึ่งบอกให้เห็นถึงความสามารถในการชำระ ที่เป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาสินเชื่อ ที่ผู้ขอสินเชื่อซึ่งอาจมีเพิ่มขึ้นได้ในอนาคตแล้วนั้น ประวัติในการชำระสินเชื่อ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่แสดงถึง วินัยทางการเงินของผู้ขอสินเชื่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องรักษา และสร้างได้ เพราะอนาคตในปีนี้จะเป็นอดีตในปีหน้า ซึ่งจะเป็นประวัติของเราต่อไป ที่ย้อนเวลากลับมาแก้ไขไม่ได้ เราจึงควรทำวันนี้ให้ดีที่สุด

1. ให้เปรียบเทียบประเด็นพิจารณาในการให้สินเชื่อระหว่าง สินเชื่อพาณิชยกรรม (Modern Trade) และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Development) รายใหญ่ๆในประเทศไทย

พาณิชยกรรม (Modern Tradeจะเป็นกิจการซื้อขายสินค้า หรือบางทีที่เรียกกันว่ากิจการซื้อมาขายไป หรือกิจการพาณิชยกรรมนั้น เป็นกิจการที่ซื้อสินค้ามาจากบุคคลอื่น แล้วมาจำหน่ายให้กับบุคคลอื่น โดยที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือแปรรูปสินค้าเลย กิจการซื้อขายสินค้านี้ ได้แก่ ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายรถจักรยานยนต์ เป็นต้น รายได้หลักของกิจการซื้อขายสินค้าคือรายได้จากการขายสินค้า และค่าใช้จ่ายหลักของกิจการซื้อขายสินค้าก็คือค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้ามาขายนั่นเอง สำหรับกิจการซื้อขายสินค้ามีเรื่องที่จะต้องทำความเข้าใจเพิ่มขึ้นจากกิจการให้บริการอีกมากเช่น เรื่องของส่วนลด เรื่องของค่าขนส่ง เป็นต้น

ธุรกิจพาณิชยกรรม คือ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการค้า ไม่ว่าจะเป็นพวกพ่อค้าคนกลางที่อยู่ในช่วงของการจัดจำหน่ายสินค้าไปยังผู้บริโภค หรือพวกพ่อค้าปลีกและส่ง ที่ขายสินค้าให้กับผู้บริโภค เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าสหกรณ์ และร้านขายของชำต่างๆ เป็นต้น

กิจการจำหน่ายสินค้า (ซื้อมาขายไป) เรียกว่า ธุรกิจพาณิชยกรรม (Merchandising business) เป็นธุรกิจที่ซื้อสินค้ามาเพื่อจำหน่ายโดยมิได้ทำการผลิตเอง เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านขายยา ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น

ส่วนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Development) รายใหญ่ๆในประเทศไทยอย่างเช่น cpn หรือcentral pattanaเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกมาตรฐานระดับโลกประสบความสำเร็จมากที่สุดในประเทศไทยโดยมีศูนย์การค้าชั้นนำภายใต้การบริหารถึง 10 แห่ง โดยเป็นผู้นำในพื้นที่ของโครงการแต่ละพื้นที่, ดำเนินกิจกรรมทางการตลาดที่ล้ำสมัย, มีมาตรฐานระดับโลก, มีการจัดการที่มีคุณภาพและ มุ่งสู่ความเป็นเลิศ, ได้รับความนิยมจากลูกค้าผู้เช่าพื้นที่จากความสำเร็จในการจัดวางร้านค้า, และ มีกิจกรรมและ โครงการที่ดึงดูดผู้บริโภคให้เข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง

โดยการให้สินเชื่อพาณิชยกรรมก็จะเป็นกลุ่มที่เล็กกว่าพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Development) รายใหญ่ๆในประเทศไทย

1.Character หรือ Credit Reputation คือcentral pattanaพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Development) รายใหญ่ๆในประเทศไทยจะมีประสบการณ์ในด้านการบริหารกิจการกว่าเนื่องจากประกอบธุรกิมาเป็น 10 ปี มาแล้วและยังสามารถสร้างกำไรได้มากเนื่องจากเป็นกิจกาจที่ใหญ่และมีหลายสาขา ทุกๆธนาคารจึงสนใจเป็นอย่างมากแก่การจะให้กู้สินเชื่อ

2.CapacityReputation คือcentral pattanaพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Development) รายใหญ่ๆในประเทศไทยมั่นคงและมีอายุการทำงานมานานในบริษัทที่ทำอยู่ในปัจจุบัน

3. Capital คือ เงินทุน หรือสินทรัพย์ หรือเงินฝากของผู้ขอสินเชื่อCapacityReputation คือcentral pattanaพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Development) รายใหญ่ๆในประเทศไทยมีหลักทรัพย์มากมาย เนื่องจากมีภาพลักษณ์ที่ดี

4.Conditionsคือcentral pattanaพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Development) รายใหญ่ๆในประเทศไทยมีสภาวะของเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นจะทำให้รายได้สุทธิลดลงซึ่งจะมีผลต่อความสามารถในการชำระได้แต่หากเป็นกิจกาพาณิชกรรมอาจจะต้องปิดชั่วคราวหรือยกเลิกกิจการไป

5.Collateral คือcentral pattanaพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Development) รายใหญ่ๆในประเทศไทยมีหลักประกันที่เป็นทรัพย์สินซึ่งจะนำมาจำนำหรือจำนองสร้งความมั่ใจให้แก่ธนาคาร

6.Common Senseคือcentral pattanaพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Development) รายใหญ่ๆในประเทศไทยสามารถเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกมาตรฐานระดับโลกประสบความสำเร็จมากที่สุดในประเทศไทยจึงสร้างความเชือมั่นและสามารถการันตีได้ว่าสามารถที่จะชำระหนี้ได้และไม่ทำให้ธนาคารจะต้องขาดทุน

3. การควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่สำคัญมาก ท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ และ บอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

แนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ

1.การควบคุมในแนวดิ่ง คือผู้บังคับบัญชาจะต้องให้ความเอาใจใส่ให้คำแนะนำแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อให้พนักงานเหล่านั้นทำงานด้านสินเชื่อได้ถูกต้อง

2.การควบคุมในแนวนอน สำรวจด้านตลาดของลูกค้าเพื่อเพื่อรับรู้กิจการของลูกค้า

3.การควบคุมในการตรวจสอบภายในโดยใช้ระบบสุ่มตรวตเพื่อไม่ให้พนักงานรู้ล่งหน้าเพื่อจะได้จับพิรุจได้

การติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

1.โดยจะกระตุ้นที่ตัวพนังงานโดยใช้การประเมินผลงานของพนักงานว่าเป็นอย่างไรเพื่อกระตุ้นให้เกิดการแก้ขและพัฒนาในการติดตามหนี้

2.ใช้ฝ่ายพนักงานที่มีความรู้ในเรื่องกฎหมายคุยกับลูกหนี้ที่ไม่ยอมจ่ายเพื่อให้เกิดการหวั่นกลัวเพราะลูกค้าส่วนใหญ่เมื่อรู้ว่าเรื่องขึ้นศาลจะกลัวกัน

2. การที่เกิดภาวะเงินบาทมีค่าลดลงมาก (เงินบาทอ่อนตัว) มีผลต่อการที่ธนาคารของท่านในการให้สินเชื่ออย่างไรบ้าง และการที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่นั้น จะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในประเด็นใดบ้าง

มีผลต่อการที่ธนาคาร

กรณีของค่าเงินบาทอ่อนลง ก็อาจจะเกิดได้ในกรณีที่ไทยต้องการนำเข้ามาก ๆ เช่น ต้องการนำเข้าน้ำมัน หรือกรณีการนำเข้าวัตถุดิบหรือเครื่องจักรจากต่างประเทศ ดังนั้น ในกรณีนี้ ก็จะต้องมีการนำเงินบาทไปแลกเป็นเงินตราต่างประเทศ เพื่อที่จะได้เอาเงินไปจ่ายต่างประเทศ ความต้องการในเงินตราสกุลต่างประเทศก็จะสูงขึ้น กลไกตลาดก็จะทำให้ค่าของเงินบาทอ่อนลง เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า ค่าเงินบาทสามารถที่จะแข็งขึ้นและอ่อนลงได้ด้วยหลายๆ ปัจจัย แม้กระทั่งหากนักเก็งกำไรมีความรู้สึกว่าค่าเงินบาทน่าจะอ่อนกว่าที่เป็นอยู่ จึงต้องการที่จะถือเงินบาทน้อยลงจึงทำให้เกิดการขาดแคลนสินค้าทำให้ต้องการเงินทุนเป็นจำนวนมากเพื่อความความต้องการจึงมีลูกค้าขอกู้เพื่อนำเงินไปลงทุน

ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่นั้น จะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย จำกัดเพราะเคยเป็นกรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย และประธานสมาคมธนาคารไทย

4. จงอธิบายถึงอัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratio) ที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ พร้อมทั้งอธิบายลงไปในรายละเอียดด้วยว่ามีวิธีการพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้

ตอบ อัตราส่วนทางการเงิน (Financial ratio) เป็นการนำตัวเลขที่อยู่ในงบการเงินมาหาอัตราส่วนเพื่อใช้ในการวิเคราะห์เปรียบเทียบกับกิจการอื่น หรือ เปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานในอดีต ช่วยให้ผู้วิเคราะห์ประเมินผลการดำเนินงาน แนวโน้ม และความเสี่ยงของกิจการได้ดียิ่งขึ้น

การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน (Ratio Analysis)

เป็นการนำรายการต่าง ๆ ในงบการเงินมาเทียบอัตราส่วนเพื่อหาความสัมพันธ์ว่ามีความเหมาะสมเพียงใด การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินแบ่งตามวัตถุประสงค์ในการใช้งาน 4 ประการ

1. การวิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity Ratio)

2. การวิเคราะห์ความสามารถในการหากำไร (Profitability Ratio)

3. การวิเคราะห์ความสามารถ (ประสิทธิภาพ) ในการดำเนินงาน (Efficiency Ratio)

4. การวิเคราะห์โครงสร้างของเงินทุนหรือภาระหนี้สิน (Leverage Ratio or Financial Policy Ratio)

1.การวิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity Ratio)

1.1 อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนหรืออัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio) อัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current Ratio) = สินทรัพย์หมุนเวียน (CA)/หนี้สินหมุนเวียน (CL)

วัด ความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น ถ้าค่าที่คำนวณได้สูงเท่าใด แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนที่ประกอบไปด้วย เงินสด ลูกหนี้ และสินค้าคงเหลือมากกว่าหนี้ระยะสั้น ทำให้คล่องตัวในการชำระหนี้ระยะสั้นมีค่อนข้างมาก โดยปกติ อัตราส่วน 2 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว

1.2 อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio or Acid Test Ratio) อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio) = (สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงเหลือ)/หนี้สินหมุนเวียน หรือ (Quick Ratio = CA - Inventory)/CL เป็นการวัดส่วนของสินทรัพย์ที่ได้หักค่าสินค้าคงเหลือ ที่เป็นสินทรัพย์ระยะสั้นและมีความคล่องตัวในการเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ต่ำสุด ออก เพื่อให้ทราบถึงสภาพคล่องที่แท้จริงของกิจการได้ โดยปกติอัตราส่วน 1 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว

1.3 อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover) อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover) A/R Turnover = ขายเชื่อสุทธิ หรือใช้ยอดขายรวม (ครั้ง หรือ รอบ)/ลูกหนี้ถัว เฉลี่ย ลูกหนี้ถัว เฉลี่ย = (ลูกหนี้ต้นงวด + ลูกหนี้ปลายงวด)/2 หากค่าที่คำนวณได้ มีค่าสูง แสดงถึงความสามารถในการบริหารลูกหนี้ให้แปลงสภาพเป็นเงินสดได้เร็ว

1.4 ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Average Collection Period) ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Avg. Collection Period) (วัน) = 365 วัน/อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ ยิ่งต่ำยิ่งดี

แสดงให้เห็นถึงระยะเวลาในการเรียกเก็บหนี้ว่าสั้นหรือยาว เพื่อให้ทราบถึงคุณภาพของลูกหนี้ ประสิทธิภาพในการเรียกเก็บหนี้ และนโยบายในการให้สินเชื่อทางธุรกิจ

1.5 อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover) อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover) = ต้นทุนสินค้าขาย (COGS)/สินค้าคงเหลือเฉลี่ย (Avg. Inventory) สินค้าคงเหลือเฉลี่ย =(สินค้าต้นงวด + สินค้าปลายงวด)/2 หากค่าคำนวณได้สูง ย่อมแสดงถึงความสามารถในการบริหารการขายสินค้าได้เร็ว

1.6 ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า(วัน) = 365 (วัน)/อัตราหมุนเวียนของสินค้า (Inventory Turnover) ยิ่งขายได้เร็ว (ระยะเวลาสั้น) ยิ่งดี

2.ความสามารถในการหากำไร (Profitability Ratio)

1.1 อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)

1.2 อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit Margin)

1.3 อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)

1.4 อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Return On Equity or ROE)

อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)(%) = ขายสุทธิ - ต้นทุนขาย หรือ SALES - COGS/ขายสุทธิ SALES = กำไรขั้นต้น หรือ Gross Profit/ขายสุทธิ SALES ยิ่งสูงยิ่งดี

อัตรากำไรจากผลการดำเนินงาน(Operating Profit Margin)(%) = กำไรจากการดำเนินงาน(Operating Profit Margin)/ขายสุทธิ (SALES) ยิ่งสูงยิ่งดี

อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)(%) = กำไรสุทธิ (Net Profit)/ขายสุทธิ (SALES)

ยิ่งสูงยิ่งดี แสดงให้เห็นประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทในการทำกำไร หลังจากหักต้นทุนค่าใช้จ่ายรวมทั้งภาษีเงินได้หมดแล้ว

ผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE %) = กำไรสุทธิ (Net Profit)/ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity)

ยิ่งสูงยิ่งดี แสดงให้เห็นว่าเงินลงทุนในส่วนของเจ้าของ จะได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาจากการดำเนินการของกิจการนั้นในอัตราส่วนเท่าไร หากมีค่าสูง แสดงถึงประสิทธิภาพในการหากำไรสูงด้วย Dupont Equation

ROE (%) = NP (or EAT) = (EAT/SALES) (SALES/ASSETS) (ASSETS/EQUITY) /Equity

หรือ ROE (%) =รายได้จากการขาย สินทรัพย์ทั้งหมด= กำไรสุทธิ X รายได้จากการขาย X สินทรัพย์ทั้งหมด / ส่วนของผู้ถือหุ้น

= (ความสามารถในการหากำไร) (การใช้เงินทุน) (ความสามารถในการหาทุน)

หรือ สมการนี้เท่ากับ

ROE (%) = (Net Profit Margin) (Total Asset Turnover) (Financial Leverage)

3. อัตราส่วนแสดงประสิทธิภาพในการทำงาน (Efficiency Ratio)

อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม (ROA)(%) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /สินทรัพย์รวม (Total Assets) ยิ่ง สูงยิ่งดี เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรของสินทรัพย์ทั้งหมดที่ธุรกิจใช้ในการ ดำเนินงาน ว่าให้ผลตอบแทนจากการดำเนินงานได้มากน้อยเพียงใด หากมีค่าสูง แสดงถึงการใช้สินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ

อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ถาวร (ROFA) = กำไรสุทธิ (Net Profit or NP)/รวมสินทรัพย์ถาวร (Fix Assets) อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Turnover) อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Turnover)(ครั้ง) = ขายสุทธิ (SALES)/สินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset) ยิ่งสูงยิ่งดี

อัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total Assets Turnover) อัตราส่วนการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total Assets Turnover) (ครั้งหรือเท่า) = ขายสุทธิ (SALES)/สินทรัพย์รวม (Total Assets) จำนวน ครั้งสูง ดี เป็นอัตราส่วนที่แสดงถึงประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ทั้งหมด (TA) เมื่อเทียบกับยอดขาย (SALES) ถ้าอัตราส่วนนี้ต่ำ แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์มากเกินความต้องการ

4. อัตราส่วนวิเคราะห์นโยบายทางการเงิน (Leverage Ratio or Financial Ratio)

เพื่อให้ทราบถึงแหล่งที่มาของเงินทุนว่ามาจากหนี้สินหรือส่วนของเจ้าของ ว่ามีมากน้อยเพียงใด

อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt/Equity Ratio) (เท่า) = หนี้สินรวม (Total Debt)/ส่วนของเจ้าของ (Equity) ยิ่งต่ำยิ่งดี แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงในด้านเจ้าหนี้และเจ้าของกิจการ ถ้าอัตราส่วนสูงแสดงว่า กิจการมีความเสี่ยงจากการกู้ยืมเงินมาใช้ในการดำเนินกิจการ

ความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest Coverage) (เท่า) = {กำไรสุทธิ (NP) + ภาษีเงินได้ (Tax) - ดอกเบี้ยจ่าย(Interest)}/ดอกเบี้ยจ่าย (Interest) เป็นการวัดความสามารถของธุรกิจในการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ ผลคำนวณออกมามีค่าสูง แสดงว่าธุรกิจมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยสูง

อัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout) = เงินปันผลต่อหุ้น (Dividend/share)/กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) แสดงถึงนโยบายการจ่ายเงินปันผลของธุรกิจ อัตราส่วนที่กล่าวมาเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์หลักทรัพย์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน เพื่อท่านจะได้พิจารณางบการเงินได้ในระดับหนึ่ง

สัญญาณเตือนภัยจากการวิเคราะห์งบการเงิน

1. ขาดทุนมาก ๆ และติดต่อกันหลายปี

2. ระยะเวลาการเก็บหนี้นานขึ้น

3. อัตราหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของสูงขึ้นเร็วมาก

4. สินค้าคงคลังสูงมากผิดปกติ

5. ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น

6. ยอดขายสูงขึ้น แต่กำไรลดลง

7. หนี้สูญเพิ่มขึ้น

8. รายงานผู้สอบบัญชีผิดปกติ เปลี่ยนผู้สอบบัญชีใหม่

9. ขายสินทรัพย์ของบริษัท เพื่อสร้างกำไรให้เข้าเป้าในระยะสั้น

6. เมื่อท่านได้ศึกษาเพาเวอร์พอยท์ เรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคาร ไปนั้น ขอให้ท่านจับประเด็นให้ได้ว่ามีประเด็นใดบ้างที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียมตัวมากู้เงินจากธนาคาร และประเด็นเหล่านั้นธนาคารสามารถตรวจสอบได้อย่างไร

ตอบ ลูกค้าจะวางแผนมาก่อนประมาณ 3 เดือน วางแผนและเตรียมเอกสารโดยครบและละเอียดมากจนจับผิดไม่ได้ และธนาคารก็สามารถตรวจสอบได้แต่ถ้าพนักงานธนาคารควรมีคุณสมบัติการให้ลูกค้ากู้เงินดังนี้

โดยใช้นโยบาย 6 'C

มาใช้ในการวิเคราะห์การให้สินเชื่อแก่ธุรกิจ e - Commerce จะทำให้การวิเคราะห์ไวขึ้น และละเอียดขึ้น เพราะหลักเกณฑ์นี้เป็นหลักเกณฑ์สากลที่ใช้กันอยู่ทุกมุมโลก จึงทำให้ระยะเวลาในการวิเคราะห์สินเชื่อเร็วและละเอียดขึ้น ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจสามารถนำเงินทุนกู้ยืมจากธนาคารมาใช้ในการขยายตัวของธุรกิจได้ไวขึ้น และส่งผลสะท้อนถึงสภาพทางเศรษฐกิจที่ดีอีกด้วย

1. คุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อ(Character) หรือ การชำระคืน (Payment) เป็นการพิจารณาในเเง่การมีรายได้ในการประกอบอาชีพ หรือการทำธุรกิจว่าเพียงพอที่จะสามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดเเละวันเวลาได้หรือไม่ เเละมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด

2. คุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อ (Character) เป็นคุณสมบัติประการเเรกที่จะพิจารราว่าผู้ขอสินเชื่อมีนิสัย ความประพฤติ หรืออาชีพที่ทำนั้นมีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด

3.หลักประกัน (Collateral) เป็นการนำหลักทรัพย์ที่เป็นที่ดิน หรือสิ่งปลูกสร้าง ไปคำประกันไว้กับธนาคาร เพื่อเป็นการช่วยลดความเสี่ยงของธนาคาร

4.เงินทุน (Captital) ต้องพิจารณาว่า ผู้ที่ขอสินเชื่อนั้นมีมูลค่าทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินอยู่เท่าใด

5.สภาพทางเศรษฐกิจ (Condition) เป็นการพิจารณาถึงสภาพเเวดล้อมภายนอกที่ส่งผลทั้งในเเง่บวกเเลพเเง่ลบต่อผู้ขอสินเชื่อ

6. การป้องกันความเสี่ยง(Protection) โดยเจ้าหน้าที่ต้องนำเอกสารการชำระคืนเเละวัตถุประสงค์มาพิจารณาร่วมกันเพื่อลดความเสี่ยงลง

3. การควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่สำคัญมาก ท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ และ บอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

ตอบ การจัดการความเสี่ยง หรือ การบริหารความเสี่ยง (risk managment) คือ การจัดการความเสี่ยง ทั้งในกระบวนการในการระบุ วิเคราะห์(en:risk analysis) ประเมิน(en:risk assessment) ดูแล ตรวจสอบ และควบคุมความเสี่ยงที่สัมพันธ์กับ กิจกรรม หน้าที่และกระบวนการทำงาน เพื่อให้องค์กรลดความเสียหายจากความเสี่ยงมากที่สุด อันเนื่องมาจากภัยที่องค์กรต้องเผชิญในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือเรียกว่า อุบัติภัย (Accident )

ความเสี่ยงมีความหมายในหลากหลายแง่มุม เช่น ความเสี่ยงคือ

• โอกาสที่เกิดขึ้นแล้วธุรกิจจะเกิดความเสียหาย (Chance of Loss)

• ความเป็นไปได้ที่จะเกิดความเสียหายต่อธุรกิจ (Possibility of Loss)

• ความไม่แน่นอนของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น (Uncertainty of Event)

• และ การคลาดเคลื่อนของการคาดการณ์ (Dispersion of Actual Result)

นโยบายสินเชื่อและเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงด้านสินเชื่อ

ในการดำเนินงานด้านสินเชื่อของธนาคารตามแนวนโยบายสินเชื่อใหม่ ธนาคารได้แยกหน่วยงานธุรกิจสัมพันธ์ซึ่งเป็นจุดเริ่มของธุรกิจสินเชื่อ ออกจากงานด้านอนุมัติสินเชื่อเพื่อให้เกิดอิสระในด้านกระบวนการพิจารณาสินเชื่อ รวมทั้งได้จัดทำมาตรฐานการอำนวยสินเชื่อเพื่อเป็นเครื่องมือกำกับการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ธุรกิจสัมพันธ์และเจ้าหน้าที่สินเชื่อ โดยได้ระบุถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เป้าหมายธุรกิจและมาตรฐานขั้นต่ำในการอำนวยสินเชื่อ ทั้งนี้ธนาคารได้ทบทวนและปรับปรุงนโยบายและระเบียบด้านอำนาจอนุมัติสินเชื่ออย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาวะเศรษฐกิจ ประสบการณ์ในการอำนวยสินเชื่อ และกฎระเบียบใหม่ของทางการ ยึดหลักกระจายอำนาจตามระดับความเสี่ยง (Risk-Based Approval Limits) ในการกำหนดอำนาจอนุมัติสินเชื่อ โดยกำหนดให้อำนาจอนุมัติสินเชื่อของผู้มีอำนาจอนุมัติสินเชื่อแต่ละระดับตามลำดับความเสี่ยงสินเชื่อ (Credit Risk Rating) ความเสียหายที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Severity Class) และวงเงินสินเชื่อ (Loan Equivalent Amount) ใช้การจัดลำดับความเสี่ยงสินเชื่อ (Credit Risk Rating) ในการวัดความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ (Default Risk) สำหรับลูกค้าธุรกิจ โดยวิธีการจัดลำดับ (Rating) ที่พัฒนาขึ้นภายในจากประสบการณ์ของธนาคารเอง ซึ่งได้ใช้อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาประมาณ 2 ปี และใช้ Credit Scoring เพื่อวัดความเสี่ยงสินเชื่อสำหรับลูกค้ารายย่อยโดยได้มีการพัฒนาและปรับปรุง Credit Scoring อย่างต่อเนื่องจากประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้นและภาวะตลาด การวัดความเสี่ยงสินเชื่อไม่ว่าในรูป Credit Rating หรือ Credit Scoring ธนาคารมุ่งหวังที่จะเป็นรากฐานในการพัฒนาระบบการกำหนดผลตอบแทนให้เหมาะสมกับความเสี่ยง (RAROC) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารเงินให้สินเชื่อ (Credit Portfolio) อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

สำหรับการบริหาร Portfolio สินเชื่อนั้น ยังมีความจำเป็นต้องพัฒนาความสามารถในด้านนี้อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยงสินเชื่อในระดับ Portfolio ด้วยการกำหนดเพดานความเสี่ยงสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ และอยู่ในระหว่างการศึกษาเพื่อจัดหาเครื่องมือ ทั้งในด้านการติดตาม การควบคุม ตลอดจนการทดสอบ Sensitivity Analysis และการทำ Stress Test เพื่อที่จะช่วยให้ธนาคารสามารถบริหาร Portfolio สินเชื่อที่มีประสิทธิภาพดี ยิ่งขึ้น รองรับกับการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมต่อไป

ตัวอย่างการติดตามทวงหนี้ที่มีประสิทธิภาพและได้ผล

หลักในการทวงหนี้อันดับแรกคือการเขียนจดหมาย

• เลือกใช้ข้อความและสำนวนให้เหมาะกับลูกค้าและโอกาส จะต้องระมัดระวังคำพูดมิให้เป็นการดูหมิ่นลูกค้า แต่ควรเขียนด้วยภาษาสุภาพและแสดงความคาดหวังว่าลูกค้าจะชำระค่าสินค้าโดยเร็ว

• จดหมายทวงหนี้ในครั้งแรก ควรเขียนเพียง เตือนลูกค้าว่าครบกำหนดชำระหนี้แล้วขอให้รีบชำระด้วย

• หากเขียนจดหมายทวงหนี้ไปครั้งหนึ่งแล้วยังไม่ได้รับคำตอบจากลูกค้าแต่อย่าง ใด อาจเขียนจดหมายติดตามเป็นครั้งที่สอง โดยขอให้ลูกค้าแจ้งเหตุผลอันสมควร และเขียนอย่างสุภาพนุ่มนวลที่สุด โดยเขียนอ้างถึงความปรารถนาดีที่จะรักษาชื่อเสียงและความเชื่อถือทางการเงิน ที่ดีของลูกค้า

• หากส่งจดหมายทวงหนี้ไปแล้ว 2-3 ฉบับ แต่ยังไม่ได้รับคำตอบ อาจจะยื่นกำหนดเวลาชำระเงินให้เป็นคำขาดและอาจอ้างอิงถึงการดำเนินงานตาม กฎหมาย

ถ้าเกิดไม่ได้ผลจริงก็ไปทวงเองเลยวิธีนี้ได้ผลแน่ 100%

วิธีที่ 1 การทวงหนี้เถ้าแก่ใหญ่บริษัทรับเหมาชื่อดัง ลูกหนี้รายนี้หาตัวยากชมัดโกงทรัพย์พายเออร์ตั้งแต่ตะปูไปจนถึงเสาเข็ม ค่าแรงพนักงาน พูดหยาบ ๆ โกงครบวงจร ผมบอกว่ามันว่าไงรู้ไหมครับ มึงต้องหาตัว เถ้าแก่ใหญ่ให้ได้ ลูกน้องผมตอบว่า ไม่รู้แม่งไปอยู่ไหน ไม่รู้ไปซุกอยู่รูไหน ผมบอกว่า มึงส่งนักสืบไปเฝ้าที่บ้านมัน 24 ชั่วโมง หาตัวมันให้เจอ ไปทวงมันในสนามกอล์ฟเลย วิธีการที่ผมว่าเป็นผล ลูกน้องผมเจอมันจนได้ มันกลับบ้านตี 2 อาบน้ำแต่งตัว ตี 4 มันออกจากบ้าน ลูกน้องผมขับรถตามไปทันที่สนามกอล์ฟแถวรามอินทรา พอรู้ว่ามันตีกอล์ฟผมบอกลูกน้องผมให้ไปขอแรงตำรวจท้องที่มาคนหนึ่งประกาศเรียกมันเลยบอกว่ามีเรื่องด่วน พอมันมาเท่านั้นเอง เราก็เปิดสงครามการทวงหนี้เลย ลูกน้องผมเล่าให้ฟังว่า หน้ามันถอด สีเห็นได้ชัดเลย พอมันเพรี่ยงพร้ำ ลูกน้องด่าว่ามันรุนแรงเสีย ๆ หาย ๆ ว่ามันตั้งใจโกง คนได้ยินกันทั้งสโมสร วิธีการของผมได้ผลจริง ๆ มันยกมือไหว้เลย แล้วบอกว่าให้พูด เบาหน่อยอายคน และไปคุยในห้องส้วม สุดท้ายจ่ายเช็คมาเป็นอันจบเรื่อง

วิธีที่ 2 ลูกหนี้ตัวแสบไม่เคยกลับบ้านเลยเหลือแต่ภรรยาและลูก ลูกหนี้ประเภทนี้สร้างความปวดหัวมือไม่ถึงทวงไม่ได้ปากไม่จัดก็ทวงไม่ได้ พอไปทวงภรรยาบอกเรื่องของผัวสามีไม่เกี่ยว ไม่รู้เรื่องไม่ได้เอาเงินมามันพูดแบบหน้าด้าน ๆ ไม่กลัวบาปกลัวกรรมด่าเท่าไหร่ก็ไม่อายไม่รู้สึกแถมบอกว่า มีคนมาทวงกูทุกวันและก็ท้าให้ฟ้องอีกด้วย งานนี้ลูกน้องผมปวดขมับบอกว่านายทำไงดี ผมบอกว่า ลูกหนี้ประเภทนี้ต้องประจาน เช่น ตอนเช้าไปจ่ายตลาดไปทวงมันกลางตลาดเลยด่ามันให้เสียเลยแม้งานนี้เรียบร้อยหน้ามันเหลือ 2 หุน ดูไม่จืดเลยผมยังนึกหน้ามันออกเลยมันรีบกลับบ้านแล้วเตรียมเงินเตรียมทองจ่ายผมเลยมันด่าผมเสียหมาเลยมันบอกว่าผมเล่นแรงผมบอกว่าผมทำตามหน้าที่ต้องขอโทษด้วยวันหน้าอย่าลืมใช้บริการผมนะถ้าคุณถูกเบี้ยว

วิธีที่ 3 ลูกหนี้บริษัทรับเหมา รับงานราชการต้องสืบให้รู้ว่ารับงานที่ไหนแล้วเข้าไปก่อกวนร้องเรียนแบบนี้ไม่นานต้องจ่ายแน่ เพราะประวัติเสื่อมเสียราชการไม่เอา เมื่อเจอลูกหนี้ต้องขู่ลูกหนี้ว่าถ้าคุณไม่จ่ายผมจะเอาคำสั่งศาลมาระงับเงินที่ส่วนราชการทันที คุณต้องมีประวัติเสื่อมเสียราชการจะขึ้นบัญชีดำคุณ คุณจะอับอายขายขี้หน้าให้รีบจ่ายเป็นการด่วน หากไม่จ่ายเดือดร้อนแน่ คนอย่างผมไม่เคยขู่ใครพูดแล้วต้องทำไม่ต้องท้าผมถ้าใช้มุขนี้โดยทั่วไปลูกหนี้ยอมจ่ายสถานเดียว

1. ให้เปรียบเทียบประเด็นพิจารณาในการให้สินเชื่อระหว่าง สินเชื่อพาณิชยกรรม (Modern Trade) และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Development) รายใหญ่ๆในประเทศไทย

ตอบ การเปรียบเทียบ กิจการพาณิชยกรรม

สนับสนุนสินเชื่อให้แก่ลูกค้าผู้ประกอบการทั่วไป เพื่อนำเงินไปลงทุนในกิจการ เพื่อซื้อทรัพย์สิน หรือเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

ประเภทวงเงิน

วงเงินกู้ระยะยาว ( Term Loan Facility ) เป็นเงินกู้ที่มีระยะเวลาการชำระคืนเกิน 1 ปีขึ้นไปสามารถชำระคืนเงินต้นเป็นรายเดือน รายไตรมาส หรือรายปี ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และความเหมาะสมของธุรกิจเป็นเงินกู้เพื่อรองรับการลงทุนระยะยาว

วงเงินกู้ยืมระยะสั้น ( Working Capital Facility) เป็นเงินสินเชื่อระยะสั้น เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ มีระยะเวลาการใช้คืนเงินกู้ไม่เกิน 1 ปีหรืออาจทบทวนเงินกู้ทุกปีตามความจำเป็น และวัตถุประสงค์การใช้เงิน

การอาวัล หรือ ค้ำประกัน ( Aval / Guarantees)

หลักประกัน

• อสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท

• หลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด

• โรงงาน /เครื่องจักร

• เงินฝาก / หุ้น

• สินค้าคงคลัง

• หนังสือค้ำประกันของสถาบันการเงิน หรือ บสย.

คุณสมบัติของผู้กู้

• นิติบุคคล ที่จดทะเบียนในประเทศไทย

• บุคคลธรรมดา ที่มีอายุไม่น้อยกว่า 20 ปี และประกอบธุรกิจที่มีหลักแหล่งแน่นอน

เอกสารประกอบขอสินเชื่อเบื้องต้น

กรณีขอกู้ในนามนิติบุคคล

• ใบคำขอสินเชื่อ

• สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนหุ้นส่วน / บริษัทไม่เกิน 3 เดือนนับจากวันยื่นเอกสาร

• สำเนาหนังสือบริคณห์สนธิ และข้อบังคับบริษัท

• สำเนาใบอนุญาติประกอบกิจการ /สำเนาทะเบียนการค้า

• บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นไม่เกิน 3 เดือนนับจากวันยื่นเอกสาร

• สำเนาบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากร

• สำเนารายการเดินบัญชี ( Statement )กับสถาบันการเงิน

• งบการเงิน

• ข้อมูลเอกสารหลักประกัน

• ประวัติความเป็นมาของบริษัท และ ประวัติของผู้บริหาร

• รายละเอียดความเป็นมาของกิจการ และแผนธุรกิจ

• สำเนาสัญญาซื้อขายหรือสัญญามัดจำ ในกรณีเพื่อซื้อสินค้าหรือทรัพย์สิน ( ถ้ามี )

• เอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณื

ในกรณีขอกู้ในนามบุคคลธรรมดา

• ใบคำขอสินเชื่อ

• สำเนาบัตรประชาชน

• สำเนาทะเบียนบ้าน

• สำเนาทะเบียนสมรส / ทะเบียนหย่า

• เอกสารแสดงการเปลี่ยนชื่อตัวหรือชื่อสกุล ( ถ้ามี )

• สำเนารายการเดินบัญชี ( Statement ) กับสถาบันการเงิน

• สำเนาใบแสดงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

• ข้อมูลเอกสารหลักประกัน

• เอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี

การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

สนับสนุนสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทุกขนาดธุรกิจ ทุกพื้นที่ ผู้ประกอบการสามารถขยายหรือทำธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดชะงัก นอกเหนือจากการสนับสนุนด้านเงินทุน เรายังพร้อมจัดหาพันธมิตรเพื่อร่วมทุน ร่วมจัดการวางแผนการเงิน การตลาด และการบริหารโครงการ

ประเภทวงเงิน

วงเงินกู้ระยะยาว ( Term Loan Facility)เป็นเงินกู้ที่มีวัตถุประสงค์การใช้เงินเพื่อรองรับการก่อสร้างหรือเพื่อพัฒนาโครงการใดโครงการหนึ่งกำหนดระยะเวลา

การชำระคืนเงินกู้จะขึ้นอยู่กับระยะเวลาการพัฒนาโครงการมีช่วงเวลาการปลอดเงินต้นและสามารถแบ่งการชำระคืนเงินต้นได้หลายวิธี ทั้งแบบรายเดือนรายไตรมาสหรือรายปี

หรือทยอยชำระคืนเงินต้นตามการปลอดหลักประกัน

วงเงินกู้ยืมระยะสั้น ( Working Capital Facility)

เป็นเงินสินเชื่อระยะสั้น เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

มีระยะเวลาการใช้คืนเงินกู้ไม่เกิน 1 ปี หรืออาจทบทวนเงินกู้

ทุกปีๆตามความจำเป็น และวัตถุประสงค์การใช้เงิน

การอาวัล หรือ ค้ำประกัน ( Aval / Guarantees)

เป็นการอาวัล หรือค้ำประกันการชำระเงิน ที่เกี่ยวข้องกับ

หน่วยงานราชการ หรือองค์การของรัฐ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาโครงการ

หลักประกัน

ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง ที่เป็นที่ตั้งของโครงการเป็นประกัน

หลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดหรือทรัพย์สินอื่นๆ

เงินฝาก/หุ้น

รับโอนสิทธิการเช่าในอสังหาริมทรัพย์

หนังสือค้ำประกันของสถาบันการเงิน หรือ บสย.

คุณสมบัติผู้กู้

ผู้ประกอบการขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ทั้งที่มีประสบการณ์หรือไม่มีประสบการณ์

เอกสารในการขอสินเชื่อเบื้องต้น

• ใบคำขอสินเชื่อ

• สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนหุ้นส่วน / บริษัท ไม่เกิน 3 เดือนนับจากวันยื่นเอกสาร

• สำเนาหนังสือบริคณห์สนธิ และข้อบังคับบริษัท

• สำเนาทะเบียนการค้า

• บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นไม่เกิน 3 เดือนนับจากวันยื่นเอกสาร

• สำเนาบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากร

• สำเนารายการเดินบัญชี ( Statement )กับสถาบันการเงิน

• งบการเงิน

• ข้อมูลเอกสารหลักประกัน

• ประวัติความเป็นมาของบริษัท และ ประวัติของผู้บริหาร

• รายละเอียดและข้อมูลโครงการ ความเป็นไปได้ของโครงการ ประมาณการงบกระแสเงินสด และแผนการดำเนินธุรกิจ

• โครงการที่บริษัทดำเนินการในอดีต หรือกำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน และ โครงการในอนาคต

• สำเนาสัญญาซื้อขาย / หรือสัญญามัดจำในกรณีเพื่อซื้อทรัพย์สิน

• เอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี

2. การที่เกิดภาวะเงินบาทมีค่าลดลงมาก (เงินบาทอ่อนตัว) มีผลต่อการที่ธนาคารของท่านในการให้สินเชื่ออย่างไรบ้าง และการที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่นั้น จะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในประเด็นใดบ้าง

ตอบ ทำให้เกิดเงินเฟ้อ

สาเหตุของเงินเฟ้อ

เงินเฟ้อมีสาเหตุหลายประการ พอสรุปได้ดังนี้

1. เกิดจากอุปสงค์มวลรวมเพิ่มขึ้น คือ ภาวะที่ปริมาณความต้องการในการซื้อสินค้าหรือบริการมีมากกว่าปริมาณความต้องการในการขายสินค้าหรือบริการทำให้ปริมาณสินค้าและบริการในตลาดขาดแคลน ไม่เพียงพอกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น จึงเป็นเหตุให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ

2. เกิดจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น เนื่องจากระดับราคาวัตถุดิบที่นำมาใช้เป็นปัจจัยการผลิตมีราคาสูงขึ้น หรือ อัตราค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น เป็นเหตุให้ราคาสินค้าสูงตามไปด้วย

ผลกระทบของเงินเฟ้อ

เมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น ราคาสินค้าหรือบริการเพิ่มขึ้น การใช้จ่ายในสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของผู้บริโภคจะเพิ่มขึ้นเพราะกลัวราคาสินค้าจะแพงขึ้นอีก ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนสินค้า ทำให้ราคาสินค้ายิ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ดี ภาวะเงินเฟ้อจะเกิดผลดีหรือผลเสียต่อบุคคลแต่ละกลุ่ม ดังนี้

1. ผลดีต่อพ่อค้า นักธุรกิจ เพราะขายสินค้าหรือบริการได้ราคาสูงขึ้น และส่งผลดีต่อลูกหนี้ เพราะเงินที่เป็นหนี้มีอำนาจซื้อลดลง ระดับราคาสินค้าสูงขึ้น จำนวนเงินเท่าเดิมซื้อของได้น้อยลง เท่ากับลูกหนี้ใช้หนี้น้อยลง แม้นว่าจำนวนเงินที่ชำระจะยังคงเท่าเดิม นอกจากนี้ภาวะเงินเฟ้อจะเกิดผลดีต่อกลุ่มบุคคลที่มีรายได้จากการเปลี่ยนแปลงตามภาวะเศรษฐกิจ เพราะสามารถเรียกค่าบริการ หรือตั้งราคาสินค้าได้ตามต้องการ เช่น แพทย์ ช่างตัดผม ช่างตัดเสื้อ เป็นต้น

2. ผลเสีย ต่อผู้มีรายได้ประจำ เพราะรายได้เท่าเดิม แต่ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ทำให้รายจ่ายเพิ่มขึ้นด้วย เจ้าหนี้และผู้มีเงินออมจะเสียเปรียบ เพราะมูลค่าของเงินลดลงเช่น สมชายมีเงินฝากอยู่ในธนาคาร หนึ่งแสนบาท ในภาวะเงินเฟ้อ เงินหนึ่งแสนที่สมชายมีอยู่ จะมีค่าของเงินลดลงเพราะเงินเท่าเดิม แต่จะซื้อสินค้าได้น้อยลง หรือ ถ้าต้องการสินค้าเท่าเดิม ต้องจ่ายเป็นเงินเพิ่มขึ้น เป็นต้น

แนวทางแก้ปัญหาภาวะเงินเฟ้อ

เมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อ ระดับราคาสินค้าสูงขึ้นจะทำให้ประชาชนโดยทั่วไปเดือดร้อน ทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจ รัฐบาลจึง กำหนดแนวทางแก้ไข ดังนี้

1. ใช้นโยบายทางการเงิน โดยเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้เพื่อลดปริมาณเงินในมือประชาชนให้น้อยลง ทำให้ปริมาณความต้องการในการซื้อสินค้าของผู้บริโภคลดลงนอกจากนี้ยังเพิ่มการขายพันธบัตรรัฐบาลให้ธนาคารพาณิชย์และประชาชนมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ลดการรับชื้อพันธบัตรรัฐบาลคืนจากประชาชนและลดการขยายเครดิตหรือปล่อยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์

2. ใช้นโยบายการคลัง โดยเพิ่มการเก็บภาษีจากประชาชน ใช้งบประมาณแบบเกินดุล คือ ลดรายจ่ายภาครัฐให้น้อยลง แต่เพิ่มรายได้ของรัฐบาลโดยการเก็บภาษีให้มากขึ้น เพื่อลดปริมาณเงินในมือประชาชนให้น้อยลง

การให้สินเชื่อแก่ธนาคารกสิกรไทยดังนี้

สินเชื่อ หมายถึง เงินให้สินเชื่อ และภาระผูกพัน

โดยธนาคารแบ่งลักษณะการให้บริการด้านสินเชื่อเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่

บริการสินเชื่อธุรกิจ (Business Loans)

หมายถึง สินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปใช้ในการดำเนินธุรกิจ และการสร้างรายได้ขององค์กรธุรกิจ ซึ่งเป็นรากฐานทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศ ประกอบด้วย สินเชื่อพาณิชยกรรม สินเชื่ออุตสาหกรรม สินเชื่อธุรกิจบริการ สินเชื่อเพื่อธุรกิจก่อสร้าง สินเชื่อเพื่อธุรกิจการเกษตร และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง สินเชื่อธุรกิจโครงการ สินเชื่อเพื่อโครงการภาครัฐ สินเชื่อสถาบันการเงิน และสินเชื่อสาขาต่างประเทศ

บริการสินเชื่อส่วนบุคคล (Consumer Loans)

หมายถึง สินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อที่อยู่อาศัย เพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิต รวมทั้งการประกอบอาชีพส่วนบุคคล ได้แก่ สินเชื่อกรุงไทยเคหะทรัพย์ทวี สินเชื่อกรุงไทยเพิ่มสุข สินเชื่อกรุงไทยธนวัฏ สินเชื่อสุขใจใกล้เกษียณ สินเชื่อเพื่อการศึกษาต่อทั้งในและต่างประเทศ สินเชื่อคอมพิวเตอร์ สินเชื่อเพื่อการท่องเที่ยว สินเชื่อเพื่อไปทำงานต่างประเทศ และสินเชื่อเพื่อพัฒนาอาชีพ

3. การควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่สำคัญมาก ท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ และ บอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

ตอบ กระบวนการบริหารความเสี่ยงตามหลักสากล ในการบริหารความเสี่ยงและจัดการความเสี่ยงภายในองค์กร (Enterprise Risk Management: ERM) โดยมีหลักการสำคัญ คือ การเชื่อมโยงกระบวนการบริหารความเสี่ยงเข้ากับแผนกลยุทธ์และโอกาสทางธุรกิจของธนาคาร ซึ่งช่วยบูรณาการการบริหารและจัดการความเสี่ยงให้ครอบคลุมทั่วทั้งองค์กร การบริหารความเสี่ยงของบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงิน ซึ่งมีจำนวนรวม ประกอบด้วยธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อ ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจประกันภัยและธุรกิจที่สนับสนุนงานของธนาคาร โดยธนาคารได้กำหนดนโยบายและแนวทางการบริหารความเสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงินที่สอดคล้องกับประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย และได้กำกับดูแลให้บริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินมีการบริหารความเสี่ยงที่ครอบคลุมความเสี่ยงทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ ด้านกลยุทธ์ ด้านเครดิต ด้านตลาด ด้านสภาพคล่อง และด้านปฏิบัติการ รวมทั้งได้ให้การสนับสนุนด้วยการจัดฝึกอบรมและถ่ายทอด

ความรู้ให้กับบุคลากรของบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงิน เพื่อให้สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง

ตัวอย่างการติดตามหนี้

1. ลูกหนี้ชอบผลัด และไม่มาจ่ายตามที่ผลัดไว้จะผลัดไปเรื่อยๆ

วิธีแก้ไข

ถามเหตุผลที่ลูกหนี้ขอผลัดเพราะอะไร มีเหตุผล และความจำเป็นจริงหรือไม่ที่จะขอผัดผ่อน พิจารณาเป็นกรณีไปหากไม่มีเหตุผลเพียงพอพยามยามไม่ให้ผัดผ่อนตื๊อตามเก็บให้ได้หรือหากลูกหนี้มีความจำเป็นจริงๆ ก็ให้นัดระยะเวลาอันใกล้พร้อมกับมีเงื่อนไขว่าหากผิดนัดตามที่ผัดผ่อนอีกจำต้องขอรถกลับก่อน เพื่อสร้างแรงกดดันและป้องกันมิให้ผิดนัดตามที่ผลัดไว้อีก

• ถ้าพบลูกหนี้ประเภทนี้พยายามดูรายละเอียด หลังการ์ดจะเห็นประวัติการผิดนัดหลายครั้งหลายหน ใช้ข้อมูลเหล่านั้นมายืนยันกับลูกหนี้ว่า เคยผิดนัดมาแล้วหลายครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย มิฉะนั้นจำเป็นต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

• การตกลงนัดหมายพยายามทำเป็นหนังสือระบุเงื่อนไข หากผิดนัดยินดีคืนรถหรือให้ยึดได้ทันที และให้ลูกหนี้ลงลายมือชื่อไว้ด้วย ทำสำเนาให้ลูกหนี้ไว้ด้วย 1 ชุด เพื่อช่วยเตือนความจำ

2. ไปไม่พบลูกหนี้แต่พบญาติของลูกหนี้ ฝากญาติไว้ก็ไม่ได้ติดต่อกลับ

วิธีแก้ไข

กรณีไม่พบลูกหนี้ต้องพยายามโน้ตข้อความฝากไว้ เพราะการฝากญาติบอกด้วยวาจาบางครั้งก็ลืมบอก หากฝากโน้ตข้อความไว้ แล้วยังไม่ติดต่อกลับมา แสดงว่ามีเจตนาหลบเลี่ยงไม่ยอมติดต่อกลับบริษัทให้รีบออกจดหมายเตือนและติดต่อผู้ค้ำประกัน ตลอดจนเริ่มสืบหาทรัพย์เช่าซื้อว่าใช้อยู่ที่ไหน และอาจโทรศัพท์ติดต่อกลับไปตรวจสอบว่าได้รับโน้ตข้อความหรือไม่ แล้วทำไมไม่ติดต่อกลับบริษัท เพราะหากเพิกเฉยบริษัทจำเป็นต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ซึ่งจะเกิดผลเสียกับตัวลูกหนี้ได้

1. กรณีความสามารถในการชำระหนี้อ่อน

พิจารณาถึงสาเหตุเป็นรายๆ ไป เช่น ถ้ามีความจำเป็นเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินเพื่อรักษาตัว อุบัติเหตุ ฯลฯ อาจอนุโลมผ่อนผันให้ลูกหนี้ได้แต่ถ้ามีปัญญาการเงินเพราะ เล่นการพนัน ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เที่ยวเตร่ ฯลฯ คงต้องรีบกดดันในชำระหนี้โดยเร็ว หากไม่ชำระอาจต้องสืบหาทรัพย์เช่าซื้อเตรียมยึดคืน เพื่อกดดันให้ชำระที่ค้างหรือให้ชำระปิดบัญชี

2. กรณีความตั้งใจในการชำระคืนน้อยลง

กรณีนี้คงต้องรีบสืบหาทรัพย์เช่าซื้อโดยเร็ว และยึดคืนเพื่อหยุดยั้งความเสียหายที่จะเกิดแก่ทรัพย์เช่าซื้อและบริษัท เพราะลูกหนี้ไม่ตั้งใจจะชำระหนี้ ประวิงเวลาเพื่อใช้ทรัพย์เช่าซื้อไปเรื่อยๆ เมื่อยึดทรัพย์เช่าซื้อแล้ว โดยมากมักให้ชำระหนี้ปิดบัญชีเท่านั้น หากใช้อิทธิพลไม่ยอมให้ยึดหรือหลบซ่อนโนติสและดำเนินคดีโดยเร็ว เพื่อเร่งให้ชำระหนี้โดยอาศัยอำนาจของกฎหมาย

4. จงอธิบายถึงอัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratio) ที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ พร้อมทั้งอธิบายลงไปในรายละเอียดด้วยว่ามีวิธีการพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้

ตอบ อัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratios) ได้แก่

1. Current Ratio (Times) = (Current Assets)/(Current Liabilities)

เป็นอัตราส่วนที่ใช้วัดความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น หน่วยเป็นจำนวน

เท่า จำนวนเท่าที่คำนวณได้จะบอกว่าบริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนมากกว่าหนี้สิน

หมุนเวียนอยู่กี่เท่า

2. Quick Ratio (Times) = (Current Assets–Inventories)/(Current Liabilities)

มีความหมายคล้ายกับ Current Ratio แต่การคิดสินทรัพย์หมุนเวียนนั้นไม่รวม

มูลค่าของสินค้าและพัสดุคงเหลือ เพราะสินค้าและพัสดุคงเหลือมีสภาพคล่องน้อยกว่า

สินทรัพย์หมุนเวียนประเภทอื่น ๆ (เช่นเงินสดและเงินฝากธนาคาร ลูกหนี้การค้า เป็น

ต้น)

3. Inventory Turnover Ratio (Times) = (Sales)/(Inventories)

เป็นอัตราส่วนที่แสดงถึงจำนวนรอบที่สินค้าคงคลังถูกหมุนเวียนในรอบหนึ่งปีค่าที่คำนวณได้เป็นจำนวนเท่า ถ้าค่าที่ได้คือ 12 เท่า แปลว่าในหนึ่งปี สินค้าคงคลังที่มี

อยู่ถูกขายเป็นเงินแล้วกลับมาอยู่ในรูปของสินค้าคงคลังอีกที 12 รอบ ค่าของอัตรา

ส่วนตัวนี้ยิ่งมากยิ่งดี เพราะหมายความว่า บริษัทแปลงสินค้าคงคลังเป็นรายได้ได้เร็ว

หมายเหตุ 1. ตำราบางเล่มแนะนำให้ใช้ค่าเฉลี่ยของ Inventories

4. Days Sales Outstanding Ratio (Days) = (Account Receivables)/(Sales/360)

เป็นอัตราส่วนที่วัดจำนวนวันกว่าลูกค้าเชื่อจะชำระเงินโดยเฉลี่ย ค่าที่คำนวณได้

มีหน่วยเป็นวัน ถ้าค่าที่ได้ คือ 60 วันหมายถึง โดยเฉลี่ยแล้วบริษัทขายสินค้าไปแล้ว

อีก 60 วันถึงจะได้เงินสดกลับมาที่บริษัท ค่ายิ่งน้อยยิ่งดี ค่ายิ่งมากแสดงถึงความด้อย

ประสิทธิภาพในการเก็บหนี้

หมายเหตุ 1. ทางการเงินบางครั้งใช้ 1 ปี เท่ากับ 360 วัน

2. ตำราบางเล่มแนะนำให้ใช้ค่าเฉลี่ยของ Account Receivables

5. Total Assets Turnover Ratio (Times)= (Sales)/(Total Assets)

เป็นอัตราส่วนที่วัดประสิทธิภาพการใช้ทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ในการก่อให้เกิด

รายได้จากการขาย ค่าที่คำนวณได้เป็นจำนวนเท่า ค่ายิ่งมากยิ่งดี ค่าน้อยแสดงว่า

บริษัทอาจมีสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จากการขายอยู่มาก อาจจะต้องขาย

สินทรัพย์นั้นทิ้ง 6. Debt Ratio (%) = (Total Debt)/(Total Assets)

แสดงอัตราส่วนร้อยละของหนี้สินทั้งหมดต่อทรัพย์สินทั้งหมด ค่ายิ่งสูง

หมายถึง บริษัทมีหนี้สินต่อทรัพย์สินในอัตราส่วนที่สูง ค่าเกิน 50% หมายถึงว่าเกิน

กว่า 50 % ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่บริษัทมีอยู่เป็นส่วนของเจ้าหนี้

7. Times Interest Earned or TIE (Times) = EBIT/Interest Expense

แสดงจำนวนเท่าของรายได้ก่อนดอกเบี้ยและภาษีที่จะมีพอจ่ายภาระดอกเบี้ย

หน่วยเป็นเท่า ค่ายิ่งสูงหมายถึง บริษัทมีรายได้ก่อนดอกเบี้ยและภาษีมากพอที่จะจ่าย

ดอกเบี้ย

8. Net Profit Margin (%) = (Net Income)/(Sales)

เป็นอัตราส่วนที่วัดว่าบริษัทกำไรสุทธิกี่เปอร์เซ็นต์ของยอดขาย เช่น ถ้าค่าที่ได้

คือ 5.00% หมายความว่า ทุก ๆ 100 บาทจากรายได้จากการขาย บริษัทมีกำไรสุทธิ

(หลังหักค่าใช้จ่าย ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคา และภาษีแล้ว) 5 บาท

9. Return on Assets (%) = (Net Income)/(Total Assets)

เป็นอัตราส่วนที่วัดกำไรสุทธิต่อทรัพย์สินทั้งหมด หน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์ ค่ายิ่ง

มายิ่งดี แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารทรัพย์สินให้เกิดกำไรสุทธิกลับมายัง

บริษัท

10. Return on Equity (%) = (Net Income/Total Equity)

เป็นอัตราส่วนที่วัดกำไรสุทธิต่อส่วนของเจ้าของ หน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์ ค่ายิ่ง

มายิ่งดี แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารส่วนของเจ้าของให้เกิดกำไรสุทธิกลับมายังบริษัท

1. ให้เปรียบเทียบประเด็นพิจารณาในการให้สินเชื่อระหว่าง สินเชื่อพาณิชยกรรม (Modern Trade) และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Development) รายใหญ่ๆในประเทศไทย

ตอบ - สินเชื่อพาณิชยกรรม (Modern Trade) เป็นการให้กู้ยืมเพื่อลงทุนและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจภาคอุตสาหกรรมและการผลิตในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งครอบคลุมถึงการเกษตรกรรม การก่อสร้าง และการสาธารณูปโภคต่าง ๆ สินเชื่อเพื่อการพาณิชย์เป็นการให้กู้ยืมเพื่อลงทุนและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจการค้าต่างๆ ได้แก่ การค้าส่งและค้าปลีก การนำเข้า การส่งออก การบริการ บริษัทฯเน้นการให้สินเชื่อเพื่อการอุตสาหกรรมการผลิตและการพาณิชย์ เนื่องจากเป็นภาคธุรกิจที่มีความสำคัญและเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ โดย ณวันที่ 31 ธันวาคม 2546 บริษัทฯมีสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อดังกล่าวร้อยละ 17 ของสินเชื่อรวม

- พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Development) การให้สินเชื่อธุรกิจประเภทอสังหาริมทรัพย์จะได้รับการพิจารณาที่ง่ายกว่าเพราะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น มีการปรับปรุงแนวทางการดำเนินธุรกิจที่เน้นความมั่นคง และประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น เกณฑ์การรับรู้รายได้เมื่อโอนให้กับลูกค้า การควบคุมการก่อสร้างอาคารตามกฎหมาย และการกำหนดกฎเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเข้มงวดมากขึ้น แต่จากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลานั้น ทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต้องประสบกับความผันผวนตลอดเวลาและยากต่อการควบคุม ทั้ง ผู้ประกอบการ นักลงทุน หรือทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่างก็จำเป็นจะต้องหาปัจจัยที่มีผลต่อธุรกิจและผลกระทบใหม่ๆที่เกิดขึ้น ตลอดเวลาโดยเฉพาะเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอย่างกรณี วิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ในอเมริกา ซึ่งมีสาเหตุจากสภาวะฟองสบู่ในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และเกิดผลกระทบในด้านอื่นๆต่อเศรษฐกิจในหลายประเทศทั่วโลกตามมา ทำให้ ในปัจจุบันอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในหลายประเทศอยู่ในสภาวะซบเซา ซึ่งรวมถึงประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบตามไปด้วย ทั้งที่มีบทเรียนด้านวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ใน ปี 2540 มาก่อน และมีการเรียนรู้ ถึงสาเหตุของวิกฤตเศรษฐกิจต่างๆในอดีตที่ผ่านมาแล้วนั้น แต่ก็เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกขึ้น ในปี 2551 ซึ่งมีจุดเริ่มต้นที่ประเทศอเมริกา โดยที่สาเหตุก็เกิดจากสภาวะฟองสบู่อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และตลาดสินเชื่อ

2. การที่เกิดภาวะเงินบาทมีค่าลดลงมาก (เงินบาทอ่อนตัว) มีผลต่อการที่ธนาคารของท่านในการให้สินเชื่ออย่างไรบ้าง และการที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่นั้น จะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในประเด็นใดบ้าง

ตอบ ค่าเงินอ่อนตัว มีข้อดี: ของนอกรับเข้ามาถูก คนไทยใช้จ่ายกันเยอะ น้ำมันถูก แต่คนส่งออกไม่ได้กำไร ค่าเงินบาทอ่อนตัวเป็นผลดีต่อผู้ส่งออกของไทย ในเมื่อธุรกิจการส่งออกได้รับผลดีจากภาวะค่าเงินบาทอ่อนตัว ทำให้ผู้ประกอบการหันมาทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออกเพิ่มขึ้น จึงทำให้ธนาคารมีการปล่อยสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น ส่งผลดีต่อธนาคาร การที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่นั้น จะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทยจะได้รับผลดี ประเภทการให้สินเชื่อของธนาคารก็มีหลายประเภท สินเชื่อธุรกิจตอบปัญหาด้านการเงินสำหรับการประกอบธุรกิจ ทั้งในเรื่องสภาพคล่อง และแหล่งเงินทุน เพื่อธุรกิจไร้ขีดจำกัด สินเชื่อเพื่อการค้าระหว่างประเทศ สนับสนุนเงินทุนหมุนเวียน เพิ่มสภาพคล่องสำหรับสินเชื่อเพื่อการนำเข้า และส่งออกด้วยคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ ช่วยให้ธุรกิจราบรื่น เพื่อธุรกิจไร้ขีดจำกัด

6. เมื่อท่านได้ศึกษาเพาเวอร์พอยท์ เรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคาร ไปนั้น ขอให้ท่านจับประเด็นให้ได้ว่ามีประเด็นใดบ้างที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียมตัวมากู้เงินจากธนาคาร และประเด็นเหล่านั้นธนาคารสามารถตรวจสอบได้อย่างไร

ตอบ ลูกค้ามักจะเตรียมข้อมูลและเอกสารมาให้พร้อมเพื่อการขอกู้เงิน ต้องมีหลักประกันที่คุ้มกับวงเงินที่ขอกู้ แต่มีลูกค้าบางรายที่คิดไม่ซื่อเตรียมการเพื่อจะโกงมาแล้ว ธนาคารจึงต้องตรวจสอบหลักฐานให้ละเอียดทั้งข้อมูล ประวัติ หลักประกันว่าเป็นของผู้ขอวงเงินกู้จริงหรือไม่ ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนชื่อโฉนดที่ดินให้เป็นของบุตรเพื่อหลีกเลี่ยงการชำระหนี้ หรือการทำธุรกิจที่มีกำไรมากแล้วเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินกำไรให้มีค่าที่น้อยกว่าความเป็นจริงเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี

3. การควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยง ที่สำคัญมาก ท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ และบอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

   - แนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ
. การบริหารความเสี่ยง (RISK MANAGEMENT)
       
ธุรกิจธนาคาร  เป็นธุรกิจที่เกิดขึ้นจากการบริการความเสี่ยงเป็นหัวใจสำคัญ  ฉะนั้นถ้าสามารถลดความเสี่ยงลงได้มากเท่าไร  ก็จะมีสถานะมั่นคงมากเท่านั้น  และควรคำนึงถึงด้วยว่า  ถ้าเสี่ยงมาก  ควรได้รับผลตอบแทนมาก  ถ้าเสี่ยงน้อย  ผลตอบแทนน้อย  ก็ไม่เป็นไร  การบริหารความเสี่ยง  มีประเด็นที่ต้องคำนึงถึง คือ
        
GOOD QUANLITY OF ASSET คือ การบริหารสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดี เลือกลงทุนในธุรกิจที่มีผลตอบแทนสูง  สินเชื่อที่ธนาคารปล่อยก็ถือว่าเป็นสินทรัพย์ด้วย  ฉะนั้น  การปล่อยสินเชื่อที่ดี  ก็จะสามารถลดความเสี่ยงได้
        
INDUSTRIAL DISTRIBUTION คือ การกระจายสัดส่วนสินเชื่อใน PORTFOLIO ไปตามประเภทของธุรกิจต่าง ๆ  ไม่ควรปล่อยสินเชื่อธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งมากจนเกินไป  หากธุรกิจนั้น ๆ มีปัญหา  ผลกระทบก็จะรุนแรงตามไปด้วย 

เทคนิคการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพ

การติดตามหนี้ภาคสนาม

          1.การติดตามหนี้ภาคสนาม หมายถึง การติดตามหนี้ที่ต้องเผชิญหน้ากับลูกหนี้โดยตรง จึงมีความแตกต่างจากการติดตามหนี้โดยใช้โทรศัพท์ 
          - เผชิญหน้ากับลูกหนี้โดยตรง
          - การควบคุมอารมณ์ในระหว่างเจรจา
          - มีโอกาสเกิดความขัดแย้งสูง 
          2.การเตรียมความพร้อมก่อนเดินทางไปติดตามหนี้ภาคสนาม 
          - ตรวจสอบสัญญาเช่าและสัญญาค้ำประกัน
          - ยอดเงินต้นและดอกเบี้ยที่ค้างชำระพร้อมทั้งเบี้ยปรับ
          - การสิ้นสุดสัญญา
          - หนังสือมอบอำนาจ
          - ภาพถ่ายผู้เช่าและผู้ค้ำประกัน
          - ภาพถ่ายทรัพย์ที่เช่า
          - แผนที่บ้านผู้เช่าและผู้ค้ำประกัน
          - โทรศัพท์ติดต่อผู้เช่าและผู้ค้ำประกันหรือบุคคลอ้างอิง
          3.การหาข่าวล่วงหน้าก่อนออกเดินทางเพื่อประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายและทำให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น 
          - ดูประวัติการชำระหนี้ที่ผ่านมา
          - ช่วงเวลาที่มีโอกาสพบตัวผู้เช่าและผู้ค้ำประกัน
          - นัดหมาย ถ้าผู้เช่าพร้อมพูดคุย
           4.การประเมินผู้เช่าและผู้ค้ำประกัน
          - การประเมินนิสัยของผู้เช่าและผู้ค้ำประกันมีความสำคัญ
          - ผิดนัดชำระหนี้เพราะไม่มีความสามารถในการชำระหนี้
          - ตั้งใจไม่ชำระหนี้
          - ผู้เช่าตัวปลอม
           5.กรณีพบตัวผู้เช่าหรือผู้ค้ำประกัน
           - ทักทายตามมารยาท
            - แนะนำตัว
            - แจ้งวัตถุประสงค์
            - ถามสารทุกข์สุขดิบ
            - ฟังลูกค้าพูดก่อน
            - แสดงความเห็นอกเห็นใจลูกค้า
            - แจ้งผลดีของการชำระหนี้
            - แจ้งผลเสียของการผิดนัดชำระหนี้
            - สรุปเกี่ยวกับยอดหนี้ กำหนดวันที่จะชำระหนี้
            - ขอเบอร์โทรศัพท์หรือข้อมูลลูกค้าเพิ่มเติม
            - กล่าวอำลา ขอบคุณ
            6.กรณีไม่พบตัวผู้เช่าหรือผู้ค้ำประกัน 
            - หาข้อมูลจากคนใกล้ชิด
            - ทำตัวให้เป็นกันเองกับบุคคลที่พบ
            - พยายามขอข้อมูลเพื่อให้เข้าถึงตัวลูกค้าอย่างสุภาพ
            - ต้องทำให้บุคคลที่สนทนาด้วยไว้วางใจ
            - อย่ายั่วยวนกวนอารมณ์หรือเสียดสีหรือนินทาลูกค้าลับหลัง
            - ฟังให้มากพูดให้น้อย
            - ให้บุคคลที่สนทนาด้วยช่วยประสานกับลูกค้า
            - พยายามหาข้อสรุปเกี่ยวกับเรื่องการชำระหนี้
            - อย่าเปิดให้ลูกค้าคิดเอง หรือ ติดต่อกลับเอง
            - ขอเบอร์โทรศัพท์หรือข้อมูลลูกค้าเพิ่มเติม
            - กล่าวอำลา ขอบคุณ

การติดตามทวงหนี้ทางจดหมาย
          การใช้หัวจดหมายของเจ้าหนี้ โดยเป็นแบบฟอร์มของเจ้าหนี้ หรือธนาคารซึ่งอาจพิมพ์ทีละฉบับ หรือพิมพ์ในกระดาษต่อเนื่องกรณีใช้คอมพิวเตอร์พิมพ์อัตโนมัติเมื่อเริ่มมียอดค้างชำระ การใช้จดหมายเตือนในรูปแบบนี้จะเป็นการเตือนเมื่อเริ่มค้าง ลงนามโดยเจ้าหน้าที่ของกิจการผู้ให้สินเชื่อ ข้อความมีรุนแรง
          การใช้หัวจดหมายของสำนักกฎหมายหรือทนายความ เป็นการบอกกล่าวหรือบอกเลิกสัญญา มักออกทีละฉบับเพื่อให้มีผลทางกฎหมาย ใช้สำหรับลูกหนี้ที่ผ่านการเตือนแบบแรกแล้วไม่ได้ผล เพราะตั้งใจไม่ชำระหนี้ กรณีนี้จดหมายจะลงนามโดยผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าหนี้ อาจเป็นทนายความภายในกิจการหรือทนายความอิสระ มีข้อความเป็นการบอกเลิกสัญญาและให้รีบชำระหนี้ มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย มักส่งไปรษณีย์แบบลงทะเบียนตอบรับเพื่อใช้เป็นพยานเอกสารในชั้นสืบพยานกรณีฟ้องร้อง

 

 

5. ท่านคิดว่างานพิธีการสินเชื่อมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด เมื่อเปรียบเทียบกับงานด้านการตลาดสินเชื่อ และถ้าต้องทำงานทั้ง 2 ด้าน ในคนเดียวกันในสาขาของธนาคารแห่งหนึ่งนั้น ท่านจะบริหารจัดการเวลาของตนเองและการบริหารความเสี่ยงของธนาคารให้มีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผลได้อย่างไร

ความสำคัญของพิธีการสินเชื่อ (bank  office)

            - ปฏิบัติงานด้านเอกสารสัญญาสินเชื่อ ทั้งสินเชื่อวงเงินและสินเชื่อรายฉบับ
          - จัดทำเอกสารสัญญาหลักประกัน
          - บันทึกอายัด และถอนอายัดเงินฝากที่เป็นหลักประกันสินเชื่อ
          - บันทึกวงเงินสัญญาสินเชื่อและระบบข้อมูลลูกค้า
          - ควบคุม และดูแลรักษาเอกสารสัญญาต้นฉบับ

การบริหารจัดการเวลาและการบริหารความเสี่ยง
             ต้องมีความรู้ด้านกฎหมาย  และความรู้ด้านบริหารธุรกิจ  ซึ่งประกอบด้วย
            1. รวบรวมข้อมูลสถานะทางกฎหมายของลูกค้า ว่าอยู่ในสถานะที่ทำนิติกรรมได้ ไม่เป็นผู้เยาว์ ผู้ไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ มีคู่สมรสที่ถูกกฎหมายและให้คำยินยอมในการทำนิติกรรม และมีคุณสมบัติที่ทำนิติกรรมได้ตามกฎหมาย
            2.ตรวจสอบหลักประกัน จะต้องมีการตรวจสอบเอกสารกับทางราชการ เช่น กรมที่ดินกรณีที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ หรือกรมโรงงานอุตสาหกรรมกรณีที่เป็นเครื่องจักร หรือกรมการขนส่ง กรณีที่เป็นพาหนะ ซึ่งจะทำให้ทราบรูปพรรณสัณฐาน และราคาประเมินทางราชการของหลักประกันนั้น
            3.ทำนิติกรรมสำหรับผู้ให้กู้แก่ลูกค้า  เช่น  สัญญาค่ำประกัน  สัญญาจำนอง  จำนำ หนังสือยินยอมของคู่สมรส หนังสือเบิกเงินกู้ โดยที่เอกสารเหล่านี้มักทำเป็น 3 ชุด ต้นฉบับและคู่ฉบับ ผู้ให้กู้หรือธนาคารเป็นผู้เก็บ ส่วนสำเนามอบให้ลูกค้า
            4.จัดเก็บนิติกรรมและหลักประกัน  ให้อยู่ในที่ปลอดภัย  สะดวกในการเรียกตรวจสอบ  จัดเก็บอย่างเรียบร้อยมักมีทะเบียนคุม

1.ให้เปรียบเทียบประเด็นพิจารณาในการให้สินเชื่อระหว่าง สินเชื่อพาณิชยกรรม (Modern Trade) และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในประเทศไทย

- สินเชื่อเพื่อการพาณิชยกรรม
            
สถาบันการเงินมีวิธีการให้สินเชื่อแก่องค์กรธุรกิจ  2  รูปแบบคือ  การให้กู้ระยะยาวและการให้กู้ระยะสั้น  การให้กู้ยืมระยะยาวเป็นการให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาทรัพย์สินที่เป็นทุน  ได้แก่  อาคาร  โรงงาน เครื่องจักร  ส่วนการให้กู้ยืมระยะสั้นนั้นก็เพื่อที่จะให้องค์การธุรกิจนำไปใช้จ่ายเพื่อการจัดหาวัตถุดิบ  สะสมสินค้าไว้เพื่อจำหน่าย  หรือใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน  เช่น  จ่ายค่าแรงงาน  จ่ายค่าเช่าสถานที่  จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้  เป็นต้น  สินเชื่อเพื่อการค้าจากสถาบันการเงินจะเป็นการให้สินเชื่อหรือการให้กู้ยืมเงินสด  การให้สินเชื่อของสถาบันการเงินมีลักษณะเช่นเดียวกับการให้สินเชื่อขององค์การธุรกิจ  คือ  จะต้องวิเคราะห์สินเชื่อโดยใช้ข้อมูลทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณ  เพื่อตัดสินใจว่าจะให้ธุรกิจกู้ยืมหรือไม่  สถาบันการเงินมีการจัดประเภทของสินเชื่อไว้แตกต่างกันหลายประเภท  เช่น  สินเชื่ออุตสาหกรรม  สินเชื่อพาณิชยกรรม  และสินเชื่อแต่ละประเภทก็ยังแบ่งเป็นสินเชื่อประเภทย่อยๆ  ออกไปอีก 

- สินเชื่อเพื่อการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

            กระบวนการในการวิเคราะห์มูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ บ้าน ทาวน์เฮ้าส์ อาคารพาณิชย์ ที่ดินเปล่า คอนโดมิเนียม อย่างละเอียดรอบคอบและมีเหตุผล เพื่อทราบมูลค่าตลาดยุติธรรมที่เหมาะสม โดยทำการตรวจสอบสภาพทางกายภาพของทรัพย์สิน(ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง), วิเคราะห์ตรวจสอบทำเลที่ตั้งทรัพย์สิน-สภาพแวดล้อมโดยรอบ ตรวจสอบสิ่งอำนวยความสะดวก ตรวจสอบข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น ผังเมือง,การเวนคืน,การรอนสิทธิ์,การอายัด,การตรวจสอบสิทธิ์ในการถือครองที่ดินตามกฎหมาย,การตรวจสอบภาระผูกพันต่าง ๆ ที่มีของทรัพย์สิน, การตรวจสอบสภาพและความสะดวกของทางเข้า-ออก, การตรวจสอบสิทธิ์ของทางเข้า-ออกตามกฎหมาย, การสืบค้นและการวิเคราะห์ข้อมูลตลาดเพื่อทราบมูลค่าตลาดยุติธรรมที่เหมาะสมของทรัพย์สิน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการกำหนดราคาซื้อ-ขาย การตีราคาบ้านว่าควรจะซื้อ-ขายในราคาเท่าใด หรือเพื่อใช้เป็นหลักประกันในการปล่อยสินเชื่อ และกำหนดวงเงินสินเชื่อ ซึ่งการประเมินราคาสามารถนำไปใช้ในกิจกรรมต่างๆ ได้ดังต่อไปนี้
       1. การประเมินราคา เพื่อนำไปใช้ในกิจกรรมการซื้อ การขาย การตีราคาแลกเปลี่ยน
       2. การประเมินราคา เพื่อนำไปใช้เป็นหลักประกันการกู้ยืมเงิน เช่น นำไปจำนอง , พิจารณาวงเงินกู้
       3. การประเมินราคา เพื่อนำไปใช้ในการจ่ายเงินชดเชย เช่น กรณีที่มีการเวนคืนที่ดิน
       4. การประเมินราคา เพื่อนำไปใช้เป็นแนวทางในการเก็บภาษี หรือกำหนดราคาประเมินราชการ
       5. การประเมินราคา เพื่อนำไปใช้ในการบันทึกบัญชี
       6. การประเมินราคา เพื่อประมาณการผลประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ เช่น ประมาณค่าเช่า เป็นต้น

        ซึ่งมูลค่าที่ประเมินราคานั้น อาจจะไม่ใช่ราคาที่ซื้อ-ขาย โดยอาจจะสูงกว่า เท่ากัน หรือต่ำกว่าราคาซื้อขายก็ได้ เนื่องจากมูลคาที่ประเมินราคานั้น ไม่อิงกับกระแส และภาวะอารมณ์ของผู้ซื้อ-ผู้ขาย แต่จะเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวตามปัจจัยพื้นฐาน, ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่มีผลกระทบต่อมูลค่าทรัพย์สิน และตามสภาวะเศรษฐกิจโดยมูลค่าทรัพย์สินที่ประเมินราคามีองค์ประกอบดังนี้
         1. ผู้ซื้อและผู้ขายพึงพอใจ และเต็มใจที่จะซื้อ,ขายอสังหาริมทรัพย์นั้น ๆ
         2. ความเหมาะสมของราคาอสังหาริมทรัพย์นั้น เป็นราคาที่เหมาะสมในการซื้อขาย ที่เวลาอันเหมาะสมตามสภาวะเศรษฐกิจในช่วงระยะเวลาที่ประเมินราคานั้น ๆ
         3. ผู้ซื้อและผู้ขายมีความรู้เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้น ๆ มากพอ และมีความรอบคอบ เพื่อเหตุผลในการตัดสินใจซื้อขาย ทั้งสภาพทางกายภาพของทรัพย์สิน,ทำเลที่ตั้ง-สภาพแวดล้อม,ผลกระทบทางกฎหมาย และตามความต้องการ (Demand & Supply) ในสภาพตลาดปกติทั่ว ๆ ไป
         4. การซื้อ-ขาย เกิดขึ้นอย่างยุติธรรม ไม่มีการข่มขู่บังคับ-ผลประโยชน์เกี่ยวข้อง หรืออิทธิพลใด ๆ

6. เมื่อท่านได้ศึกษาเพาเวอร์พอยท์ เรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคารไปนั้น ขอให้ท่านจับประเด็นให้ได้ว่ามีประเด็นใดบ้างที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียมตัวมากู้เงิน และประเด็นเหล่านั้นธนาคารสามารถตรวจสอบได้อย่างไร

- 1. นำ เงินบริษัทไปหาประโยชน์จากการซื้อขายหุ้น

2. โยกเงินไปจุนเจือ อาณาจักรส่วนตัว

3. ตั้งบริษัทส่วนตัวรับช่วงผลประโยชน์

4. ซื้อสินทรัพย์สูงกว่าราคาจริง

และลูกค้ามักจะเตรียมตัวในเรื่องของการเสียภาษี ซึ่งลูกค้ามักจะทุจริตในเรื่องของกำไรที่กิจการจะได้รับซึ่งถ้ากิจการได้กำไรมาก นั่นแสดงว่าต้องเสียภาษีมากด้วย กิจการก็เลยปรับเปลี่ยนเพื่อที่จะให้กิจการมีกำไรน้อยลง จะได้ไม่ต้องเสียภาษีมาก หรือบางกิจการก็ปรับเปลี่ยนให้กิจการขาดทุน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งธนาคารก็มีวิธีการตรวจสอบโดยตรวจสอบกับกรมสรรพากร หรือดูจากการดำเนินงานที่ผ่านมา ผลจากการดำเนินงานว่าเป็นอย่างไร และไปตรวจสอบกับกรมสรรพากรว่าตรงกันหรือไม่

         

4. ท่านจงอธิบายถึงอัตราส่วนทางการเงินที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ พร้อมทั้งอธิบายลงไปในรายละเอียดด้วยว่ามีวิธีการพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารนำไปใช้

- `การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน เป็นการนำรายการต่างๆในงบการเงินมาเทียบอัตราส่วน เพื่อหาความสัมพันธ์ว่า มีความเหมาะสมเพียงใด แบ่งออกเป็น

-อัตราส่วนสินหมุนเวียนต่อหนี้สินหมุนเวียน และอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนเร็ว เพื่อวิเคราะห์ถึงสภาพคล่องของกิจการ และความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น ซึ่งโดยปกติค่าที่ได้ควรจะมีค่าประมาณ 2 เนื่องจากรายการบางรายการ อาจมีการลงรายการผิดไปจากความจริง เช่น อาจมีการตีราคาสินทรัพย์หมุนเวียนสูงกว่าความเป็นจริง 

- อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์รวม เป็นการเปรียบเทียบระหว่างหนี้สินทั้งหมดของกิจการกับเงินทุนทั้งหมดที่ธุรกิจลงทุนในสินทรัพย์ โดยที่ธนาคารจะดูการหมุนเวียนของทุนหรือสินทรัพย์ว่ามีการเพิ่มขึ้นหรือลดลง มีโอกาสที่จะทำกำไรให้กับกิจการหรือไม่ และกำไรที่ได้นั้นเพิ่มขึ้นหรือลดลง และถ้าเกิดกำไรนั้นลดลง ธนาคารก็จะมีวิธีปรับปรุงคือ

          1. RESTRUCTURE หนี้ใหม่
           โดยเปลี่ยนหนี้ระยะสั้นเป็นระยะยาว ยืดเวลาการชำระหนี้ออกไป  เปลี่ยนดอกเบี้ยค้างชำระมาเป็นเงินต้น  แล้วให้ผ่อนชำระในระยะเวลา ให้ GRACE PERIOD  ตามความจำเป็น  กำหนดเงื่อนไขการผ่อนชำระเสียใหม่  ให้เหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ 
            2. ลดเงินต้นหรือดอกเบี้ย
            เมื่อเห็นว่า ธุรกิจไม่สามารถชำระหนี้ได้ทั้งหมด และหลักประกันไม่เพียงพอ  ถ้าปล่อยให้เห็นปัญหายืดเยื้อถึงขั้นฟ้องร้องบังคับคดี  ก็ยิ่งทำให้ธนาคารเสียหายมากขึ้นด้วย  การลดเงินต้นบางส่วนหรือดอกเบี้ย  อาจจูงใจให้ลูกหนี้ขวนขวายหา  เจ้าหนี้รายใหม่หรือผู้ร่วมทุน  เข้ามาดำเนินการได้
           3. การเพิ่มทุน
           หากธุรกิจขาดสภาพคล่อง และลูกหนี้ยังมีความสามารถในการเพิ่มพูนหรือหาผู้ร่วมทุนอื่นมาได้  ก็อาจทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้  โดยกำหนดเงื่อนไขว่า  ถ้าลูกหนี้มีการเพิ่มทุนในสัดส่วนที่ธนาคารพอใจแล้ว  จะให้การสนับสนุนวงเงินสินเชื่อเพิ่มแก่ลูกหนี้อีก
           4. ให้กู้เพิ่ม
           ในกรณีที่เห็นว่า ธุรกิจขาดสภาพคล่อง  แต่ยังพอมีช่องทางในการดำเนินธุรกิจต่อไปได้  ธนาคารจะเพิ่มวงเงินสินเชื่อ  เพื่อแก้ไจสภาพคล่องของลูกหนี้ให้ดีขึ้น  โดยคำนึงถึงปัจจัย ดังนี้
           - วงเงินสินเชื่อที่เพิ่ม  สามารถทำให้ธุรกิจทำกำไรเพียงพอที่จะชำระหนี้ทั้งหนี้เก่าและหนี้ใหม่ได้
           - วงเงินสินเชื่อที่เพิ่ม ไม่มากเกินกว่า ความเสี่ยงที่ยอมรับได้
           - หลักประกันเดิมคุ้มกับวงเงินสินเชื่อใหม่หรือไม่  หรือให้ลูกหนี้หาหลักประกันใหม่เข้ามาเพิ่ม
           - สัดส่วนหนี้สินของธนาคารกับหนี้ภายนอกเป็นอย่างไร
           - ต้องแน่ใจว่า สามารถควบคุม การใช้วงเงินหรือกำหนดเงื่อนไขที่ควบคุมการใช้วงเงินของลูกหนี้ได้
           5. REORGANIZATION
           เมื่อเห็นว่า ธุรกิจเกิดจากปัญหาจากการบริหารงานที่ไม่ดี  อาจต้องมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร และจัดระบบการบริหารงานใหม่ หรือปรับปรุงโครงสร้างองค์กรใหม่  ซึ่งอาจควบคุมการใช้วงเงินที่ดีที่สุด ในการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีนี้  จะต้องได้รับความยินยอมจากลูกหนี้เสียก่อน
           6. การเจรจาให้ขายทรัพย์สิน
          ในกรณีที่มีปัญหา  อันเกิดจากลูกหนี้มี FIX ASSET มากเกินไป  อาจเสนอให้ลูกหนี้ขายทรัพย์สินที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ  เพื่อนำเงินชำระหนี้บางส่วน เป็นการลดภาระหนี้ของลูกหนี้ลงและ  ช่วยให้ไม่ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยมากเกินไป
            7. เปลี่ยนหนี้เป็นทุน
            เมื่อเห็นว่า ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้  โดยต้องการเพิ่มทุน แต่ลูกหนี้ไม่สามารถเพิ่มทุนได้  อาจจะเปลี่ยนหนี้สินเป็นทุน  เพื่อลดภาระหนี้ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ธุรกิจต้องล้มพับได้ แต่กรณีนี้ ต้องระมัดระวังให้มาก  มิฉะนั้น  อาจถูกมองว่า ธนาคารเข้าไปฮุบ (TAKE OVER) กิจการของลูกหนี้ได้
            เมื่อเห็นว่า ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้  โดยต้องการเพิ่มทุน แต่ลูกหนี้ไม่สามารถเพิ่มทุนได้  อาจจะเปลี่ยนหนี้สินเป็นทุน  เพื่อลดภาระหนี้ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ธุรกิจต้องล้มพับได้ แต่กรณีนี้ ต้องระมัดระวังให้มาก  มิฉะนั้น  อาจถูกมองว่า ธนาคารเข้าไปฮุบ (TAKE OVER) กิจการของลูกหนี้ได้

 

 

 

 

 

 

 

 

2.  การที่เกิดภาวะเงินบาทมีค่าลดลงมาก  (เงินบาทอ่อนตัว) มีผลต่อการที่ธนาคารของท่านในการให้สินเชื่ออย่างไรบ้าง  และการที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่นั้น  จะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในประเด็นใดบ้าง 

ตอบ **เงินบาทไทยมีแนวโน้มอ่อนค่าในช่วงที่ปัญหาในยุโรปรุนแรงขึ้น ความเสี่ยงภาคการเงินในยุโรปที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้เงินทุนไหลกลับสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้เงินสกุลอื่นๆ รวมทั้งไทยอ่อนค่าลงเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ** ทั้งนี้ ค่าเงินบาทก็เริ่มกลับมาอ่อนค่าแล้วเกือบ 2% นับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกรกฎาคมซึ่งเป็นช่วงที่ข่าวทางลบในยุโรปและความกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น สอดคล้องกับเงินยูโรที่อ่อนค่าลงเกือบ 5% ในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ ความเสี่ยงในภาคธนาคารและเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ธนาคารกลางยุโรปพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายซึ่งจะยิ่งทำให้เงินทุนไหลกลับไปยังสหรัฐฯ ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นและเงินบาทอ่อนค่าลง
“เงินบาทอ่อนค่าสุดในรอบเทียบกับดอลลาร์ฯ ขณะที่หุ้นไทยปรับลง จากแรงขายทำกำไร”

ตลาดเงินระยะสั้นและตลาดตราสารหนี้
อัตราดอกเบี้ยตลาดเงินระยะสั้น 
อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นทรงตัว โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการตัดจ่ายเงินภาษีมูลค่าเพิ่มรายเดือนผ่านระบบธนาคารในช่วงกลางสัปดาห์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยอินเตอร์แบงก์ประเภทกู้ยืมข้ามคืน (Overnight) มีระดับหนาแน่นที่ 3.40-3.45% เทียบกับ 3.40% ในสัปดาห์ก่อน ส่วนอัตราผลตอบแทนถัวเฉลี่ยที่ประมูลได้ของธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตรแบบทวิภาคี (Bilateral Repo) ระยะเวลาไม่เกิน 14 วัน อยู่ที่ 3.50% เทียบกับ 3.49991-3.50% ในสัปดาห์ก่อน
ในสัปดาห์ระหว่างวันที่ 19-23 ก.ย. 2554 อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงินน่าจะยังทรงตัวต่อเนื่องใกล้ระดับ 3.50% โดยยังไม่มีปัจจัยที่มีผลเปลี่ยนแปลงสภาพคล่องอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ตลาดเงินคงจะจับตาผลการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในวันที่ 20-21 ก.ย.  
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยและสหรัฐฯ
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย ประเภทอายุ 5 ปี ปิดที่ระดับ 3.51% ในวันศุกร์ เพิ่มขึ้นจาก 3.44% ในสัปดาห์ก่อนหน้า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับเพิ่มขึ้น จากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่การซื้อขายเป็นไปด้วยความระมัดระวังท่ามกลางความกังวลต่อปัญหาหนี้ในยุโรป 
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ประเภทอายุ 10 ปี ปิดที่ระดับ 2.06% ในวันศุกร์ เพิ่มขึ้นจาก 1.91% ในสัปดาห์ก่อนหน้า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตามการปรับขึ้นของตลาดหุ้น ซึ่งเป็นผลจากความหวังที่ว่าอิตาลีอาจได้รับความช่วยเหลือผ่านการเข้าซื้อพันธบัตรจากทางการจีน ความพยายามอย่างเร่งด่วนครั้งใหม่ของผู้นำยุโรปที่จะควบคุมวิกฤตหนี้ และการที่ธนาคารกลางสำคัญ ได้แก่ ธนาคารกลางยุโรป ธนาคารกลางสหรัฐฯ ธนาคารกลางอังกฤษ ธนาคารกลางญี่ปุ่น และธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ จะร่วมกันสนับสนุนเงินกู้สกุลดอลลาร์ฯ แก่ธนาคารพาณิชย์ในยุโรป ถึงแม้ว่าอัตราผลตอบแทนจะขยับลงในวันศุกร์ จากความคาดหวังต่อมาตรการผ่อนคลายเพิ่มเติมของเฟด
ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน
ค่าเงินบาท (Onshore)
เงินบาทอ่อนค่ากว่าระดับ 30.35 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยการอ่อนค่าของเงินบาทเป็นไปในทิศทางเดียวกับสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย หลังจากความกังวลเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้ของกรีซ และการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือธนาคารบางแห่งในยุโรปโดยมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ได้กระตุ้นแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ ของนักลงทุน พร้อมๆ กับเพิ่มแรงเทขายในสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ อนึ่ง แม้ว่ามาตรการเสริมสภาพคล่องเงินดอลลาร์ฯ ให้กับระบบธนาคารยุโรปของธนาคารกลางชั้นนำ 5 แห่ง จะช่วยหนุนสินทรัพย์เสี่ยงและเงินเอเชียให้ฟื้นตัวขึ้นในช่วงท้ายสัปดาห์ แต่เงินบาทก็ยังคงอ่อนค่ากว่า 30.35 โดยเข้าแตะระดับต่ำสุดในรอบประมาณ 2 เดือนที่ 30.37 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ในวันศุกร์ (16 ก.ย.) เงินบาทอยู่ที่ 30.37 จากระดับ 30.04 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (9 ก.ย.)
สำหรับแนวโน้มสัปดาห์ถัดไป (19-23 ก.ย. 2554) เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ 30.20-30.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยคงต้องจับตาผลการประชุมของรัฐมนตรีสหภาพยุโรป ความคืบหน้าในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป และผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (20-21 ก.ย.) รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนก.ย. ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐฯ ข้อมูลยอดขายบ้านมือสอง การเริ่มสร้างบ้าน การอนุญาตก่อสร้างเดือนส.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
เงินยูโร และเงินเยนเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฯ
เงินยูโรทยอยฟื้นตัวจากระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือนเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฯ โดยเงินยูโรได้รับแรงหนุนในช่วงต้นสัปดาห์หลังหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์ส รายงานว่า อิตาลีได้ขอให้จีนซื้อพันธบัตรของอิตาลีจำนวนมาก ขณะที่ สัญญาณที่บ่งชี้ว่า ผู้นำยุโรปกำลังดำเนินการเพื่อควบคุมวิกฤตหนี้ (ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปยืนยันว่า จะเปิดเผยผลการศึกษาการออกพันธบัตรยูโร) แถลงการณ์ร่วมของผู้นำเยอรมนีและฝรั่งเศสที่สนับสนุนให้กรีซมีสถานะเป็นสมาชิกยูโรโซนต่อไป และมาตรการร่วมของธนาคารกลางชั้นนำในการสนับสนุนสภาพคล่องสกุลเงินดอลลาร์ฯ เพื่อป้องกันภาวะตึงตัวของตลาดเงินยุโรป ก็เป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนค่าเงินยูโรด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี เงินยูโรต้องลดช่วงบวกลงบางส่วนในช่วงท้ายสัปดาห์ เนื่องจากตลาดยังไม่เห็นความคืบหน้าถัดไปของกลไกการแก้วิกฤตหนี้ของทางการยุโรป
เงินเยนพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย ท่ามกลางการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงของนักลงทุน หลังจากปัญหาหนี้ในยุโรปมีภาพในด้านลบมากขึ้น 
ในวันศุกร์ (16 ก.ย.) เงินยูโรอยู่ที่ 1.3799 เทียบกับ 1.3651 ดอลลาร์ฯ ต่อยูโรในวันศุกร์ก่อนหน้า (9 ก.ย.) ส่วนเงินเยนอยู่ที่ 76.77 จาก 77.55 เยนต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า
ตลาดทุน
ตลาดหุ้นไทย 
ดัชนี SET ปรับตัวลดลง จากแรงขายต่างชาติ ท่ามความกังวลต่อปัญหาหนี้ยูโรโซน โดยดัชนีปิดที่ระดับ 1,033.34 จุด ลดลง 2.73% จากสัปดาห์ก่อน ด้านมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลง 6.48% จากสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 22,592.76 ล้านบาท โดยนักลงทุนรายย่อย และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ ขณะที่ นักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนสถาบัน ขายสุทธิ ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 291.40 จุด ลดลง 2.26% จากสัปดาห์ก่อน 
ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันพุธ โดยมีแรงขายหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มหลัก จากความกังวลต่อปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ และหนี้สินในยุโรป ก่อนที่ดัชนีจะปรับตัวขึ้นในวันพฤหัสบดี จากคาดหวังในด้านบวกต่อการแก้ปัญหาหนี้ในยุโรป อย่างไรก็ดี ดัชนีขยับลงอีกในวันศุกร์ จากแรงขายทำกำไรเพื่อลดความเสี่ยงก่อนการประชุมรัฐมนตรีคลังของสหภาพยุโรป
สำหรับแนวโน้มสัปดาห์ระหว่างวันที่ 19-23 ก.ย. 2554 บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด และบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีอาจยังคงผันผวน โดยมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นหากสถานการณ์ในต่างประเทศไม่เลวร้ายลง ขณะที่ คงจะต้องจับตาท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่อาจพิจารณาดำเนินมาตรการผ่อนคลายเพิ่มเติมในการประชุม FOMC วันที่ 20-21 ก.ย. และความคืบหน้าของการแก้ปัญหาหนี้ในยุโรปซึ่งจะมีการครบกำหนดของพันธบัตรกรีซ ตลอดจนการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ อาทิ เครื่องชี้วัดที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 1,030 และ 1,011 ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,044 และ 1,051 จุด ตามลำดับ
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ 
ดัชนี DJIA ปิดเพิ่มขึ้น จากมุมมองเชิงบวกในการแก้ปัญหาหนี้ยูโรโซน โดยในวันศุกร์ ดัชนี DJIA ปิดที่ 11,509.09 จุด เพิ่มขึ้น 4.70% จากสัปดาห์ก่อน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดสัปดาห์ จากความหวังว่าอิตาลีอาจได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากจีน และความพยายามของผู้นำยุโรปที่จะควบคุมวิกฤตหนี้ ขณะที่ นายกรัฐมนตรีอิตาลีได้รับความไว้วางใจให้ดำเนินแผนการรัดเข็มขัด นอกจากนี้ ตลาดยังมีแรงหนุนจากความร่วมมือของธนาคารกลาง 5 แห่งในการปล่อยสภาพคล่องเงินดอลลาร์ฯ เพื่อลดภาวะตึงตัวในตลาดเงินยุโรป 
ตลาดหุ้นญี่ปุ่น
ดัชนี Nikkei ปรับเพิ่มขึ้น จากท่าทีเชิงบวกในการแก้ปัญหาหนี้ในยูโรโซน โดยเมื่อวันศุกร์ ดัชนี Nikkei ปิดที่ 8,864.16 จุด เพิ่มขึ้น 1.45% จากสัปดาห์ก่อน ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับลดลงในวันจันทร์ จากความวิตกต่อวิกฤตหนี้ของยุโรปที่มีความรุนแรงมากขึ้น ก่อนที่ตลาดจะปรับขึ้นในวันอังคาร จากแรงซื้อคืน จากนั้น ดัชนี Nikkei ปรับลดลงอีกในวันพุธ จากข่าวการปรับลดอันดับเครดิต 2 ธนาคารฝรั่งเศสโดยมูดี้ส์ อย่างไรก็ตาม ดัชนีปรับตัวขึ้นในช่วงท้ายสัปดาห์ หลังจากฝรั่งเศสและเยอรมนีประกาศว่ากรีซจะยังคงเป็นสมาชิกยูโรโซนต่อไป อีกทั้งธนาคารกลาง 5 ประเทศประกาศว่าจะร่วมมือกันในการปล่อยกู้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นระยะเวลา 3 เดือน แก่ธนาคารพาณิชย์ เพื่อป้องกันภาวะตึงตัวในตลาดเงินยุโรป


 

3.  การควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่สำคัญมาก ท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ และ บอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

ตอบแนวทางในการควบคุมสินเชื่อ
1. การควบคุมในแนวดิ่ง ( Vertical Control)
      ผู้เป็นหัวหน้าต้องดูแลเอาใจใส่ ให้คำแนะนำแก่ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของตนทั้งนี้เพื่อให้พนักงานเหล่านั้น ทำงานด้านสินเชื่ออย่างถูกต้อง ตามระเบียบขั้นตอนตามที่องค์การกำหนดไว้ สิ่งที่มักจะต้องดูแลก็คือ พิจารณาว่าพนักงานสินเชื่อได้ทำการตรวจสอบ เก็บรวบรวมข้อมูล และทำการวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นของตัวผู้กู้ และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาวการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบพอเพียงต่อการอนุมัติสินเชื่อหรือยัง
2. การควบคุมในแนวนอน (Horizontla Control)
       เป็นการควบคุมในระดับเดียวกัน แต่เป็นการควบคุมระหว่างหน่วยงานที่ทำหน้าที่แต่ละด้านให้กับองค์การสิ่งที่มักพบเห็นเสมอก็คือ ธนาคารหลายแห่งจะมีเจ้าหน้าที่สินเชื่อทำงานด้านการตลาด เพื่อพบปะลูกค้านำเสนองานทางด้านสินเชื่อ มีเจ้าหน้าที่วิเคราะห์สินเชื่อที่ต้องออกไปพบลูกค้าพร้อมกับฝ่ายการตลาดเพื่อร่วมรับรู้ถึงธุรกิจของลูกค้า และขอเอกสารต่างๆจากลูกค้า รวมทั้งหาข้อมูลจากแหล่งอื่นๆเพื่อทำการวิเคราะห์ความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละราย มีเจ้าหน้าที่ต้องประเมินราคาหลักประกัน ทีต้องไปพบลูกค้าเช่นกัน เพื่อทำการประเมินตามหลักวิชาการเพื่อให้เจ้าหน้าที่สินเชื่อและเจ้าหน้าที่วิเคราะห์สินเชื่อได้ใช้อ้างอิงในการกำหนดวงเงินสินเชื่อ
3. การควบคุมด้วยการตรวจสอบภายในองค์การ
      ซึ่งจะต้องทำอย่างน้อยปีละครั้ง โดยใช้ระบบสุ่มตรวจ และไม่ต้องให้ฝ่ายสินเชื่อทราบล่วงหน้าเพราะทำให้ไม่พบจุดบกพร่อง ฝ่ายตรวจสอบภายในจะต้องมีการแบ่งทีมงานเดเป็นหลายชุด
กระบวนการให้สินเชื่อที่รัดกุมมีประสิทธิภาพ
1. เหตุผลและความจำเป็น
       
1. ปัจจุบันหลายสหกรณ์มีแนวโน้มหนี้ค้างชำระเพิ่มขึ้นทุกปี
    
  2. กระบวนการและการให้สินเชื่อของสหกรณ์ปัจจุบันค่อนข้างหละหลวมไม่รัดกุม
      
3. หลายสหกรณ์มีค่าใช้จ่ายจากค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น
      
4. กระบวนการให้สินเชื่อขาดการมีส่วนร่วมของฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
2. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
       
1. ให้สหกรณ์ได้ชุดความรู้ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานด้านสินเชื่อของสหกรณ์
       
2. เจ้าหน้าที่สามารถนำชุดความรู้ด้านการให้สินเชื่อใช้ในการส่งเสริมสหกรณ์ได้
       
3. สถานการณ์  แนวโน้ม  หนี้ค้างชำระจะลดลง
       
4. สหกรณ์มีความมั่นคง  และมีความเข้มแข็งมากขึ้น
นโยบายการให้สินเชื่อเพื่อการเกษตร
         
เนื่องจากให้การสินเชื่อเพื่อการเกษตร มีความเสี่ยง (RISK) ทั้งในด้านการผลิตและด้านการขายผลิตผล  ดังนั้น  เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว  การให้สินเชื่อของสหกรณ์จะต้องใช้ความระมัดระวังและความละเอียดรอบคอบตามสมควร  ซึ่งสถาบันผู้ให้กู้ควรกำหนดนโยบายการดำเนินงาให้สินเชื่อเพื่อการเกษตรที่จะให้ผลมั่นคง (SOUND  LENDING POLICIES) ตามแนวทางดังนี้
 
1. การคัดเลือกท้องที่  เพื่อให้การใช้สินเชื่อได้ผล  ในการเพิ่มผลผลิตหรือสนับสนุนการพัฒนางานเกษตรอย่างแท้จริง  สถาบันผู้ให้กู้ควรดำเนินงานในท้องที่  ซึ่งมีทางเพิ่มการผลิตทางการเกษตรโดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ท้องที่มีน้ำชลประทาน  น้ำไม่ท่วมขังนาน  และมีหลายหน่วยงานจากส่วนราชการเข้าส่งเสริม  ผลผลิตในพื้นที่ดังกล่าว  ย่อมจะได้รับผลเป็นอย่างยิ่ง
 
2. การคัดเลือกเกษตรกรผู้กู้  สหกรณ์ควรให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการคัดเลือกเกษตรกรผู้กู้ให้ได้ผู้มีนิสัยดี  มีความซื่อสัตย์และมีฐานะทางเศรษฐกิจพอสมควร  ตลอดจนมีความสามารถดำเนินงานเกษตรในขนาด  ซึ่งก่อให้เกิดรายได้อย่างพอเพียง  ซึ่งปกติย่อมชำระหนี้เงินกู้ได้ตามกำหนดสัญญา
  
3. การให้การศึกษาอบรม  สถาบันผู้ให้กู้จะต้องให้การศึกษาอบรมเกี่ยวกับสินเชื่อเพื่อการเกษตรแก่เกษตรกรผู้กู้  เช่นในเรื่องเหตุผลคุณประโยชน์และโทษของการใช้สินเชื่อสู่ทางเพิ่มผลผลิต  การทำแผนงานผลติ  และการออมเงิน  เป็นต้น
   
4.  การให้สินเชื่อเพื่อเพิ่มผลผลติ  สหกรณ์ผู้ให้กู้ควรช่วยเหลือเกษตรกรในการทำแผนงานผลิตโดยถูกต้องสมควร  และให้สินเชื่อเพื่อเพิ่มผลผลิตโดยคำนึงถึงแผนงานผลิต  ความสามารถชำระหนี้ของเกษตรกรผู้กู้แต่ละราย  อีกทั้งจำนวนสินเชื่อควรสัมพันธ์กับค่าใช้จ่ายในการผลิตและค่าของผลติผลซึ่งคาดว่าจะได้  นอกจากนี้สถาบันควรปฏิเสธไม้ให้สินเชื่อ  ซึ่งไม่อาจชำระคืนจากรายได้การเกษตร  เพราะการให้สินเชื่อเช่นนั้น  มักเกิดความยากลำบากในการชำระคืนการให้สินเชื่อเพื่อเพิ่มผลผลิต  ควรจ่ายเป็นงวดๆ ตามความต้องการในการดำเนินงานเกษตร  ส่วนการกำหนดระยะเวลาชำระคืน  ควรมีช่วงเวลาเพียงพอที่เกษตรกรผู้กู้จะผลิตผลของตนได้ราคาตามสมควรการสนับสนุนให้เกษตรกรผู้กู้ทำงานเกษตรหลายอย่าง  เพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้น  จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในกรณีที่ผลิตอย่างใดอย่างหนึ่งเสียหาย  หรือมีราคาตกต่ำ  และจะช่วยให้เกษตรกรผู้กู้มีความสามารถชำระหนี้สูงขึ้นด้วย                             
     5. การควบคุมแนะนำ  สหกรณ์ผู้ให้กู้ต้องควบคุมการใช้สินเชื่อของเกษตรกรผู้กู้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่  โดยการออกไปตรวจสอบการใช้สินเชื่อให้เป็นไปตามแผนงานผลิต  และให้คำแนะนำทางด้านเทคนิคการเกษตรแก่เกษตรผู้กู้  ซึ่งอาจจะร่วมมือประสานงานกับส่วนราชการหรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการเกษตร
      6. ทะเบียนเกษตรกรรม  สหกรณ์ผู้กู้พึงช่วยเหลือเกษตรกรในการจัดทำทะเบียนเกษตรกรรม  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดทำงบแสดงฐานะทางการเงินของเกษตรกรประจำปี  เพื่อเป็นทางหยั่งรู้ฐานะทางการเงินของเกษตรกรผู้กู้หรือผู้ค้ำประกันโดยถ่องแท้  ตลอดจนใช้เป็นทางทดสอบหรือวัดผลของการให้เงินกู้
     7. หลักประกัน  สหกรณ์ผู้ให้กู้ควรพิจารณากำหนดให้เหมาะสมกับจำนวนสินเชื่อและระยะเวลาชำระคืน
      8.  การเชื่อมโรงงานสินเชื่อเข้ากับงานธุรกิจอื่น  สถาบันผู้ให้กู้ควรเชื่อมโยงงานสินเชื่องานขายผลิตผลการเกษตรและงานจัดหาวัสดุการเกษตรเข้าด้วยกันโดยบริบูรณ์ (LINKAGE  OF CREDIT  MARKETING  AND  SUPPLY  FUNCTIONS) ซึ่งสหกรณ์ผู้ให้กู้ควรดำเนินการด้วยตนเอง หรือร่วมมือกับสถาบันอื่นที่น่าเชื่อถือ  เพื่ออำนวยคุณประโยชน์แก่เกษตรกร
          9. เหตุสุดวิสัย โดยที่อาชีพการเกษตรต้องอาศัยดินฟ้าอากาศเป็นสำคัญ  หากมีเหตุการณ์จอกเหนืออำนาจการควบคุมของสหกรณ์ผู้ให้กู้และเกษตรผู้กู้เกิดขึ้น  เช่น ดินฟ้าอากาศแปรปรวนและ          มีภัยธรรมชาติอื่นๆ  ทำให้การผลิตทางการเกษตรได้ผลไม่แน่นอน  ฉะนั้น  เพื่อป้องกันความเสี่ยงนี้  การให้สินเชื่อเพื่อการผลิตทางการเกษตรโดยปกติควรให้ไม่เกินส่วนอันสมควร  เช่น  ไม่เกินร้อยละหกแห่งค่าของผลิตผลส่วนเหลือเพื่อขาย  ซึ่งคาดว่าจะได้  ถ้าเป็นการให้สินเชื่อเพื่อการผลิตบางประเภทที่มีความเสี่ยงมากกว่าประเภทอื่น ก็ควรลดอัตราส่วนลงตามความเหมาะสม 

     10. การไม่ชำระหนี้โดยจงใจ ในกรณีที่มีเกษตรกรผู้กู้จงใจไม่ชำระหนี้ทั้งที่สามารถชำระได้  หากสหกรณ์ได้ใช้ความสามารถในการติดตามทวงถามให้ชำระหนี้แล้ว  แต่ไม่เป็นผล  สหกรณ์ถึงดำเนินการตามกฎหมายเพื่อบังคับชำระหนี้  และเพื่อมิให้ผู้อื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
ประเด็นแลกเปลี่ยนทักษะประสบการณ์  ต่อปัญหากระบวนการให้สินเชื่อที่รัดกุมมีประสิทธิภาพนั้น
       -  สหกรณ์จะต้องมีฐานข้อมูลการผลิตของสมาชิกทั้งหมดและมีการตรวจสอบข้อมูลเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
        -  การรับสมาชิกสหกรณ์ต้องพิจารณาให้รอบคอบสอบสวนข้อมูลที่เป็นจริงเป็นไปตามกฎกติกาของสหกรณ์   เพื่อให้ได้สมาชิกที่ดีในอนาคต

      -  สหกรณ์ต้องมีคู่มือการบริหารงานสินเชื่อแก่พนักงานสินเชื่อไว้เป็นแนวทางในการทำงาน  ตั้งแต่การสอบสวนคำขอกู้จนถึงการอนุมัติสินเชื่อ  การตรวจสอบการรับเงินกู้   การใช้เงินกู้             โดยปฏิบัติตามคู่มืออย่างเคร่งครัด

       -  เจ้าหน้าที่สินเชื่อจะต้องเขียนคำขอกู้ที่ละเอียดถี่ถ้วนตามแบบให้ถูกต้องครบถ้วน  การเขียนสัญญาต้องถูกต้องครบถ้วน  หลักประกันเงินกู้ต้องถูกรัดกุมมีความเหมาะสมเป็นไปตามระเบียบของสหกรณ์

   -  สหกรณ์ต้องวิเคราะห์สมาชิกที่ขอกู้เงินตามข้อมูลที่เป็นจริง  วัตถุประสงค์ของการ ขอกู้  ประวัติการเป็นหนี้  ความสามารถในการชำระหนี้  สถานการณ์ปัจจุบันแหล่งรายได้  เป็นต้น

   -  สหกรณ์ต้องอบรมสมาชิก  ผู้ค้ำประกันและคู่สมรสผู้กู้ให้รับทราบรายละเอียด    ข้อผูกพันต่างๆ ทุกกระบวนการก่อน  จะจ่ายเงินกู้ทุกครั้ง

      -  สหกรณ์ต้องแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่อย่างชัดเจนในการรับเรื่อง  สอบสวน  จัดทำเอกสารเงินกู้  จ่ายเงินกู้  แจ้งเตือนชำระหนี้ล่วงหน้าและตลอดจนติดตามให้ชำระหนี้ตามกำหนด

ชุดความรู้จากการประมวล

การให้สินเชื่อที่รัดกุมมีประสิทธิภาพ

  1.  สหกรณ์จะต้องมีบุคลากรที่ดี  มีความขยัน  อดทน  มีคุณธรรมและรักองค์กรสหกรณ์
  2.  สหกรณ์ต้องมีสมาชิกที่รู้บทบาทหน้าที่  เป็นสมาชิกที่ดีผ่านการกลั่นกรองจากสมาชิกภายในกลุ่มมาแล้ว
3.  สหกรณ์จะต้องมีข้อมูลการผลิตของสมาชิกมีการจัดทำแผนบนพื้นฐานของข้อมูลที่เป็นจริง
4.  เจ้าหน้าที่สินเชื่อจะต้องให้ความสำคัญกับทุกขั้นตอนของการให้สินเชื่อ  เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนและเป็นจริงมากที่สุด
5.  สหกรณ์จะต้องให้ความสำคัญกับการชี้แจงรายละเอียดเงื่อนไขสัญญากู้เงินการชำระหนี้ข้อผูกพันในฐานะผู้กู้  ผู้ค้ำและคู่สมรส  รายละเอียดข้อกฎหมาย  ระเบียบและเงื่อนไขต่างๆ แก่ผู้มีส่วนได้เสียก่อนการจ่ายเงินกู้แต่ละครั้ง
6.  สหกรณ์จะต้องสร้างระบบค่านิยมการหลั่นกรอง  ตรวจสอบระหว่างสมาชิกกันเอง  ภายในกลุ่มสมาชิก
7.  สหกรณ์จะต้องจัดทำคู่มือ  วิธีปฏิบัติงานสินเชื่อของสหกรณ์ทุกขั้นตอน เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่สินเชื่อ
8.  สหกรณ์จะต้องมีเครื่องมือที่ดีในการติดตามผลการปฏิบัติงานด้านสินเชื่อของเจ้าหน้าที่ในแต่ละเดือน
9.  สหกรณ์จะต้องมีระเบียบว่าด้วยการให้สินเชื่อที่รัดกุมและมีการปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด
10. จ่ายเงินลักษณะการกำกับโดยจ่ายเป็นงวดๆ ตามแผนการผลิตที่แท้จริง
11. วางแผนเรื่องการตลาดผลผลิตร้องรับด้วย
4.  จงอธิบายถึงอัตราส่วนทางการเงิน  (Financial Ratio) ที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ พร้อมทั้งอธิบายลงไปในรายละเอียดด้วยว่ามีวิธีการพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้
ตอบ การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน (Ratio Analysis)
1.การวิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity Ratio)     
1.1 อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนหรืออัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio) 
อัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current Ratio) = สินทรัพย์หมุนเวียน (CA) /หนี้สินหมุนเวียน (CL) 
วัด ความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น ถ้าค่าที่คำนวณได้สูงเท่าใด แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนที่ประกอบไปด้วย เงินสด ลูกหนี้ และสินค้าคงเหลือมากกว่าหนี้ระยะสั้น ทำให้คล่องตัวในการชำระหนี้ระยะสั้นมีค่อนข้างมาก โดยปกติ อัตราส่วน 2 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว
1.2 อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio or Acid Test Ratio) 
อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio) = (สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงเหลือ) /หนี้สินหมุนเวียน 
หรือ( Quick Ratio = CA - Inventory )/CL 
เป็น การวัดส่วนของสินทรัพย์ที่ได้หักค่าสินค้าคงเหลือ ที่เป็นสินทรัพย์ระยะสั้นและมีความคล่องตัวในการเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ต่ำสุด ออก เพื่อให้ทราบถึงสภาพคล่องที่แท้จริงของกิจการได้ โดยปกติอัตราส่วน 1 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว
1.3 อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover) 
อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover) 
A/R Turnover = ขายเชื่อสุทธิ หรือใช้ยอดขายรวม (ครั้ง หรือ รอบ) /ลูกหนี้ถัว เฉลี่ย 
ลูกหนี้ถัว เฉลี่ย = (ลูกหนี้ต้นงวด + ลูกหนี้ปลายงวด )/ 2 
หากค่าที่คำนวณได้ มีค่าสูง แสดงถึงความสามารถในการบริหารลูกหนี้ให้แปลงสภาพเป็นเงินสดได้เร็ว
1.4 ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Average Collection Period) 
ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Avg. Collection Period) (วัน) = 365 วัน /อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ 
ยิ่งต่ำยิ่งดีแสดงให้เห็นถึงระยะเวลาในการเรียกเก็บหนี้ว่าสั้นหรือยาว เพื่อให้ทราบถึงคุณภาพของลูกหนี้ 
ประสิทธิภาพในการเรียกเก็บหนี้ และนโยบายในการให้สินเชื่อทางธุรกิจ
1.5 อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover) 
อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover) = ต้นทุนสินค้าขาย (COGS) /สินค้าคงเหลือเฉลี่ย (Avg. Inventory) 
สินค้าคงเหลือเฉลี่ย =( สินค้าต้นงวด + สินค้าปลายงวด )/ 2 
หากค่าคำนวณได้สูง ย่อมแสดงถึงความสามารถในการบริหารการขายสินค้าได้เร็ว
1.6 ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า 
ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า(วัน) = 365 (วัน) /อัตราหมุนเวียนของสินค้า (Inventory Turnover) 
ยิ่งขายได้เร็ว (ระยะเวลาสั้น) ยิ่งดี
2.ความสามารถในการหากำไร (Profitability Ratio)
1.1 อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) 
1.2 อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit Margin) 
1.3 อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) 
1.4 อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Return On Equity or ROE)

อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)(%) = ขายสุทธิ - ต้นทุนขาย หรือ SALES - COGS / ขายสุทธิ SALES 
= กำไรขั้นต้น หรือ Gross Profit /ขายสุทธิ SALES 
ยิ่งสูงยิ่งดี
อัตรากำไรจากผลการดำเนินงาน(Operating Profit Margin)(%) = กำไรจากการดำเนินงาน(Operating Profit Margin) /ขายสุทธิ (SALES)ยิ่งสูงยิ่งดี
อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)(%) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /ขายสุทธิ (SALES) 
ยิ่งสูงยิ่งดี แสดงให้เห็นประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทในการทำกำไร หลังจากหักต้นทุนค่าใช้จ่ายรวมทั้งภาษีเงินได้หมดแล้วผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE %) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) 
ยิ่ง สูงยิ่งดี แสดงให้เห็นว่าเงินลงทุนในส่วนของเจ้าของ จะได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาจากการดำเนินการของกิจการนั้นในอัตราส่วนเท่าไร หากมีค่าสูง แสดงถึงประสิทธิภาพในการหากำไรสูงด้วย
Dupont Equation 
ROE (%) = NP (or EAT) = (EAT/SALES) (SALES/ASSETS) (ASSETS/EQUITY) /Equity 
หรือ ROE (%) =รายได้จากการขาย สินทรัพย์ทั้งหมด= กำไรสุทธิ X รายได้จากการขาย X สินทรัพย์ทั้งหมด / ส่วนของผู้ถือหุ้น = (ความสามารถในการหากำไร) (การใช้เงินทุน) (ความสามารถในการหาทุน) 
หรือ สมการนี้เท่ากับ ROE (%) = (Net Profit Margin) (Total Asset Turnover) (Financial Leverage)
3. อัตราส่วนแสดงประสิทธิภาพในการทำงาน (Efficiency Ratio)
อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม (ROA)(%) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /สินทรัพย์รวม (Total Assets) 
ยิ่ง สูงยิ่งดี เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรของสินทรัพย์ทั้งหมดที่ธุรกิจใช้ในการ ดำเนินงาน ว่าให้ผลตอบแทนจากการดำเนินงานได้มากน้อยเพียงใด หากมีค่าสูง แสดงถึงการใช้สินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ
อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ถาวร (ROFA) = กำไรสุทธิ (Net Profit or NP) /รวมสินทรัพย์ถาวร (Fix Assets) 
อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Turnover) 
อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Turnover)(ครั้ง) = ขายสุทธิ (SALES) /สินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset) 
ยิ่งสูงยิ่งดี
อัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total Assets Turnover) 
อัตราส่วนการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total Assets Turnover) (ครั้งหรือเท่า) = ขายสุทธิ (SALES) /สินทรัพย์รวม (Total Assets) 
จำนวน ครั้งสูง ดี เป็นอัตราส่วนที่แสดงถึงประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ทั้งหมด (TA) เมื่อเทียบกับยอดขาย (SALES) ถ้าอัตราส่วนนี้ต่ำ แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์มากเกินความต้องการ
4. อัตราส่วนวิเคราะห์นโยบายทางการเงิน (Leverage Ratio or Financial Ratio)
เพื่อให้ทราบถึงแหล่งที่มาของเงินทุนว่ามาจากหนี้สินหรือส่วนของเจ้าของ ว่ามีมากน้อยเพียงใด 
อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt/Equity Ratio) (เท่า) = หนี้สินรวม (Total Debt) /ส่วนของเจ้าของ (Equity) 
ยิ่งต่ำ ยิ่งดี แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงในด้านเจ้าหนี้และเจ้าของกิจการ ถ้าอัตราส่วนสูง 
แสดงว่า กิจการมีความเสี่ยงจากการกู้ยืมเงินมาใช้ในการดำเนินกิจการ
ความ สามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest Coverage) (เท่า) = {กำไรสุทธิ (NP) + ภาษีเงินได้ (Tax) - ดอกเบี้ยจ่าย(Interest)} /ดอกเบี้ยจ่าย (Interest) 

เป็นการวัดความสามารถของธุรกิจในการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ ผลคำนวณออกมามีค่าสูง แสดงว่าธุรกิจมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยสูง
อัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout) = เงินปันผลต่อหุ้น (Dividend /share) /กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) 
แสดงถึงนโยบายการจ่ายเงินปันผลของธุรกิจ 
อัตราส่วนที่กล่าวมาเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์หลักทรัพย์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน เพื่อท่านจะได้พิจารณางบการเงินได้ในระดับหนึ่ง
สัญญาณเตือนภัยจากการวิเคราะห์งบการเงิน 
1.ขาดทุนมากๆ และติดต่อกันหลายปี 
2.ระยะเวลาการเก็บหนี้นานขึ้น 
3.อัตราหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของสูงขึ้นเร็วมาก 
4.สินค้าคงคลังสูงมากผิดปกติ 
5.ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น 
6.ยอดขายสูงขึ้น แต่กำไรลดลง 
7.หนี้สูญเพิ่มขึ้น 
8.รายงานผู้สอบบัญชีผิดปกติ เปลี่ยนผู้สอบบัญชีใหม่ 
9.ขายสินทรัพย์ของบริษัท เพื่อสร้างกำไรให้เข้าเป้าในระยะสั้น

 การวิเคราะห์สินเชื่อ (CREDIT ANALYSIS)
         การให้สินเชื่อ เป็นธุรกิจ ซึ่งจะต้องขายความเสี่ยงเป็นหลัก ดังนั้น การวิเคราะห์สินเชื่อ คือการประกันความเสี่ยงอันเกิดขึ้นได้ในอนาคต ไม่มีใครยืนยันได้ว่า สินเชื่อที่ปล่อยไปนั้นจะได้รับการชำระคืนโดยครบถ้วน
        การวิเคราะห์สินเชื่ออย่างรอบคอบจะช่วยให้ทราบว่า ความเสี่ยงนั้น ยอมรับได้แค่ไหน ถ้าความเสี่ยงมาก ก็ต้องการหลักประกันมาก ถ้าความเสี่ยงน้อย อาจจะไม่ต้องการหลักประกันเลยก็เป็นได้ หลักการเบื้องต้น ในการพิจารณาสินเชื่อ มีหลักใหญ่ ๆ ดังนี้

            หลัก  3 ‘P

1.      วัตถุประสงค์ (PURPOSE)

2.      การชำระคืน  (PAYMENT)

3.      การป้องกันความเสี่ยง (PROTECTION)

 1.      วัตถุประสงค์ (PURPOSE)

ก่อนที่จะพิจารณาสินเชื่อรายใดรายหนึ่ง จะต้องทราบถึงวงจรธุรกิจของลูกค้า ต้องทราบถึงความต้องการให้สินเชื่อของลูกค้าด้วยว่า  ต้องการใช้วงเงินสินเชื่อเพื่อทำอะไร จะได้กำหนดประเภทของสินเชื่อได้อย่างถูกต้อง และระยะเวลาในการชำระคืนให้

            หลัก  3 ‘P

1.      วัตถุประสงค์ (PURPOSE)

2.      การชำระคืน  (PAYMENT)

3.      การป้องกันความเสี่ยง (PROTECTION)

 1.      วัตถุประสงค์ (PURPOSE)

ก่อนที่จะพิจารณาสินเชื่อรายใดรายหนึ่ง จะต้องทราบถึงวงจรธุรกิจของลูกค้า ต้องทราบถึงความต้องการให้สินเชื่อของลูกค้าด้วยว่า  ต้องการใช้วงเงินสินเชื่อเพื่อทำอะไร จะได้กำหนดประเภทของสินเชื่อได้อย่างถูกต้อง และระยะเวลาในการชำระคืนให้ตรงกับวัตถุประสงค์ ก่อนที่จะได้กล่าวในเรื่องนี้ เจ้าหน้าที่สินเชื่อควรทราบว่า สินเชื่อนั้นมีประเภทใดบ้าง

ชนิดของสินเชื่อ (TYPE OF CREDIT)   ชนิดที่ธนาคารจะให้แก่ลูกค้า มีหลายประเภท คือ

-          สินเชื่อระยะยาว (LONG TERM CREDIT)

-          สินเชื่อระยะปานกลาง (MEDIUM TERM CREDIT)

-          สินเชื่อระยะสั้น (SHORT TERM CREDIT)

-          การค้ำประกัน (LETTER OF GRANTEE)

 การให้สินเชื่อในแต่ละประเภทนั้น ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้ของลูกค้าเป็นสำคัญหากจัดวงเงินให้กับลูกค้า ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ใช้ จะทำให้มีปัญหาทางด้านการเงินได้

 สินเชื่อระยะยาว (LONG TERM CREDIT)

            เป็นสินเชื่อที่ให้ในการลงทุนในทรัพย์สินถาวร (FIX ASSET) เช่น การซื้อที่ดินเครื่องจักรต่าง ๆ  การก่อสร้างอาคาร ,สำนักงาน , โรงงาน สาเหตุที่เป็นสินเชื่อระยะยาว เนื่องจากสินทรัพย์เหล่านี้ ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงิน มาชำระหนี้ให้แก่ธนาคารได้ในระยะเวลาอันสั้น จึงจำเป็นต้องใช้ผลกำไรจากการดำเนินธุรกิจ และค่าเสื่อมมาชำระหนี้ ซึ่งเจ้าหน้าที่สินเชื่อควรจะต้องรู้ว่าธุรกิจนั้น สามารถมีผลกำไรเพียงพอที่จะชำระหนี้ในแต่ละงวดได้เพียงใด ก็จะกำหนดการชำระคืนให้สอดคล้องกับผลกำไรนั้น ๆ อาจจะชำระหนี้น้อยในปีแรก และค่อยชำระเพิ่มขึ้นในปีหลัง ๆ ก็ได้ หรือหากธุรกิจนั้น จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการก่อนที่จะสามารถทำกำไรได้ ก็อาจจะกำหนดระยะเวลาการปลอดเงินต้น (GRACE PERIOD) ให้ได้ เช่น ถ้าต้องใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างโรงงานติดตั้งเครื่องจักร (TEST RUN) จนกระทั่งผลิตสินค้าออกขายได้ ใช้เวลา 6 เดือน หรือ 1 ปี ก็จะกำหนด GRACE PERIOD ให้ 6 เดือน หรือ 1 ปี หลังจากนั้น จึงเริ่มให้ชำระคืนเงินคืน แต่ทั้งนี้การชำระดอกเบี้ยต้องชำระทุกเดือน และต้องจำไว้ว่า การกำหนดการชำระคืนเงินต้นนั้น จะต้องเป็นการผ่อนชำระเท่านั้น ไม่ควรกำหนดให้ชำระงวดเดียวทั้งจำนวน (BULLET  LOAN)  เว้นแต่ว่า ธุรกิจนั้น มีรูปแบบการหารายได้ทีเดียว เช่น ธุรกิจการเกษตร ซึ่งมีรายได้ตามฤดูกาลเก็บเกี่ยว สินเชื่อระยะยาวนี้ อาจจะมีระยะเวลาการชำระหนี้คืนภายใน 5-10 หรือถ้าเป็นสินเชื่อเพื่อที่อาศัย ที่ต้องนำเงินเดือน รายได้ประจำมาชำระคืน อาจกำหนดระยะเวลายาวกว่านั้น เป็น 10-20 ปี ก็อาจทำได้ แต่ถ้าเป็นธุรกิจการค้าแล้ว ไม่ควรให้ระยะเวลาการผ่อนชำระคืนนานเกินไป
    สินเชื่อระยะปานกลาง (MEDIUM TERM CREDIT)
         เป็นสินเชื่อที่มีกำหนดการชำระคืนภายในระยะเวลา 1-2 ปี สินเชื่อประเภทนี้มีวัตถุประสงค์ให้กับการลงทุนของธุรกิจ ที่สามารถทำกำไรในระยะเวลาอันสั้นได้ เช่น ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ธุรกิจจัดสรร ธุรกิจการเช่าซื้อ ธุรกิจการเกษตร ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว จะกำหนดวงเงินให้เป็นคราว ๆ ไป เมื่อโครงการหรือธุรกิจนั้นเสร็จสิ้นแล้วก็ไม่สามารถก็ได้อีก เมื่อมีโครงการหรือธุรกิจใหม่ จึงมาขอสินชื่อเป็นคราว ๆ ไป

 สินเชื่อระยะสั้น (SHOT TERM CREDIT)

            เป็นสินเชื่อที่ให้โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน (WORKING  CAPITAL) ใช้ในการลงทุนในเรื่องของวัตถุดิบ STOCK สินค้า ค่าแรงงาน ค่าบริหาร การให้ CREDIT แก่ลูกค้า ซึ่งในเรื่องของการ  STOCK สินค้านั้น บางครั้งอาจจะใช้เป็นเงินกู้ระยะยาวก็ได้ ถ้าเป็น STOCK สินค้าที่ไม่หมุนเวียน (DEAD STOCK) เช่น ธุรกิจน้ำมัน จะต้องสำรองน้ำมันได้ตามกฎหมาย STOCK สินค้าเหล่านั้น ไม่สามารถหมุนเวียนได้ อาจให้เป็นเงินกู้ระยะยาวและให้ผ่อนชำระจากกำไรในแต่ละงวดก็ได้
                ในการคำนวณความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียน (WORKING CAPITAL REQUIRE-MENT) ธนาคารจะต้องรู้สึกถึงธุรกิจการค้าของลูกค้า และดูยอดรวมต้นทุนการผลิต ระยะเวลาของการผลิต STOCK สินค้า ระยะเวลาขายสินค้า จนถึงการได้รับการำชระหนี้คืน ว่าใช้ระยะเวลาเท่าไร ซึ่งผู้กู้จะต้องมีสภาพคล่อง (LIQUIDITY) ทางการเงินตลอดระยะเวลาของการดำเนินงาน หากสะดุดหยุดลง ก็จะทำให้ธุรกิจมีปัญหาได้ และยิ่งมีการขยายตัวทางการค้าเพิ่มขึ้นเท่าไร เงินทุนหมุนเวียนก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น การหาความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียน จะรู้ได้จากประมาณการรายรับ-รายจ่าย ที่ทำขึ้นมานั้นเอง ยกตัวอย่างเช่น

            ลูกค้ารายหนึ่ง มียอดขาย 100,000 บาทต่อเดือน ต้นทุนการผลิต 70,000 บาท มีSTOCK ประมาณ 2 เดือน เมื่อขายสินค้าแล้ว กว่าจะได้รับเงิน ให้CREDIT ลูกค้าอีก 2 เดือน จะเห็นได้ว่า เงินทุนหมุนเวียนที่ใช้ในการผลิต จนถึงระยะเวลาที่จะได้รับเงินรวม 5 เดือน ดังนั้นเงินทุนหมุนเวียนที่ต้องการ เท่ากับ 70,000 * 5 เท่ากับ 350,000 บาท เป็นต้น

            สินเชื่อที่เป็นสินเชื่อระยะสั้น ที่ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน สามารถให้ได้ในหลายรูปแบบด้วยกัน คือ

            - เงินเบิกเกินบัญชี                   O/D      (OVERDRAFT)

            - การขายลดเช็คฯ                    CBD.   (CLEAN BILL DESCOUNTED)

            - เงินกู้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน     P/N      (PROMISSORY MOTE)

            - ทรัสต์รีซิปท์                          T/R      (TRUST RECEIPT)

            - เงินกู้เพื่อการส่งออก              P/C      (PACKING CREDIT)

การค้ำประกัน (LETTER OF GRANTEE)

            เป็นสินเชื่อที่ธนาคารไม่ได้จ่ายเงินให้แก่ลูกค้า (NONCASH1X) เป็นเพียงภาระผูกพันที่ธนาคารออกให้ เพื่อเป็นการค้ำประกันให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นการเสริมสร้าง CREDIT ให้กับลูกค้า และสามารถนำไปใช้เป็นการประกันในธุรกิจ การค้ำประกันแบ่งออกเป็น 2 ส่วน  คือ

-          การค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญา (PERFORMANCE BOND)

-          การค้ำประกันการชำระเงิน (PAYMENT BOND)

ซึ่งใน 2 ส่วนนี้จะเห็นได้ว่า สำหรับธนาคารมีความเสี่ยงที่แตกต่างกัน การค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญา มีความเสี่ยงน้อยกว่า การค้ำประกันการชำระเงิน ฉะนั้น การคิดค่าธรรมเนียมในการค้ำประกัน ควรคิดแตกต่างกันตามความเสี่ยงและต้องคำนึงด้วยว่า ภาระการค้ำประกันซึ่งเดิมธนาคารไม่ต้องดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง แต่ในปัจจุบันเมื่อธนาคารใช้ระบบ BIS (BANK FOR INTERNATIONAL SETTLEMENT)  ภาระผูกพันให้นับรวมในสินทรัพย์เสี่ยงด้วย หมายถึง ธนาคารจะต้องมีเงินกองทุนเพื่อการปล่อยสินเชื่อ เท่ากับว่ามีต้นทุนเกิดขึ้นแล้ว ดั้งนั้นในขณะนี้ให้กำหนดค่าธรรมเนียมในการปล่อยสินเชื่อจากเดิม 1% -2% ต่อปี เป็น 2% - 3% ต่อปี

  การค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญา (PERFORMANCE BOND)

            - การค้ำประกันการยื่นซองประกวดราคา (PAYMENT BOND)

            - การค้ำประกันผลงาน (RETENTION BOND)

            - การค้ำประกันสัญญา  (PERFORMANCE BOND)

            - การค้ำประกันการทำงาน

            - การค้ำประกันคนต่างด้าวเข้ามาภายในประเทศ

            - การค้ำประกันการเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า

 -  การค้ำประกันการชำระเงิน ( PAYMENT BOND) ได้แก่

            - การค้ำประกันการรับเงินล่วงหน้า (ADVANCE PAYMENT BOND)

            - การค้ำประกันการสั่งซื้อสินค้า

            - การค้ำประกันภาษี ค่าไฟฟ้า

            - การ AVAL ตั๋วสัญญาใช้เงิน

            - การรับรองตั๋วแลกเงิน

            - การเปิด LETTER OF CREDIT L/C

            - การเปิด L/C ภายในประเทศ D.L/C

            - STAND BY L/C

2. การชำระหนี้คืน (PAYMENT)
           การชำระเงินของลูกค้า เจ้าหน้าที่สินเชื่อ  ต้องพิจารณาความสามารถในการดำเนินธุรกิจของลูกค้า  ถ้าสามารถจะชำระหนี้คืนธนาคารได้อย่างไร  ระยะเวลาที่ขอมา  เหมาะสมกับธุรกิจหรือไม่  และต้องคำนึงถึงด้วยว่า  หากความสามารถในการชำระหนี้คืนใช้ระยะเวลานาน  ต้องใช้ในรูปของสินเชื่อระยะยาว  หากความสามารถในการชำระหนี้คืนใช้ระยะเวลาสั้น  ก็ให้ในรูปสินเชื่อระยะสั้น  ในกรณีที่เป็นการชำระหนี้คืนระยะยาว เช่น การลงทุนใน FIX ASSET  กำหนดให้ระยะสั้น  แต่หากธนาคารให้เงินกู้ระยะยาว  จะทำให้ลูกค้าได้เงินมาก่อนโดยยังไม่ถึงกำหนดชำระ  ลูกค้าอาจนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ได้  ทำให้เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้คืน  ไม่สามารถนำเงินมาชำระหนี้ให้กับธนาคาร ฉะนั้น  เงื่อนไขในเรื่องระยะเวลาการชำระหนี้คืน  ไม่สามารถนำเงินมาชำระหนี้ให้กับธนาคาร  ฉะนั้น เงื่อนไขในเรื่องระยะเวลาการชำระหนี้คืน  จะต้องเหมาะสมกับเงินสดที่ลูกค้าควรได้รับ  ไม่ควรยาวเกินไปหรือสั้นเกินไป

 

3. การป้องกันความเสี่ยง (PROTECTION)
การปล่อยสินเชื่อ  เจ้าหน้าที่สินเชื่อต้องพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่า  ธุรกิจที่ปล่อยสินเชื่อไปนั้น  สามารถชำระหนี้คืนให้กับธนาคารได้  แต่ทั้งนี้  ก็ไม่ใช่ว่าเป็นการรับประกันว่าจะไม่มีข้อผิดพลาด ดังนั้น  โดยทั่วไปแล้วธนาคารยังคงต้องพิจารณาผลการดำเนินงาน หากไม่เป็นตามเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์แล้ว  ผู้บริหารยังมีความสามารถชำระหนี้คืนให้แก่ธนาคารได้หรือไม่  ถ้าสามารถเพิ่มทุนหรือกู้ยืมเงินจากบุคคลอื่นมาชำระหนี้ได้  หรือธุรกิจยังมีทรัพย์สินพอที่จะขายมาชำระหนี้  หากพิจารณาแล้วเห็นว่า  ความสามารถในการชำระหนี้คืนของลูกค้ามีสูง  ธนาคารก็อาจจะเรียกหลักประกันน้อยลง หรือไม่ต้องมีหลักประกันน้อยลง หรือไม่ต้องมีหลักประกันเลยก็ได้  แต่ถ้าเห็นว่า ความสามารถในการชำระหนี้คืนมีน้อย  ก็อาจจะเรียกหลักประกันให้คุ้มกับหนี้หรือเกินกว่าหนี้ที่ให้ก็ได้  แต่ลูกค้ารายใดที่มีความเสี่ยงสูงและหลักประกันน้อย  ก็สมควรที่จะปฏิเสธไปเลย

.

5. ท่านคิดว่างานพิธีการสินเชื่อมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด เมื่อเปรียบเทียบกับงานด้านการตลาดสินเชื่อ  และถ้าต้องทำงานทั้ง 2 ด้านในคนเดียวกันในสาขาของธนาคารแห่งหนึ่งนั้น ท่านจะบริหารจัดการเวลาของตนเองและการบริหารความเสี่ยงของธนาคารให้มีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผลได้อย่างไร

ตอบ สำคัญมากค่ะและเป็นหน้าที่ที่เหนื่อยมากการบริการงานสินเชื่อ และขั้นตอนในการอำนวยสินเชื่อขั้นตอนในการอำนวยสินเชื่อการให้สินเชื่อเป็นธุรกิจ  ซึ่งจะต้องขายความเสี่ยงเป็นหลัก  เป็นการประกันความเสี่ยงในอนาคต  ไม่มีใครยืนยันได้ว่า สินเชื่อที่ปล่อยไปนั้น  จะได้รับการชำระคืนโดยครบถ้วน  ฉะนั้น การอำนวยสินเชื่ออย่างมีประสิทธิภาพ  จะช่วยให้ภาระหนี้เสียในอนาคต  อยู่ในระดับที่พอยอมรับได้  ซึ่งโดยทั่วไปจะมีพอยอมรับได้  ซึ่งโดยทั่วไปจะมีขั้นตอนใหญ่ ๆ ดังนี้

                1) การกำหนดนโยบายสินเชื่อ(CREDIT POLICY)

                2) การวิเคราะห์สินเชื่อ (CREDIT POLICY)

                3) พิธีการทางด้านสินเชื่อ

                4) การสอบทานสินเชื่อ

                5) การแก้ไขหนี้ที่มีปัญหา

 1) การกำหนดนโยบายสินเชื่อ(CREDIT POLICY)

                เป็นการกำหนดโดยผู้บริหารของสถาบันการเงิน  เพื่อกำหนดเป้าหมายให้แก่ผู้ปฏิบัติเช่นในปีนี้จะขยายตัวทางด้านสินเชื่อวงเงินเท่าไหร่  อัตราตอบแทนเป็นอย่างไร  และจะปล่อยสินเชื่อให้แก่ธุรกิจใดบ้าง  ซึ่งนโยบายสินเชื่ออาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ ตามผลการประกอบการของสถาบันการเงินนั้น ๆ เอง การกำหนดนโยบายสินเชื่อ จะต้องคำนึงถึงปัจจัยหลัก 3 ข้อ คือ

                1. กำไร (PROFIT)

                2. สภาพคล่อง (LIQUIDITY)

                3. ความเสี่ยง (RISK)

 1. การบริการกำไร (PROFIT MANAGEMENT)

                ในการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงินก็เช่นเดียวกับธุรกิจโดยทั่วไป  ที่มีผู้ถือหุ้น  ซึ่งได้นำเงินมาลงทุนโดยหวังผลตอบแทนคือ เงินปันผล  ฉะนั้น  ผู้บริการจำเป็นที่จะต้องตั้งเป้าหมายในการทำกำไร  เป็นหัวใจสำคัญในการบริหารงาน

                รายได้ของสถาบันการเงิน  สถาบันการเงินมีรายได้หลักที่สำคัญ  ดังนี้

1.      ดอกเบี้ย (INTERRST)

2.      ค่าธรรมเนียม (FEE)

3.      รายได้จากการขายหลักทรัพย์

4.      รายได้จากการปริวรรตเงินตรา

5.      รายได้จากการลงทุน

 2. การบริหารสภาพคล่อง (LIQUIDITY MANAGEMENT)               

                ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่ต้องอาศัยความไว้วางใจของผู้ฝากเงิน  ฉะนั้น  เมื่อใดก็ตามที่ผู้ฝากต้องการถอนเงิน  จะต้องได้รับเงินโดยไม่มีเงื่อนไข  ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อนั้น  ไม่สามารถได้รับการชำระเงินคืนจากลูกค้าได้ทันที  สถาบันการเงินจึงต้องบริหารสภาพคล่อง  ให้อยู่ในระดับที่ดีตลอดเวลา  และในขณะเดียวกัน  การดำรงเงินไว้ก็เป็นภาระที่สถาบันการเงิน  จะต้องจ่ายดอกเบี้ยให้ผู้ฝากซึ่งหากไม่สามารถปล่อยสินเชื่อได้  ก็จะทำให้ขาดรายได้ไป  ดังนั้น  จึงต้องคำนึงถึง

                MATCHING SOURCES OF FUND  คือ การจัดหาแหล่งเงินให้ได้สัดส่วนกับสินเชื่อที่จะปล่อย  หาแหล่งเงินสำรองในกรณีฉุกเฉิน  ในกรณีนี้  เป็นการปล่อยสินเชื่อวงเงินจำนวนมาก  มีระยะเวลาการชำระเงินต้นระยะยาว  ซึ่งอาจจะต้องหาแหล่งเงินกู้ระยะยาวมาใช้เพิ่ม  เพื่อให้ได้สัดส่วนกัน  การบริหารเงิน  จึงเป็นความสามารถอันหนึ่งของสถาบันการเงิน  เพราะถ้ามีการจัดการที่ดี  จะทำให้ได้ผลกำไรมาก

                MATURITY DISTRIBUTION เป็นการจัดสินเชื่อตามระยะเวลาการชำระเงินต้นที่เหมาะสม คือ มีทั้งสินเชื่อระยะยาว  ระยะปานกลาง  และระยะสั้น  ทั้งนี้ควรมีสินเชื่อที่สามารถเรียกชำระเงินต้นคืนได้ทุกขณะ (CALL LOAN) ด้วย  เพื่อเป็นการดูดซับสภาพคล่องที่มีมากเกินไป

 3. การบริหารความเสี่ยง (RISK MANAGEMENT)

                ธุรกิจธนาคาร  เป็นธุรกิจที่เกิดขึ้นจากการบริการความเสี่ยงเป็นหัวใจสำคัญ  ฉะนั้นถ้าสามารถลดความเสี่ยงลงได้มากเท่าไร  ก็จะมีสถานะมั่นคงมากเท่านั้น  และควรคำนึงถึงด้วยว่า  ถ้าเสี่ยงมาก  ควรได้รับผลตอบแทนมาก  ถ้าเสี่ยงน้อย  ผลตอบแทนน้อย  ก็ไม่เป็นไร  การบริหารความเสี่ยง  มีประเด็นที่ต้องคำนึงถึง คือ

                GOOD QUANLITY OF ASSET คือ การบริหารสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดี เลือกลงทุนในธุรกิจที่มีผลตอบแทนสูง  สินเชื่อที่ธนาคารปล่อยก็ถือว่าเป็นสินทรัพย์ด้วย  ฉะนั้น  การปล่อยสินเชื่อที่ดี  ก็จะสามารถลดความเสี่ยงได้

                INDUSTRIAL DISTRIBUTION คือ การกระจายสัดส่วนสินเชื่อใน PORTFOLIO ไปตามประเภทของธุรกิจต่าง ๆ  ไม่ควรปล่อยสินเชื่อธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งมากจนเกินไป  หากธุรกิจนั้น ๆ มีปัญหา  ผลกระทบก็จะรุนแรงตามไปด้วย

                2) การวิเคราะห์สินเชื่อ (CREDIT ANALYSIS)

                การวิเคราะห์สินเชื่ออย่างรอบคอบจะช่วยให้ลดจำนวนหนี้ที่มีปัญหาไปได้มาก  ฉะนั้นความรู้ความสามารถของเจ้าหน้าที่สินเชื่อ  เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับองค์กร  ควรมีการพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ  เมื่อเกิดหนี้ที่มีปัญหาขึ้น  ผลการวิเคราะห์มักพบเสมอว่า  หลายกรณีเกิดจากการที่อนุมัติวงเงินสินเชื่อบกพร่อง  ซึ่งพอสรุปได้ ดังนี้

1.      การจัดวงเงินสินเชื่อไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ที่ใช้

2.      การขาดข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้

3.      การวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้คืนผิดพลาด

4.      การกำหนดระยะเวลาชำระคืนไม่เหมาะสม

5.      ขาดเงื่อนไขในการใช้วงเงินสินเชื่อแต่ละประเภท

6.      ขาดการควบคุมการใช้วงเงินสินเชื่อ

7.      ให้วงเงินสินเชื่อมากหรือน้อยเกินไป

8.      DOUBLE FINANCING

 3) พิธีการทางด้านสินเชื่อ
        คือขั้นตอนการจัดทำสัญญา  จดจำนอง จำนำ  หลักประกัน  จำเป็นจะต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก  เพราะหากเกิดข้อผิดพลาดขึ้น  อาจทำให้ไม่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้ตามกฎหมาย  ควรดูเงื่อนไขและข้อตกลงในการอนุมัติวงเงินสินเชื่ออย่างละเอียดรอบคอบ  และต้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อตกลงนั้น  โดยคำนึงถึงปัญหาทางด้านกฎหมายเป็นหลักในการดำเนินการ  หากมีเงื่อนไขที่อาจจะเป็นปัญหาทางด้านกฎหมาย  ต้องสอบถามทางฝ่ายกฎหมายโดยด่วน  และจะพบว่า หากมีความบกพร่องทางด้านนี้  เมื่อเจรจาหนี้กับลูกค้า  จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และทำให้การแก้ไขหนี้ยากขึ้นมาก
4) การสอบทานสินเชื่อ (CREDIT REVIEW)

                คือ การติดตามผลการใช้วงเงินสินเชื่อ  ที่ได้รับการอนุมัติจากทางธนาคาร  ควรกระทำการสอบทานอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง  เพื่อที่จะได้ทราบว่า ลูกค้าได้ปฎิบัติตรงตามข้อตกลงหรือไม่  สถานะภาพของลูกค้าเป็นอย่างไร  หากลูกค้ามีปัญหาอย่างใด  ก็จะเป็นสัญญาณเตือนภัย (WARNING SIGN) ให้ทราบว่า  ถึงเวลาที่จะเพิ่มสินเชื่อให้กับลูกค้าแล้ว  ก็จะทำให้สามารถรักษาลูกค้าที่ดีไว้กับธนาคารได้ต่อไป

                การสอบทานสินเชื่อ  ควรเป็นระบบที่ต่อเนื่องไปโดยตลอด  นับตั้งแต่ลูกค้าได้รับวงเงินสินเชื่อจากทางธนาคาร  ไปจนกว่า  จะยกเลิกวงเงินสินเชื่อทั้งหมด  หากมีกำลังเพียงพอ  ควรสอบทานดังนี้

(1)   EVALUATE NEWLY GRANTED LOAN  เป็นการตรวจสอบการใช้วงเงินสินเชื่อที่

ได้รับอนุมัติใหม่  ว่าตรงตามวัตถุประสงค์หรือไม่  และทำตามข้อตกลงครบถ้วนหรือไม่  โดยตรวจสอบภายในระยะเวลา 1 เดือน  นับแต่วันที่ลูกค้าเริ่มใช้วงเงินสินเชื่อ

(2)   PERIODIC REVIEW (การตรวจสอบตามกำหนดเวลา) คือการสอบทานที่กำหนด 

อาจจะเป็น 6 เดือนต่อครั้งหรือปีละครั้ง

                (3) TRANFER  REVIEW กรณีสอบทาน  เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารในสายงานสินเชื่อ

                (4) CONTINGENCY REVIEW  เป็นการสอบทานเมื่อเกิดเหตุการณ์  ที่จะมีผลกระทบต่อธุรกิจของลูกค้าหรือมีผลกระทบต่อหลักประกันของลูกค้า

 5) การแก้ไขหนี้ที่มีปัญหา

                ในการปล่อยสินเชื่อนั้น  แม้ว่าจะมีการวิเคราะห์ที่ดีอย่างไรก็ตาม  แต่ก็มีหนี้บางส่วนที่เป็น หนี้ที่มีปัญหา (PROBLEM LOAN)

                มีผู้บริหารธนาคารใหญ่ท่านหนึ่ง  เคยกล่าวไว้ว่า  การปล่อยสินเชื่อนั้น  เหมือนกันตักน้ำตาลจะต้องมีน้ำตาลบางส่วนล่วงหล่น  แต่จะทำอย่างไร  ให้ส่วนที่มีปัญหานั้น  น้อยที่สุดได้อย่างไรและหากเกิดหนี้ที่มีปัญหาแล้ว  จะต้องบริหารอย่างไร เพื่อให้ธนาคารเสียหายน้อยที่สุด

 ความหมายของหนี้ที่มีปัญหา

                คือหนี้ที่เกิดขึ้นเพราะการผิดข้อตกลง (DEFAULT)  กับผู้ให้สินเชื่อ  ซึ่งไม่ใช่เป็นหนี้เสียเสมอไป  หนี้ที่มีปัญหานั้น  มักจะถูกละเลยจากเจ้าหน้าที่สินเชื่อ  จึงทำให้รู้ปัญหานั้นว่าล่าช้า  และไม่ได้รับการแก้ไขตั้งแต่ต้น ทำให้ปัญหาลุกลามจนกว่าจะแก้ไขได้  ฉะนั้น  หากมีการ สอบทานสินเชื่อ (CREDIT REVIEW) โดยสม่ำเสมอแล้ว  ก็สามารถขจัดปัญหาต่างๆ  ตั้งแต่เริ่มต้น  ซึ่งมีโอกาสในการแก้ไขได้ดีกว่า  เปรียบเสมือนคนที่เป็นไข้ที่ได้พบแพทย์ตั้งแต่มีอาการเริ่มแรก  ย่อมมีโอกาสจะรักษาให้หายขาดได้  ดีกว่าปล่อยให้ทรุดหนักจนกว่าจะแก้ไขได้

 “หากต้องการสุขภาพที่ดี  ควรตรวจร่างกายทุก 6 เดือน

                สินเชื่อก็เช่นเดียวกัน  หากต้องการสินเชื่อที่ดี  ควรตรวจสอบทุก 6 เดือน”

 ฉะนั้น  จะเห็นได้ว่า  การสอบทานสินเชื่อ  มีความสำคัญกับธนาคารเป็นอย่างมาก  ผู้เขียนเคยเดินทางร่วมกับชมรมผู้บริหารสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ไทย  ไปดูงานที่ธนาคาร  HANGSENG BANK ที่ฮ่องกง  ซึ่งเขาให้ความสนใจด้านการควบคุมสินเชื่อเป็นอย่างมาก  โดยมีส่วนที่ทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะ  เรียกว่า CREDIT CONTROL DEPARTMENT โดยมี 2 ส่วนงาน  ที่สำคัญคือ

1)      FACILITY REVIEW SECTION

2)      RECOVERY SECTION

 1) FACILITY REVIEW SECTION

                ทำหน้าที่  REVIEW สินเชื่อของลูกค้ารายใหม่  ซึ่งได้รับอนุมติแล้ว  จะส่งเรื่องมาให้ส่วนงานนี้  พิจารณาสอบทานการใช้วงเงินสินเชื่อ  โดยทำหน้าที่อิสระแยกจากฝ่ายสินเชื่อ  เป็นการคานอำนาจของฝ่ายสินเชื่อด้วย

                หน้าที่หลักของส่วนงานนี้

                1) ประเมินสถานะภาพของลูกหนี้รายใหม่  รวมทั้งการจัดเกรดของลูกค้า  โดยได้แบ่งระดับชั้นของลูกหนี้ออกเป็น 7 ระดับ ดังนี้

                GRADE 1            LOW RIST                         หนี้ความเสี่ยงต่ำ

                GRADE 2            SATISFACTOPY RISK หนี้เสี่ยงต่ำอยู่ในระดับน่าพอใจ

                GRADE 3            FATR RISK                       หนี้ความเสี่ยงพอสมควร

                GRADE 4            WATCH LIST                   หนี้ที่อยู่ในรายการน่าจับตามอง

                GRADE 5            SUB-STANDARD            หนี้ต่ำกว่ามาตรฐาน

                GRADE 6            DOUBTFUL &  BAD      หนี้สงสัยจะสูญหรือหนี้เสีย

                GRADE 7            LOSS                                    หนี้สูญ

                2) ทำรายงานการตรวจสอบอย่างละเอียด  แสดงถึงหนี้ที่มีปัญหา  และแก้ไขหนี้ในเบื้องต้น

                3) วิเคราะห์งบการเงินของลูกค้า  โดยวิเคราะห์ตามระยะเวลาที่กำหนด  หรือรวมทั้งการให้ความคิดเห็น  สถานะทางการเงินและสมรรถนัของธุรกิจ

                4) กระทำการสอบทานสินเชื่อ

                5) ควบคุมดูแลรายงานข้อมูลสินเชื่อ

                6) จัดทำระยะการบันทึกรายละเอียดของลูกค้าและประวัติของลูกค้า

 2)      RECOVERY SECTION

ส่วนงานแก้ไขหนี้  ซึ่งจะดูแลลูกค้า  ที่จัดอยู่ในระดับ SUB-STANDDARD (GRADE5) ขึ้นไป  ซึ่งถือว่า เป็นหนี้ต่ำกว่ามาตรฐาน  รวมทั้งดำเนินวิธีการเพื่อเรียกหนี้คืนจากลูกหนี้ ตลอดจนดำเนินการทางกฎหมายด้วย

พิธีการสินเชื่อ

  1. รวบรวมข้อมูลสถานะทางกฎหมายของลูกค้า
  2. ตรวจสอบหลักประกัน
  3. ทำนิติกรรมสำหรับผู้ให้กู้แก่ลูกค้า
  4. จัดเก็บนิติกรรมและหลักประกัน

6. เมื่อท่านได้ศึกษาเพาเวอร์พอยท์ เรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคาร ไปนั้น ขอให้ท่านจับประเด็นให้ได้ว่ามีประเด็นใดบ้างที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียมตัวมากู้เงินจากธนาคาร และประเด็นเหล่านั้นธนาคารสามารถตรวจสอบได้อย่างไร

ตอบการโกงของคนในแบงค์ โปรดสังเกตุข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์พนักงานทีที่ยักยอกเงินจำนวนมากในแต่ละครั้งเป็นพนักงานระดับผู้จัดการขึ้นไป แล้วเราก็เคยโดนมากะตัว เราฝากเงินไว้จำนวนมาก แต่พอดีบัญชีเรามีปัญหาโดนอายัติจากผู้ประสงค์ร้ายตอนจะยกเลิกอายัติทางแบงค์ก็กว่าจะดำเนินการแก้ไขให้ใช้ระยะเวลานานมาก เนื่องจากผู้ประสงค์ร้ายกะเราเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกับคนระดับผู้จัดการและรองกรรมแต่ยัง่ดีที่ยังมีคุณชาติสิริเข้ามาช่วยแก้ไขไล่พนักงานคนนั้นออกไป แต่พอเราทำเรื่องเสร็จแล้ว รอเตรียมที่จะโอนเปลี่ยนบัญชีซึ่งทางแบงค์ตกลงกะเราว่าจะได้วันนั้นวันนี้ จนสุดท้ายเราไม่ได้ เราได้ทวงถามไปที่แบงค์ แต่ได้รับคำตอบกลับมาว่า บัญชีของเราได้มีพนักงานระดับสูง 2-3 คน ได้ดึงเงินเราออกไปใช้หมุน จึงทำให้เราไม่ได้รับเงิน ความรับผิดชอบของแบงค์เหมือนจะมีอยู่สูง แต่เค้ารับปากเราทุกอย่างจะทำให้เราได้เงินเร็วที่สุด นัดแล้วนัดอีก การโอนเงินไม่ผ่านซักที ทำไมเราต้องมานั่งรอเค้าทำเอกสารทุกครั้งที่เราผิดนัดเรา เราควรจะต้องไปรับผิดชอบในส่วนที่พนักงานเค้าทำไว้อย่างนั้นหรอ เค้าควรที่จะจัดการคืนเงินให้เราอย่างเร็วที่สุดไม่ใช่หรอ แล้วจึงค่อยไปจัดการเรื่องของเค้า ตั้งแต่ 3-4 เดือนที่แล้ว จนถึงวันนี้ เรายังไม่ได้เงินออกมาใช้ซักกะบาท ตอนที่เรากะลังนั่งพิมพ์กระทู้นี้อยู่ เราก็ยังนั่งรอเพราะทางแบงค์บอกเราว่ากะลังรอเอกสารเสร็จแล้วจึงโอนเงินให้เรา นี่ความรับผิดชอบของแบงค์ที่มี่ต่อลูกค้า    เราได้สอบถามพนักงานระดับผู้จัดการที่เรารู้จัก เค้าบอกเราว่า การยักยอกเงินของลูกค้า มีทุกเดือน มีปัญหาตลอดซึ่งเหมือนกะที่เราได้เจออยู่นี้ แต่ ทำไม แบงค์ไม่สามารถจะออกมารับผิดชอบต่อการกระทำของพนักงานของเค้าได้อย่างเต็มที่ คำตอบคงจะเป็นว่า เค้าคงไม่ต้องการลูกค้าที่จะไปใช้บริการของแบงค์เค้าอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ทุกคนเท่าที่เรารู้จัก เค้าเลิกใช้บริการของธนาคารนี้ไปแล้ว รวมทั้งเรา ได้เงินคืนเมื่อไหร่ เราก็จะปิดบัญชีเมื่อนั้น
แฉ 108 กลโกงนักธุรกิจล้มบนฟูกแฉ
ยิ่งช่วงเวลาของเศรษฐกิจ “ขาลง” ยืดยาวไปมากเท่าใด ความรู้สึก “สิ้นหวัง” ในตัวผู้บริหารองค์กรธุรกิจเอกชนก็ยิ่งแผ่กระจายไปมากขึ้นเท่านั้น เพราะ “ขยะกองโต” ที่ผู้บริหารขี้ฉ้อ ทั้งหลายพยายามกวาดไว้ “ใต้พรม” เมื่อครั้งยังเจริญรุ่งเรืองเริ่มถูกขุดคุ้ยและเปิดโปง ถึงซอกมุมสกปรกภายในโดยเฉพาะกิจการในตลาดหลักทรัพย์ ศูนย์รวมแห่งผลประโยชน์ที่ชักนำ ให้เจ้าของกิจการและผู้บริหารที่ไร้จรรยาบรรณเข้ามาตักตวงเป็นลํ่าเป็นสันไม่ต่างจากการทุจริตคอรัปชั่นที่เกิดในภาครัฐ โดยมีต้นตออยู่ที่ความฟอนแฟะของระบบราชการ และเจตนารมณ์ “ถอนทุกคืน” ของนักเลือกตั้งผิดกันตรงที่การคอรัปชั่นในองค์กรเอกชนมีวิธีการที่ลึกลํ้าหลากหลายมากกว่า แต่ก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ “ผ่องถ่าย” สินทรัพย์เพื่อเข้า “กระเป๋าแสนกล” สร้างความรํ่ารวยทางลัดให้กับตัวเองและพวกพ้อง ซึ่งในแวดวงธุรกิจเรียกว่า “ไชฟ่อน” ก็คือ การขาดระบบการควบคุมภายใน ไม่มีการคานอำนาจในการบริหารงาน ทำ ให้การตัดสินใจขึ้นอยู่กับคนกลุ่มเดียวร้ายกว่านี้ก็คือร้อยทั้งร้อยของ “ผู้ร้ายใส่สูท” มักเป็น “เจ้าของกิจการ” หรือ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ซึ่งเล่นบทผู้บริหารไปในตัวเมื่อเห็นท่าว่าบริษัทจะไปไม่รอด ราคาหุ้นดิ่งเหว มีหนี้สินล้นพ้นตัว ผู้บริหารของบริษัทเหล่านั้นก็จะเริ่มปฏิบัติการ “ปล้นชิง” บริษัทของตัวเองโดยการโยกสินทรัพย์ดีเข้ากระเป๋า แม้ว่าในที่สุดบริษัทที่ตัวเองก่อตั้งมากับมือจะ “เจ๊ง” และถูกเจ้าหนี้ยึดไปก็ตามพร้อมๆ กับการปล่อยให้ผู้ถือหุ้นทั่วไป “เจ๊ง” ผู้บริหารฉ้อฉลเหล่านั้นกลับ “ล้มบนฟูก” ยังใช้ชีวิตเฟื่องฟูได้ตามปกติกระบวนการดังกล่าวถือว่าเป็นการเอารัดเอาเปรียบผู้ถือหุ้นรายย่อยที่ไม่ได้มีสิทธิมีส่วนในการบริหารงานอย่างชัดเจนกรณีเช่นนี้มีให้เห็นดาษดื่นในตลาดหลักทรัพย์ และทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกที เพราะผู้ที่จงใจทุจริตมีทั้งความรู้และความเชี่ยวชาญ ทำ ให้วิธีการถ่ายเทผลประโยชน์ “แนบเนียน” จนหาตะเข็บไม่เจอ ด้วยการถ่ายโอนหลายทอดก่อนที่จะมาถึงกระเป๋าตัวเองกว่าที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะจับได้ไล่ทัน เกิด

ต่อข้อ 6
แฉ
108 กลโกงนักธุรกิจล้มบนฟูกแฉ
ยิ่งช่วงเวลาของเศรษฐกิจ “ขาลง” ยืดยาวไปมากเท่าใด ความรู้สึก “สิ้นหวัง” ในตัวผู้บริหารองค์กรธุรกิจเอกชนก็ยิ่งแผ่กระจายไปมากขึ้นเท่านั้น เพราะ “ขยะกองโต” ที่ผู้บริหารขี้ฉ้อ ทั้งหลายพยายามกวาดไว้ “ใต้พรม” เมื่อครั้งยังเจริญรุ่งเรืองเริ่มถูกขุดคุ้ยและเปิดโปง ถึงซอกมุมสกปรกภายในโดยเฉพาะกิจการในตลาดหลักทรัพย์ ศูนย์รวมแห่งผลประโยชน์ที่ชักนำ ให้เจ้าของกิจการและผู้บริหารที่ไร้จรรยาบรรณเข้ามาตักตวงเป็นลํ่าเป็นสันไม่ต่างจากการทุจริตคอรัปชั่นที่เกิดในภาครัฐ โดยมีต้นตออยู่ที่ความฟอนแฟะของระบบราชการ และเจตนารมณ์ “ถอนทุกคืน” ของนักเลือกตั้งผิดกันตรงที่การคอรัปชั่นในองค์กรเอกชนมีวิธีการที่ลึกลํ้าหลากหลายมากกว่า แต่ก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ “ผ่องถ่าย” สินทรัพย์เพื่อเข้า “กระเป๋าแสนกล” สร้างความรํ่ารวยทางลัดให้กับตัวเองและพวกพ้อง ซึ่งในแวดวงธุรกิจเรียกว่า “ไชฟ่อน” ก็คือ การขาดระบบการควบคุมภายใน ไม่มีการคานอำนาจในการบริหารงาน ทำ ให้การตัดสินใจขึ้นอยู่กับคนกลุ่มเดียวร้ายกว่านี้ก็คือร้อยทั้งร้อยของ “ผู้ร้ายใส่สูท” มักเป็น “เจ้าของกิจการ” หรือ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ซึ่งเล่นบทผู้บริหารไปในตัวเมื่อเห็นท่าว่าบริษัทจะไปไม่รอด ราคาหุ้นดิ่งเหว มีหนี้สินล้นพ้นตัว ผู้บริหารของบริษัทเหล่านั้นก็จะเริ่มปฏิบัติการ “ปล้นชิง” บริษัทของตัวเองโดยการโยกสินทรัพย์ดีเข้ากระเป๋า แม้ว่าในที่สุดบริษัทที่ตัวเองก่อตั้งมากับมือจะ “เจ๊ง” และถูกเจ้าหนี้ยึดไปก็ตามพร้อมๆ กับการปล่อยให้ผู้ถือหุ้นทั่วไป “เจ๊ง” ผู้บริหารฉ้อฉลเหล่านั้นกลับ “ล้มบนฟูก” ยังใช้ชีวิตเฟื่องฟูได้ตามปกติกระบวนการดังกล่าวถือว่าเป็นการเอารัดเอาเปรียบผู้ถือหุ้นรายย่อยที่ไม่ได้มีสิทธิมีส่วนในการบริหารงานอย่างชัดเจนกรณีเช่นนี้มีให้เห็นดาษดื่นในตลาดหลักทรัพย์ และทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกที เพราะผู้ที่จงใจทุจริตมีทั้งความรู้และความเชี่ยวชาญ ทำ ให้วิธีการถ่ายเทผลประโยชน์ “แนบเนียน” จนหาตะเข็บไม่เจอ ด้วยการถ่ายโอนหลายทอดก่อนที่จะมาถึงกระเป๋าตัวเองกว่าที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะจับได้ไล่ทัน เกิดความสูญเสียจนเยียวยาไม่ได้ บางทีพลิกกฎหมาย 3 ตลบก็ยังหาทางเล่นงานบุคคลเหล่านี้ไม่ได้ เพราะเป็นการกระทำ ที่ใช้ช่องว่างทางกฎหมาย สร้างแต้มต่อ และผลประโยชน์ให้กับตัวเองภาวะเช่นนี้ผู้ที่ชอกชํ้าที่สุดเห็นจะเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยทั่วๆ ไป ที่ต้องตกเป็น “แพะรับบาป”ไม่มีที่สิ้นสุด

2  กรุงเทพธุรกิจ พยายามรวบรวมยุทธวิธีถ่ายเทผลประโยชน์เพื่อเปิดโปงเล่ห์กล “ไซฟ่อน”

ที่สร้างความมั่งคั่งให้กับบรรดาผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการ ที่มีอำนาจการตัดสินใจในมือ แต่ไร้

จรรยาบรรณ และขาดความรับผิดชอบ พร้อมทั้งตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งมี

หลายหลากวิธี และแต่ละวิธีก็ซับซ้อนจนยากที่จะจับให้ได้ไล่ให้ทัน

1. นำ เงินบริษัทไปหาประโยชน์จากการซื้อขายหุ้น

วิธีแรกที่มักพบเห็น ก็คือ นำ เงินบริษัทและบริษัทในเครือ ไปหาประโยชน์จากการซื้อขาย

หุ้น วิธีนี้ถือว่า “เบสิก” ที่สุดเพราะทำ กันจนเป็นเรื่องปกติธรรมดา และมักเกิดกับบริษัทที่มีบริษัทในเครือหลายแห่ง เมื่อผู้บริหารเห็นว่าบริษัทใดทำ ท่าจะไปได้สวยก็เข้าซื้อหุ้นในราคาถูก ส่วนบริษัทใดจะไปไม่รอดก็โยก เงินของบริษัทไปซื้อหุ้นตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงแบบดื้อๆ

ทั้งที่เมื่อพลิกดูรายชื่อกรรมการของบริษัททั้ง 2 แห่ง ก็จะพบว่าเป็นกลุ่มคนกลุ่มเดียวกัน

นั่นเองเรียกว่ารับกระเป๋าซ้าย จ่ายกระเป๋าขวา ทางการก็ได้แต่นั่งดูตาละห้อย เพราะกฎหมาย

เล่นงานไม่ได้ ถ้ามีการแจ้ง “รายการที่เกี่ยวโยง” กับตลาดหลักทรัพย์อย่างถูกต้อง และคณะ

กรรมการบริษัทให้การรับรองกรณีนี้มีตัวอย่างให้เห็นนักต่อนัก เช่นกรณีที่เกิดขึ้นกับกลุ่มบริษัทในเครือ เอ็นทีเอส สตีลภายใต้การนำ ของเจ้าพ่อโรงเหล็ก “สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง” เจ้าของสโลแกน “ไม่หลบ ไม่หนี ไม่จ่าย”“ซันเทคกรุ๊ป” และ “เอ็นทีเอสสตีล กรุ๊ป” เคยควักเงินซื้อหุ้น “เหมราช พัฒนาที่ดิน” ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มตัวเองด้วยราคาแพงลิบลิ่ว แล้วตัวเองกลับรับเซ้งหุ้นซันเทคกรุ๊ปมาอีกทอดในราคาถูกๆหรือกรณีของบริษัทซีวีดี เข้าซื้อหุ้นบริษัทซีวีดี มิวสิค ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าเอาเงินบริษัทไปซื้อหุ้นจากลูกของกรรมการบางคนของบริษัท

ด้านบริษัทศิครินทร์ และบริษัทจุลดิศดีเวลลอป ครั้งที่อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ในมือ “ธีรพจน์จรูญศรี” ก็มีพฤติกรรมทำ นองเดียวกัน รู้ทั้งรู้ว่าจุลดิศอยู่ในสภาวะสั่นคลอน ก็ยังนำ เงินศิครินทร์

กว่า 214 ล้านบาท ไปซื้อหุ้นจุลดิศ และมีการตั้งค่าเผื่อเงินลงทุนลดค่าจำ นวน 177 ล้านบาท ซึ่ง

เป็นการกระทำ ที่ไม่ผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัท และยังถูกตั้งข้อสังเกตอีกว่าอาจนำ

เงินบริษัทไปซื้อหุ้นจาก “ไอ้โม่ง” พวกเดียวกัน

2. โยกเงินไปจุนเจือ อาณาจักรส่วนตัว

    มี 3วิธีการที่พบบ่อยในการผ่องถ่ายผลประโยชน์ออกจากบริษัทอีกกรณี ก็คือ “การโยกเงิน

บริษัทไปจุนเจือกิจการในอาณาจักรส่วนตัว” ซึ่งเป็นวิธีการสร้างความเสียหายโดยที่กฎหมายยากจะตามจิกกรณีที่พบบ่อยก็คือ “บริษัทเอ” จดทะเบียนในตลาดหุ้น ถือหุ้นเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ใน“บริษัทบี” ที่อยู่นอกตลาด แต่กลับเอาเงินก้อนโตไปจุนเจือ “บริษัทบี” ที่ตัวเองถือหุ้นใหญ่ถ้ารวยก็รวยคนเดียว แต่ถ้าเจ๊งก็พร้อมจะนำ “บริษัทเอ” มาร่วมเจ๊งด้วยดังนั้นเวลาอ่าน “งบการเงิน” ก็อย่าลืมพลิกไปดูหมายเหตุประกอบงบการเงิน ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด “ขยะเน่าๆ” มักซ่อนอยู่ในหมายเหตุข้างท้าย ส่วนตัวเลขกำ ไร-ขาดทุน เป็นเพียงแค่

เปลือกนอกลวงตาตัวอย่างที่ครึกโครมอยู่ในขณะนี้ เห็นจะเป็นกรณีของ บริษัทเซอร์คิทออิเลคโทรนิคส์อินดัสตรีส์ กรณีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏออกมาเพราะกลุ่มเพื่อนพ้อง “งานทวี” เกิดวิวาทกันเองแฉกันไปแฉกันมา คนนอกจึงรู้ว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลซุกซ่อนอยู่อันเนื่องมาจาก “ศิวะ งานทวี” ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทนำ เงินบริษัท 471 ล้านบาท ไปปล่อยกู้ให้กับ 5 บริษัทที่มีกลุ่มของตัวเองเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ทั้งที่ทุกบริษัทประสบปัญหาขาดทุนจึงยังเป็นปริศนาอยู่ว่าบริษัทเซอร์คิทจะได้เงินกลับคืนมาหรือไม่กรณีนี้กรรมการบางคนไม่มีสิทธิเข้าโหวตเพราะเป็น“รายการที่เกี่ยวโยง” แต่ก็ใช้วิธี“ซิกแซ็ก” โอนหุ้นให้กับเลขาหน้าห้องเพื่อเข้าโหวตแทน

แน่กว่านั้นก็คือสามารถกีดกันฝ่ายตรงข้ามไม่ให้เข้าประชุมคัดค้านมติได้เป็นผลสำ เร็จ

รายการเกี่ยวโยงดังกล่าวจึง “ผ่านฉลุย” แต่หุ้นเซอร์คิท อีเลคโทรนิคส์ ในตลาดหลักทรัพย์ ร่วงวันร่วงคืนมองดูก็รู้ว่าใคร “เจ๊ง”

3. ตั้งบริษัทส่วนตัวรับช่วงผลประโยชน์

วิธีการถ่ายเทผลประโยชน์ออกจากบริษัทเข้ากระเป๋าแสนกลอีกวิธีหนึ่งซึ่งได้รับความนิยมไม่แพ้กันก็คือ “การตั้งบริษัทส่วนตัวรับช่วงผลประโยชน์”วิธีนี้แม้จะจับมือดมได้ แต่ก็จับเข้าตะรางได้ยาก ถ้าคนทำ รู้กฎหมายอย่างดีเช่น “บริษัทเอ” ที่ตนเองถือหุ้นทั้ง 100% อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ส่วน “บริษัทบี” จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เป็นบริษัทมหาชน แต่ “บริษัทบี” จะซื้อขายอะไรก็ต้องผ่านมือ “บริษัทเอ” บริษัทส่วนตัวแบบนี้จึงได้รับผลประโยชน์แบบเนื้อๆ

ยกตัวอย่างในอดีต กรณีห้างดัง “มาบุญครอง” สมัยอยู่ในมือ “ศิริชัย บูลกุล” เคยใช้วิธีตั้ง

บริษัทลูกรับช่วงเช่าพื้นที่ห้างในราคาถูก แล้วเอาไปให้เช่าต่อในราคาแพงลิบลิ่ว ผู้ที่เสียประโยชน์4ก็คือ ผู้ถือหุ้นและเจ้าหนี้ คนที่เจ็บใจที่สุดเป็น “คุณหญิง ชนัตถ์ ปิยะอุย” เจ้าของห้างรายใหม่เพราะกว่าจะหมดสัญญาเช่าก็ถูก “สูบเลือด” นานโขทีเดียวอีกตัวอย่างหนึ่งคือ กรณีบริษัทฟินิคซ พัลพแอนด์ เพเพอร์ ภายใต้การบริหารงานของ“ยอร์จ โรเยอร์ เดวิสัน”รายนี้มี “ทีเด็ด” ตรงที่นำ เงินของฟินิคซฯ ไปลงทุนในบริษัทสยามโมนิกซ์ ซึ่งตนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยแจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่าลงทุนไป 125 ล้านบาท แต่กลับไปจดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ 250ล้านบาทเงินอีก 125 ล้านบาท ของฟินิคซฯ หายไปไหนช่วยตอบทีนอกจากนั้นยังมีความลึกลับซํ้าซ้อนอื่นๆ ที่เอาผิดผู้บริหารได้ยาก เช่นการตั้งบริษัทยูโรเปี้ยนโอเวอร์ซีส์ ดีเวลลอปเม้นท์ คอร์ปอเรชั่น หรือ EODC (Asia) ขึ้นมา เพื่อฟินิคซฯ จะสั่งซื้อเครื่องจักร หรือวัตถุดิบจากต่างประเทศ หรือทำ ธุรกรรมเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ บริษัทนี้ก็จะเข้ามาเป็น “นายหน้า” ซื้อขายให้ ทุกครั้งของการซื้อ บริษัทต้องจ่ายเงินแพงกว่าปกติค่อนข้างมากแถมผู้บริหารยังออกไปตั้งบริษัทกินรีอินดัสตรีส์ ทำ ธุรกิจเหมือนกับ ฟินิคซฯ ทุกอย่าง ซึ่งอาจจะตีความได้ว่าเป็นการเตรียมการล่วงหน้า สำ หรับการ “ชิ่ง” ออกจากฟินิคซฯ

4. ซื้อสินทรัพย์สูงกว่าราคาจริง

วิธีการโยกเงินเข้ากระเป๋าที่แนบเนียนอีกวิธีหนึ่ง ที่ผู้บริหารหัวใสชอบทำ เพราะรับทรัพย์

เร็ว แต่ต้องยอมเสี่ยงตะราง ก็คือ ซื้อ/ขายสินทรัพย์และเงินลงทุนสูงหรือตํ่ากว่าความเป็นจริง วิธีนี้ทำง่าย และสะดวก ถ้ากรรมการบริษัทหรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงร่วมเป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวกัน

สินทรัพย์ยอดนิยมที่ถูกนำ มาใช้เป็นกลไกถ่ายเทผลประโยชน์ทีดี่ที่สุดก็คือ “ที่ดิน” ซึ่งฟันธงได้เลยว่า สาเหตุที่ทำ ให้ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์กร หรือบีบีซีต้องล่มจมไปในวันนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีนักการเมืองบางกลุ่ม ร่วมกับกลุ่มผู้บริหารของธนาคารนำ ที่ดินที่อยู่ไกลสุดกู่ มีราคาประเมินไร่ละเพียง 1-2 หมื่นบาท ไปขอคํ้าประกันเงินกู้จากบีบีซี ในราคาไร่ละ 5 แสนบาท

หรือแพงกว่าราคาประเมินถึง 50 เท่า โดยใช้ชื่อ คนขับรถหรือคนใกล้ชิดไปขอกู้กระบวนการต่อไปคือผ่องถ่ายเงินไปอีก 2-3 ทอดผ่านบริษัท หรือคนกลาง ก่อนจะโยกเข้ากระเป๋าแสนกลเพื่อป้องกันการถูกล้วงลึกมาถึงตัว รายละเอียดของกรณีตัวอย่างนี้อาจเสาะหาได้ที่นักการเมืองคนที่ชื่อ “สุชาติ ตันเจริญ”ฟินิคซ พัลพฯ ก็ใช้วิธีการเดียวกันนี้ โดยกรรมการของบริษัทบางคน ซื้อที่ดินมาไร่ละ 2.25หมื่นบาท แต่ใช้อำ นาจของตัวเองบีบให้บริษัทซื้อต่อในราคาสูงถึงไร่ละ 1.2 แสนบาท“เจ้าสัวแบงก์” บางคนก็ยังทำ เรื่องแบบนี้ เพราะต้องการระบายที่ดินของตัวเองจึงให้แบงก์เข้ามารับซื้อ ในท้ายที่สุด ผู้ถือหุ้นทั้งหมด ก็ต้องเข้ามาร่วม “แชร์” ส่วนขาดทุน

5กลยุทธ์แบบนี้วงการแพทย์ก็ยังนำ ไปใช้ โดยเฉพาะเรื่อง “ฉาวโฉ่” กรณีปั่นราคายาจนแพง

หูฉี่ ทั้งที่ต้นทุนแค่นิดเดียว ส่วนเกินที่เกิดขึ้นถูกนำ ไปแจกจ่ายแบ่งเปอร์เซ็นต์กันจนรวยไม่รู้เรื่อง

5. ขายสินทรัพย์ถูกกว่าความเป็นจริง

กรณีขายสินทรัพย์ของบริษัทในราคาถูกเกินจริงก็เป็นการถ่ายเทผลประโยชน์ออกจากบริษัท อีกวิธีหนึ่ง วิธีนี้เขาเรียกว่า “โยกของดีมาไว้กับตัว”เกิดขึ้นแล้วกับบริษัทศิครินทร์ ที่นั่นเขาตอบแทนกรรมการบริษัทบางคนด้วยโรงพยาบาล“เทพารักษ์” ทั้งหลังโดยลงบัญชีว่าขายไปในราคา 10 ล้านบาท 10 ล้านบาท ราคานี้สร้างอย่างไรก็ไม่มีทางได้ เท่านั้นยังไม่พอยังใช้วิธีตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญทั้งจำ นวน พูดง่ายๆ ว่ายกให้กันฟรีๆ ไปเลย

6. เทคโอเวอร์ เพื่อโยก ของเน่าเข้าบริษัท

วิธีโยกของเน่าเสียเข้ามาไว้ในบริษัท ส่วนใหญ่จะทำ ผ่านกระบวนการเทคโอเวอร์ ซึ่งบางคนมองเห็นแต่ด้านดีเพียงด้านเดียว แต่หากติดตามดูจะพบว่า 10 กว่าบริษัทที่ ราเกซ สักเสนา ไป

เทคโอเวอร์ ในสมัยที่เขายังเถลิงอำ นาจร่วมกับ เกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ ในบีบีซี เกือบทุกบริษัทมี

อาการเน่า แล้วทั้งนั้นกรณีดังกล่าวทำ ได้เพาะผู้บริหารรู้เห็นเป็นใจปล่อยให้ราเกซใช้เงินของบีบีซีเข้ามาปั่นราคาหุ้น แล้วหาคนเข้ามาเทคโอเวอร์ต่ออีกทอด โดยบีบีซีเป็นผู้สนับสนุนการเงินเพื่อทำ การเทคโอเวอร์(Leveraged Buyout-LBO)ราเกซทำ หน้าที่เพียง “จับแพะชนแกะ” ก็รับกำ ไรเนื้อๆ พร้อมๆ กับเจ้าของบริษัท ใครออกทัน “รวย” ใครออกช้าก็ “ซวย” ตามระเบียบ ทว่าขี้กองโตกลับถูกโยกไปไว้ให้ “บีบีซี” รับเละเพียงผู้เดียว

7. ผลตอบแทนกรรมการ : ผ่องถ่ายแบบแอบแฝง

วิธีการผ่องถ่ายผลประโยชน์ออกจากบริษัทยังมีอีกมากมายหลายวิธี การจ่ายผลตอบแทนให้คณะผู้บริหารสูงเกินจริง ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ใช้กันจนเป็นปกติธรรมดา โดยไม่ถือว่าผิดกฎหมายแต่อย่างใด ในอดีตผู้บริหารไฟแนนซ์ใหญ่ๆ มักมีการจ่ายเงินเดือนกันเป็น ล้านขึ้นชื่อก็คือ บง.เอกธนกิจ ภายใต้การนำ ของ ปิ่น จักกะพาก ซึ่งเวลานี้มีข่าวว่ายังสามารถใช้ชีวิตสุขสบายใต่างประเทศ ผู้บริหารระดับท็อปของที่นี่แต่ละคนเกินเงินเดือน สูงถึง 1.2ล้านบาททีเดียว6ด้าน บล.เจ.เอฟ. ธนาคม ภายใต้การบริหารของ กรณ์ จาติกวณิช ก็ไม่น้อยหน้า ในช่วงรุ่งเรืองเคยจ่ายโบนัสให้กับ ผู้บริหารสูงสุดถึง 33 เดือน เรียกว่าทำ งานปีเดียวเท่ากับรายได้ของพนักงานทั่วไปเป็นสิบๆ ปี เพียงแต่วันนี้ บล.เจ.เอฟ ธนาคม ยังยืนอยู่ได้เพราะไม่นอกกรอบมากนักส่วน บงล.วอลล์สตรท ที่เคยแจกตั๋วเครื่องบิน และพอคเก็ตมันนี่ ให้มาร์เก็ตติ้งไปชอบปิงที่ฮ่องกงเป็นโบนัสนั้น วันนี้เจ๊งไปเรียบร้อยแล้วสำ หรับบริษัทที่ขึ้นเชื่อว่าจ่ายหนักที่สุดในอดีต ก็คือ บริษัทเทเลคอมเอเซีย หรือ “ทีเอ” ในปี 2539 ครั้งที่เศรษฐกิจยังดี เคยจ่ายเงินให้คณะกรรมการบริษัทจำ นวน 16 คนรวมกันสูงถึง 60ล้านบาท เฉพาะเจ้าสัว “ธนินท์ เจียรวนนท์” คนเดียวรับไป 8.4 ล้านบาทวันนี้ที่ “ทีเอ” กำ ลังป่วยหนี้ท่วมหัวจากพิษเศรษฐกิจ ไม่รู้ว่ายังกล้าจ่ายหนักๆ อย่างนี้อีก

หรือไม่นอกจากนี้ในช่วงรุ่งเรืองบริษัทส่วนใหญ่ก็มีการประเคนหุ้นโบนัสราคาถูกให้กับผู้บริหารเป็นจำ นวนมาก พฤติกรรมลักษณะนี้ ปิ่น จักกะพาก และ “กลุ่มเอก” ในสมัยนั้น ทำ กันจนกลายเป็น แฟชั่นและไฟแนนซ์อื่นๆ ก็ดำ เนินรอยตามจนรํ่ารวยกันไปหลายตลบช่วงเศรษฐกิจฮอตๆ ยังมีการควักเงินซื้อภาพเขียนศิลปะราคาแพงกันเป็นโกดัง เพื่อมาติดข้างฝาอวดบารมี โดยผู้ที่สะสมภาพเขียนไว้มากที่สุดในประเทศไทย ก็คือ บุญชัย เบญจรงคกุลแห่ง “ยูคอม”มาถึงวันนี้บริษัทยูคอมมีสภาพอย่างไร ขอให้ติดตามดูราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ จากที่

เคยมีราคาหุ้นละหลายร้อยบาท วันนี้เหลือไม่ถึง 10 บาทส่วน วีระ มานะคงตรีชีพ แห่ง บงล.ซิทก้าเป็นนักธุรกิจที่ได้ชื่อว่าเป็นนักธุรกิจที่มี วัฒนธรรม โดยปรนเปรอความสุขส่วนตัวด้วยการสะสมภาพเขียนราคาแพง และประทับใจในวัฒนธรรมตะวันออก ชอบโชว์ศิลปะชงชา แต่พฤติกรรมที่แท้จริงเริ่มปรากฏขึ้นเมื่อ บงล.ซิทก้ากำ ลังอยู่ในกระบวนการย่อยสลายวันนี้ “วีระ” กำ ลังดิ้นให้พ้นเงื้อมมือของกฎหมาย เขาถูกกล่าวโทษว่าทุจริตให้เกิดความ

เสียหาย กับบริษัทในวงเงินประมาณ 400 ล้านบาทกล่าวหาที่ทางการมีต่อ “วีระ” ก็คือนำ เงินบริษัทไปซื้อหุ้นของบริษัทเพื่อเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นให้กับตัวเองวิธีการของ “วีระ” จนมุมต่อหลักฐานตรงที่หลังจากถ่ายโอนเงินโดยวิธีรับซื้อลด และรับประกันตั๋วแลกเงินมาแล้วเขาก็โอนเข้าบัญชีบริษัทต่างๆ 5 แห่ง ซึ่งทำ หน้าที่ชำ ระค่าหุ้นให้กับตัวเองส่วนเงินปันผลจากบงล.ซิทก้า ก็โอนเข้าบัญชีของตัวเองแม้ว่าหลักฐานจะแน่นหนาแต่ “วีระ” ก็มีโอกาสต่อสู้ได้อีกหลายเฮือกถ้ามี “แพะ”7เผลอๆ อาจจะรอดได้ง่ายๆ เช่นเดียวกั บคดีของ ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี ที่โอกาสพลิกผันมีอยู่มาก เพราะมีข้อแก้ต่างเรื่องหลักประกันการปล่อยกู้มากมายที่แน่ๆ คนระดับนี้ไม่มีทางหา “บ่วง” มาผูกคอแบบง่ายๆ อย่างที่ใครคิด

8. เข้าตาจนจำ ต้องสร้าง ลักฐานเท็จ

ส่วนยุทธวิธีการโกงโดยการสร้างหลักฐานเท็จ ถ้าไม่เข้าตาจนจริงๆ คนระดับผู้บริหารคงไม่

คิดทำ เพราะเป็นการสร้างบ่วงผูกคอที่ยากจะดิ้นให้หลุดภายใต้เงื่อมมือของกฎหมาย

กระนั้นก็ตามวิธีนี้ก็เกิดขึ้นแล้วกับหลายบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ โดยเฉพาะกรณีของ

ชาญ อัศวโชค แห่งบริษัทอัลฟาเทค อิเล็คโทรนิคส์ ผู้สร้างบริษัทแหงนี้มากับมือ จนไม่มีใครเชื่อว่าเขาจะกล้าทำ ลายมันลงกับมือของเขาเองชาญใช้วิธีการตกแต่งงบการเงินตบตาผู้ถือหุ้นและเจ้าหนี้โดยในช่วง 3 ปี ชาญแต่งบัญชีให้บริษัทมีกำ ไรเกินจริง 4.1 พันล้านบาท ทำ ให้เขาสามารถกู้เงินจากเจ้าหนี้มาใช้ได้อย่างสบายชาญใช้วิธีไปตั้งบริษัทในต่างประเทศทำ ใบซื้อขายปลอมให้อัลฟาเทคขายสินค้าให้ แต่ไม่ได้มีการขายจริงและไม่ได้รับเงิน แต่เขากลับนำ ใบสั่งซื้อไปทำ แพกกิ้งเครดิตขอกู้เงินออกมาใช้ทั้งยังมีการโอนเงินของบริษัทเพื่อไปซื้อกิจการในต่างประเทศในราคาที่สูงเกินจริง นำ เงินของบริษัทไปซื้อที่ดิน และวัตถุดิบในราคาที่สูง หรือจ่ายเงินสดล่วงหน้าให้กับบริษัทที่มีชื่อคล้ายกันเรียกว่าโกงกันแบบโจ๋งครึ่ม ทั้งหมดเป็นการฉ้อฉลที่ทำ อย่างแนบเนียน และสามารถปกปิดความจริงได้นานถึง 4 ปีเต็มอย่างไรก็ตาม การตกแต่งงบการเงินลวงตาผู้ถือหุ้น มักเกิดขึ้นเมื่อผู้บริหารบริษัทต้องการ“ทิ้งทวน” หรือ “สละเรือ”กรณีของบิรษัทไทยโมเดิร์นพลาสติก อินดัสทรี ผู้ผลิตและจำ หน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติก

รายใหญ่ของประเทศ ของกลุ่ม “ปัณณมณีโชติ” ก็เป็นอีกตัวอย่างของการใช้กลลวงทางบัญชี

รายนี้ใช้วิธีการบันทึกบัญชีหนี้เงินกู้ น้อยกว่าความเป็นจริงมากถึง 2.5 พันล้านบาท ทำ ให้

เงินก้อนโตจำนวนนี้หายวับไปกับตา ในท้ายที่สุดเมื่อบริษัทนี้เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ เจ้า

หนี้ก็เข้ามายึดกุมการบริหารงานไว้ในมือ

9. บันทึก ค่าใช้จ่ายสูงเกินจริง

นอกจากนี้การบันทึกรายได้ และค่าใช้จ่ายสูง หรือตํ่ากว่าความเป็นจริง เช่นมีรายได้จาก

การขาย 100 บาท แต่บันทึกแค่ 80 บาท ส่วนอี 20 บาทเอาเข้ากระเป๋าวิธีการอย่างนี้ก็เป็นที่นิยม

กันมากซึ่งนักบัญชีทั้งหลายสามารถทำ การเพิ่มยอดหรือซ่อนเร้นตัวเลขเหล่านี้ได้ง่ายมาก

8ถึงวันนี้ “เจ้าหนี้” ของอัลฟาเทคและไทยโมเดิร์นพลาสติค ต้องขออำ นาจศาลเข้าฟื้นฟูกิจ

การ ทั้งที่ข้างใน “กลวงโบ๋” หมดแล้ว ไม่ต้องพูดถึงผู้ถือหุ้นรายย่อยที่รับกรรมไปเต็มๆ

สำ หรับคดีฉ้อโกง ที่ได้รับการยกย่องว่า “คลาสสิก” ที่สุดต้องยกให้กับ “บีบีซี” เพราะมีการ

โกงกันทุกรูปแบบ และสร้างความเสียหายให้กับธนาคารมากที่สุดถึง 7.5 หมื่นล้านบาท มีตัวละ

คนเกี่ยวข้องหลายสิบคน ทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง และผู้บริหารระดับสูงของธนาคาร

ไม่ว่าจะเป็นการประเมินราคาที่ดินสูงเกินจริง จัดตั้งบริษัทกระดาษทั้งในเกาะเคย์แมน

แถบทะเลแคริบเบียน และบริษัทกระดาษในประเทศไทยเพื่อนำ ไปกู้เงินบีบีซี นำ เงินของธนาคารไปปล่อยกู้เทคโอเวอร์ และโอนขยะของธนาคารไปไว้ในต่างประเทศ เพื่อซ่อนเร้นสายตาของทางการหรือแม้แต่ประกาศเพิ่มทุนโดยไม่มีเงินเข้าธนาคาร

เหล่านี้คือกลโกงที่สร้างความเสียหายระดับชาติ ภายใต้นํ้ามือของคนเพียงไม่กี่คน หรือแม้

แต่การใช้ข่าว “อินไซด์” หาประโยชน์จากากรซื้อขายหุ้นก็เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งในตลาดหลักทรัพย์แม้แต่ “เจ้าสัวแบงก์” ที่ขึ้นชื่อว่ารํ่ารวยระดบประเทศ ก็ยังหาประโยชน์เข้ากระเป๋าด้วยวิธีการที่เป็นการ “เอารัดเอาเปรียบ” ผู้ถือหุ้นอย่างชัดเจนคิดจะจับให้ได้ไล่ให้ทันพฤติกรรมเหล่านี้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองคงถึงกับต้องกุมขมับ เพราะเหล่าอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่แอบแฝงอยู่ในคราบของนักธุรกิจ ล้วนแล้วแต่มีการศึกษาระดับปัญญาชน ทั้งยังสะสมเขี้ยวเล็บไว้มากมายเขี้ยวเล็บของพวกเขาไม่ใช่ปืนผาหน้าไม้ แต่กลับเป็น “ตำ รากฎหมาย” และความเชี่ยว

ชาญด้าน “บัญชี”ไม่มีใครปฏิเสธว่า ความเชี่ยวชาญทั้ง 2 ด้านนี้คือ “อาวุธ” ที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดในยุคสมัยนี้

 

 

 

 

 

ข้อ 4 จงอธิบายถึงอัตราส่วนทางการเงิน ( Financial Ratio) ที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ พร้อมทั้งอธิบายลงไปในรายละเอียดด้วยว่าวิธีการพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้

ตอบ การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน (Ratio Analysis)

1.การวิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity Ratio)

1.1 อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนหรืออัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio)

อัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current Ratio) = สินทรัพย์หมุนเวียน (CA) /หนี้สินหมุนเวียน (CL)วัด ความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น ถ้าค่าที่คำนวณได้สูงเท่าใด แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนที่ประกอบไปด้วย เงินสด ลูกหนี้ และสินค้าคงเหลือมากกว่าหนี้ระยะสั้น ทำให้คล่องตัวในการชำระหนี้ระยะสั้นมีค่อนข้างมาก โดยปกติ อัตราส่วน 2 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว

1.2 อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio or Acid Test Ratio)

อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio) = (สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงเหลือ) /หนี้สินหมุนเวียน หรือ( Quick Ratio = CA - Inventory )/CL

เป็น การวัดส่วนของสินทรัพย์ที่ได้หักค่าสินค้าคงเหลือ ที่เป็นสินทรัพย์ระยะสั้นและมีความคล่องตัวในการเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ต่ำสุด ออก เพื่อให้ทราบถึงสภาพคล่องที่แท้จริงของกิจการได้ โดยปกติอัตราส่วน 1 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว

1.3 อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover)

อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover)

A/R Turnover = ขายเชื่อสุทธิ หรือใช้ยอดขายรวม (ครั้ง หรือ รอบ) /ลูกหนี้ถัว เฉลี่ย

ลูกหนี้ถัว เฉลี่ย = (ลูกหนี้ต้นงวด + ลูกหนี้ปลายงวด )/ 2 หากค่าที่คำนวณได้ มีค่าสูง แสดงถึงความสามารถในการบริหารลูกหนี้ให้แปลงสภาพเป็นเงินสดได้เร็ว

1.4 ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Average Collection Period)

ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Avg. Collection Period) (วัน) = 365 วัน /อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ ยิ่งต่ำยิ่งดีแสดงให้เห็นถึงระยะเวลาในการเรียกเก็บหนี้ว่าสั้นหรือยาว เพื่อให้ทราบถึงคุณภาพของลูกหนี้ ประสิทธิภาพในการเรียกเก็บหนี้ และนโยบายในการให้สินเชื่อทางธุรกิจ

1.5 อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover)

อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover) = ต้นทุนสินค้าขาย (COGS) /สินค้าคงเหลือเฉลี่ย (Avg. Inventory)

สินค้าคงเหลือเฉลี่ย =( สินค้าต้นงวด + สินค้าปลายงวด )/ 2

หากค่าคำนวณได้สูง ย่อมแสดงถึงความสามารถในการบริหารการขายสินค้าได้เร็ว

1.6 ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า

ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า(วัน) = 365 (วัน) /อัตราหมุนเวียนของสินค้า (Inventory Turnover)

ยิ่งขายได้เร็ว (ระยะเวลาสั้น) ยิ่งดี

2.ความสามารถในการหากำไร (Profitability Ratio)

1.1 อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)

1.2 อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit Margin)

1.3 อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)

1.4 อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Return On Equity or ROE)

อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)(%) = ขายสุทธิ - ต้นทุนขาย หรือ SALES - COGS / ขายสุทธิ SALES = กำไรขั้นต้น หรือ Gross Profit /ขายสุทธิ SALES

ยิ่งสูงยิ่งดี

อัตรากำไรจากผลการดำเนินงาน(Operating Profit Margin)(%) = กำไรจากการดำเนินงาน(Operating Profit Margin) /ขายสุทธิ (SALES) ยิ่งสูงยิ่งดี

อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)(%) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /ขายสุทธิ (SALES)

ยิ่งสูงยิ่งดี แสดงให้เห็นประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทในการทำกำไร หลังจากหักต้นทุนค่าใช้จ่ายรวมทั้งภาษีเงินได้หมดแล้ว

ผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE %) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity)

ยิ่ง สูงยิ่งดี แสดงให้เห็นว่าเงินลงทุนในส่วนของเจ้าของ จะได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาจากการดำเนินการของกิจการนั้นในอัตราส่วนเท่าไร หากมีค่าสูง แสดงถึงประสิทธิภาพในการหากำไรสูงด้วย Dupont Equation

ROE (%) = NP (or EAT) = (EAT/SALES) (SALES/ASSETS) (ASSETS/EQUITY) /Equity

หรือ ROE (%) =รายได้จากการขาย สินทรัพย์ทั้งหมด= กำไรสุทธิ X รายได้จากการขาย X สินทรัพย์ทั้งหมด / ส่วนของผู้ถือหุ้น = (ความสามารถในการหากำไร) (การใช้เงินทุน) (ความสามารถในการหาทุน)

หรือ สมการนี้เท่ากับ ROE (%) = (Net Profit Margin) (Total Asset Turnover) (Financial Leverage)

3. อัตราส่วนแสดงประสิทธิภาพในการทำงาน (Efficiency Ratio)

อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม (ROA)(%) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /สินทรัพย์รวม (Total Assets) ยิ่ง สูงยิ่งดี เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรของสินทรัพย์ทั้งหมดที่ธุรกิจใช้ในการ ดำเนินงาน ว่าให้ผลตอบแทนจากการดำเนินงานได้มากน้อยเพียงใด หากมีค่าสูง แสดงถึงการใช้สินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ

อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ถาวร (ROFA) = กำไรสุทธิ (Net Profit or NP) /รวมสินทรัพย์ถาวร (Fix Assets)

อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Turnover)

อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Turnover)(ครั้ง) = ขายสุทธิ (SALES) /สินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset) ยิ่งสูงยิ่งดี

อัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total Assets Turnover)

อัตราส่วนการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total Assets Turnover) (ครั้งหรือเท่า) = ขายสุทธิ (SALES) /สินทรัพย์รวม (Total Assets)

จำนวน ครั้งสูง ดี เป็นอัตราส่วนที่แสดงถึงประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ทั้งหมด (TA) เมื่อเทียบกับยอดขาย (SALES) ถ้าอัตราส่วนนี้ต่ำ แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์มากเกินความต้องการ

4. อัตราส่วนวิเคราะห์นโยบายทางการเงิน (Leverage Ratio or Financial Ratio)

เพื่อให้ทราบถึงแหล่งที่มาของเงินทุนว่ามาจากหนี้สินหรือส่วนของเจ้าของ ว่ามีมากน้อยเพียงใด อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt/Equity Ratio) (เท่า) = หนี้สินรวม (Total Debt) /ส่วนของเจ้าของ (Equity) ยิ่งต่ำ ยิ่งดี แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงในด้านเจ้าหนี้และเจ้าของกิจการ ถ้าอัตราส่วนสูง แสดงว่า กิจการมีความเสี่ยงจากการกู้ยืมเงินมาใช้ในการดำเนินกิจการ

ความ สามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest Coverage) (เท่า) = {กำไรสุทธิ (NP) + ภาษีเงินได้ (Tax) - ดอกเบี้ยจ่าย(Interest)} /ดอกเบี้ยจ่าย (Interest)

เป็นการวัดความสามารถของธุรกิจในการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ ผลคำนวณออกมามีค่าสูง แสดงว่าธุรกิจมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยสูง

อัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout) = เงินปันผลต่อหุ้น (Dividend /share) /กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS)

แสดงถึงนโยบายการจ่ายเงินปันผลของธุรกิจ

อัตราส่วนที่กล่าวมาเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์หลักทรัพย์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน เพื่อท่านจะได้พิจารณางบการเงินได้ในระดับหนึ่ง

สัญญาณเตือนภัยจากการวิเคราะห์งบการเงิน

1.ขาดทุนมากๆ และติดต่อกันหลายปี

2.ระยะเวลาการเก็บหนี้นานขึ้น

3.อัตราหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของสูงขึ้นเร็วมาก

4.สินค้าคงคลังสูงมากผิดปกติ

5.ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น

6.ยอดขายสูงขึ้น แต่กำไรลดลง

7.หนี้สูญเพิ่มขึ้น

8.รายงานผู้สอบบัญชีผิดปกติ เปลี่ยนผู้สอบบัญชีใหม่

9.ขายสินทรัพย์ของบริษัท เพื่อสร้างกำไรให้เข้าเป้าในระยะสั้น

ข้อ 6 เมื่อท่านได้ศึกษาเพาเวอร์พอยท์ เรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคารไปนั้น ขอให้ท่านจับประเด็นให้ได้ว่ามีประเด็นใดบ้างที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียมตัวมากู้เงินธนาคาร และประเด็นเหล่านั้นธนาคารสามารถตรวจสอบได้อย่างไร

ตอบ จับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคาร จะกู้เงินให้ได้ต้องมี 6 c

-ดูคุณสมบัติผู้ขอสินเชื่อ Character

-ความสามารถในการชำระหนี้ Capacity

-เงินทุน Capital

-หลักประกัน Collateral

-สภาพทางเศรษฐกิจ Condition

-ประเทศที่ติดต่อด้วย Country

1.เรียนจบ ปริญญาตรี ปริญญาโท มีประสบการณ์กับเรื่องที่จะกู้เงิน แต่งตัวให้ดูมีภูมิฐาน พูดจาเป็นระบบ ทำตัวให้เป็นสากล

2.สร้างงบการเงินให้ดูดี กิจการมีกำไร มีอัตราส่วนทางการเงินดี อธิบาย cash flow ว่าสามารถคืนหนี้ได้ ทำธุรกิจมาประมาณ 3 ปี

3.กู้เงินอย่าให้เกิน 80 % ของราคาประเมินทรัพย์สินที่จะใช้เป็นหลักประกัน

4.หลักประกันต้องดูโดดเด่น อยู่ในทำเลดี มีสภาพคล่อง มีโอกาสเพิ่มมูลค่าในอนาคต

5.เงื่อนไขในการชำระคืนดอกเบี้ยและเงินต้นมาจากตัวเลขใน cash flow ทำให้ธนาคารเชื่อได้ว่าจะเหลือเงินแล้วคืนหนี้ให้ธนาคารตามแผน

6.“อัฐยายกินขนมยาย”

ถ้าจ่ายเงินเพิ่มทุนยังไม่ครบ ก็ตั้งเป็นลูกหนี้เงินให้กู้กับกรรมการอีก

ทำให้มองว่า D/E Ratio ต่ำ Character เริ่มดูดี

7.มีกรรมการบริษัทเป็นผู้มีชื่อเสียง เช่น นักการเมือง / นักธุรกิจชื่อดัง / นักวิชาการ

8.การที่บริษัทตั้ง Cash flow ขึ้นทำให้มีเงินเข้ามามากกว่าที่จ่ายออกไป

9.เมื่อเวลาผ่านไป 3 ปีแล้ว ธุรกิจมียอกขายที่โตขึ้น มีเงินหมุนเวียนในบริษัทมาก มีเงินเข้าออกบริษัทเป็นสิบล้าน สร้างรายได้มากมายแต่เสียภาษีแค่ 3 % หรือ ภ.ง.ด. 3

10.ผ่านมาถึง 4 ปี บริษัทรู้ว่ามีเงินทุนมากพอ ก็สามารถกู้เงินธนาคารได้ถึง 100 ล้านบาท

D/E Ratio (2:1)

11.บริษัทสามารถสร้างฝันที่บริษัทต้องการเช่น การซื้อที่ดิน สร้างอาคาร และมีจ่ายกู้เงินธนาคารบางส่วน ส่วนที่เหลือทางบริษัทก็สามารถออกเงินของบริษัทเอง

12.มี Cash flow ที่สุดสวย รายได้มีมากกว่า 200 % และสามารถชำระหนี้ทางธนาคารได้ทุกเดือน

13.สร้าง Capacity ขึ้นมาเพื่อหลอทางธนาคาร ซึ่งบริษัทต้องทำ Current Ratio มากกว่า 2 : 1

14.พอถึงสิ้นปี ทางบริษัทได้มีการรับชำระหนี้ พอปีต่อมาบริษัทได้มีการสร้างรายจ่ายปลอมเหมือนเช่นเคย

15.ในการสร้างรายจ่ายปลอมก็คือการที่บริษัทได้ไปเปิดบริษัทใหม่เป็นบริษัทผลิตสินค้าเล็กๆขึ้นมาเอง ซึ่งบริษัทที่เปิดขึ้นใหม่จะเป็นผู้ผลิตสินค้าส่งให้เพื่อในการปลอมเอกสารการจ่ายเงินขึ้นมาเอง

16.ถ้าสร้างรายจ่ายปลอมขึ้นมาแล้ว เงินยังคงเหลือ ก็จะให้กกรมการในบริษัทนั้นเป็นผู้กู้เงินไป

สรุป แล้วว่าทางบริษัทหลอกลวงแบงค์ในทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นการซื้อที่ดิน การสร้างอาคาร หรือการซื้อเครื่องจักร

ผลสุดท้ายทางบริษัทโดนแจ้งข้อหาตามกฎหมาย ถูกจำคุก 7 ปี ปรับ 140,000 บาท

ข้อ 1 ให้เปรียบเทียบประเด็นพิจารณาในการให้สินเชื่อระหว่าง สินเชื่อพาณิชยกรรม (Modern Trade) และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Development) รายใหญ่ๆในประเทศไทย

ตอบ ลักษณะของธุรกิจพาณิชยกรรมโดยส่วนใหญ่ของประเทศไทย

1.เป็นกิจการซื้อมาขายไป

2.ไม่มีโรงงานเพื่อทำการผลิต

3.มีการลงทุนในทรัพย์สินถาวรในสัดส่วนต่ำเมื่อเทียบกับสินทรัพย์หมุนเวียน

4.โดยปกติมีอัตราส่วนเงินหมุนเวียนเร็วต่ำ

5.สินค้าคงคลังสำหรับบางกิจการมีมูลค่าค่อนข้างสูง

6.โดยส่วนใหญ่มักได้รับเงื่อนไขการชำระหนี้ให้กับผู้ผลิตสินค้าประมาณ 60-90 วัน

การดำเนินธุรกิจของผู้ได้รับสินเชื่อพาณิชยกรรม

1.ทำการค้าเฉพาะภายในประเทศ

2.ทำการค้าโดยติดต่อกับต่างประเทศ แบ่งย่อยโดย

-นำเข้ามาเพื่อส่งออกไปยังประเทศที่ 3

-นำเข้ามาเพื่อขายในประเทศ

-ผู้ซื้อที่ต่างประเทศเปิด L/C มายังผู้ขายในประเทศไทยโดยตรง

-ผู้ซื้อที่ต่างประเทศเปิด L/C มายังผู้ขายในประเทศไทยและผู้ขายจะโอน L/C ต่อให้กับผู้ผลิตอีกทอดหนึ่ง

-ผู้ซื้อที่ต่างประเทศเปิด L/C มายังผู้ขายในประเทศไทยและผู้ขายจะโอน L/C ต่อให้กับพ่อค้าส่งออกอีกทอดหนึ่ง

สำหรับความเสี่ยงของสินเชื่อพาณิชยกรรม

1.ตัวสินค้ามีความเสี่ยงค่อนข้างสูง

-เป็นสินค้าแฟชั่น

-เป็นสินค้าที่บอบบาง เสียหายง่าย

-มีฤดูกาลในการขาย

-สินค้าผิดกฎหมาย หรือไม่ได้มาตรฐาน

-ผู้ซื้อมีความจงรักภักดีต่อสินค้าคู่แข่งสูง

2.แหล่งสินค้ามีความเสี่ยงสูง

-มีการผูกขาดจากผู้ค้ารายใหญ่

-มีความผันผวนในเรื่อราคา

-มีโอกาสขาดแคลน

3.การเก็บสินค้า ที่มีความเสี่ยงสูง

-เก็บสินค้าปริมาณมากๆ เกิดเงินทุนจม

-สินค้าเป็นแฟชั่น

-ราคาขายลดลง

4.ด้านการตลาดที่มีความเสี่ยง

-ใช้วิธีการขายดั้งเดิม

-ไม่มีการบริการหลังการขาย

-กำไรขั้นต้นต่ำมาก

5.ด้านการเงิน ในกรณีส่งออกต่างประเทศ ต้องระวังเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน

การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

1.ผู้บริหารมีประสบการณ์มากเพียงพอหรือไม่

2.ประเภทโครงการ สิ่งปลูกสร้างและสิ่งแวดล้อม

3.ทำเลที่ตั้งโครงการสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย

4.การวางแผนโครงการมีการเตรียมการอย่างเป็นระบบ

5.แหล่งเงินทุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จะมาจาก 3 แหล่ง คือเงินทุนของผู้ประกอบการ เงินดาวน์ของลูกค้า และจากธนาคาร

6.การประมาณการต้นทุนของโครงการต้องคิดให้รอบคอบ

7.แผนการตลาดน่าสนใจเพียงใด

8.ประมาณกากระเงินสดในแง่จำนวนเงินและเวลา

9.คำนวณจุดคุ้มหนี้และจุดคุ้มทุน

ข้อ 2. การที่เกิดภาวะเงินบาทมีค่าลดลงมาก (เงินบาทอ่อนตัว) มีผลต่อการที่ธนาคารของท่านในการให้สินเชื่ออย่างไรบ้าง และการที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่นั้น จะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในประเด็นใดบ้าง

ตอบ ในภาวะที่เงินบาทอ่อนตัวจะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารคือธนาคารจะต้องมีการระมัดระวังในการให้สินเชื่อเป็นอย่างมาก เพราะในขณะนั้นค่าเงินบาทอ่อนตัวจะทำให้เกิดความเสี่ยงในการปล่อยกู้ ถ้าธนาคารปล่อยกู้กับลูกค้าท่านไหนไปแล้ว ลูกค้าท่านนั้นเกิดปัญหาขึ้นมาแล้วไม่สามารถที่จะมาชำระหนี้คืนให้กับธนาคารได้ ก็จะเกิดปัญหาตามมาดังนั้นในภาวะที่ค่าเงินบาทอ่อนตัวทางธนาคารจะต้องเข้มงวดลูกค้าที่จะมาขอสินเชื่อเป็นพิเศษ

การที่มีผู้ว่าการธนาคารคนใหม่ จะส่งผลต่อธนาคารกสิกรไทยในประเด็นที่ธ.กสิกรไทยจะต้องมีการเตรียมความพร้อมในการหาผู้จัดการคนใหม่ ที่จะต้องมาทำหน้าที่แทน และอาจจะทำให้การปล่อยสินเชื่อของธนาคารอ่อนลง เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในธ.กสิกรไทย การให้สินเชื่อ หรือในเรื่องของดอกเบี้ยต่างๆอาจมีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ลูกค้าอาจไม่แน่ใจหลักการของธนาคารที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่มีกรรมการผู้จัดการคนใหม่

ข้อ 3.การควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่สำคัญมาก ท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ และ บอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

ตอบ แนวทางในการพิจารณาควบคุมสินเชื่อ

1.การควบคุมในแนวดิ่ง (Vertical Control )

เป็นการควบคุมที่มีอยู่ ในลักษณะตามสายการบังคับบัญชาที่ผู้เป็นหัวหน้าต้องดูแลเอาใจใส่ ให้คำแนะนำ (Supervion) แก่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของตน และประการสุดท้ายก็คือ ผู้ทำการวิเคราะห์ที่อยู่ในสายการบังคับบัญชานั้นได้ใช้ดุลพินิจหรือวิจารณญาณอย่างรอบคอบสมเหตุสมผล และเป็นอิสระจากภาวการณ์กดดันได้ดีเพียงพอแล้ว ซึ่งทำให้องค์กรลดความเสี่ยงลงได้

2.การควบคุมในแนวนอน (Horizontal Control)

เป็นการควบคุมในระดับเดียวกันแต่เป็นการควบคุมระหว่างหน่อยงานที่ทำหน้าที่แต่ละด้านให้กับองค์กร สิ่งที่มักพบเห็นเสมอก็คือ ธนาคารหลายแห่งจะมีเจ้าหน้าที่สินเชื่อทำงานด้านหารตลาด เพื่อพบประกับลูกค้าและเสนอแนะบริการด้านสินเชื่อ มีเจ้าหน้าที่ที่ต้องวิเคราะห์สินเชื่อที่ต้องออกไปพบลูกค้าพร้อมกับฝ่ายการตลาดเพื่อร่วมรับรู้ถึงธุรกิจของลูกค้า และขอเอกสารต่างๆ จากลูกค้าและรวมถึงหาข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ เพื่อทำความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละราย มีเจ้าหน้าที่ประเมินราคาหลักประกัน ที่ต้องไปพบลูกค้าด้วยเช่นกัน เพื่อรวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องทางทรัพย์สินที่จะนำมาเป็นหลักประกัน สุดท้ายยังมีเจ้าหน้าที่ในงานพิธีกร ที่ต้องคอยทำหน้าที่เตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทำนิติกรรมระหว่างลูกค้ากับผู้ให้สินเชื่อคือธนาคาร เมื่อลูกค้าลงนามครบถ้วนแล้ว ก็ต้องจัดเก็บอย่างปลอดภัยมีระบบรักษาความลับลูกค้ามิให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องมารับรู้หรือค้นหา เพราะจะทำให้เกิดการสูญหายต่อธนาคารได้

3.การควบคุมด้วยการตรวจสอบภายในองค์กร (Internal Audit Control)

ซึ่งจะต้องทำอย่างน้อยปีละครั้ง โดยใช้ระบบสุ่มตรวจและต้องไม่ให้ฝ่ายสินเชื่อทราบล่วงหน้า เพราะจะทำให้ไม่พบจุกบกพร่องในขณะที่ผู้เขียนทำงานอยู่ที่ธนาคารไทยพาณิชย์นั้น ฝ่ายตรวจสอบจะแบ่งทีมงานเป็นหลายชุด ที่จะออกตรวจในสาขาภูมิภาค

วัตถุประสงค์ในการควบคุมการให้สินเชื่อ

1.ป้องกันหรือลดโอกาสการทำทุจริตประพฤติมิชอบของพนักงานสินเชื่อ

2.ส่งเสริมการให้ความรู้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา โดยใช้ระบบการสอนงาน เพื่อให้ผู้อ่อนประสบการณ์ได้ใช้ความคิด

3.เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขในรายละเอียดการให้กู้ระหว่างกันให้ควบถ้วน รอบคอบก่อนอนุมัติให้เบิกถอนเงินกู้ออกไป

การกำหนดอำนาจอนุมัติและการลงนาม

เพราะบางครั้งผู้มีอำนาจลงนามติดธุรกิจ ผู้อื่นในระดับเดียวกันก็สามารถลงนามแทนกันได้ ซึ่งในการนี้เพื่อให้ลดความเสี่ยงลงไปอีก จึงมักจะกำหนดผู้มีอำนาจลงนามที่จะต้องร่วมกันอนุมัติมากกว่า 2 คนขึ้นไป

สถาบันการเงินมักกำหนดอำนาจอนุมัติ

1.ตำแหน่งทางการบริหาร เช่นระดับกรรมการ ก็จะลงนามเกือบทุกเรื่อง

2.วงเงินและประเภทวงเงินสินเชื่อ เช่นวงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท

3.ระยะเวลาการกู้ ถ้าเป็นระยะเวลาสั้นๆ เช่นวงเงินชั่วคราว 3 เดือน

4.หลักประกัน เช่นกรณีที่ได้รับหลักประกันเพิ่ม หัวหน้าสายงานสินเชื่อ2 คน ก็จะลงนามได้

5.อัตราดอกเบี้ยที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาสินเชื่อของธนาคารอนุมัติสินเชื่อให้ลูกค้าแล้วในอัตราดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่า 2%

การควบคุมสินเชื่อของสถาบันการเงินหรือธนาคารโดยฝ่ายสินเชื่อ

1.ธนาคารจะทบทวนผลการติดต่อกับลูกค้าทุกรายอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อทราบว่ามีการเดินบัญชีสม่ำเสมอหรือไม่ ชำระเงินต้นดอกเบี้ย ตรงตามเงื่อนไขหรือไม่

2.ทบทวนผลการประกอบการลูกค้าจากการวิเคราะห์งบการเงิน ซึ่งเป็นการวิเคราะห์เชิงประมาณด้านอื่นๆ เช่น การบริการงาน การพัฒนาผลิตภัณฑ์

3.ทบทวนหรือสำรวจหลักประกันว่ามีสภาพไม่ด้อยไปจากเดิม

4.เยี่ยมชมกิจการของลูกค้า โดยปกติพนักงานสินเชื่อจะมีโอกาสในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่จะนำของขวัญไปอวยพรให้กับลูกค้า

การควบคุมสินเชื่อของสถาบันการเงินหรือธนาคารโดยฝ่ายตรวจสอบภายใน 3 ด้านคือ

1.พิจารณาว่าได้จัดทำนิติกรรมตามระเบียบของธนาคารอย่างครบถ้วนก่อนลูกค้าเบิกเงินกู้หรือไม่ หลักประกันทุกสิ่งทุกต้องมีต่อกัน ได้จัดอย่างปลอดภัย ยากแก่การสูญหาย และยากต่อการเข้าถึงของผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

2.พิจารณาเจาะจงไปที่ฝ่ายสินเชื่อเลยว่า พนังงานสินเชื่อได้ทำตามนโยบายของธนาคารที่กำหนดให้ ณ ขณะนั้นๆ หรือไม่ เช่น นโยบายการให้กู้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

3.พิจารณาในแง่คุณภาพหนี้ว่าอยู่ในชั้นใด สัดส่วนเป็นอย่างไร

สินเชื่อปกติ

สินเชื่อที่ควรเอาใจใส่เป็นพิเศษ

สินเชื่อจัดชั้นตำกว่ามาตรฐาน

สินเชื่อจัดชั้นสงสัย

สินเชื่อจัดชั้นสงสัยจะสูญ

สินเชื่อชั้นสูญ

กรณีตัวอย่างที่ 1 การควบคุมภายในด้านการอนุมัติสินเชื่อของบริษัทเงินทุนประเด็นสำคัญในการพิจารณา

1.จะต้องรู้กฎระเบียบของบริษัททุกอย่าง

2.การพิจารณาวงเงินการอนุมัติแต่ละรายจะต้องเป็นไปตามกฎ ระเบียบ พิธีการ ปฎิบัติของบริษัทที่กำหนดทุกกรณี

3.การพิจารณาอนุมัติวงเงินสินเชื่อแต่ละรายจะต้องผ่านการลงนามอนุมัติจากผู้ที่มีอำนาจตามที่ได้แต่งตั้งเป็นลายลักษณ์อักษร ทุกครั้ง

4.ผู้มีอำนาจอนุมัติวงเงินสินเชื่อที่ได้รับการแต่งตั้งจะต้องไม่เป็นบุคคลซึ่งมีส่วนได้เสียกับลูกค้าผู้ขอวงเงินสินเชื่อ

5.บริษัทจะต้องจัดให้มีบัตรตัวอย่างลายมือชื่อของลูกค้าและจัดเก็บในที่ปลอดภัยภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ที่บริษัทกำหนดไว้

6.การให้กู้ยืม การรับซื้อ ซื้อลด และรับช่วงซื้อลด

7.จัดแฟ้มลูกหนี้รายตัวซึ่งควรมีรายละเอียดดังนี้

สำเนาภาพถ่ายหลักฐานแสดงตัวเป็นนายทะเบียนบ้านของลูกหนี้และผู้ค้ำประกัน

กรณีตัวอย่างที่ 4 การควบคุมและการตรวจสอบสต๊อกสินค้าเกษตรของธนาคาร

คุณสมบัติของลูกค้า

1.ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการค้าและการผลิตสินค้าเกษตรเป็นอาชีพหลักและมีประสบการณ์เกี่ยวกับสินค้าที่จะนำมาจำนำเป็นอย่างดี

2.มีวงเงินสินเชื่อประเภทอื่นอยู่กับธนาคารอยู่ก่อนแล้ว

3.มีฉาง โกดัง หรือโรงเก็บสินค้า ที่ธนาคารพิจารณาแล้วว่าจัดเก็บสินค้าที่จะจำนำเป็นประกับกับธนาคารได้

4.ลูกค้าประวัติการติดต่อที่ดีกับธนาคาร มีความซื่อสัตย์ เชื่อถือได้ และมีเครดิตในวงการธุรกิจอยู่ในเกณฑ์ดี

1.อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ = ยอดขายเชื่อสุทธิ

ลูกหนี้เฉลี่ย

2. ระยะเวลาเก็บหนี้โดยเฉลี่ย = 360

อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้

3. ดัชนีการขาดทุนจากหนี้สูญ = หนี้สูญ

ยอดขายเชื่อสุทธิ

ต่อข้อ6
5. สภาพทางเศรษฐกิจ (Condition)
เป็นคุณสมบัติในเชิงมหาภาคที่ผู้ให้สินเชื่อต้องมีความรู้ถึงภาวะแวดล้อมภายนอกที่ส่งผลกระทบทั้งในแง่บวกและลบต่อผู้ขอสินเชื่อ และจะส่งผลกลับมายังผู้ให้สินเชื่อในที่สุด โดยทั่วไปที่ต้องพิจารณาก็คือ กฎหมาย การเมือง เศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี อัตราภาษี อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน ต้นทุนแรงงาน เป็นต้น ซึ่งหลายปัจจัยในการเปลี่ยนแปลงที่มีลักษณะเป็น วัฏจักรซึ่งอาจพยากรณ์ล่วงหน้าได้ในระดับหนึ่ง
                 ** เงือนไขในการชำระคืนดอกเบี้ยและเงินต้น มาจากตัวเลข Cash Flow ทำให้ธนาคารเชื่อได้ว่าจะเหลือเงินแล้วคืนหนี้ให้ธนาคารตามแผน (Condition)
            6. ประเทศที่ติดต่อด้วย (Country) เป็นคุณสมบัติประการสำคัญในปัจจุบันที่ต้องพิจารณา เพระถึงแม้จะเป็นการให้สินเชื่อภายในประเทศ แต่ถ้าลูกค้ารายนั้นทำธุรกิจนำเข้า ส่งออก ซึ่งมีความเสี่ยงจากกฎระเบียบในการค้าโลก อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินสกุล การกีดกั้นทางการค้า รสนิยมที่เปลี่ยนแปลงไป หรือภาวะโรคร้ายแรงซึ่งเป็นเหตุสำคัญในการค้าระหว่างประเทศไม่ราบรื่น ซึ่งก็จะส่งผลต่อประมาณการรายรับ และมีปัญหาไม่สารถชำระหนี้สินได้ตามที่ตกลงกันไว้
               ** ธุรกิจเจ๊งแล้วแต่มีอนาคตดี เจ้าของเดิมล้มละลาย ขายซากเครื่องจักรเก่า สอนวิธีใช้ให้ จึงจ้างเป็นที่ปรึกษาและให้เป็นผู้จัดการโรงงาน
        ประเด็นเหล่านั้นธนาคารสามารถตรวจสอบได้
คือ ตรวจสอบระบบการทำงานลูกค้าว่ามีความชำนาญทางด้านขอสินเชื่อต่อธนาคารว่ามีความชำนาญมากน้อยเพียง และอัตราการให้กู้ของธนาคาร เช่น ซื้อที่ดิน 15 ล้าน กู้ 8 ล้าน , ก่อสร้างแบงค์ให้กู้ 80%, เครื่องจักรแบงค์ให้กู้ 70%

 

 

 

 

 

 

 

4.  จงอธิบายถึงอัตราส่วนทางการเงิน  (Financial Ratio) ที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ พร้อมทั้งอธิบายลงไปในรายละเอียดด้วยว่ามีวิธีการพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้
ข้อจำกัดของการกำหนดวงเงินสินเชื่อ
1. ความต้องการข้อมูลที่เป็นจริงและทันต่อเหตุการณ์ ทั้งนี้เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงที่มีอยู่เสมอ และเหตุการณ์ที่มีแต่ค่าใช้จ่ายตามมา ซึ่งบางครั้งค่าใช้จ่ายที่เสียไปเพื่อแลกกับข้อมูล ก็มิได้ช่วยให้คุมค่ากับรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการขยายวงเงินเพิ่ม
2. ความต้องการปรับปรุงวงเงินสินเชื่อ ลูกค้าส่วนใหญ่มีความต้องการขยายวงเงินสินเชื่ออยู่เสมอ การใช้สินเชื่อแต่ละครั้งจึงพยายามใช้เกินวงเงินที่กำหนด วิธีการดังกล่าวทำให้ผู้ให้สินเชื่อต้องพิจารณาการให้สินเชื่อใหม่เสมอเพื่อตรวจสอบว่าควรให้หรือไม่ ทั้งนี้เพราะผู้ขายต้องการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า 
3. การสูญเสียความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อกับลูกค้า ธุรกิจมักมอบหมายอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติสินเชื่อให้บุคคลหลายระดับตามจำนวนวงเงินสินเชื่อ ดังนั้นจึงอาจมีลูกค้าบางรายแสดงความไม่พอใจที่ถูกปฏิเสธการให้สินเชื่อที่เกินกว่าวงเงินที่กำหนด โดยผู้มีอำนาจระดับต่ำกว่าผู้จัดการทีปฏิบัติงานตามหน้าที่ โดยลูกค้าถือว่าตนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อ หรือในบางกรณีลูกค้าอาจโกรธที่การขอสินเชื่อผ่านการอนุมัติจาก ผู้มีอำนาจระดับต่ำซึ่งเท่ากับว่าเป็นการเปิดเผยฐานะการเงินของตนเอง ทำให้รู้สึกว่าถูกประจานทำให้ต้องอับอาย และคิดว่าผู้จัดการไม่ช่วยปกป้องให้ เหตุการณ์เหล่านี้เป็นสาเหตุทำให้ผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อต้องสูญเสียความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า
ประเภทของวงเงินสินเชื่อ
1. วงเงินสินเชื่อเกี่ยวกับสินเชื่อทางการค้า
สินเชื่อทางการค้าได้มาจากองค์การธุรกิจหรืออาจได้มาจากสถาบันการเงิน การกำหนดวงเงินสินเชื่อเพื่อการค้าของสถาบันการเงิน และหลักวิธีการกำหนดวงเงินเกี่ยวกับสอนเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค
2. วงเงินสินเชื่อที่กำหนดจากประสบการณ์
ในการกำหนดวงเงินสินเชื่อนั้น ผู้บริหารฝ่ายสินเชื่อหรือผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อมีวิธีการต่าง ๆ ที่สามารถเรียนรู้และใช้เป็นแนวทางในการกำหนดวงเงินได้หลายวิธี คืออาจเรียนรู้ด้วยตนเองโดยใช้การทดลองที่เรียกว่า วิธีลองผิดลองถูก (Trial and error ) หรืออาจใช้วิธีการที่ผู้อื่นใช้เป็นแนวทางที่เรียกว่า ทำตามผู้นำ การกำหนดวงเงินที่ใช้ประสบการณ์เป็นหลักสามารถแยกออกเป็นวิธีย่อย ๆ ได้ดังนี้ คือ
1. กำหนดวงเงินโดยใช้ผู้ขายรายอื่นเป็นเกณฑ์ 
2. การกำหนดวงเงินที่เริ่มจากจำนวนน้อย 
3. การกำหนดวงเงินเป็นช่วงเวลา 
4. การให้สินเชื่อโดยไม่มีขีดจำกัด 
3. วงเงินสินเชื่อที่กำหนดจากความต้องการของลูกค้า
แนวทางปฏิบัติในการกำหนดวงเงินสินเชื่อ
1.กำหนดวงเงินโดยพนักงานขายเป็นผู้ประเมินความต้องการของลูกค้า โดยวิธีนี้ถือว่าพนักงานขายเป็นผู้มีประสบการณ์ในการขาย จากการติดต่อกับลูกค้าจำนวนมากทำให้เขาสามารถ วิเคราะห์และประเมินได้ในครั้งแรกของการสั่งซื้อว่าลูกค้ามีความต้องการสินค้ามากน้อยเพียงใด ดังนั้นมูลค่าคำสั่งซื้อที่พนักงานขายเป็นผู้จัดทำขึ้นจึงเปรียบเสมือนวงเงินสินเชื่อที่กำหนดให้แก่ลูกค้านั่นเอง
2.กำหนดวงเงินตามสถานการณ์ สินค้าบางชนิดโดยเฉพาะสินค้าที่เป็นของเสียง่าย เช่น ขนมปัง นมสด ผลไม้ ผู้ขายจะมีวิธีการกำหนดวงเงินสินเชื่อที่แตกต่างจากสินค้าทั่วไป โดยทั่วไปจะกำหนดวงเงินในรูปของการยอมให้สินเชื่อเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ที่ไม่ระบุมูลค่าสินค้าตายตัวเหตุผลของการกระทำดังกล่าวก็เพื่อเปิดโอกาสยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงวงเงินสินเชื่อนั่นเอง เพราะความต้องการสินค้าเหล่านี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงมากบางช่วงฤดูกาล เช่น เทศกาลปีใหม่ เทศกาลสงกรานต์
3. กำหนดวงเงินโดยวิธีการที่มีหลักเกณฑ์และเหตุผล (Pseudoscientific ) เป็นการกำหนดวงเงินสินเชื่อแก่ลูกหนี้อย่างมีหลักเกณฑ์และเหตุผล ดังนั้นถ้าผู้ให้สินเชื่อสามารถหาข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับลูกค้าได้ก็หมายถึงการกำหนดวงเงินสินเชื่อทำได้ถูกต้องด้วย และโอกาสของความผิดพลาดในการบริหารสินเชื่อก็น้อยลงตามกัน วงเงินสินเชื่อทีกำหนดโดยวิธีนี้คำนวณโดยยึดหลักเกณฑ์ในความต้องการสินค้าเป็นหลัก จึงคิดว่าจำนวนสินค้าที่ต้องการซื้อมาขายก็คือจำนวนขายที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ดังนั้นหลักในการคำนวณจึงเน้นการประมาณยอดขายของลูกหนี้เพื่อใช้เป็นฐาน ในการคำนวณต้นทุนสินค้าโดยเฉลี่ยที่ลูกหนี้สั่งซื้อจากผู้ขายแต่ละราย ซึ่งหมายถึงวงเงินสินเชื่อที่ควรกำหนดแก่ลูกหนี้นั่นเอง 
4. คำนวณหาความถี่ในการสั่งซื้อของลูก

ความถี่ในการสั่งซื้อ = จำนวนวันในหนึ่งปี / ระยะเลาในการชำระหนี้โดยเฉลี่ย

ความถี่ในการสั่งซื้อ หมายถึง อัตราการหมุนในการชำระหนี้ของลูกหนี้หรือัตราส่วนการหมุนเวียนของลูกหนี้นั่นเอง

5. คำนวณหามูลค่าการสั่งซื้อของลูกค้าต่อครั้ง คำนวณได้ดังนี้

มูลค่าการขายเชื่อแก่ลูกหนี้แต่ละครั้ง = ยอดสินค้าเฉพาะอย่างตามความสามารถในการขายของเจ้าหนี้แต่ละราย หาร ด้วย จำนวนครั้งของการสั่งซื้อ

6. ปรับมูลค่าการสั่งซื้อต่อครั้งให้เป็นต้นทุนขาย 
ดังนั้นมูลค่าการสั่งซื้อต่อครั้งของลูกหนี้จากเจ้าหนี้ที่แท้จริงจึงควรปรับด้วยการหักส่วนของกำไรออกจากยอดขาย มูลค่าที่เหลือจึงถือได้ว่าเป็นต้นทุนของสินค้าที่ลูกหนี้ซื้อจากเจ้าหนี้ หรือเป็นมูลค่าสินเชื่อที่เจ้าหนี้ขายให้แก่ลูกหนี้ในแต่ละครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นวงเงินสินเชื่อที่ถูกคำนวณเพื่อกำหนดให้แก่ลูกหนี้นั่นเอง
สรุปสูตรเพื่อคำนวณวงเงินสินเชื่อได้ดังนี้

วงเงินสินเชื่อ =

ยอดขาย


ยอดอัตราการหมุนในการชำระหนี้ของลูกหนี้


การคำนวณวงเงินสินเชื่อโดยการใช้สูตร

4. วงเงินสินเชื่อที่กำหนดตามความสามารถในการชำระหนี้
การกำหนดวงเงินตามความสามารถในการชำระหนี้ (debt-paying power) นั้นบางทีเรียกว่า การกำหนดวงเงินตามข้อเท็จจริง (facts) ทั้งนี้เพราะวงเงินจะถูกกำหนดโดยใช้ข้อมูลทางการเงินของลูกหนี้เป็นฐานในการกำหนดอันได้แก่ มูลค่าสุทธิ (net worth), เงินทุน (capital),ทุนหมุนเวียนสุทธิ (net working capital) 
แนวทางปฏิบัติในการกำหนดวงเงินสินเชื่อ
1.การกำหนดวงเงินสินเชื่อโดยใช้มูลค่าสุทธิเป็นฐานในการคำนวณ กระบวนการในการกำหนดวงเงินมี 3 ขั้นตอน คือ
Ø คำนวณหามูลค่าสุทธิของธุรกิจลูกหนี้ ซึ่งหมายถึง ส่วนต่างระหว่างสินทรัพย์ทั้งหมดและหนี้สินทั้งหมดในธุรกิจลูกหนี้
Ø หาจำนวนรวมเจ้าหนี้ผู้ขายสินค้าประเภทเดียวกันแก่ลูกหนี้
Ø หาค่าเฉลี่ยมูลค่าสุทธิตามจำนวนรวมเจ้าหนี้ผู้ขายสินค้าประเภทเดียวกัน ซึ่งค่าดังกล่าวก็คือ วงเงินสินเชื่อที่จะกำหนดให้แก่ลูกหนี้นั่นเอง
2. การกำหนดวงเงินสินเชื่อโดยใช้ทุนหมุนเวียนสุทธิเป็นฐานในการคำนวณ คำนวณจากมูลค่าสุทธิเป็นทุนหมุนเวียนสุทธิ ซึ่งทุนหมุนเวียนสุทธิหมายถึง ส่วนต่างระหว่างสินทรัพย์หมุนเวียนกับหนี้สินหมุนเวียน ค่าเฉลี่ยของทุนหมุนเวียนสุทธิ คือ ทุนหมุนเวียนสุทธิหารด้วยจำนวนรวมเจ้าหนี้ที่ขายสินค้าประเภทเดียวกันให้แก่ลูกหนี้และค่าเฉลี่ยดังกล่าวก็คือความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ ผลการคำนวณที่ได้รับจึงเป็นการแสดงความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้
ทุนหมุนเวียนสุทธิ = สินทรัพย์หมุนเวียน - หนี้สินหมุนเวียน
สินทรัพย์หมุนเวียน = เงินสด + ตั๋วเงินรับ + ลูกหนี้ + สินค้า
หนี้สินหมุนเวียน = เจ้าหนี้ + ตั๋วเงินจ่าย
ทุนหมุนเวียนสุทธิเฉลี่ย = ทุนหมุนเวียนสุทธิ
จำนวนรวมเจ้าหนี้
กระบวนการในการคำนวณหาวงเงินสินเชื่อ มีดังต่อไปนี้
1. คำนวณยอดขายรวมตลอดช่วงระยะเวลาหนึ่งของลูกหนี้
2. คำนวณหาต้นทุนขายของลูกหนี้ 
3. คำนวณหาหนี้ระยะสั้นของลูกหนี้ที่จะต้องชำระเป็นลำดับแรกรวมตลอดระยะเวลา 1 ปี 
4. คำนวณหาความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้แก่เจ้าหนี้เฉพาะรายใหม่ที่ต้องการกำหนด วงเงินสินเชื่อ 
5. คำนวณหาอัตราหมุนในการชำระหนี้ของลูกหนี้ 
6. คำนวณวงเงินสินเชื่อกำหนดเป็นรายครั้งของการสั่งซื้อ 
จากกระบานการที่กล่าวมาแล้วทั้ง 6 ขั้นตอน สามารถสรุปการคำนวณวงเงินสินเชื่อตามความสามารถในการชำระหนี้ได้ดังนี้



เงินสินเชื่อที่กำหนดเพื่อการค้าของสถาบันการเงิน
สถาบันการเงินมีวิธีการให้สินเชื่อแก่องค์กรธุรกิจ 2 รูปแบบคือ การให้กู้ระยะยาวและการให้กู้ระยะสั้น การให้กู้ยืมระยะยาวเป็นการให้สินเชื่อเพื่อการจัดหาทรัพย์สินที่เป็นทุน ได้แก่ อาคาร โรงงาน เครื่องจักร ส่วนการให้กู้ยืมระยะสั้นนั้นก็เพื่อที่จะให้องค์การธุรกิจนำไปใช้จ่ายเพื่อการจัดหาวัตถุดิบ สะสมสินค้าไว้เพื่อจำหน่าย หรือใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน เช่น จ่ายค่าแรงงาน จ่ายค่าเช่าสถานที่ จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ เป็นต้น สินเชื่อเพื่อการค้าจากสถาบันการเงินจะเป็นการให้สินเชื่อหรือการให้กู้ยืมเงินสด การให้สินเชื่อของสถาบันการเงินมีลักษณะเช่นเดียวกับการให้สินเชื่อขององค์การธุรกิจ คือ จะต้องวิเคราะห์สินเชื่อโดยใช้ข้อมูลทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณ เพื่อตัดสินใจว่าจะให้ธุรกิจกู้ยืมหรือไม่ สถาบันการเงินมีการจัดประเภทของสินเชื่อไว้แตกต่างกันหลายประเภท เช่น สินเชื่ออุตสาหกรรม สินเชื่อพาณิชยกรรม และสินเชื่อแต่ละประเภทก็ยังแบ่งเป็นสินเชื่อประเภทย่อยๆ ออกไปอีก
วงเงินสินเชื่อเกี่ยวกับสินเชื่อเพื่อการบริโภค
สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค หมายถึง สินเชื่อที่ให้แก่ผู้บริโภคโดยการขายสินค้า บริการหรืออาจให้ในลักษณะของการกู้ยืมเงินสดเพื่อนำไปอุปโภคบริโภค สินเชื่อที่ให้โดยการขายสินค้าสามารถให้ในรูปของการเปิดบัญชี การเปิดบัญชีแบบต่อได้ การขายผ่อนส่ง ตลอดจนการใช้บัตร 
แนวทางปฏิบัติในการกำหนดวงเงินสินเชื่อ
1. กำหนดวงเงินตามจำนวนที่ลูกค้าต้องการหรือตามที่ลูกค้าขอ
2. การกำหนดวงเงินสินเชื่อตามระดับความเสี่ยง 
3. กำหนดวงเงินสินเชื่อตามฐานะการจ้างงาน 
4. กำหนดวงเงินสินเชื่อจากรายงานของสำนักงานสินเชื่อ 
5. กำหนดวงเงินสินเชื่อเป็นระยะเวลา 
6. กำหนดวงเงินสินเชื่อจากเงินเดือนและระยะเวลาการเปิดบัญชีสินเชื่อ

วงเงินสินเชื่อที่กำหนดสำหรับการขายผ่อนส่ง
วงเงินสินเชื่อสำหรับการขายผ่อนส่งนั้น โดยทั่วไปจะมีจำนวนสูงกว่าวงเงินสินเชื่อแบบเปิดบัญชี เพราะสินค้าที่ขายผ่อนส่งส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าประเภทคงทนมีมูลค่าสูง อายุการใช้งานยาวนานกว่าสินค้าอื่นที่ใช้เพียงระยะสั้นหรือใช้ประจำวัน สินค้าที่ขายผ่อนส่งจึงเป็นสินทรัพย์ที่ยังคงมีมูลค่าตามระยะเวลาที่สามารถใช้เป็นหลักประกันในการชำระหนี้ได้
แนวทางปฏิบัติในการกำหนดวงเงินสินเชื่อมีดังนี้
1.การวางเงินมัดจำ ผู้ขายควรกำหนดวงเงินให้ผู้ซื้อวางเงินมัดจำ จำนวนที่สูงพอที่ จะให้เขาเกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของสินทรัพย์ที่ซื้อ 
2.การควบคุมยอดหนี้สินค้างชำระ ในการขายผ่อนส่งนั้นผู้ขายจะต้องพยายามตรวจสอบมิให้ผู้ซื้อมีภาระผูกพันการใช้จ่ายที่เกินความสามารถในการชำระหนี้จากการซื้อครั้งใหม่ได้ 
3. การกำหนดระยะเวลาการชำระหนี้ ผู้ขายควรกำหนดระยะเวลาการชำระหนี้เสร็จสิ้นก่อนที่สินค้าจะล้าสมัย

วงเงินสินเชื่อที่กำหนดเพื่อการอุปโภคบริโภคของสถาบันการเงิน

สถาบันการเงินที่มีบทบาทสำคัญและรู้จักกันดีโดยทั่วไปได้แก่ธนาคารพาณิชย์นั่นเอง การกำหนดวงเงินสินเชื่อที่ให้ในรูปของเงินสด จึงเน้นการกำหนดวงเงินสินเชื่อที่ธนาคารพาณิชย์ให้แก่บุคคลเพื่อช่วยเหลือให้มีมาตรฐานการครองชีพดีขึ้นเป็นหลัก สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคแบ่งออกได้เป็น สินเชื่อระยะสั้นและสินเชื่อระยะยาว ดังนั้น การกำหนดวงเงินสินเชื่อจึงแบ่งตามชนิดของสินเชื่อได้เป็น วงเงินสินเชื่อระยะสั้นและวงเงินสินเชื่อระยะยาว
แนวทางปฏิบัติในการกำหนดวงเงินสินเชื่อระยะสั้น
สินเชื่อระยะสั้น หมายถึง สินเชื่อที่ผู้กู้ควรชำระคืนแก่เจ้าหนี้ให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลา 1 ปี วงเงินสินเชื่อจะมีจำนวนมากหรือน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 3 อย่างคือ วัตถุประสงค์รายได้ ความสามารถในการชำระหนี้และหลักประกัน การกู้ยืมระยะสั้นผู้กู้มักจะนำไปใช้ในรายการที่เกิดจากความขาดแคลนชั่วขณะ และจำเป็นต้องใช้อย่างเร่งด่วน เช่น ซ่อมแซมบ้าน ซ่อมรถ จ่ายตั๋วเครื่องบินให้บุตรหลานไปต่างประเทศ หรือจ่ายค่าเล่าเรียน เป็นต้น ปัจจัยอื่นๆที่สถาบันการเงินพิจารณาเพิ่มเติมได้แก่ ประวัติบุคคล ความตั้งใจในการชำระหนี้ ผู้ค้ำประกัน เป็นต้น 
แนวทางปฏิบัติในการกำหนดวงเงินสินเชื่อระยะยาว
สินเชื่อระยะยาว หมายถึง สินเชื่อที่ผู้กู้สามารถชำระคืนแก่เจ้าหนี้ให้เสร็จสิ้นได้ในระยะเวลาที่เกินกว่า 1 ปีขึ้นไป โดยทั่วไปบุคคลจะใช้สินเชื่อระยะยาวเพื่อนำไปซื้อสินทรัพย์ถาวร ได้แก่ บ้าน ที่ดิน รถยนต์ อื่นๆ ซึ่งสินทรัพย์เหล่านี้มีอายุการใช้งานนานและมีราคาแพง ปัจจัยหลักที่ต้องพิจารณาก็เช่นเดียวกับปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการกำหนดวงเงินสินเชื่อระยะสั้น ได้แก่
- วัตถุประสงค์ในการขอสินเชื่อ
- ความสามารถในการชำระหนี้
- หลักประกัน

เงื่อนไขสินเชื่อเพื่อการบริโภคโดยการผ่อนส่ง ( Installment Accounts )
เงื่อนไขสินเชื่อเพื่อการบริโภคโดยการผ่อนส่ง นิยมใช้ในกิจการที่ขายสินค้าที่มีลักษณะดังต่อไปนี้ คือ
ก.สินค้าที่มีมูลค่า ซึ่งทำให้ผู้บริโภคไม่สะดวกในการจัดหาสินค้านั้นมาบริโภคด้วยวิธีการซื้อด้วยเงินสด ดังนั้นถ้าเสนอเงื่อนไขผ่อนส่งก็จะจูงใจผู้บริโภคได้มาก เช่น บ้าน รถยนต์
ข.สินค้าที่มีอายุการใช้งาน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น ซึ่งเป็นสินค้าที่มิใช่สินค้าประเภทใช้แล้วหมดไป
ค.สินค้าอาจจะเป็นได้ทั้งสินค้าฟุ่มเฟือยและสินค้าที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีพ 
รายละเอียดเกี่ยวกับเงื่อนไขผ่อนส่งประกอบด้วย
1. เงื่อนไขเกี่ยวกับหลักประกัน
2.เงื่อนไขเกี่ยวกับการผ่อนชำระ
3.เงื่อนไขอื่น ๆ
1. เงื่อนไขเกี่ยวกับหลักประกัน การผ่อนส่งในการปฏิบัตินั้นมีทั้งทำสัญญาเป็นหนังสือและสัญญากันด้วยวาจาขึ้นอยู่กับระดับและขนาดของธุรกิจการค้านั้น 
เช่าซื้อ คือ "สัญญาซึ่งเจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่าและให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้น หรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่า โดยเงื่อนไขที่ผู้ให้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว และสัญญาเช่าซื้อนั้นถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ ท่านว่าเป็นโมฆะ"
ในการทำสัญญาเช่าซื้อ นิยมทำสัญญาค้ำประกันต่อท้ายสัญญาเช่าซื้อ หลักประกันที่นิยมใช้มักเป็นบุคคลค้ำประกัน โดยบุคลที่ค้ำประกันต้องมีลักษณะตรงตามที่เจ้าของทรัพย์สินหรือผู้ขายกำหนด ได้แก่ บุคคลที่มีอาชีพเป็นหลักฐาน มีรายได้แน่นอน มีความประพฤติดีเป็นที่น่าเชื่อถือและมีหลักทรัพย์ของตนเอง พร้อมที่จะยอมรับผิดร่วมกับผู้เช่าในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมในกรณีที่ผู้เช่าได้ปฏิบัติผิดสัญญาเช่าซื้อ
2. เงื่อนไขเกี่ยวกับการผ่อนชำระ เงื่อนไขเกี่ยวกับการผ่อนชำระจะกำหนดรายละเอียดในเรื่องเงินดาวน์ งวดเวลาผ่อนส่ง และเงินผ่อนรายงวด มีรายละเอียดดังนี้
1)เงื่อนไขเกี่ยวกับเงินดาวน์ (down payment) หรือเงินมัดจำ 
2)งวดเวลาผ่อนส่ง 
3)เงินผ่อนรายงวด การผ่อนส่งอาจจะทำได้หลายวิธี ได้แก่
กรณีที่ 1 ชำระเงินต้นเท่ากันทุกงวดโดยคิดดอกเบี้ยโดยยอดค้างชำระ ซึ่งทำให้เงินรวมผ่อนต่องวดไม่เท่ากัน
กรณีที่ 2 ชำระเงินรวมผ่อนต่องวดเท่ากันโดยคิดดอกเบี้ยจาดยอดค้าชำระ ซึ่งจะทำให้เงินต้นและดอกเบี้ยแต่ละงวดไม่เท่ากัน
กรณีที่ 3 ชำระเงินต้นเท่ากันทุกงวด และดอกเบี้ยก็จะผ่อนเท่ากันทุกงวดเช่นกัน โดยคิดดอกเบี้ยจากยอดเงินต้นคงที่ ซึ่งทำให้เงินรวมผ่อนรายงวดก็จะเท่ากันทุกงวดด้วย 
เงินต้นผ่อนต่องวด หมายถึง เงินต้นที่ผู้ใช้สินเชื่อจะต้องผ่อนชำระต่องวดคำนวณได้ดังนี้

เงินต้นผ่อนต่องวด= 

เงินต้นหลังหักเงินดาวน์ 

จำนวนงวดที่ผ่อนขำระ

 

เงินรวมผ่อนต่องวด หมายถึง เงินต้นบวกดอกเบี้ยที่ผู้ใช้สินเชื่อจะต้องผ่อนต่องวด โดยดอกเบี้ยของเงื่อนไขกรณีที่ 3 คำนวณได้ดังนี้

ดอกเบี้ยที่ต้องชำระทั้งสิน = เงินต้นหลังหักเงินดาวน์ x อัตราดอกเบี้ย x ระยะเวลาผ่อนขำระ
3. เงื่อนไขอื่น ๆ เงื่อนไขอื่น ๆ ที่ต้องกำหนด ได้แก่ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน สถานที่เก็บรักษาทรัพย์สิน การบำรุงรักษาและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา การประกันภัย การชำนะหนี้เกินกำหนด การยึดทรัพย์สินคืน 
เงื่อนไขสินเชื่อเพื่อการบริโภคของสถาบันการเงิน
สถาบันการเงินที่ให้สินเชื่อเพื่อการบริโภค ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน โรงรับจำนำ และสหกรณ์ โดยจะให้สินเชื่อในรูปเงินสด เพื่อให้ผู้ขอสินเชื่อนำเงินสดไปใช้ในการบริโภค การให้สินเชื่อของสถานบันการเงินดังกล่าวจะให้ในลักษณะของวงเงินกู้ (Term loan) โดยมีเงื่อนไขการให้สินเชื่อคล้ายกัน ยกเว้นโรงรับจำนำซึ่งลักษณะเงื่อนไขแตกต่างจากสถาบันการเงินรูปแบบอื่น นอกจากเงินกู้แล้วธนาคารพาณิชย์ยังให้สินเชื่อเพื่อการบริโภคอีกลักษณะหนึ่งเรียกว่าบัตรเครดิตดังนั้นจะแยกอธิบายเงื่อนไขสินเชื่อ เพื่อการบริโภคของสถาบันการเงินออกเป็น เงื่อนไขสินเชื่อเพื่อการบริโภคในลักษณะเงินกู้ และเงื่อนไขสินเชื่อเพื่อการบริโภคโดยใช้บัตรเครดิต
2.  การที่เกิดภาวะเงินบาทมีค่าลดลงมาก  (เงินบาทอ่อนตัว) มีผลต่อการที่ธนาคารของท่านในการให้สินเชื่ออย่างไรบ้าง  และการที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่นั้น  จะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในประเด็นใดบ้าง 
 ตอบ          ค่าเงินบาทอ่อนลง ก็อาจจะเกิดได้ในกรณีที่ไทยต้องการนำเข้ามาก ๆ เช่น ต้องการนำเข้าน้ำมัน หรือกรณีการนำเข้าวัตถุดิบหรือเครื่องจักรจากต่างประเทศ ดังนั้น ในกรณีนี้ ก็จะต้องมีการนำเงินบาทไปแลกเป็นเงินตราต่างประเทศ เพื่อที่จะได้เอาเงินไปจ่ายต่างประเทศ ความต้องการในเงินตราสกุลต่างประเทศก็จะสูงขึ้น กลไกตลาดก็จะทำให้ค่าของเงินบาทอ่อนลง เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า ค่าเงินบาทสามารถที่จะแข็งขึ้นและอ่อนลงได้ด้วยหลายๆ ปัจจัย แม้กระทั่งหากนักเก็งกำไรมีความรู้สึกว่าค่าเงินบาทน่าจะอ่อนกว่าที่เป็นอยู่ จึงต้องการที่จะถือเงินบาทน้อยลง และหากนักเก็งกำไรทุก ๆ คน คิดและทำเหมือนกันหมด ก็จะมีส่วนทำให้ค่าเงินบาทสามารถอ่อนค่าลงได้เช่นกัน
(ผลต่อการส่งออก เราใช้เงินซื้อมากขึ้นในขณะที่เราได้ของเท่าเดิม และขายของได้เยอะขึ้นเพราะต่างประเทศใช้เงินซื้อน้อยลงจึงมีกำลังซื้อเยอะขึ้น ซื้อของเรามากขึ้น)
     จะทำให้การปล่อยสินเชื่อของธนาคารมีมากขึ้นเพราะถ้าค่าเงินบาทของไทยอ่อนตัว จะทำให้การส่งออกสินค้าของไทยนั้นแพงขึ้น ต้องใช้เงินมากขึ้นและได้ของเท่าเดิมและผู้ผลิตราได้ก็ต้องการเงินทุนในการส่งออกมากขึ้นก็เลยไปกูสินเชื่อจากธนาคารเพื่อเป้นทุนสำรองในการค้าในการส่งออกไปต่างประเทศ
การที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่นั้น  จะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในประเด็นใดบ้าง 
                 คือการที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ ไม่ส่งผลกระทบต่อธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) เพราะนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ เนื่องจากเป็นผู้มีความรู้ความสามารถในแวดวงธุรกิจ เป็นที่ยอมรับของสังคม และยังเคยทำงานที่ ธปท. เป็นเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการทำหน้าที่ควบคุมตลาดทุน และยังเป็นผู้บริหารธนาคารกสิกรไทย ซึ่งถือว่าเป็นผู้มีประสบการณ์ทุกด้านเหมาะที่จะเป็นผู้ว่าการ แบงก์ชาติคนใหม่

               ทั้งนี้ จึงได้ฝากให้ช่วยปกป้องดูแลเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ดูแลให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้อย่างทั่วถึง 

3.  การควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่สำคัญมาก ท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ และ บอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

ขั้นตอนในการอำนวยสินเชื่อ

การให้สินเชื่อเป็นธุรกิจ  ซึ่งจะต้องขายความเสี่ยงเป็นหลัก  เป็นการประกันความเสี่ยงในอนาคต  ไม่มีใครยืนยันได้ว่า สินเชื่อที่ปล่อยไปนั้น  จะได้รับการชำระคืนโดยครบถ้วน  ฉะนั้น การอำนวยสินเชื่ออย่างมีประสิทธิภาพ  จะช่วยให้ภาระหนี้เสียในอนาคต  อยู่ในระดับที่พอยอมรับได้ ซึ่งโดยทั่วไปจะมีพอยอมรับได้  ซึ่งโดยทั่วไปจะมีขั้นตอนใหญ่ ๆ ดังนี้

            1) การกำหนดนโยบายสินเชื่อ(CREDIT POLICY)

            2) การวิเคราะห์สินเชื่อ (CREDIT POLICY)

            3) พิธีการทางด้านสินเชื่อ

            4) การสอบทานสินเชื่อ

            5) การแก้ไขหนี้ที่มีปัญหา

            1) การกำหนดนโยบายสินเชื่อ(CREDIT POLICY)

            เป็นการกำหนดโดยผู้บริหารของสถาบันการเงิน  เพื่อกำหนดเป้าหมายให้แก่ผู้ปฏิบัติเช่นในปีนี้จะขยายตัวทางด้านสินเชื่อวงเงินเท่าไหร่  อัตราตอบแทนเป็นอย่างไร  และจะปล่อยสินเชื่อให้แก่ธุรกิจใดบ้าง  ซึ่งนโยบายสินเชื่ออาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ ตามผลการประกอบการของสถาบันการเงินนั้น ๆ เอง การกำหนดนโยบายสินเชื่อ จะต้องคำนึงถึงปัจจัยหลัก 3 ข้อ คือ

            1. กำไร (PROFIT)

            2. สภาพคล่อง (LIQUIDITY)

            3. ความเสี่ยง (RISK)

        1. การบริการกำไร (PROFIT MANAGEMENT)
           ในการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงินก็เช่นเดียวกับธุรกิจโดยทั่วไป  ที่มีผู้ถือหุ้น  ซึ่งได้นำเงินมาลงทุนโดยหวังผลตอบแทนคือ เงินปันผล  ฉะนั้น  ผู้บริการจำเป็นที่จะต้องตั้งเป้าหมายในการทำกำไร  เป็นหัวใจสำคัญในการบริหารงาน

            รายได้ของสถาบันการเงิน  สถาบันการเงินมีรายได้หลักที่สำคัญ  ดังนี้

1.      ดอกเบี้ย (INTERRST)

2.      ค่าธรรมเนียม (FEE)

3.      รายได้จากการขายหลักทรัพย์

4.      รายได้จากการปริวรรตเงินตรา

5.      รายได้จากการลงทุน

 

2. การบริหารสภาพคล่อง (LIQUIDITY MANAGEMENT)

            ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่ต้องอาศัยความไว้วางใจของผู้ฝากเงิน  ฉะนั้น  เมื่อใดก็ตามที่ผู้ฝากต้องการถอนเงิน  จะต้องได้รับเงินโดยไม่มีเงื่อนไข  ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อนั้น  ไม่สามารถได้รับการชำระเงินคืนจากลูกค้าได้ทันที  สถาบันการเงินจึงต้องบริหารสภาพคล่อง  ให้อยู่ในระดับที่ดีตลอดเวลา  และในขณะเดียวกัน  การดำรงเงินไว้ก็เป็นภาระที่สถาบันการเงิน  จะต้องจ่ายดอกเบี้ยให้ผู้ฝากซึ่งหากไม่สามารถปล่อยสินเชื่อได้  ก็จะทำให้ขาดรายได้ไป  ดังนั้น  จึงต้องคำนึงถึง

            MATCHING SOURCES OF FUND  คือ การจัดหาแหล่งเงินให้ได้สัดส่วนกับสินเชื่อที่จะปล่อย  หาแหล่งเงินสำรองในกรณีฉุกเฉิน  ในกรณีนี้  เป็นการปล่อยสินเชื่อวงเงินจำนวนมาก  มีระยะเวลาการชำระเงินต้นระยะยาว  ซึ่งอาจจะต้องหาแหล่งเงินกู้ระยะยาวมาใช้เพิ่ม  เพื่อให้ได้สัดส่วนกัน  การบริหารเงิน  จึงเป็นความสามารถอันหนึ่งของสถาบันการเงิน  เพราะถ้ามีการจัดการที่ดี  จะทำให้ได้ผลกำไรมาก

            MATURITY DISTRIBUTION เป็นการจัดสินเชื่อตามระยะเวลาการชำระเงินต้นที่เหมาะสม คือ มีทั้งสินเชื่อระยะยาว  ระยะปานกลาง  และระยะสั้น  ทั้งนี้ควรมีสินเชื่อที่สามารถเรียกชำระเงินต้นคืนได้ทุกขณะ (CALL LOAN) ด้วย  เพื่อเป็นการดูดซับสภาพคล่องที่มีมากเกินไป

            3. การบริหารความเสี่ยง (RISK MANAGEMENT)

            ธุรกิจธนาคาร  เป็นธุรกิจที่เกิดขึ้นจากการบริการความเสี่ยงเป็นหัวใจสำคัญ  ฉะนั้นถ้าสามารถลดความเสี่ยงลงได้มากเท่าไร  ก็จะมีสถานะมั่นคงมากเท่านั้น  และควรคำนึงถึงด้วยว่า  ถ้าเสี่ยงมาก  ควรได้รับผลตอบแทนมาก  ถ้าเสี่ยงน้อย  ผลตอบแทนน้อย  ก็ไม่เป็นไร  การบริหารความเสี่ยง  มีประเด็นที่ต้องคำนึงถึง คือ

            GOOD QUANLITY OF ASSET คือ การบริหารสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดี เลือกลงทุนในธุรกิจที่มีผลตอบแทนสูง  สินเชื่อที่ธนาคารปล่อยก็ถือว่าเป็นสินทรัพย์ด้วย  ฉะนั้น  การปล่อยสินเชื่อที่ดี  ก็จะสามารถลดความเสี่ยงได้

            INDUSTRIAL DISTRIBUTION คือ การกระจายสัดส่วนสินเชื่อใน PORTFOLIO ไปตามประเภทของธุรกิจต่าง ๆ  ไม่ควรปล่อยสินเชื่อธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งมากจนเกินไป  หากธุรกิจนั้น ๆ มีปัญหา  ผลกระทบก็จะรุนแรงตามไปด้วย

            2) การวิเคราะห์สินเชื่อ (CREDIT ANALYSIS)

            การวิเคราะห์สินเชื่ออย่างรอบคอบจะช่วยให้ลดจำนวนหนี้ที่มีปัญหาไปได้มาก  ฉะนั้นความรู้ความสามารถของเจ้าหน้าที่สินเชื่อ  เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับองค์กร  ควรมีการพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ  เมื่อเกิดหนี้ที่มีปัญหาขึ้น  ผลการวิเคราะห์มักพบเสมอว่า  หลายกรณีเกิดจากการที่อนุมัติวงเงินสินเชื่อบกพร่อง  ซึ่งพอสรุปได้ ดังนี้

1.      การจัดวงเงินสินเชื่อไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ที่ใช้

2.      การขาดข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้

3.      การวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้คืนผิดพลาด

4.      การกำหนดระยะเวลาชำระคืนไม่เหมาะสม

5.      ขาดเงื่อนไขในการใช้วงเงินสินเชื่อแต่ละประเภท

6.      ขาดการควบคุมการใช้วงเงินสินเชื่อ

7.      ให้วงเงินสินเชื่อมากหรือน้อยเกินไป

8.      DOUBLE FINANCING

3) พิธีการทางด้านสินเชื่อ

            คือขั้นตอนการจัดทำสัญญา  จดจำนอง จำนำ  หลักประกัน  จำเป็นจะต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก  เพราะหากเกิดข้อผิดพลาดขึ้น  อาจทำให้ไม่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้ตามกฎหมาย ควรดูเงื่อนไขและข้อตกลงในการอนุมัติวงเงินสินเชื่ออย่างละเอียดรอบคอบ  และต้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อตกลงนั้น  โดยคำนึงถึงปัญหาทางด้านกฎหมายเป็นหลักในการดำเนินการ  หากมีเงื่อนไขที่อาจจะเป็นปัญหาทางด้านกฎหมาย  ต้องสอบถามทางฝ่ายกฎหมายโดยด่วน  และจะพบว่า หากมีความบกพร่องทางด้านนี้  เมื่อเจรจาหนี้กับลูกค้า  จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และทำให้การแก้ไขหนี้ยากขึ้นมาก

            4) การสอบทานสินเชื่อ (CREDIT REVIEW)

            คือ การติดตามผลการใช้วงเงินสินเชื่อ  ที่ได้รับการอนุมัติจากทางธนาคาร  ควรกระทำการสอบทานอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง  เพื่อที่จะได้ทราบว่า ลูกค้าได



HAPPY BIRTH DAY
ขอให้อาจารย์มีความสุขมากๆนะค่ะ

1. ให้เปรียบเทียบประเด็นพิจารณาในการให้สินเชื่อระหว่าง สินเชื่อพาณิชยกรรม (Modern Trade) และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Development) รายใหญ่ๆในประเทศไทย

ตอบ ประเด็นในการพิจารณาลักษณะธุรกิจของสินเชื่อพาณิชยกรรม คือ ๑.เป็นกิจการซื้อมาขายไป ๒.ไม่มีโรงงานเพื่อทำการผลิต ๓.มีการลงทุนในทรัพย์สินถาวรในสัดส่วนต่ำเมื่อเทียบกับสินทรัพย์หมุนเวียน ๔.มีอัตราส่วนเงินหมุนเวียนเร็วต่ำ ๕.สินค้าคงคลังสำหรับบางกิจการค่อนข้างสูง ๖.โดยส่วนใหญ่มักได้รับเงื่อนไขการชำระหนี้ประมาณ ๖๐ ถึง ๙๐ วัน ซึ่งเมื่อเทียบกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แล้วจะพิจารณาในส่วนของ ๑.ผู้บริหารมีประสบการณ์มากเพียงพอหรือไม่ ๒.ประเภทของโครงการ ๓.ทำเลที่ตั้งโครงการสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย ๔.การวางแผนโครงการมรการเตรียมอย่างเป็นระบบหรือไม่ ๕.แหล่งที่มาของเงินทุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ๖.การประมาณการต้นทุนของโครงการต้องคิดให้รอบคอบ ๗.แผนการตลาดน่าสนใจหรือไม่ ๘.ประมาณการกระแสเงินสดในแง่จำนวนเงินและเวลา ๙.คำนวณจุดคุ้มหนี้และจุดคุ้มทุนโครงการ ซึ่งถ้าเปรียบเทียบระหว่างสินเชื่อพาณิชยกรรมกับพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แล้ว จะพิจารณากันในประเด็นที่ต่างกันมากเลยทีเดียว สินเชื่อพาณิชยกรรมจะพิจารณาเงินทุนหมุนเวียนเป็นส่วนใหญ่ แต่พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะพิจารณาที่ตัวโครงการ

2. การที่เกิดภาวะเงินบาทมีค่าลดลงมาก (เงินบาทอ่อนตัว) มีผลต่อการที่ธนาคารของท่านในการให้สินเชื่ออย่างไรบ้าง และการที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่นั้น จะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในประเด็นใดบ้าง ตอบ การที่ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงนั้น มีผลอย่างมากในการให้สินเชื่อเพราะยิ่งถ้าค่าเงินบาทยิ่งอ่อนตัวดอกเบี้ยที่ได้จาการปล่อยเงินกู้ก็น่าจะได้น้อยลงตามไปด้วย และการที่มีผู้ว่าการธนาคารคนใหม่น่าจะส่งผลให้การบริหารงานในช่วงแรกอาจมีประสิทธิภาพลดลงเนื่องจากพนักงานภายในบริษัทอาจจะยังไม่ไว้ใจ แต่ถ้าผ่านไปในระยะหนึ่งการทำงานจะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นอาจส่งผลทำให้เศรษฐกิจทางการเงินของประเทศดียิ่งขึ้นอีกด้วย

3. การควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่สำคัญมาก ท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ และ บอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

ตอบ แนวทางในการพิจารณาควบคุมสินเชื่อ แบ่งออกเป็น ๓ วิธีคือ ๑.การควบคุมแนวดิ่ง หมายถึง การควบคุมที่อยู่ในลักษณะตามสายการบังคับบัญชาที่ผู้เป็นหัวหน้าต้องดูแลเอาใจใส่ ให้คำแนะนำแก่ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของตน ๒.การควบคุมแนวนอน หมายถึง เป็นการควบคุมในระดับเดียวกันแต่เป็นการควบคุมระหว่างหน่วยงานที่ทำหน้าที่แต่ละด้านให้กับองค์กร ๓.การควบคุมด้วยการตรวจสอบภายในองค์กร หมายถึงเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภายในซึ่งต้องทำอย่างน้อยปีละครั้งโดยใช้ระบบสุ่มตรวจและต้องไม่ให้ฝ่ายสินเชื่อทราบล่วงหน้า เพราะจะทำให้ไม่พบจุดบกพร่อง วิธีการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพ ๑.การเจรจาต่อรอง ซึ่งหมายถึงการเจรจาต่อรองแบบซึ่งหน้ามิใช่ทางโทรศัพท์ ๒.การฟ้องร้องต่อศาล ซึ่งควรจะเป็นวิธีสุดท้ายหลังจากที่ทำวิธีอื่นแล้วไม่ประสบผลสำเร็จ

4. จงอธิบายถึงอัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratio) ที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ พร้อมทั้งอธิบายลงไปในรายละเอียดด้วยว่ามีวิธีการพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้

ตอบ อัตราส่วนทางการเงิน หมายถึง การนำตัวเลขที่อยู่ในงบการเงินมาหาอัตราส่วนเพื่อใช้ในการวิเคราะห์เปรียบเทียบกับกิจการอื่น หรือ เปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานในอดีต ช่วยให้ผู้วิเคราะห์ประเมินผลการดำเนินงาน แนวโน้ม และความเสี่ยงของกิจการได้ดียิ่งขึ้น อัตราส่วนทางการเงินที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ ได้แก่ ๑.อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ = ยอดขายเชื่อสุทธิ/ลูกหนี้เฉลี่ย ๒.ระยะเวลาเก็บหนี้โดยเฉลี่ย = ๓๖๐/อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ ๓.ดัชนีการขาดทุนจากหนี้สูญ = หนี้สูญ/ยอดขายเชื่อสุทธิ จาการคำนวณของ ๓ สูตรดังกล่าว จะหมายความว่า มีการควบคุมสินเชื่ออย่างดีพอหรือยัง ถ้าผลการคำนวณอัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ลดลงจากปีก่อน ๆ หรือระยะเวลาเรียกเก็บหนี้ยาวนานขึ้นกว่านโยบายของกิจการหรือนานกว่าคู่แข่งขัน เพราะทราบจากข้อมูลในวงการค้าก็ต้องเร่งปรับปรุงระบบการควบคุมแล้วติดตามสินเชื่ออย่างเร่งด่วน มิเช่นนั้นแล้วจะเกิดเงินทุนนานเกินไปในลูกหนี้การค้า ยิ่งถ้าดัชนีการขาดทุนจากหนี้สูญมีอัตราสูงมาก ๆ อาจถึงกับต้องเปลี่ยนผู้บริหารสินเชื่อหรือเปลี่ยนนโยบายกิจการเป็นการขายสดทั้งหมด เพื่อลดความเสี่ยงลง

5. ท่านคิดว่างานพิธีการสินเชื่อมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด เมื่อเปรียบเทียบกับงานด้านการตลาดสินเชื่อ และถ้าต้องทำงานทั้ง 2 ด้านในคนเดียวกันในสาขาของธนาคารแห่งหนึ่งนั้น ท่านจะบริหารจัดการเวลาของตนเองและการบริหารความเสี่ยงของธนาคารให้มีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผลได้อย่างไร

ตอบ มีความสำคัญมากทีเดียว เพราะ พิธีการสินเชื่อ คือ ขั้นตอนการดำเนินงานด้านกฎหมาย โดยทั่วไปธนาคารเมื่ออนุมัติสินเชื่อแล้ว พนักงานสินเชื่อจะทำใบนำส่งงานไปยังหน่วยงานพิธีการซึ่งเป็นหน่วยงานสนับสนุนเพื่อดำเนินการทางกฎหมายกับลูกค้ารายนั้น ๆ ซึ่งเมื่อเทียบกับงานทางด้านตลาดสินเชื่อแล้วจะเกี่ยวข้องกับทางด้านกฎหมายน้อยกว่า ซึ่งถ้าต้องทำงาน ๒ ด้าน ในเวลาเดียวกันก็จะต้องบริหารเวลาให้ดีมากเลยทีเดียว เพราะทั้ง ๒ งานก็เป็นงานที่ยากและต้องใช้ความรอบคอบสูง ซึ่งถ้าจะทำงาน ๒ งานให้มีประสิทธิภาพก็ควรจะนำความรู้ที่ได้จาก ๒ งานมาประยุกต์ชีร่วมกัน เพื่อจะได้ง่ายต่อการทำงานมากยิ่งขึ้น

6. เมื่อท่านได้ศึกษาเพาเวอร์พอยท์ เรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคาร ไปนั้น ขอให้ท่านจับประเด็นให้ได้ว่ามีประเด็นใดบ้างที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียมตัวมากู้เงินจากธนาคาร และประเด็นเหล่านั้นธนาคารสามารถตรวจสอบได้อย่างไร

ตอบ ประเด็นที่สำคัญที่ลูกค้าจะเตรียมตัวมาโกงธนาคาร ได้แก่ การใช้หลัก ๖’C นั้นเอง เพราะตัวลูกค้าเองก็ต้องศึกษามาอย่างดีแล้วว่าธนาคารชอบลูกค้าแบบไหนถึงจะยอมปล่อยเงินกู้ให้แก่ลูกค้า ซึ่งหลัก ๖’C นั้นได้แก่ ๑.คุณสมบัติของผู้กู้ (Character) โดยลูกค้าที่จะมาโกงธนาคารนั้นก็จะแต่งตัวดีดูมีฐานะเล็กน้อยเพื่อให้ธนาคารเชื่อว่ามีคุณสมบัติที่ดีพอที่จะปล่อยเงินกู้ให้ ๒.ความสามารถในการชำระหนี้ (Capacity) โดยลูกค้าที่จะมาโกงก็จะใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อให้รอดพ้นจากการตรวจสอบของธนาคาร ๓.เงินทุน (Capital) โดยลูกค้าที่จะมาโกงก็จะใส่เงินทุนให้มีมากกว่าเงินทุนที่ตัวเองมีเพื่อให้ธนาคารเห็นว่ามีเงินทุนมากทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วเงินทุนที่มีนั้นมีเพียงน้อยนิด ๔.หลักประกัน (Colatteral) โดยลูกค้าที่จะมาโกงก็จะมีการเตรียมพื้นที่เพื่อจัดฉากว่าหลักประกันที่นำมาค้ำนั้นเป็นหลักประกันที่มีมูลค่าสูง ซึ่งตามความเป็นจริงมูลค่าของหลักประกันนั้นมีมูลค่าต่ำกว่าที่บอกไว้กับธนาคาร ๕.แนวโน้มทางเศรษฐกิจ (Condition) โดยลูกค้าที่จะมาโกงธนาคารก็จะโกหกว่ารายได้ของกิจการตัวเองนั้นมีมูลค่าที่ดี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วกิจการนี้ก็ไม่ได้รายได้ดีมากนัก ประเด็นเหล่านี้สามารถตรวจสอบได้โดยการตรวจสอบจากข้อมูลต่าง ๆ เช่น ตัวหลักประกันที่นำมาค้ำประกันไว้ ควรจะถามจากคนในพื้นที่ให้เยอะที่สุดหรือถามราคาจากกรมประเมินที่ดินว่ามีราคาเท่าไร หรือควรจะตรวจสอบกิจการนั้นเป็นระยะเช่นเดือนละ ๒-๓ ครั้งเป็นต้น

2. การที่เกิดภาวะเงินบาทมีค่าลดลงมาก (เงินบาทอ่อนตัว) มีผลต่อการที่ธนาคารของท่านในการให้สินเชื่ออย่างไรบ้าง และการที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่นั้น จะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในประเด็นใดบ้าง

ตอบ มีผลทางด้านการให้สินเชื่อเพราว่าเมื่อเงินบาทอ่อนค่าลง ทำให้การปล่อยสินเชื่อยากขึ้นเพราะช่วงนี้เศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศกำลังไม่สู้ดีนักเพราในประเทศกำลังประสบปัญหาน้ำท่วม ทำให้พืชผลทางการเกษตรเสียหาย ไหนจะเรื่องของเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่แย่ลง สภาวะตลาดการเงินโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวผันผวน คงจะมีผลต่อความเชื่อมั่นและการปรับตัวของตลาดเงินและตลาดทุนในประเทศอย่าง ยากที่จะหลีกเลี่ยง ขณะที่คาดการณ์ว่า ทางการไทยคงจะติดตามพัฒนาการเศรษฐกิจทั้งในประเทศ อันได้แก่ ผลจากนโยบายรัฐบาล และภาวะน้ำท่วม รวมถึงปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรป อย่างใกล้ชิด ในขณะที่คงจะพิจารณาน้ำหนักความเสี่ยงเศรษฐกิจ และเงินเฟ้ออย่างรอบคอบ เพื่อเป็นการตัดสินใจในการดำเนินนโยบายที่เหมาะสมต่อไปส่งผลกระทบเพราะทางธนาคารกสิกรไทยอาจต้องชะลอตัวในการปล่อยสินเชื่อให้แกลูกค้า เพื่อป้องกันความเสี่ยง เพราะเงินบาทไทยมีแนวโน้มอ่อนค่าในช่วงที่ปัญหาในยุโรปรุนแรงขึ้น ความเสี่ยงภาคการเงินในยุโรปที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้เงินทุนไหลกลับสินทรัพย์ ปลอดภัยอย่างดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้เงินสกุลอื่นๆ รวมทั้งไทยอ่อนค่าลงเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ ค่าเงินบาทก็เริ่มกลับมาอ่อนค่าแล้วเกือบ 2% นับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกรกฎาคมซึ่งเป็นช่วงที่ข่าวทางลบในยุโรปและความ กังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น สอดคล้องกับเงินยูโรที่อ่อนค่าลงเกือบ 5% ในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ ความเสี่ยงในภาคธนาคารและเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ธนาคารกลางยุโรป พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายซึ่งจะยิ่งทำให้เงินทุนไหลกลับไปยังสหรัฐฯ ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นและเงินบาทอ่อนค่าลง

3. การควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่สำคัญมาก ท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ และ บอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

ตอบ การควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ

1 .การควบคุมในแนวดิ่ง

2. การควบคุมในแนวนอน

3.การควบคุมด้วยการตรวจสอบภายใน

เช่น การควบคุมภายในด้วยการอนุมัติสินเชื่อของบริษัทเงินทุน

การควบคุมภายในด้านการรับชำระดอกเบี้ยสินเดือนจากลูกหนี้ด้วยตั๋วเงินรับของบริษัทเงินทุน

การติดตามหนี้ที่มีคุณภาพ

ยกตัวอย่างเช่น พอเริ่มรู้สัญญาณแล้วว่าลูกค้าเริ่มผิดนัดชำระหนี้ เริ่มไม่ดี กิจการเริ่มแย่ลง ต้องโทไปเตือนก่อนว่าจะถึงกำหนดการจ่ายเงินแล้ว พอรู้สึกว่าลูกค้าไม่เล่นด้วย โทไป ไม่รับ ตัดสายทิ้ง ย้ายบ้านหนีแล้ว เราก็ต้องไปดูหลักประกันที่ลูกค้านำมาค้ำประกันว่านะยังอยู่ดี ไม่มีการทำลายไป เราต้องพยายามติดต่อให้ได้ ถ้าติดต่อได้ อาจจะเรียกลูกค้ามาพบที่ธนาคารถามถึงสภาพปัญหา ว่าคุณจะความสามารถในการชำระหนี้ได้มากน้อยแค่ไหน หรือไม่ ธนาคารอาจจะหาลูกค้าที่แย่เหมือนกันมาคุยกันมาเป็นลูกค้าของคนกู้อีกคนหนึ่ง เพื่อที่กิจการทั้งสองแห่งจะได้มีเงินมาชำหนี้ธนาคาร โดยที่ธนาคารไม่ต้องกลัวว่าลูกค้าจะไม่จ่าย แต่ลูกค้าอาจจะจ่ายน้อยลงจากเดิม แต่เพิ่มระยะเวลามากขึ้น

4. จงอธิบายถึงอัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratio) ที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ พร้อมทั้งอธิบายลงไปในรายละเอียดด้วยว่ามีวิธีการพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้

ตอบ อัตราส่วนทางการเงินที่ต้องใช้ เพื่อพิจารณาสินเชื่อ 1.การวิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity Ratio)

1.1 อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนหรืออัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio)

อัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current Ratio) = สินทรัพย์หมุนเวียน (CA) /หนี้สินหมุนเวียน (CL)

วัด ความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น ถ้าค่าที่คำนวณได้สูงเท่าใด แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนที่ประกอบไปด้วย เงินสด ลูกหนี้ และสินค้าคงเหลือมากกว่าหนี้ระยะสั้น ทำให้คล่องตัวในการชำระหนี้ระยะสั้นมีค่อนข้างมาก โดยปกติ อัตราส่วน 2 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว

1.2 อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio or Acid Test Ratio)

อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio) = (สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงเหลือ) /หนี้สินหมุนเวียน หรือ( Quick Ratio = CA - Inventory )/CL เป็น การวัดส่วนของสินทรัพย์ที่ได้หักค่าสินค้าคงเหลือ ที่เป็นสินทรัพย์ระยะสั้นและมีความคล่องตัวในการเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ต่ำสุด ออก เพื่อให้ทราบถึงสภาพคล่องที่แท้จริงของกิจการได้ โดยปกติอัตราส่วน 1 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว

1.3 อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover)

อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover) A/R Turnover = ขายเชื่อสุทธิ หรือใช้ยอดขายรวม (ครั้ง หรือ รอบ) /ลูกหนี้ถัว เฉลี่ย ลูกหนี้ถัว เฉลี่ย = (ลูกหนี้ต้นงวด + ลูกหนี้ปลายงวด )/ 2 หากค่าที่คำนวณได้ มีค่าสูง แสดงถึงความสามารถในการบริหารลูกหนี้ให้แปลงสภาพเป็นเงินสดได้เร็ว

1.4 ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Average Collection Period)

ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Avg. Collection Period) (วัน) = 365 วัน /อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ ยิ่งต่ำยิ่งดีแสดงให้เห็นถึงระยะเวลาในการเรียกเก็บหนี้ว่าสั้นหรือยาว เพื่อให้ทราบถึงคุณภาพของลูกหนี้ ประสิทธิภาพในการเรียกเก็บหนี้ และนโยบายในการให้สินเชื่อทางธุรกิจ

1.5 อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover)

อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover) = ต้นทุนสินค้าขาย (COGS) /สินค้าคงเหลือเฉลี่ย (Avg. Inventory) คงเหลือเฉลี่ย =( สินค้าต้นงวด + สินค้าปลายงวด )/ 2

หากค่าคำนวณได้สูง ย่อมแสดงถึงความสามารถในการบริหารการขายสินค้าได้เร็ว

1.6 ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า(วัน) = 365 (วัน) /อัตราหมุนเวียนของสินค้า (Inventory Turnover) ยิ่งขายได้เร็ว (ระยะเวลาสั้น) ยิ่งดี

2.ความสามารถในการหากำไร (Profitability Ratio)

1.1 อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)

1.2 อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit Margin)

1.3 อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)

1.4 อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Return On Equity or ROE)

อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)(%) = ขายสุทธิ - ต้นทุนขาย หรือ SALES - COGS / ขายสุทธิ SALES = กำไรขั้นต้น หรือ Gross Profit /ขายสุทธิ SALES

ยิ่งสูงยิ่งดี

อัตรากำไรจากผลการดำเนินงาน(Operating Profit Margin)(%) = กำไรจากการดำเนินงาน(Operating Profit Margin) /ขายสุทธิ (SALES)

ยิ่งสูงยิ่งดี

อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)(%) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /ขายสุทธิ (SALES)

ยิ่งสูงยิ่งดี แสดงให้เห็นประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทในการทำกำไร หลังจากหักต้นทุนค่าใช้จ่ายรวมทั้งภาษีเงินได้หมดแล้ว

ผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE %) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) ยิ่ง สูงยิ่งดี แสดงให้เห็นว่าเงินลงทุนในส่วนของเจ้าของ จะได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาจากการดำเนินการของกิจการนั้นในอัตราส่วนเท่าไร หากมีค่าสูง แสดงถึงประสิทธิภาพในการหากำไรสูงด้วย

DupontEquation

ROE (%) = NP (or EAT) = (EAT/SALES) (SALES/ASSETS) (ASSETS/EQUITY) /Equity

หรือ ROE (%) =รายได้จากการขาย สินทรัพย์ทั้งหมด= กำไรสุทธิ X รายได้จากการขาย X สินทรัพย์ทั้งหมด / ส่วนของผู้ถือหุ้น = (ความสามารถในการหากำไร) (การใช้เงินทุน) (ความสามารถในการหาทุน) หรือ สมการนี้เท่ากับ ROE (%) = (Net Profit Margin) (Total Asset Turnover) (Financial Leverage)

3. อัตราส่วนแสดงประสิทธิภาพในการทำงาน (Efficiency Ratio)

อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม (ROA)(%) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /สินทรัพย์รวม (Total Assets) ยิ่ง สูงยิ่งดี เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรของสินทรัพย์ทั้งหมดที่ธุรกิจใช้ในการ ดำเนินงาน ว่าให้ผลตอบแทนจากการดำเนินงานได้มากน้อยเพียงใด หากมีค่าสูง แสดงถึงการใช้สินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ

อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ถาวร (ROFA) = กำไรสุทธิ (Net Profit or NP) /รวมสินทรัพย์ถาวร (Fix Assets) อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Turnover) อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Turnover)(ครั้ง) = ขายสุทธิ (SALES) /สินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset) ยิ่งสูงยิ่งดี

อัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total Assets Turnover) อัตราส่วนการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total Assets Turnover) (ครั้งหรือเท่า) = ขายสุทธิ (SALES) /สินทรัพย์รวม (Total Assets) จำนวน ครั้งสูง ดี เป็นอัตราส่วนที่แสดงถึงประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ทั้งหมด (TA) เมื่อเทียบกับยอดขาย (SALES) ถ้าอัตราส่วนนี้ต่ำ แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์มากเกินความต้องการ

4. อัตราส่วนวิเคราะห์นโยบายทางการเงิน (Leverage Ratio or Financial Ratio)

เพื่อให้ทราบถึงแหล่งที่มาของเงินทุนว่ามาจากหนี้สินหรือส่วนของเจ้าของ ว่ามีมากน้อยเพียงใด

อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt/Equity Ratio) (เท่า) = หนี้สินรวม (Total Debt) /ส่วนของเจ้าของ (Equity) ยิ่งต่ำ ยิ่งดี แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงในด้านเจ้าหนี้และเจ้าของกิจการ ถ้าอัตราส่วนสูง

แสดงว่า กิจการมีความเสี่ยงจากการกู้ยืมเงินมาใช้ในการดำเนินกิจการ ความ สามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest Coverage) (เท่า) = {กำไรสุทธิ (NP) + ภาษีเงินได้ (Tax) - ดอกเบี้ยจ่าย(Interest)} /ดอกเบี้ยจ่าย (Interest) เป็นการวัดความสามารถของธุรกิจในการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ ผลคำนวณออกมามีค่าสูง แสดงว่าธุรกิจมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยสูง อัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout) = เงินปันผลต่อหุ้น (Dividend /share) /กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) แสดงถึงนโยบายการจ่ายเงินปันผลของธุรกิจ อัตราส่วนที่กล่าวมาเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์หลักทรัพย์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน เพื่อท่านจะได้พิจารณางบการเงินได้ในระดับหนึ่ง

สัญญาณเตือนภัยจากการวิเคราะห์งบการเงิน

1.ขาดทุนมากๆ และติดต่อกันหลายปี

2.ระยะเวลาการเก็บหนี้นานขึ้น

3.อัตราหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของสูงขึ้นเร็วมาก

4.สินค้าคงคลังสูงมากผิดปกติ

5.ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น

6.ยอดขายสูงขึ้น แต่กำไรลดลง

7.หนี้สูญเพิ่มขึ้น

8.รายงานผู้สอบบัญชีผิดปกติ เปลี่ยนผู้สอบบัญชีใหม่

9.ขายสินทรัพย์ของบริษัท เพื่อสร้างกำไรให้เข้าเป้าในระยะสั้น

5. ท่านคิดว่างานพิธีการสินเชื่อมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด เมื่อเปรียบเทียบกับงานด้านการตลาดสินเชื่อ และถ้าต้องทำงานทั้ง 2 ด้านในคนเดียวกันในสาขาของธนาคารแห่งหนึ่งนั้น ท่านจะบริหารจัดการเวลาของตนเองและการบริหารความเสี่ยงของธนาคารให้มี ประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผลได้อย่างไร

ตอบ งานพิธีการสินเชื่อมีความสำคัญไม่ต่างไปจากพนักงานสินเชื่อเพราะ พิธีการสินเชื่อนั้นต้องตรวจสอบหลักประกัน รวบรวมข้อมูลสถานะทางกฎหมายของลูกค้า ทำนิติกรรมสำหรับผู้ให้กู้แก่ลูกค้า จัดเก็บนิติกรรมและหลักประกัน ถ้าเกิดต้องทำงานทั้ง 2 ด้านพร้อมกัน ตัวเองจะต้องบริหารการจัดการเวลาอย่างรอบคอบ และกำหนดมาเลยว่า การขอสินเชื่อ 1 สินเชื่อ ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบกี่วัน และดูหลักประกันหลักฐานที่ใช้ในการขอสินเชื่อว่ามีความถูกต้อง หรือไม่ หลักประกันที่นำมาคุ้มค่ากับการให้สินเชื่อ เพื่อลดความเสี่ยงของทางธนาคาร เพราะหลักประกันที่นำมาจะต้องกู้เงินได้ 70% ของมูลค่าหลักประกันที่ใช้ และมีสภาพคล่อง คือเมื่อโดนยึด จะสามารถขายทอดตลาดได้รวดเร็ว เพราะถ้าทางธนาคารไม่วิเคราะห์อย่างรอบคอบจะทำให้ทางธนาคารนั้นอาจจะได้ลูกหนี้ที่ไม่ดีได้จึงควรตรวจสอบอย่างละเอียด ถี่ถ้วน ไม่ควรจะตรวจแค่หลักฐานที่ลูกค้านำมาแสดง โดยอาจจะไปแอบดูที่กิจการของลูกค้า และย่านของกิจการว่าที่ดิน หรือ หลักประกัน ในย่านนั้นมีสภาพเป็นอย่างไร เพราะเพื่อความแน่ใจ มั่นใจว่าลูกค้าไม่ได้มาหลอกธนาคาร

6. เมื่อท่านได้ศึกษาเพาเวอร์พอยท์ เรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคาร ไปนั้น ขอให้ท่านจับประเด็นให้ได้ว่ามีประเด็นใดบ้างที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียม ตัวมากู้เงินจากธนาคาร และประเด็นเหล่านั้นธนาคารสามารถตรวจสอบได้อย่างไร

ตอบ ประเด็นที่ลูกค้ามักจะทำการเตรียมตัวมาล่วงหน้าคือ การศึกษาข้อมูล ในการที่จะทำธุรกิจเพราะถ้าไม่มีความรู้ก็ไม่สามารถ รู้เลยว่าการที่ทำธุรกิจหนึ่งธุรกิจจะต้องดำเนินการมีขั้นตอนอย่างไร ต้องเสียภาษีแบบไหน และถ้าจะกู้เงินจากธนาคารจะต้องมีวิธีการ หรือเงื่อนไขในการขอสินเชื่ออย่างไรบ้าง แต่ที่ได้ศึกษาดูจากเพาเวอร์พอยท์นั้น ประเด็นที่ลูกค้า มักจะใช้ในการกู้เงินจากธนาคารคือ ได้สร้างรายได้ และ ค่าใช้จ่ายปลอมขึ้นมา โดยว่าจ้าง นาย ก. นาง ข. มา ทำให้เป็นเหมือนว่าเราได้จ่ายเงินออกไปจริง และมีคนมารับจริง ทำให้กิจการสามารถหักลดหย่อนภาษีสรรพสามิตได้ และมีเงินเหลือพอ ที่จะสามารถใช้หนี้ธนาคารได้ การตกแต่งบัญชีเพื่อให้ดูสวยงาม ว่ามีกำไรจากการทำกิจการพอควรที่สามารถใช้หนี้ธนาคารได้ แต่ส่วนใหญ่ที่มักพบคือการทำบัญชีงบดุล งบกำไรขาดทุนเพื่อดูผลประกอบการ ของกิจการเมื่อทำงบดุลงบกำไรขาดทุน

นางสาวฐาริกา พงษ์จันทร์ 53127312023 บริหารธุรกิจการเงินการธนาคาร

3. ตอบ การควบคุมสินเชื่อของสถาบันการเงินหรือธนาคารโดยฝ่ายสินเชื่อ

1. ธนาคารจะทบทวนผลการติดต่อกับลูกค้าทุกรายอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อทราบว่ามีการเดินบัญชีสม่ำเสมอหรือไม่ ชำระเงินต้นดอกเบี้ย ตรงตามเงื่อนไขหรือไม่

2. ทบทวนผลการประกอบการลูกค้าจากการวิเคราะห์งบการเงิน ซึ่งเป็นการวิเคราะห์เชิงประมาณด้านอื่นๆ เช่น การบริการงาน การพัฒนาผลิตภัณฑ์

3. ทบทวนหรือสำรวจหลักประกันว่ามีสภาพไม่ด้อยไปจากเดิม

4. เยี่ยมชมกิจการของลูกค้า โดยปกติพนักงานสินเชื่อจะมีโอกาสในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่จะนำของขวัญไปอวยพรให้กับลูกค้า

กรณีตัวอย่างที่ 1 การควบคุมภายในด้านการอนุมัติสินเชื่อของบริษัทเงินทุนประเด็นสำคัญในการพิจารณา

1. จะต้องรู้กฎระเบียบของบริษัททุกอย่าง

2. การพิจารณาวงเงินการอนุมัติแต่ละรายจะต้องเป็นไปตามกฎ ระเบียบ พิธีการ ปฎิบัติของบริษัทที่กำหนดทุกกรณี

3. การพิจารณาอนุมัติวงเงินสินเชื่อแต่ละรายจะต้องผ่านการลงนามอนุมัติจากผู้ที่มีอำนาจตามที่ได้แต่งตั้งเป็นลายลักษณะอักษร ทุกครั้ง

4. ผู้มีอำนาจอนุมัติวงเงินสินเชื่อที่ได้รับการแต่งตั้งจะต้องไม่เป็นบุคคลซึ่งมีส่วนได้เสียกับลูกค้าผู้ขอวงเงินสินเชื่อ

5. บริษัทจะต้องจัดให้มีบัตรตัวอย่างลายมือชื่อของลูกค้าและจัดเก็บในที่ปลอดภัยภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ที่บริษัทกำหนดไว้

6. การให้กู้ยืม การรับซื้อ ซื้อลด และรับช่วงซื้อลด

7. จัดแฟ้มลูกหนี้รายตัวซึ่งควรมีรายละเอียดดังนี้ สำเนาภาพถ่ายหลักฐานแสดงตัวเป็นนายทะเบียนบ้านของลูกหนี้และผู้ค้ำประกัน

กรณีตัวอย่างที่ 2 การควบคุมและการตรวจสอบสต๊อกสินค้าเกษตรของธนาคาร คุณสมบัติของลูกค้า

1. ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการค้าและการผลิตสินค้าเกษตรเป็นอาชีพหลักและมีประสบการณ์เกี่ยวกับสินค้าที่จะนำมาจำนำเป็นอย่างดี

2. มีวงเงินสินเชื่อประเภทอื่นอยู่กับธนาคารอยู่ก่อนแล้ว

3. มีฉาง โกดัง หรือโรงเก็บสินค้า ที่ธนาคารพิจารณาแล้วว่าจัดเก็บสินค้าที่จะจำนำเป็นประกับกับธนาคารได้

4. ลูกค้าประวัติการติดต่อที่ดีกับธนาคาร มีความซื่อสัตย์ เชื่อถือได้ และมีเครดิตในวงการธุรกิจอยู่ในเกณฑ์ดี

4. ตอบ อัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratio) หลักการพิจาณาสินเชื่อ ต้องอาศัยศิลปะ ความมีประสบการณ์สูงความชำนาญเฉพาะด้านในด้านสินเชื่ออุตสาหกรรมประเภทนั้นๆหรือประเภทสินเชื่อ เช่น ด้านอุตสาหกรรม ด้านการส่งออก ด้านการนำเข้า ด้านก่อสร้างขนส่ง ด้านสินเชื่อการค้าทั่วไปรวมถึง สินเชื่อรายย่อย ในประเภทสินเชื่อดังกล่าวยังแบ่งเป็นสินเชื่อรายใหญ่ และสินเชื่อรายย่อย เพื่อความสะดวกในการควบคุมสินเชื่อของธนาคาร หลักการพิจารณาสินเชื่อ คือ 6 C of credit หลักของ 6C

1. Character หรือ คุณสมบัติของผู้กู้

2. Capacity หรือ ความสามารถในการชำระหนี้

3. Capital หรือ เงินทุน

4. Collateral หรือ หลักประกัน

5. Condition หรือ สภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่และแนวโน้ม

6. Country ประเทศ หรือ จะพิจารณาแบบ 3 P ดังนี้ หลักของ 3P

1. Purpose หรือ วัตถุประสงค์

2. Payment หรือ ความสามารถในการชำระหนี้

3. Protection หรือ การป้องกันความเสี่ยง

6. ตอบ การจับกลโกงลุกค้ากู้ธนาคารนั้น เมื่อลูกค้าได้ทำการขอกู้จากธนาคารแล้วลูกค้าจะมีการเตรียมการและข้อมูลที่จะมาหลอกแก่ธนาคาร อย่างเช่นการกู้สินเชื่อเพื่อจะไปทำธุรกิจโดยที่จะกู้เพื่อจะไปซื้อที่ดิน โดยจะมีการเตรียมข้อมูลเกี่ยวการเงินที่ไม่เป็นจริงเช่นการการขายที่ดินที่ซื้อมาจากราคาที่ต่ำกว่าที่เสนอขอกู้จากธนาคาร และการจ้างบุคคลอื่นที่เป็นผู้ขายที่ดินให้กับลูกค้าที่มีการซื้อขายด้วยนั้นโดยอาจเกิดจากผู้ที่ขายที่ดินให้กับผู้ซื้ออาจมีความจำเป็นในการที่จะขายที่ดินโดยที่ขายในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาด เมื่อมีการซื้อแล้วก็มีการจ้างให้ผู้ขายที่ดินช่วยให้ข้อมูลที่เป็นเท็จโดยการลงข้อมูลในการซื้อขายที่ดินที่เป็นจำนวนเงินตามท้องตลาดโดยที่จะมีค่าจ้างให้ ดังนั้นข้อมูลดักล่าวจะเป็นการเตรียมมาเพื่อจะหลอกธนาคารเพื่อจะเป็นการปล่อยสินเชื่อให้นั้น ข้อมูล ซื้อที่ดิน 15 ล้าน บาท กู้ 8 ล้านบาท ก่อสร้าง 35 ล้านบาท กู้ 28 ล้านบาท 80% เครื่องจักร 34 ล้านบาท 24 ล้านบาท 70%

5. ตอบ หากมีการเปรียบเทียบกับงานด้านการตลาดสินเชื่อโดยจะต้องทำงานทั้งสองอย่างในคนเดียวกันจะต้องบริหารเวลาด้วยการทำงานด้านตลาดสินเชื่อก่อนเพราะด้านตลาดสินเชื่อจะต้องทำก่อนที่จะมาทำพิธีการสินเชื่อโดยที่จะต้องระมัดระวังในการทำอย่างมากเช่นกันเพราะงานทั้ง 2 ด้านมีความสำคัญมากในการทำงานในธนาคารโดยที่การทำงานด้านตลาดสินนั้นต้องมีการพิจารณาลูกที่จะมาทำการขอกู้กับธนาคารให้ดี ต่อมาก็จะเป็นการทำงานฝ่ายพิธีการทางด้านสินเชื่อนั้นจะเป็นขั้นตอนการจัดทำสัญญา จดจำนอง จำนำ หลักประกัน จำเป็นจะต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก เพราะหากเกิดข้อผิดพลาดขึ้น อาจทำให้ไม่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้ตามกฎหมาย ควรดูเงื่อนไขและข้อตกลงในการอนุมัติวงเงินสินเชื่ออย่างละเอียดรอบคอบ และต้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อตกลงนั้น โดยคำนึงถึงปัญหาทางด้านกฎหมายเป็นหลักในการดำเนินการ หากมีเงื่อนไขที่อาจจะเป็นปัญหาทางด้านกฎหมาย ต้องสอบถามทางฝ่ายกฎหมายโดยด่วน และจะพบว่า หากมีความบกพร่องทางด้านนี้ เมื่อเจรจาหนี้กับลูกค้า เพื่อที่จะลดความเสี่ยงลงได้

1. ตอบ โดยที่จะมีการพิจารณาจากทุกครั้งในการขอสินเชื่อ สถาบันการเงิน จะให้ผู้ขอสินเชื่อ และข้อมูลจากเครดิตบูโร เพื่อเป็นเอกสารอ้างอิงประกอบการตัดสินใจว่า ผู้ขอสินเชื่อ จะเป็นลูกค้า ที่เมื่อรับเงินกู้ไปแล้ว จะมีความสามารถในการจ่ายคืนได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งสถาบันการเงินเกือบทุกรายมักจะใช้หลัก 6 Cs ในการประเมินเครดิตของผู้ขอสินเชื่อ ซึ่ง 6 Cs ที่ว่านี้ประกอบด้วย ดังนั้นหากมีการเปรียบเทียบระหว่างสินเชื่อพาณิชยกรรม กับ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หากจะพิจารณาเปรียบกันแล้วก็อาจพิจารณาลูกค้าทั้งสองรายเป็นลูกค้าระดับใหญ่ของธนาคารโดยที่จะต้องพิจารณาแบบที่คล้ายกันเพราะว่าทั้งสองบริษัทนี้เป็นบริษัทรายใหญ่ของไทย แต่อาจจะมีการพิจารณาว่าการทำทำธุรกิจของบริษัทนั้นมีผลกระทบต่อะบบเศรษฐกิจในช่วงนั้นหรือเปล่า

4.         การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน เป็นการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างรายการต่าง ๆ ในงบการเงิน ซึ่งมีรายละเอียดและรูปแบบของอัตราส่วนทางการเงินที่หลากหลาย โดยทั่วไปแบ่งเป็น 4 กลุ่ม โดยในที่นี้จะยกตัวอย่างกลุ่มละ 1 อัตราส่วน ดังนี้

                3.1 อัตราส่วนสภาพคล่องภายในกิจการ เช่น สัดส่วนสินทรัพย์หมุนเวียนต่อหนี้สินหมุนเวียน ใช้สำหรับวิเคราะห์ถึงภาระผู้พันจากหนี้สินระยะสั้นที่ต้องชำระว่าถูกครอบคลุมด้วยสินทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่าย มากน้อยเพียงใด

                3.2 อัตราส่วนวัดผลการดำเนินงาน เช่น อัตราส่วนกำไรต่อสินทรัพย์รวม สำหรับวิเคราะห์ถึงความสามารถในการทำกำไรว่าสินทรัพย์ที่มีอยู่นั้นสามารถก่อให้เกิดอัตราผลตอบแทนได้มากน้อยเพียงใด

               3.3 อัตราส่วนการบริหารหนี้สิน เช่น อัตราส่วนกำไร (ก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี) ต่อภาระดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อวิเคราะห์ความสามารถในการชำระรายจ่ายผูกพันจากหนี้สิน

               3.4 อัตราส่วนต่อหุ้น เช่น อัตราส่วนราคาตลาดของหุ้นสามัญต่อราคาหุ้นตามบัญชี เพื่อสะท้อนถึงมูลค่าของหุ้นสามัญในสายตาของนักลงทุน ซึ่งเกิดจากการคาดการณ์เกี่ยวกับฐานะการดำเนินงานของกิจการในอนาคตว่าน่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งยังมีความสอดคล้องกับการวิเคราะห์ทางการเงินอีกด้วยเช่น

อัตราส่วนทุนหมุนเวียน(current ratio) = สินทรัพย์หมุนเวียนรวม/หนี้สินหมุนเวียนรวม  เป็นอัตราส่วนที่จะใช้พิจารณาในการให้สินเชื่อของกิจการนั้นๆว่าเมื่อให้สินเชื่อไปแล้ว ลูกค้าหรือกิจการมีความสามารถในการชำระคืนมากน้อยเพียงใด โดยตรวจสอบจากอัตราส่วนทางการเงินของสินทรัพย์เมื่อเปรียบเทียบกับหนี้สิน คือตรวจสอบว่าลูกค้า หรือกิจการมีสินทรัพย์หมุนเวียน อันได้แก่ เงินสด หรือเงินฝาก รวมถึงลูกหนี้การค้ามากน้อยเพียงใดเมื่อเทียบกับหนี้สินที่ลูกค้าหรือกิจการรับภาระอยู่ หากตรวจสอบแล้วพบว่าสินทรัพย์ของกิจการมีมากกว่าหนี้สินที่กิจการมีอยู่ก็ไว้ใจได้ในระดับหนึ่งในการปล่อยกู้ก่อนที่จะทำการพิจารณาในขั้นต่อๆไปเพื่อทำการอนุมัติเงินกู้ให้แก่กิจการหรือลูกค้ารายนั้นๆ

            อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว(quick ratio) =สินทรัพย์หมุนเวียนรวม-สินค้าคงเหลือ/ หนี้สินหมุนเวียนรวม       อัตราส่วนที่ใช้พิจารณาที่คล้ายคลึงกันกับอัตราส่วนทุนหมุนเวียนแต่อัตราส่วนนี้ก่อนให้สินเชื่อลูกค้าจะพิจารณาในส่วนของสินค้าคงเหลือเข้าไปด้วย ซึ่งสินค้าคงเหลือจะเป็นตัวบอกได้ว่ากิจการนั้นมีสภาพคล่องในการผลิตและจำหน่ายสินค้าในปริมาณมากน้อยเพียงใด ซึ่งการที่มีสินค้าคงเหลืออยู่ในกิจการจำนวนมากอาจเป็นไปได้ว่ากิจการนั้นสภาพคล่องในการจำหน่ายเป็นไปได้น้อย สินค้าคงเหลือจึงเป็นอีกตัวหนึ่งที่จะนำมาใช้ในการพิจารณาในสินเชื่อของกิจการนั้นๆ

            ร้อยละเมื่อเทียบกับปีฐาน(moving bases) =จำนวนเงินในปีปัจจุบัน/จำนวนเงินในปีฐาน×100    เป็นอัตราส่วนที่เปรียบเทียบยอดเงินที่กิจการได้รับโดยเทียบปีปัจจุบันกับปีท่านมาว่ากิจการมีเงินเพิ่มขึ้นมากหรือน้อยเพียงใด ซึ่งถ้าหากกิจการมีจำนวนเงินในปีปัจจุบันมากกว่าปีที่แล้วนั่นหมายถึงว่ากิจการมีกำไรจากการดำเนินงาน กิจการก้าวหน้ากว่าปีที่ผ่านมาและสามารถมองต่อไปถึงปีหน้า และนำมาพิจารณาในการให้สินเชื่อได้ง่ายขึ้นด้วย

            อัตรากำไรขั้นต้น  = กำไรขั้นต้น/กำไรขั้นต้น ×100  บอกได้ว่ากิจการมีกำไรจากการดำเนินงานเท่าไร และยอดขายเป็นเท่าไหร่อาจนำไปเปรียบเทียบกับอัตรากำไรขั้นต้นของปีที่แล้วที่จัดทำไว้ หากกำไรขั้นต้นมีอัตราสูงกว่าปีที่แล้ว และยอดขายก็เพิ่มขึ้น ก็สามารถที่จะนำไปเป็นประเด็นในการพิจารณาให้สินเชื่อได้ด้วยเช่นกัน

6.         ลูกค้าที่จะทำการกู้เงินกับธนาคารหากจะทำกลโกงในการหลอกลวงธนาคารจะทำงานเป็นกระบวนการและกระทำอย่างต่อเนื่องโดยเริ่มจากการสร้างบัญชีปลอม ว่ามีการใช้จ่ายโดยจะจ้างบุคคลธรรมดาให้กล่าวอ้างว่าเป็นพนักงานและ บริษัทมีการจ่ายเงินเดือนให้แก่พนักงาน รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆที่หลีกเลี่ยงภาษีหรือจ่ายภาษีในอัตราที่น้อยๆ โดยอาจจะจ่ายจริงแค่เล็กๆน้อยและทำการเสียภาษีเล็กๆน้อยๆเพื่อนำหลักฐานการเสียภาษีไปยื่นขอเงินกู้ ในความเป็นจริงลูกค้ามีเงินอยู่น้อยละเมื่อได้ตั้งกลโกงว่าตนเองเปิดบริษัท แล้วมีกำไร จากนั้นมีบริษัทที่รวมขบวนการเซ็นสัญญาว่าให้เป็นที่ปรึกษาบริษัทเนื่องจากบริษัทขาดทุน ลูกค้าก็จะบอกว่าตนมีเงินได้จากการเป็นที่ปรึกษามีรายได้มากก็เอาเงินส่วนนี้ไปเป็นทุนของบริษัทในการดำเนินกิจการและทำการตั้งบริษัทขึ้นมาจากนั้นก็จ่ายค่าจ้างพนักงานปลอม ค่าโฆษณา ค่าใช้จ่ายต่างๆอีกไปเรื่อยๆ และบอกว่ากิจการมีกำไรจากการดำเนินงานทั้งที่จริงอาจจะไม่มีหรือมีน้อย ก็หลอกธนาคารโดยลงรายละเอียดค่าใช้จ่ายให้เยอะ รวมถึงการบริจาคซึ่งจะนำไปหักลดหย่อนภาษีและแสดงต่อธนาคารว่าตนมีรายได้มาก เมื่อทำบัญชีจนมีรายได้ถึง 10,000,000 ก็สามารถกู้ได้ถึง 100%แต่ลูกค้าอาจจะขอกู้แค่70%และอ้างว่า 30%จะออกเอง หากธนาคารไว้วางใจให้กู้เต็มอัตราก็จะได้เงินไปแบบเต็มๆ ซึ่งในส่วนนี้ธนาคารต้องพิจารณาอย่างละเอียดถ้าเป็นไปได้ควรที่จะลงตรวจสอบในสถานที่ที่กล่าวอ้างว่าเป็นที่ดำเนินกิจการจริงๆเพื่อความแน่ใจเพราะหากปล่อยกู้ไปแล้วโดนโกงขึ้นมาจะเกิดความเสียหายและจำนวนเงินที่ลูกค้าของกู้ก็เยอะพอสมควร

3.         การควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยง เพราะฉะนั้นหลักเกณฑ์ที่สำคัญจึงควรทำกรประเมินความเสี่ยง

            การประเมินความเสี่ยง

ในปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ได้แข่งขันกันระดมเงินฝาก โดยมีข้อเสนอรูปแบบต่างๆ ทั้งการให้ผลตอบแทนที่สูง ระยะเวลาในการฝาก และมีการให้ดอกเบี้ยตั้งแต่วันแรกที่มีการฝากเงิน ดังนั้นผู้ฝากเงินอย่างพวกเราควรพิจารณาทั้งผลตอบแทนและความเสี่ยงควบคู่กันไป และเริ่มตระหนักถึงความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์ที่เราไปฝากเงินให้มากขึ้น ในวันนี้ ขอเล่าถึงการประเมินความเสี่ยงและฐานะของธนาคารพาณิชย์ในเบื้องต้น ว่า มีความมั่นคงและน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด

การประเมินความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์เบื้องต้น เราสามารถดูได้จากงบดุลโดยย่อของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งปกติต้องติดประกาศไว้ในสำนักงานสาขาต่างๆ หรือเว็บไซด์ของธนาคารพาณิชย์ควรเริ่มพิจารณาองค์ประกอบของสินทรัพย์ในแต่ละรายการซึ่งแต่ละตัวมีความเสี่ยงไม่เท่ากัน เช่น เงินลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ปล่อยสินเชื่อให้แก่ภาคธุรกิจ หรือสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น

สินทรัพย์ที่มีสัดส่วนมากที่สุดของธนาคารพาณิชย์ ได้แก่ เงินให้สินเชื่อหรือเงินที่ปล่อยให้กู้ ซึ่งมีความเสี่ยงที่อาจจะไม่ได้รับเงินคืน เราสามารถประเมินความเสี่ยงเบื้องต้นของสินเชื่อเหล่านี้โดยดูจาก“ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ” หรือ “เงินสำรองสำหรับลูกหนี้ ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งหมด เงินสำรองนี้ตั้งไว้ สำหรับกรณีที่ลูกหนี้ไม่สามารถจ่ายหนหนี้คืนได้ ธนาคารพาณิชยก็จะมีเงินสำรองไวร้องรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ถ้ายิ่งมีสัดส่วนเงินสำรองฯต่อสินเชื่อสูง เมื่อเกิดความเสียหายจากการปล่อยสินเชื่อธนาคารพาณิชย์นั้นก็จะได้รับผลกระทบน้อยกว่าธนาคารพาณิชย์ที่มีสัดส่วนเงินสำรองฯต่ำ โดย แบงก์ชาติมีเกณฑ์กำกับดูแลให้ธนาคารกันเงินสำรองไม่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น และเงินสำรองส่วนนี้จะถูกหักจากผลกำไรของธนาคารพาณิชย์

นอกจากนี้เราอาจดูได้จาก อัตราส่วนทุนต่อสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ หมายถึง ทรัพย์สินที่มีอยู่มาจากเป็นเงินของธนาคารพาณิชย์หรือผู้ถือหุ้นเท่าไหร่ ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าอัตราส่วนทุนต่อสินทรัพย์ เท่ากับร้อยละ 9 หมายความว่า ทรัพย์สิน 100 บาท เป็นส่วนที่เป็นเงินของธนาคารพาณิชย์หรือผู้ถือหุ้นเพียง 9 บาท ซึ่งคล้ายกับเกณฑ์สากลทั่วไป ที่เรียกอัตราส่วนนี้ว่า “BIS Ratio” ต่างกันตรงที่มูลค่า สินทรัพย์แต่ละประเภทจะคิดมูลค่าตามน้ำหนักความเสี่ยงของสินทรัพย์นั้นๆ เช่น ธนาคารพาณิชย์ ก และธนาคารพาณิชย์ ข มีอัตราส่วนทุนต่อสินทรัพย์เท่ากับร้อยละ 9 เท่ากัน แต่ธนาคารพาณิชย์ ก เน้น ปล่อยสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่และลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ ข เน้นปล่อยสินเชื่อรายย่อยและลงทุนในหุ้นกู้เอกชน ดังนั้นธนาคารพาณิชย์ ก จะมี BIS ratio สูงกว่าธนาคารพาณิชย์ ข เป็นต้น แบงก์ชาติได้กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ต้องมีทุนหรือส่วนของผู้ถือหุ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 8.50 ถ้ามีส่วนทุนยิ่งสูง ก็สามารถรองรับความเสี่ยงที่สินทรัพย์จะเสียหายได้มาก

นอกจากนี้ การติดตามข่าวการเปิดเผยข้อมูลฐานะผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ เช่น ผลกำไร การขยายตัวของสินเชื่อ เป็นต้น รวมทั้งข้อมูลอื่นที่สำคัญ ได้แก่ แผนกลยุทธ์และเป้าหมายตั้งไว้ ซึ่งบอกถึงผลการดำเนินงานในอนาคต เช่น ประกาศจะขยายสินเชื่อในช่วงที่เศรษฐกิจขาลง แสดงว่าสินเชื่อที่ปล่อยอาจมีความเสี่ยงมากขึ้น หรือมีการขยายสินเชื่อในภาคธุรกิจที่มีความเสี่ยง เหล่านี้เป็นข้อมูลประกอบที่ลูกค้าอย่างเราควรมีการเช็คตรวจสอบและไตร่ตรองก่อนที่จะตัดสินใจทำธุรกรรมทางการเงินกับธนาคารพาณิชย์ นอกจากการวิเคราะห์ความเสี่ยงเบื้องต้นด้วยตนเองแล้ว สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือก็เป็นอีกแหล่งที่ช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์ได้ ซึ่งบทบาทของสถาบันจัดอันดับฯ และผลที่ได้จากการจัดอันดับ เปรียบเทียบง่ายๆ คือ ถ้าธนาคารพาณิชย์ต่างๆ เป็นนักเรียน สถาบันจัดอันดับความเสี่ยงก็เหมือนครูที่คอยวัดผลการเรียน (ในที่นี้คือ ผลการดำเนินธุรกิจ) ของนักเรียน โดยธนาคารพาณิชย์จะได้รับเกรดต่างๆ ได้แก่ เกรด AAA จะดีที่สุด มีความเสี่ยงต่ำที่สุดและรองลงมาเป็น AA, A, B ไล่เรียงลงมาและเกรดที่มีความเสี่ยงสูงก็จะเป็น C และ D ตามลำดับ

ในปัจจุบันธนาคารพาณิชย์หลายแห่งเริ่มมีการออกผลิตภัณฑ์เงินฝากหรือตั๋วแลกเงินในรูปแบบต่างๆ เพื่อจูงใจผู้ฝาก เช่น มีของแถมหรือจ่ายดอกเบี้ยแบบขั้นบันได เป็นต้น ผู้ฝากเงินควรศึกษาข้อมูลและเงื่อนไขของผลิตภัณฑ์ให้ถี่ถ้วน เช่น เงื่อนไขในการรับของ หรือผลตอบแทนดอกเบี้ยที่แท้จริง เป็นต้น เพื่อผู้ฝากสามารถเปรียบเทียบผลตอบแทนระหว่างผลิตภัณฑ์หรือธนาคารในการเลือกฝากเงินได้ ซึ่งผู้ฝากจะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างผลตอบแทนที่จะได้รับกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นก่อนตัดสินใจ โดยแบงก์ชาติได้ขอให้ธนาคารพาณิชย์เปิดเผยข้อมูลผลตอบแทนที่แท้จริงให้ลูกค้าทราบเพื่อความโปร่งใส

            ตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพ

ปัญหา

1. ลูกหนี้ชอบผลัด และไม่มาจ่ายตามที่ผลัดไว้จะผลัดไปเรื่อยๆ

วิธีแก้ไข

ถามเหตุผลที่ลูกหนี้ขอผลัดเพราะอะไร มีเหตุผล และความจำเป็นจริงหรือไม่ที่จะขอผัดผ่อน พิจารณาเป็นกรณีไปหากไม่มีเหตุผลเพียงพอพยามยามไม่ให้ผัดผ่อนตื๊อตามเก็บให้ได้หรือหากลูกหนี้มีความจำเป็นจริงๆ ก็ให้นัดระยะเวลาอันใกล้พร้อมกับมีเงื่อนไขว่าหากผิดนัดตามที่ผัดผ่อนอีกจำต้องขอรถกลับก่อน เพื่อสร้างแรงกดดันและป้องกันมิให้ผิดนัดตามที่ผลัดไว้อีก

 ถ้าพบลูกหนี้ประเภทนี้พยายามดูรายละเอียด หลังการ์ดจะเห็นประวัติการผิดนัดหลายครั้งหลายหน ใช้ข้อมูลเหล่านั้นมายืนยันกับลูกหนี้ว่า เคยผิดนัดมาแล้วหลายครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย มิฉะนั้นจำเป็นต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

 การตกลงนัดหมายพยายามทำเป็นหนังสือระบุเงื่อนไข หากผิดนัดยินดีคืนรถหรือให้ยึดได้ทันที และให้ลูกหนี้ลงลายมือชื่อไว้ด้วย ทำสำเนาให้ลูกหนี้ไว้ด้วย 1 ชุด เพื่อช่วยเตือนความจำ

ปัญหา

2. ลูกหนี้ย้ายที่อยู่โดยไม่แจ้งบริษัททราบ พนักงานไปตามก็จะไม่เจอตัว ส่งจดหมายไปก็ตีกลับ

วิธีแก้ไข

 ติดต่อผู้เช่าซื้อที่ทำงาน

 สอบถามบ้านข้างเคียงว่าย้ายไปไหน เมื่อไหร่

 ติดต่อผู้ค้ำประกัน เพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับผู้เช่าซื้อ และทรัพย์เช่าซื้อ

 ดูบัตรประชาชน ทะเบียนบ้านว่า ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ไหน ส่งจดหมายไปหรือออกตาม

 ดูรายละเอียดจากจดหมายตีกลับว่า กลับมาเพราะสาเหตุข้อไหน เช่น บ้านรื้อถอน หรือไม่มีผู้รับตามจ่าหน้า หรือจ่าหน้าไม่ถูกต้องเพราะพิมพ์ผิด จะได้แก้ไขให้ถูกต้องต่อไป

 

  1. การให้สินเชื่อในส่วนของพาณิชยกรรมและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ๆในประเทศไทย จะมีการพิจารณาก่อนให้สินเชื่อที่คล้ายคลึงกันเนื่องจากเป็นกิจการรายใหญ่จึงเป็นไปได้ว่าเป็นที่รู้จักซึ่งหลักพิจารณาอาจเป็นดังนี้

                              การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ โดยใช้หลัก 5 C's

              1. Character พิจารณาลักษณะ คุณสมบัติของลูกหนี้ ตลอดจนความตั้งใจจริงและความน่าเชื่อถือที่จะชำระคืนหนี้ ทั้งนี้ อาจดูได้จากฐานะหน้าที่การงาน การศึกษา ประสบการณ์ คุณภาพของผู้บริหาร ฐานะทางสังคม ประวัติการชำระหนี้เดิม เป็นต้น

              2. Capacity ความสามารถในการชำระหนี้ พิจารณาจากศักยภาพในการทำกำไรหรือความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจ และพิจารณากระแสเงินสดของกิจการว่ามีความสามารถในการชำระหนี้หรือไม่ ตลอดจนอาจพิจารณาแหล่งเงินทุนสำรองของกิจการ หากกระแสเงินปกติของกิจการเกิดปัญหา แต่หากเป็นการกู้เพื่อการบริโภค เช่น การซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัย การซื้อรถยนต์ ก็ต้องพิจารณาจากขนาดและความมั่นคงของกระแสรายได้ของผู้กู้ โดยอาจดูจากลักษณะการประกอบอาชีพ ยกตัวอย่างเช่น หากภาระการชำระหนี้ในแต่ละเดือนมีขนาดไม่เกินหนึ่งในสามของรายได้ โอกาสที่ผู้ให้กู้จะได้รับการชำระคืนหนี้ก็มีสูง เป็นต้น

              3.Capital คือ ทุนที่นำมาใช้ในกิจการที่เป็นส่วนของตัวลูกหนี้เองไม่ใช่เงินที่มาจากการกู้ โดยพิจารณาว่าเงินส่วนที่ขอกู้เป็นสัดส่วนเท่าใดต่อเงินส่วนที่ลูกหนี้เป็นเจ้าของเอง (Debt / Equity Ratio) ทั้งนี้ หากสัดส่วนดังกล่าวมีค่าต่ำ การให้กู้ย่อมมีความเสี่ยงต่ำกว่า เนื่องจากเป็นการสื่อถึงการร่วมรับความเสี่ยงจากการประกอบการของลูกหนี้ และเพิ่มความเชื่อมั่นในการให้กู้ของธนาคาร

              4. Collateral คือ หลักประกัน ซึ่งเป็นแหล่งในการชำระคืนหนี้แหล่งที่สองหากลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ซึ่งโดยปกติมูลค่าของหลักทรัพย์ค้ำประกันจะมีมูลค่าไม่น้อยกว่าจำนวนเงินที่กู้จริง นอกจากนี้ ประเด็นที่อาจคำนึงถึงเกี่ยวกับหลักประกัน เช่น การเปลี่ยนแปลงของมูลค่าหลักประกัน ความคล่องตัวในการขายทอดตลาด เป็นต้น

              5. Conditions มุ่งพิจารณาที่วัตถุประสงค์ของการนำเงินกู้ไปใช้ เช่น ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพิ่มเติมเครื่องจักรเครื่องมือ หรือเพื่อสินค้าคงคลัง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมของธุรกิจนั้น ๆ และปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อกิจการ เช่น ภาวะการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ วัฏจักรทางเศรษฐกิจ สภาวะตลาด การผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่างและมีความสามารถในการแข่งขัน กลยุทธการตลาด และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เช่น ความผันผวนของอัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ย เป็นต้น

              การวิเคราะห์เชิงปริมาณ เป็นการวิเคราะห์ผลการประกอบการในอดีตของผู้ขอสินเชื่อ โดยอาศัยข้อมูลจากงบการเงินเป็นหลักการวิเคราะห์ทางการเงิน โดยทั่วไปมี 3 วิธี ดังนี้

              1. งบการเงินเปรียบเทียบ เป็นการเปรียบเทียบรายการสำคัญ ๆ ในงบการเงินของแต่ละปีว่ามีแนวโน้มหรืออัตราการเพิ่มเป็นอย่างไร เพื่อบ่งชี้ถึงความเจริญเติบโตของกิจการ เช่น การเปรียบเทียบกำไรสุทธิ ยอดขาย ทรัพย์สิน หรือส่วนของเจ้าของ ของแต่ละปีว่ามีอัตราการเติบโตมากน้อยเพียงใด

              2. การวิเคราะห์งบการเงินในแนวดิ่ง เป็นการเปรียบเทียบรายการต่าง ๆ ในงบการเงินเป็นร้อยละต่อรายการหลัก เช่น หากวิเคราะห์งบกำไรขาดทุนก็อาจเปรียบเทียบขนาดของรายการต่าง ๆ เป็นร้อยละต่อยอดขาย โดยปกติมักเปรียบเทียบเพื่อให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของต้นทุนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนคงที่ เช่น เครื่องจักร หรือต้นทุนแปรผัน เช่น วัตดุดิบต่าง ๆ ของแต่ละปีว่าเป็นสัดส่วนมากน้อยเพียงใด เมื่อคิดเป็นร้อยละต่อยอดขาย แต่หากวิเคราะห์งบดุลก็อาจเปรียบเทียบขนาดของรายการต่าง ๆ เป็นร้อยละต่อสินทรัพย์รวม เช่น เพื่อให้ทราบว่ามีสินทรัพย์หมุนเวียน เช่น สินค้าคงคลัง หรือสินทรัพย์ถาวร เช่น ที่ดิน อาคาร เป็นสัดส่วนมากน้อยเพียงใด เป็นต้น

              3. การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน เป็นการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างรายการต่าง ๆ ในงบการเงิน ซึ่งมีรายละเอียดและรูปแบบของอัตราส่วนทางการเงินที่หลากหลาย

2.         การที่เงินบาทมีค่าลดลงเป็นไปได้ว่าการขอสินเชื่ออาจจะทำได้ยากขึ้นเนื่องจากว่าค่าของเงินบาทที่ลดลงทำให้การใช้จ่ายเงินเป็นไปได้ยาก ดังนั้นเมื่อไปขอสินเชื่อ พนักงานสินเชื่อจะพิจารณาอย่างรอบคอบและตรวจสอบรายละเอียดอย่างชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงแก่ธนาคารและเมื่อตรวจสอบแล้วพบว่ากิจการมีความสามารถในการชำระคืนน้อยก็ไม่อนุมัติสินเชื่อให้ หรือหากเงินบาทอ่อนตัวมากๆ กิจการที่มีความสามารถในการชำระคืนระดับปานกลาง ธนาคารก็อาจจะพิจารณาไม่ให้สินเชื่อเช่นกัน เว้นแต่เป็นลูกค้าที่เป็นสมาชิกกิจการมานานจนมีความไว้วางใจสูงจึงจะให้สินเชื่อแม้ว่าค่าเงินบาทจะอ่อนตัวลงในระดับใดก็ตามเพื่อรักษาลูกค้าที่ดีไว้

            การมีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่อาจจะส่งผลกระทบบ้าง เช่นว่า ธนาคารกสิกรไทย ซึ่งเป็นธนาคารที่ให้ความช่วยเหลือเกษตรกร และตอนนี้เกิดสภาวะน้ำท่วมหากน้ำลดเป็นไปได้ว่าเกษตรกรจำนวนมากต้องขอสินเชื่อกับธนาคารหากเงินของธนาคารไม่มากพอ และต้องการเงินเพิ่มเพื่อหมุนเวียนในธนาคาร และหากผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยไม่อนุมัติเงินให้ เงินหมุนเวียนของธนาคารก็ไม่พอจึงอาจเกิดปัญหาตามมาได้

4.  จงอธิบายถึงอัตราส่วนทางการเงิน  (Financial Ratio) ที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ พร้อมทั้งอธิบายลงไปในรายละเอียดด้วยว่ามีวิธีการพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้

ตอบ  การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน (Ratio Analysis)

        เป็นการนำรายการต่างๆ ในงบการเงินมาเทียบอัตราส่วนเพื่อหาความสัมพันธ์ว่า มีความเหมาะสมเพียงใดในการประกอบกิจการหลังจากที่ได้สินเชื่อแล้ว การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินแบ่งตามวัตถุประสงค์ในการใช้งาน 4 ประการ
      1. การวิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity Ratio)
      2. การวิเคราะห์ความสามารถในการหากำไร (Profitability Ratio)
      3. การวิเคราะห์ความสามารถ (ประสิทธิภาพ) ในการดำเนินงาน (Efficiency Ratio)
      4. การวิเคราะห์โครงสร้างของเงินทุนหรือภาระหนี้สิน (Leverage Ratio or Financial Policy Ratio)

          1.การวิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity Ratio)

             1.1 อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนหรืออัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio)
อัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current Ratio) = สินทรัพย์หมุนเวียน (CA) /หนี้สินหมุนเวียน (CL) วัดความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น ถ้าค่าที่คำนวณได้สูงเท่าใด แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนที่ประกอบไปด้วย เงินสด ลูกหนี้ และสินค้าคงเหลือมากกว่าหนี้ระยะสั้น ทำให้คล่องตัวในการชำระหนี้ระยะสั้นมีค่อนข้างมาก โดยปกติ อัตราส่วน 2 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว

             1.2 อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio or Acid Test Ratio)
อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio) = (สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงเหลือ) /หนี้สินหมุนเวียนหรือ( Quick Ratio = CA – Inventory )/CLเป็นการวัดส่วนของสินทรัพย์ที่ได้หักค่าสินค้าคงเหลือ ที่เป็นสินทรัพย์ระยะสั้นและมีความคล่องตัวในการเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ต่ำสุดออก เพื่อให้ทราบถึงสภาพคล่องที่แท้จริงของกิจการได้ โดยปกติอัตราส่วน 1 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว

             1.3 อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover)
อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover) A/R Turnover = ขายเชื่อสุทธิ หรือใช้ยอดขายรวม (ครั้ง หรือ รอบ) /ลูกหนี้ถัวเฉลี่ยลูกหนี้ถัว เฉลี่ย = (ลูกหนี้ต้นงวด + ลูกหนี้ปลายงวด )/ 2 หากค่าที่คำนวณได้ มีค่าสูง แสดงถึงความสามารถในการบริหารลูกหนี้ให้แปลงสภาพเป็นเงินสดได้เร็ว

             1.4 ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Average Collection Period)
ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Avg. Collection Period) (วัน) = 365 วัน /อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ยิ่งต่ำยิ่งดี   แสดงให้เห็นถึงระยะเวลาในการเรียกเก็บหนี้ว่าสั้นหรือยาว เพื่อให้ทราบถึงคุณภาพของลูกหนี้ประสิทธิภาพในการเรียกเก็บหนี้ และนโยบายในการให้สินเชื่อทางธุรกิจ

             1.5 อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover)
อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover) = ต้นทุนสินค้าขาย (COGS) /สินค้าคงเหลือเฉลี่ย (Avg. Inventory) สินค้าคงเหลือเฉลี่ย =( สินค้าต้นงวด + สินค้าปลายงวด )/ 2หากค่าคำนวณได้สูง ย่อมแสดงถึงความสามารถในการบริหารการขายสินค้าได้เร็ว

             1.6 ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า
ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า(วัน) = 365 (วัน) /อัตราหมุนเวียนของสินค้า (Inventory Turnover) ยิ่งขายได้เร็ว (ระยะเวลาสั้น) ยิ่งดี

       2.ความสามารถในการหากำไร (Profitability Ratio)

          1.1 อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)
          1.2 อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit Margin)
          1.3 อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)
          1.4 อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Return On Equity or ROE)

     อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)(%) = ขายสุทธิ – ต้นทุนขาย หรือ SALES – COGS / ขายสุทธิ SALES = กำไรขั้นต้น หรือ Gross Profit /ขายสุทธิ SALES
ยิ่งสูงยิ่งดี  อัตรากำไรจากผลการดำเนินงาน(Operating Profit Margin)(%) = กำไรจากการดำเนินงาน(Operating Profit Margin) /ขายสุทธิ (SALES)ยิ่งสูงยิ่งดี

     อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)(%) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /ขายสุทธิ (SALES) ยิ่งสูงยิ่งดี แสดงให้เห็นประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทในการทำกำไร หลังจากหักต้นทุนค่าใช้จ่ายรวมทั้งภาษีเงินได้หมดแล้ว

     ผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE %) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) ยิ่งสูงยิ่งดี แสดงให้เห็นว่าเงินลงทุนในส่วนของเจ้าของ จะได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาจากการดำเนินการของกิจการนั้นในอัตราส่วนเท่าไร หากมีค่าสูง แสดงถึงประสิทธิภาพในการหากำไรสูงด้วย Dupont Equation ROE (%) = NP (or EAT) = (EAT/SALES) (SALES/ASSETS) (ASSETS/EQUITY) /Equity หรือ ROE (%) =รายได้จากการขาย สินทรัพย์ทั้งหมด= กำไรสุทธิ X รายได้จากการขาย X สินทรัพย์ทั้งหมด / ส่วนของผู้ถือหุ้น= (ความสามารถในการหากำไร) (การใช้เงินทุน) (ความสามารถในการหาทุน) หรือ สมการนี้เท่ากับ ROE (%) = (Net Profit Margin) (Total Asset Turnover) (Financial Leverage)

       3. อัตราส่วนแสดงประสิทธิภาพในการทำงาน (Efficiency Ratio)

      อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม (ROA)(%) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /สินทรัพย์รวม (Total Assets) ยิ่งสูงยิ่งดี เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรของสินทรัพย์ทั้งหมดที่ธุรกิจใช้ในการดำเนินงาน ว่าให้ผลตอบแทนจากการดำเนินงานได้มากน้อยเพียงใด หากมีค่าสูง แสดงถึงการใช้สินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ

      อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ถาวร (ROFA) = กำไรสุทธิ (Net Profit or NP) /รวมสินทรัพย์ถาวร (Fix Assets)

      อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Turnover)(ครั้ง) = ขายสุทธิ (SALES) /สินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset) ยิ่งสูงยิ่งดี

      อัตราส่วนการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total Assets Turnover) (ครั้งหรือเท่า) = ขายสุทธิ (SALES) /สินทรัพย์รวม (Total Assets) จำนวนครั้งสูง ดี เป็นอัตราส่วนที่แสดงถึงประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ทั้งหมด (TA) เมื่อเทียบกับยอดขาย (SALES) ถ้าอัตราส่วนนี้ต่ำ แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์มากเกินความต้องการ

       4. อัตราส่วนวิเคราะห์นโยบายทางการเงิน (Leverage Ratio or Financial Ratio)

       เพื่อให้ทราบถึงแหล่งที่มาของเงินทุนว่ามาจากหนี้สินหรือส่วนของเจ้าของ ว่ามีมากน้อยเพียงใด
          อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt/Equity Ratio) (เท่า) = หนี้สินรวม (Total Debt) /ส่วนของเจ้าของ (Equity) ยิ่งต่ำ ยิ่งดี แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงในด้านเจ้าหนี้และเจ้าของกิจการ ถ้าอัตราส่วนสูงแสดงว่า กิจการมีความเสี่ยงจากการกู้ยืมเงินมาใช้ในการดำเนินกิจการ 

          ความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest Coverage) (เท่า) = {กำไรสุทธิ (NP) + ภาษีเงินได้ (Tax) – ดอกเบี้ยจ่าย(Interest)} /ดอกเบี้ยจ่าย (Interest) เป็นการวัดความสามารถของธุรกิจในการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ ผลคำนวณออกมามีค่าสูง แสดงว่าธุรกิจมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยสูง

          อัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout) = เงินปันผลต่อหุ้น (Dividend /share) /กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS)  แสดงถึงนโยบายการจ่ายเงินปันผลของธุรกิจ
          อัตราส่วนที่กล่าวมาเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์หลักทรัพย์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน เพื่อท่านจะได้พิจารณางบการเงินได้ในระดับหนึ่ง

          ประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้คือ ข้อที่ 1. การวิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity Ratio)

6. เมื่อท่านได้ศึกษาเพาเวอร์พอยท์ เรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคาร ไปนั้น ขอให้ท่านจับประเด็นให้ได้ว่ามีประเด็นใดบ้างที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียมตัวมากู้เงินจากธนาคาร และประเด็นเหล่านั้นธนาคารสามารถตรวจสอบได้อย่างไร

ตอบ   กลโกงลูกค้ามักจะเตรียมตัวมากู้เงินธนาคารคือมี  6  C’s

         1. Character  เรียนให้จบปริญญาตรี  ปริญญาโท  มีประสบการณ์เรื่องที่จะกู้เงิน  แต่งตัวให้ดูภูมิฐาน  พูดจาให้เป็นระบบ  วางตัวให้เป็นกลาง

         2.  Capacity  สร้างงบการเงินให้ดูดี  กิจการมีกำไร  มีอัตราส่วนทางการเงินดี  อธิบาย  Cash Flow  ว่าสามารถคืนหนี้ได้  ทำธุรกิจมาได้ซัก     3  ปี

         3. Capital กู้เงินอย่าให้เกิน  80%  ของราคาประเมินทรัพย์สินที่จะใช้เป็นหลักประกัน

         4. Collateral หลักประกันต้องดูโดดเด่น  อยู่ในทำเลที่ดี  มีสภาพคล่อง  มีโอกาสเพิ่มมูลค่าในอนาคต

         5. Condition  เงื่อนไขในการชำระคืนดอกเบี้ยและเงินต้น  มาจากตัวเลขใน  Cash Flow  ทำให้ธนาคารเชื่อให้ได้ว่าจะเหลือเงินแล้วคืนหนี้ธนาคารได้ตามแผนนี้

          ธนาคารสามารถตรวจสอบจากข้อกำหนดที่ธนาคารสามารถให้กู้  อย่างเช่น  การก่อสร้างธนาคารให้กู้  80%    เครื่องจักรธนาคารให้กู้ 70%

3.  การควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่สำคัญมาก ท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ และ บอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

ตอบ   แนวทางในการพิจารณาควบคุมสินเชื่อ

      1. การควบคุมในแนวดิ่ง ( Vertical Control )

          เป็นการควบคุมที่อยู่ในลักษณะตามสายการบังคับบัญชาที่ผู้เป็นหัวหน้าต้องดูแลเอาใจใส่  ให้คำแนะนำ (Supervision ) แก้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของตนทั้งนี้เพื่อให้พนักงานเหล่านั้น  ทำงานด้านสินเชื่ออย่างถูกต้อง  ตามระเบียบขั้นตอนที่องค์กรได้กำหนดไว้  สิ่งที่มักต้องดูแลคือ  พิจารณาว่าพนักงานสินเชื่อได้ทำกาตรวจสอบ  เก็บรวบรวมข้อมูล  และทำการวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นของตัวผู้กู้  และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง  รวมถึงภาวการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบเพียงพอต่อการตัดสินใจอนุมัติสินเชื่อหรือยัง  นอกจากนั้นเอกสารประกอบการกู้ได้ดำเนินการอย่างครบถ้วนก่อนอนุมติให้เบิกเงินกู้หรือขายสินค้าไปหรือไม่  และประการสุดท้ายก็คือ  ผู้ทำการวิเคราะห์ที่อยู่ในสายการบังคับบัญชานั้นได้ใช้ดุลพินิจหรือวิจารณญาณอย่างรอบคอบสมเหตุสมผล  และเป็นอิสระจากภาวการณ์กดดันได้ดีเพียงพอแล้ว  ซึ่งจะทำให้องค์กรลดความเสี่ยงลงได้

      2. การควบคุมในแนวนอน ( Horizontal Control )

        เป็นการควบคุมในระดับเดียวกัน  แต่เป็นการควบคุมระหว่างหน่วยงานที่ทำหน้าที่แต่ละด้านให้กับองค์กร  หาข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ  เพื่อทำการวิเคราะห์ความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละราย  มีเจ้าหน้าที่ประเมินราคาหลักประกัน  เพื่อรวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินที่จะนำมาเป็นหลักประกัน    และยังมีเจ้าหน้าที่ในงานพิธีการ  หรือนิติกรรมสินเชื่อที่ต้องคอยทำหน้าที่เตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทำนิติกรรมระหว่างลูกค้ากับผู้ให้สินเชื่อคือธนาคาร  เมื่อลูกค้าลงนามครบถ้วนแล้ว  ก็ต้องจัดเก็บอย่างปลอดภัยมีระบบการรักษาความลับลูกค้ามิให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องมารับรู้หรือค้นหา

     3. การควบคุมด้วยการตรวจสอบภายในองค์กร ( Internal  Audit  Control )

         โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบภายใน  ซึ่งจะต้องทำอย่างน้อยปีละครั้ง  โดยใช้ระบบสุ่มตรวจ  และต้องไม่ให้ฝ่ายสินเชื่อทราบล่วงหน้า  เพราะจะทำให้ไม่พบสิ่งบกพร่อง  ฝ่ายตรวจสอบภายใน จะมีการแบ่งทีมงานเป็นหลายชุดเพื่อตรวจสอบ  มีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนหน่วยงานที่ออกไปตรวจทุกปี  มิให้ตรวจซ้ำที่เดิม  เพราะจำทำให้เกิดความคุ้นเคยกันกับพนักงานสินเชื่อ  ซึ่งจะไม่เป็นผลดีกับการควบคุมสินเชื่อนั้นเอง

      การติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพ

ใช้เทคนิคการติดตามทวงหนี้โดยการเจรจา 

      1.  วิธีประนีประนอม   -  ใช้วิธีนี้กับลูกหนี้ที่ให้ความร่วมมือ   แสดงความเห็นใจตามสมควร  และร่วมหาแนวทางแก้ไขให้ลูกหนี้เสนอเงื่อนไขการชำระหนี้  อยู่ในจุดที่ทั้ง  2  ฝ่ายยอมรับได้  รวมทั้งย้ำถึงการปฏิบัติตามเงื่อนไข

      2.  วิธีจิตวิทยา   -  ใช้วิธีนี้กับลูกหนี้ที่ไม่ให้ความร่วมมือในการแก้ปัญหาโดยต้องวางตัวเป็นกลาง  แสดงความเห็นใจตามสมควร  สิ่งสำคัญต้องควบคุมอารมณ์ให้ได้และต้องอ้างถึงคำสั่งที่ได้รับมอบหมายให้ทำ  ถ้าเห็นว่าการเจรจาไม่สำเร็จก็ต้องอ้างต่อไปว่า  ผู้รับเรื่องต่อเป็นนักกฎหมายหรือทนายความ  ในหลายกรณีที่ได้ผลจะใช้วิธีเชิญผู้ค้ำประกันเข้าร่วมเจรจาด้วย  เพื่อสร้างบรรยากาศกดดันลูกหนี้และเพิ่มพลังในการต่อรอง

2.  การที่เกิดภาวะเงินบาทมีค่าลดลงมาก  (เงินบาทอ่อนตัว) มีผลต่อการที่ธนาคารของท่านในการให้สินเชื่ออย่างไรบ้าง  และการที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่นั้น  จะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในประเด็นใดบ้าง 

ตอบ   การลดค่าเงินบาท คือการเเทรกเเซงอัตราเเลกเปลี่ยน(หรือปล่อยให้ลด)ของธนาคารกลาง (หรือ ในกรณี ที่ธนาการกลางไม่สามารถรักษาระดับอัตราเเลกเปลี่ยนได้เนื่องจากการโจมตีค่าเงินบาทเพราะมันทำให้เงินสำรองระหว่างประเทศลดลง เช่นวิกฤต ต้มยำกุ้ง)ทำให้ผู้ที่กู้ยืมเงิน ต่างประเทศเเละผู้นำเข้าสินค้าเดือดร้อน  แต่ว่าธนาคารก็สามารถที่จะให้สินเชื่อซื้อบ้านได้ ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ประชาชนต้องการอาศัยอยู่แล้ว   ในส่วนของสินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)  ก็เช่นเดียวกัน

1.  ให้เปรียบเทียบประเด็นพิจารณาในการให้สินเชื่อระหว่าง สินเชื่อพาณิชยกรรม (Modern Trade)  และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Development) รายใหญ่ๆในประเทศไทย

ตอบ  สินเชื่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

        สนับสนุนสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์  ทุกขนาดธุรกิจ  ทุกพื้นที่ ผู้ประกอบการสามารถขยายหรือทำธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดชะงัก นอกเหนือจากการสนับสนุนด้านเงินทุน เรายังพร้อมจัดหาพันธมิตรเพื่อร่วมทุน ร่วมจัดการวางแผนการเงิน การตลาด  และการบริหารโครงการ 

        พิจารณาการให้สินเชื่อ

จากหลักประกัน

   -  ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง ที่เป็นที่ตั้งของโครงการเป็นประกัน

   - หลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดหรือทรัพย์สินอื่นๆ

   - เงินฝาก/หุ้น

   - รับโอนสิทธิการเช่าในอสังหาริมทรัพย์

   - หนังสือค้ำประกันของสถาบันการเงิน หรือ บสย.

คุณสมบัติผู้กู้

   - ผู้ประกอบการขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ทั้งที่มีประสบการณ์หรือไม่มีประสบการณ์

เอกสารประกอบการขอสินเชื่อเบื้องต้น

   - ใบคำขอสินเชื่อ

   - สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนหุ้นส่วน / บริษัท ไม่เกิน 3 เดือนนับจากวันยื่นเอกสาร

   - สำเนาหนังสือบริคณห์สนธิ และข้อบังคับบริษัท

   - สำเนาทะเบียนการค้า

   - บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นไม่เกิน 3 เดือนนับจากวันยื่นเอกสาร

   - สำเนาบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากร

   - สำเนารายการเดินบัญชี ( Statement )กับสถาบันการเงิน

   - งบการเงิน

   - ข้อมูลเอกสารหลักประกัน

   - ประวัติความเป็นมาของบริษัท และ ประวัติของผู้บริหาร

   - รายละเอียดและข้อมูลโครงการ ความเป็นไปได้ของโครงการ ประมาณการงบกระแสเงินสด และแผนการดำเนินธุรกิจ

   - โครงการที่บริษัทดำเนินการในอดีต หรือกำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน และ โครงการในอนาคต

   - สำเนาสัญญาซื้อขาย / หรือสัญญามัดจำในกรณีเพื่อซื้อทรัพย์สิน

   - เอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี

           ส่วนสินเชื่อพาณิชยกรรม

      พิจารณาการให้สินเชื่อ

คุณสมบัติผู้กู้

    - เป็นบุคคลธรรมดา อายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี บริบูรณ์ หรือนิติบุคคล

    - สัญชาติไทย หรือจดทะเบียนตามกฎหมายไทย

    - ประกอบธุรกิจที่มีวัตถุประสงค์เพ่อแสวงหากำไร

หลักประกัน

    ใช้ประเภทใดประเภทหนึ่งหรือหลายประเภท ดังนี้

    - สมุดเงินฝากออมสินทุกประเภท หรือสลากออมสินพิเศษ ของผู้กู้หรือบุคคลอื่นตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด

    - อสังหาริมทรัพย์ ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด

    - พันธบัตรรัฐบาล หรือพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด

    - บุคคลค้ำประกัน ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด

    - หลักประกันอื่นตามเกณฑ์ของธนาคาร

เอกสารที่ใช้ประกอบการพิจารณาการขอกู้เงิน บุคคลธรรมดา

    - สำเนาบัตรประชาชน และทะเบียนบ้านของผู้กู้และคู่สมรส

    - สำเนาใบทะเบียนพาณิชย์/ทะเบียนการค้า หรือเอกสารอื่นที่ แสดงว่าประกอบธุรกิจ เช่น สัญญาเช่าสถานประกอบ การบิลใบสั่งซื้อสินค้า แบบแสดงรายการภาษีเงินได้ ฯลฯ

    - สำเนาใบเสร็จเงินกู้ หรือ statement จากธนาคารที่ติดต่อ อยู่ย้อนหลัง 6 เดือน พร้อมสัญญากู้และสัญญาจำนอง (ถ้ามี)

    - เอกสารหรือข้อมูลแสดงรายรับ – รายจ่ายของกิจการ

นิติบุคคล

    - หนังสือรายงานการประชุมที่มีมติให้กู้เงิน

    - สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียน

    - สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนของผู้มีอำนาจ

    - สำเนาใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.4)

    - เอกสารการค้า,ใบสั่งซื้อ, ใบเสร็จรับเงิน, เอกสารแสดงรายรับ – รายจ่ายของกิจการ

    - สำเนาใบเสร็จเงินกู้ หรือ statement จากธนาคารที่ติดต่ออยู่ย้อนหลัง 6 เดือน พร้อมสัญญากู้และจำนอง (ถ้ามี)

    - สำเนางบการเงินย้อนหลัง 3 ปี

ข้อ 1 ให้เปรียบเทียบประเด็นพิจารณาในการให้สินเชื่อระหว่าง สินเชื่อพาณิชยกรรม (Modern Trade) และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Development) รายใหญ่ๆในประเทศไทย

ตอบ(1) ในประเด็นแรกเกี่ยวกับลักษณะที่สำคัญของสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น พบว่า การกำหนดระยะเวลาการเช่าโดยข้อกฎหมายนั้นไม่เป็นสาระสำคัญ เพราะเป็นข้อพิจารณาตามความจำเป็นของคู่กรณีในสัญญา สิ่งที่จะเป็นสาระสำคัญเกี่ยวกับระยะเวลาได้แก่การกำหนดระยะเวลาเริ่มต้นและการสิ้นสุดแห่งการเช่า เพราะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายได้ รู้ถึงช่วงเวลาที่จะใช้ประโยชน์ตามสัญญา อันเป็นฐานแก่การคำนวณผลประโยชน์ตอบแทนระหว่างกัน หากการกำหนดเวลาจะมีบทบาทอยู่บ้างก็จะเกี่ยวข้องในเรื่องของแบบพิธีในการทำสัญญาเท่านั้น

ลักษณะที่สำคัญในประการต่อมาได้แก่ ความสามารถในการโอนเปลี่ยนมือของสิทธิการเช่าที่เกิดขึ้นตามสัญญาเช่า มีหลักที่ยอมรับกันทั่วไปว่าสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เป็นสินทรัพย์อย่างหนึ่งที่โอนได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ให้เช่า แต่มิได้หมายความว่าความยินยอมของผู้ให้เช่าจะไม่อาจมีบทบาทใดๆ ได้เลย เพราะในขณะเดียวกันกฎหมายก็ยอมรับถึงการวางข้อกำหนดห้ามโอนสิทธิการเช่า การเช่าช่วง ของผู้ให้เช่าไว้ด้วยเช่นกัน ซึ่งมักจะกำหนดให้ความยินยอมของผู้ให้เช่าเป็นเงื่อนไขของการโอนซึ่งสิทธิการเช่า อย่างไรก็ดี ใช่ว่าผู้ให้เช่าจะมีดุลพินิจอย่างไม่มีข้อจำกัดในการให้หรือไม่ให้ความยินยอม โดยมีการกำหนดกรอบไว้เช่นกันว่าหาก ผู้ให้เช่าจะปฏิเสธไม่ให้ความยินยอมต่อการโอนหรือการเช่าช่วง ผู้ให้เช่าจะต้องมีเหตุผลอันสมควรด้วย

ในประเด็นเกี่ยวกับการนำสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไปเป็นหลักประกันการชำระหนี้นั้น พบว่าทั้งในอังกฤษและสหรัฐอเมริกาต่างก็ยอมรับเป็นการทั่วไปที่จะให้นำสิทธิการเช่านี้ไปเป็นหลักประกันการชำระหนี้ได้ และมีการพัฒนาหลักกฎหมาย-วิธีปฏิบัติที่เกี่ยวข้องมาช้านาน ตามหลักกฎหมายของอังกฤษวิธีการที่ใช้กันจะได้แก่การนำเทคนิคของการโอนสิทธิเรียกร้องมาใช้ การใช้เทคนิคทางกฎหมายของการเช่าช่วง และการก่อภาระที่เรียกว่า charge เหนือสิทธิการเช่าในลักษณะที่คล้ายคลึงกับการจำนองของไทย ซึ่งวิธีการสุดท้ายนี้ดูจะเป็นที่นิยมมากที่สุด ในขณะที่สหรัฐอเมริกาจะใช้วิธีการ mortgage ซึ่งมีทั้งที่มีลักษณะใกล้เคียงกับของไทยที่เป็นการก่อสิทธิเหนือทรัพย์และการโอนไปซึ่งสิทธิในตัวทรัพย์ขึ้นอยู่กับว่าในรัฐนั้นๆ จะยึดถือแนวทฤษฎีเกี่ยวกับ mortgage ในลักษณะใด

ในการคุ้มครองสิทธิของผู้รับหลักประกันนั้น นอกเหนือไปจากการรับรองสิทธิในลักษณะเดียวกับเจ้าหนี้มีประกันทั่วๆ ไปแล้ว มีแนวทางปฏิบัติในการกำหนดข้อสัญญาเกี่ยวกับการรับสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่ให้สิทธิแก่ผู้รับหลักประกันเข้าไปเยียวยาแก้ไขไม่ให้สิทธิการเช่าต้องสูญสิ้นไปตามข้อกำหนดในสัญญาเช่าอย่างค่อนข้างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดให้มีการแจ้งแก่ผู้รับหลักประกันทราบถึงเหตุการกระทำผิดสัญญาเช่าของผู้เช่าที่เป็นผู้ให้หลักประกัน และให้โอกาสและเวลาที่เหมาะสมสำหรับผู้รับหลักประกันที่จะดำเนินการใดๆ เพื่อไม่ให้สิทธิการเช่าที่ตนรับไว้เป็นหลักประกันต้องสูญสิ้นไปด้วย

และท้ายที่สุดในกระบวนการบังคับหลักประกัน มีทั้งกระบวนการที่ต้องดำเนินการผ่านระบบศาลและการให้อำนาจแก่ผู้รับหลักประกันที่จะดำเนินการขายหลักประกันได้เองโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการของระบบศาลด้วย

(2) เมื่อนำมาศึกษาเปรียบเทียบกับหลักการเกี่ยวกับลักษณะของสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ตามที่ปรากฏในพระราชบัญญัติการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม พ.ศ. 2542 พบว่าพระราชบัญญัตินี้ได้กำหนดระยะเวลาการเช่าไว้ระหว่าง 30 ปีขึ้นไปถึง 50 ปี ซึ่งน่าจะไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเท่าใดนัก เพราะในทางปฏิบัติมีสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์จำนวนมากมายที่มีระยะเวลาไม่ถึง 30 ปี นอกไปจากนี้ การกำหนดความเปลี่ยนมือได้ของสิทธิการเช่าตามพระราชบัญญัตินี้ แม้จะมีหลักการที่คล้ายคลึงกับของกฎหมายต่างประเทศที่ศึกษาในรายงานฉบับนี้ที่วางหลักทั่วไปให้โอนได้โดยไม่ต้องขอความยินยอมจากผู้ให้เช่า โดยมีข้อยกเว้นสำหรับคู่กรณีให้ตกลงกันเป็นอย่างอื่น แต่ก็มิได้มีการกำหนดกรอบของการตกลงเป็นอย่างอื่นไว้ ซึ่งหากคู่กรณีตกลงกันไปฝากไว้กับความยินยอมของผู้ให้เช่าแล้ว ย่อมเป็นการลบล้างเจตนารมณ์ของกฎหมายได้ไม่ยากนัก

นอกไปจากนี้ การกำหนดเงื่อนไขรายละเอียดและขั้นตอนต่างๆ ในกฎกระทรวงที่มีลักษณะเกินกว่าอำนาจตามกฎหมายแม่บทและเป็นการก่อภาระโดยไม่จำเป็นแก่เอกชนผู้ประสงค์จะจดทะเบียนการเช่าตามกฎหมายนี้ ย่อมมีผลทางอ้อมอย่างมีนัยสำคัญที่ไม่ปรากฏว่ามีเอกชนเข้ามาใช้กลไกการเช่าอสังหาริมทรัพย์ตามกฎหมายนี้กันเท่าใดนัก ทั้งๆ ที่การยินยอมให้เช่าได้ระยะเวลานานกว่าที่กำหนดเดิมและการให้นำไปเป็นหลักประกันการชำระหนี้ด้วยวิธีการจำนองได้ ดูจะเป็นเครื่องมือจูงใจอันสำคัญแก่ภาคเอกชนก็ตาม

(3) สำหรับในประเด็นการนำสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไปเป็นหลักประกันการชำระหนี้นั้น แต่เดิมภาคธุรกิจเอกชนก็ประสงค์ที่จะนำสินทรัพย์ดังกล่าวไปเป็นหลักประกันการชำระหนี้ แต่มีข้อติดขัดอยู่ที่ระบบประกันหนี้ด้วยทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่เปิดช่องให้กระทำได้ แต่ก็มิได้หมายความว่าสินทรัพย์ประเภทนี้ถูกละเลยไปเสียทีเดียว เพราะในภาคปฏิบัติของธุรกิจเอกชนยังคงใช้วิธีการของการโอนสิทธิเรียกร้องตามมาตรา 303-308 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาปรับใช้อยู่ แต่ก็ดำเนินไปด้วยความไม่แน่นอนใจนัก เพราะลักษณะโครงสร้างของนิติสัมพันธ์เป็นเพียงการสร้างบุคคลสิทธิแก่ผู้รับสิทธิการเช่าเป็นหลักประกันเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นสิทธิที่มีต่อผู้ให้เช่า หรือกรณีมีเจ้าหนี้อื่นของผู้เช่าเข้ามาเกี่ยวข้อง หาได้มีสิทธิทำนองเดียวกับเจ้าหนี้ผู้รับจำนอง ผู้รับจำนำที่เป็นเจ้าหนี้มีประกันอันมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้สามัญและได้รับการคุ้มครองสิทธิในคดีล้มละลายแต่อย่างใด

แม้ว่าในพระราชบัญญัติการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม พ.ศ. 2542 จะมีบทบัญญัติกำหนดให้นำสิทธิการเช่าตามกฎหมายนี้ไปเป็นประกันการชำระหนี้ด้วยวิธีจำนองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้ก็ตาม แต่บทบัญญัติในหลายๆ ส่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการคุ้มครองตัวทรัพย์สินที่จำนองและกระบวนการบังคับจำนอง น่าจะยังไม่มีความเหมาะสมเพียงพอกับลักษณะพิเศษของทรัพย์จำนองที่เป็นสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์แต่อย่างใด

นอกไปจากนี้ แม้ในช่วงเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมาจะมีความเคลื่อนไหวในการจัดทำร่างกฎหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจก็ตาม แต่ปรากฏว่าสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ก็ไม่ได้อยู่ในรายการของสินทรัพย์ที่จะไปเป็นหลักประกันการชำระหนี้ตามกลไกใหม่ที่จะจัดสร้างขึ้นแต่อย่างใด มิพักต้องพูดถึงกลไกพิเศษที่พึงจะมีขึ้นโดยเฉพาะเจาะจงสำหรับทรัพย์ประกันที่เป็นสิทธิการเช่านี้ด้วย

และหากไปพิจารณาถึงแนวทางการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนของรัฐบาลที่มุ่งกระจายและสร้างโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้มีรายได้น้อย จะพบว่าโดยเนื้อแท้ก็คือการประกันหนี้ด้วยทรัพย์นั่นเอง โดยรัฐพยายามทำให้สินทรัพย์ที่เปลี่ยนมือไม่ได้ (ซึ่งอยู่ในการครอบครองดูแลของบรรดาผู้มีรายได้น้อย) ให้สามารถเปลี่ยนมือได้ภายใต้การควบคุมกำกับของรัฐ เพื่อที่จะนำไปเป็น หลักประกันสินเชื่อที่จะได้รับจากสถาบันการเงินได้ และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐ อาทิเช่น สิทธิการเช่าที่ราชพัสดุ สิทธิการเช่าที่อุทยานแห่งชาติ ฯลฯ ก็เป็นสินทรัพย์ที่ถูกหยิบยกมาร่วมในโครงการนี้ด้วย แต่เมื่อพิจารณาแนวทางเบื้องต้น จะพบว่าแนวทางที่จะใช้ปฏิบัติก็คือแนวทางที่ภาคธุรกิจเอกชนใช้สำหรับการนำสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไปเป็นประกันการชำระหนี้ในปัจจุบันนั่นเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากนัก เพราะสินทรัพย์เหล่านี้มีข้อจำกัดทางกฎหมายในการโอนเปลี่ยนมือ หากรัฐไม่แก้ไขกฎหมายแล้ว จำเป็นอยู่เองที่รัฐจะต้องเข้ามากำกับดูแลโดยตรง และเจ้าหนี้อื่นก็คงไม่อาจเข้ามายุ่งเกี่ยวโดยผ่านระบบศาลยุติธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพนัก เพราะท้ายที่สุดสินทรัพย์เหล่านี้ย่อมไม่อยู่ในข่ายที่จะบังคับคดีได้อยู่ในตัว

ข้อเสนอแนะ

จากการศึกษาที่ปรากฏในรายงานฉบับนี้ ผู้วิจัยเห็นว่าพระราชบัญญัติการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม พ.ศ. 2542 ยังคงมีข้อบกพร่องอยู่หลายๆ ส่วน ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับการกำหนดลักษณะสิทธิการเช่า และประโยชน์สำคัญที่ผู้จดทะเบียนการเช่าตามกฎหมายนี้พึงจะได้รับอันได้แก่การนำสิทธิการเช่าตามกฎหมายนี้ไปเป็นประกันการชำระหนี้ที่ยังไม่สะดวกเท่าที่ควร ซึ่งหากรัฐประสงค์ที่จะให้การสนับสนุนการประกอบการของภาคธุรกิจเอกชนโดยให้การรับรองการเช่าอสังหาริมทรัพย์ (ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้ประกอบการทั่วไปและผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์) และอำนวยความสะดวกแก่การใช้สิทธิที่เกิดจากสัญญาเช่าในฐานะที่เป็นสินทรัพย์อย่างหนึ่งอันมีมูลค่าทางเศรษฐกิจแล้ว อาจมีทางเลือกดำเนินการได้หลายแนวทาง แต่ผู้วิจัยเห็นว่าแนวทางที่น่าจะมีความเป็นไปได้มากที่สุดคือการแก้ไขในตัวพระราชบัญญัติในประเด็นที่สำคัญดังนี้

การปรับปรุงแก้ไขหลักการและเหตุผลของกฎหมาย

ควรจะได้มีการเปลี่ยนแปลงแนวคิดพื้นฐานที่ประสงค์จะให้กฎหมายฉบับนี้มาทดแทนการให้เอกชนต่างด้าวถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดิน อันเป็นประเด็นสำคัญในช่วงที่มีการออกกฎหมายนี้ขึ้นบังคับใช้ โดยให้เปลี่ยนมาเป็นการสนับสนุนรองรับ ให้ความมั่นคง และอำนวยประโยชน์ด้วยกลไกที่สำคัญต่างๆ สำหรับการเช่าที่ดินเพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรมเป็นการทั่วไป ไม่จำกัดเฉพาะการเช่าที่จะใช้ในกิจการขนาดใหญ่มูลค่าการลงทุนสูง หรือการเช่าเฉพาะในกิจการประเภทหนึ่ง หรือการเช่าที่ดินในเขตพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง

(1) การกำหนดลักษณะสิทธิการเช่า

ในประการแรก เพื่อให้กฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้อย่างกว้างขวางสำหรับสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ประโยชน์ที่ดินทางพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง สมควรยกเลิกข้อจำกัดเรื่องกำหนดระยะเวลาการเช่า หรืออย่างน้อยที่สุดควรจะคงไว้เพียงกำหนดเวลาขั้นสูงสุดของการเช่าก็น่าจะเพียงพอ

การยกเลิกการกำหนดระยะเวลา จะมีผลทำให้สิทธิการเช่าทางธุรกิจเอกชนทั้งหลายได้รับการจดทะเบียนรับรองสิทธิให้มีความมั่นคงน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้นไม่ว่าสิทธิการเช่านั้นๆ จะมีระยะเวลาสั้นหรือนานเพียงใด และสามารถใช้กลไกอื่นที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจซึ่งได้กำหนดขึ้นไว้ในกฎหมายได้ อาทิเช่น ความสามารถในการโอนเปลี่ยนมือและการนำไปเป็นหลักประกันการชำระหนี้ เป็นต้น

ในประการที่สอง หลักการโดยทั่วไปในเรื่องการเปลี่ยนมือของสิทธิการเช่าตามที่บัญญัติไว้ในปัจจุบันต้องกล่าวว่ามีความเหมาะสมอยู่ในระดับหนึ่ง แต่สมควรที่จะได้มีการวางกรอบเกี่ยวกับการปฏิเสธไม่ให้ความยินยอมในการโอนเปลี่ยนมือของผู้ให้เช่าที่ดินไว้ให้มีความชัดเจน เพื่อมิให้เกิดการปฏิเสธอย่างอำเภอใจปราศจากเหตุผลอันควร ซึ่งความไม่แน่นอนเช่นจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจแห่งสิทธิการเช่าด้วย

ประการที่สาม ควรยกเลิกกฎกระทรวงทั้งหลายที่ออกตามความในกฎหมายฉบับนี้ที่มีผลเป็นการจำกัดขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายในทางอ้อมเอื้ออำนวยเฉพาะแต่กิจการขนาดใหญ่ หรือการกำหนดเขตที่ตั้งพื้นที่ที่ดิน หรือก่อให้เกิดภาระอันไม่จำเป็นแก่เอกชนผู้ประกอบธุรกิจ

(2) การนำไปเป็นประกันการชำระหนี้

ในประการแรก ยกเลิกบทบัญญัติที่ให้นำสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ตามกฎหมายนี้ไปใช้วิธีการจำนองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพราะมีความไม่สอดคล้องต้องกันในประการที่สำคัญและไม่มีบทบัญญัติคุ้มครองสิทธิของผู้รับหลักประกันที่เหมาะสม

ประการที่สอง ขอเสนอให้ไปใช้กลไกการประกันหนี้ด้วยทรัพย์ตามที่ปรากฏในร่างพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. .... ไม่ว่าจะเป็นการก่อสิทธิ การคุ้มครองสิทธิของผู้เกี่ยวข้อง การบังคับหลักประกัน ทั้งนี้โดยจะต้องมีการเพิ่มเติมในหลักการที่สำคัญสำหรับกรณีของสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ดังต่อไปนี้ด้วย

- ในการจดทะเบียนสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เป็นประกันการชำระหนี้ ให้ใช้ระบบทะเบียนที่ควบคุมตัวทรัพย์สินที่เช่าเป็นสำคัญ

- เกี่ยวกับบทบัญญัติที่เป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้รับหลักประกันนั้น สมควรที่จะกำหนดขึ้นไว้ให้ชัดเจน ส่วนจะบัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจ หรือกฎหมายว่าด้วยการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรมนั้น เห็นว่า น่าจะกำหนดขึ้นไว้ในส่วนของกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจน่าจะเหมาะสมกว่า เพราะมีความเกี่ยวข้องโดยตรงในการประกันการชำระหนี้ โดยอาจจัดขึ้นไว้เป็นหมวดหนึ่งต่างหากจากทรัพย์สินที่เป็นประกันประเภทอื่นก็ได้

ข้อ 2. การที่เกิดภาวะเงินบาทมีค่าลดลงมาก (เงินบาทอ่อนตัว) มีผลต่อการที่ธนาคารของท่านในการให้สินเชื่ออย่างไรบ้าง และการที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่นั้น จะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในประเด็นใดบ้าง

ตอบ วิเคราะห์การเกิดปัญหาเงินเฟ้อและเงินฝืด ใครได้ประโยชน์ แบงค์ชาติและกระทรวงการคลังจะใช้นโยบายแก้ไขอย่างไร

เงินเฟ้อ หมายถึง สภาวะทางเศรษฐกิจที่ระดับราคาและบริการโดยทั่วไปเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วผิดปกติ หรือเป็นสภาวะที่ค่าของหน่วยเงินตราลดลงไปเรื่อย ๆ เป็นเหตุให้เงินจำนวนเดียวกันนี้ไม่สามารถจะซื้อสินค้าและบริการจำนวนเดียวกันได้เมื่อเวลาล่วงเลยไป กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ปริมาณเงินมากกว่าปริมาณสินค้า

เงินฝืด (เงินฟุบ เงินแฟบ) หมายถึง สภาวะที่ระดับสินค้าและบริการลดลงเรื่อย ๆ แม้สินค้าจะมีราคาถูก แต่ก็ขายไม่ออกเพราะประชาชนยากจนไม่มีเงินซื้อ เมื่อเกิดสภาวะนี้จะไม่มีใครอยากลงทุนลงทุนแล้วสินค้าที่ผลิตก็ขายไม่ออก กรรมกรจะว่างงานเป็นจำนวนมาก

เงินเฟ้อ เกิดขึ้นได้จากหลายๆ สาเหตุ แต่ส่วนใหญ่ในทางวิชาการมักจะแบ่งสาเหตุการเกิดเงินเฟ้อได้เป็น 2 สาเหตุหลักๆ ได้แก่ Cost-push inflation และ Demand-pull inflation

1) เกิดจากต้นทุนในการผลิตสินค้าสูงขึ้น หรือที่เรียกว่า Cost-push inflation ซึ่งต้นทุนที่ใช้ในการผลิตสินค้าอาจจะสูงขึ้นได้จากทั้งส่วนผสมหรือวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้า ค่าจ้างแรงงาน รวมทั้งค่าขนส่งสินค้า มีราคาแพงขึ้น เช่น กรณีของราคาน้ำมันที่แพงขึ้นก็เป็นตัวอย่างได้ หรือการที่มีการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงาน หรือเกิดน้ำท่วม ภัยแล้ง ทำให้ผลผลิตเกษตรเสียหาย ราคาสินค้าเกษตรก็แพงขึ้น เป็นต้น หรือแม้แต่ในกรณีที่ค่าเงินบาทอ่อนลง จาก 35 บาท เป็น 40 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ ซึ่งหมายถึงว่าเราต้องใช้เงินบาทจำนวนที่มากขึ้นเพื่อไปซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศมาผลิต) หรือแม้แต่การที่รัฐบาลเก็บภาษีเพิ่มขึ้น เช่น การเก็บภาษีบุหรี่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา หรืออาจเกิดจากผู้ผลิตต้องการกำไรที่สูงขึ้นจึงขึ้นราคาสินค้า ซึ่งไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม ก็จะมีส่วนทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้นได้

ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ อาจจะเกิดขึ้นเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ หรืออาจเกิดขึ้นพร้อมๆ กันก็ได้ ซึ่งหากเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน และทำให้ราคาสินค้าและบริการหลายๆ ชนิดแพงขึ้นพร้อมๆ กัน ความรุนแรงของเงินเฟ้อก็จะมากขึ้นด้วย

(2) เกิดจากความต้องการสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้น หรือที่เรียกว่า Demand-pull inflation ส่วนใหญ่ในช่วงที่ปกติ ผู้ผลิตสินค้าส่วนใหญ่ก็ย่อมจะวางแผนการผลิตสินค้าโดยดูว่ามีคนต้องการซื้อสินค้าของเราเท่าไรในแต่ละช่วงเวลา ดังนั้น ปริมาณสินค้าที่มีในตลาดก็น่าจะอยู่ใกล้เคียงกับความต้องการซื้อสินค้า แต่หากความต้องการสินค้าและบริการสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่สินค้าและบริการที่เป็นที่ต้องการมีอยู่ในตลาดมีไม่พอ ก็ย่อมทำให้ราคาสินค้าและบริการแพงขึ้นได้ ซึ่งเมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้น คนจะยิ่งรีบใช้เงินซื้อสินค้าและบริการมาตุนไว้ ก่อนที่ค่าเงินที่มีอยู่จะลดลง เพราะซื้อสินค้าได้น้อยลง ราคาสินค้าและบริการจะยิ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นไปกว่าเดิม เพราะคนจะยิ่งรีบใช้เงินที่มีอยู่

อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้ว หน่วยงานของทางการก็มักจะไม่ปล่อยให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อรุนแรง โดยทางการอาจจะเข้ามากำกับดูแลการปรับขึ้นราคาสินค้า ตัวอย่างเช่น การขอความร่วมมือให้ ขสมก. เลื่อนการขึ้นค่ารถเมล์ไปก่อน หรืออนุญาตให้ค่ารถเมล์ปรับขึ้นราคาได้บ้างนิดหน่อย เป็นต้น หรือในส่วนของธนาคารแห่งประเทศไทย อาจใช้นโยบายการเงินเพื่อดูแลปัญหาเงินเฟ้อ ทั้งนี้ ก็เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนน้อยที่สุด

เงินฝืด เป็นภาวะที่อุปทานมวลรวมของระบบเศรษฐกิจมีมากกว่าอุปสงค์มวลรวม เนื่องจากปริมาณเงินที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจมีไม่เพียงพอกับความต้องการถือเงินหรือความต้องการใช้เงินของประชาชน ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุดังนี้

1. ธนาคารกลางพิมพ์ธนบัตรออกมาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจน้อยไป ไม่เพียงพอกับความต้องการ

2. การที่ประเทศมีฐานะดุลการค้า ดุลการชำระเงินขาดดุลอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานทำให้ประเทศต้องสูญเสียเงินตราให้กับต่างประเทศ ส่งผลให้ปริมาณเงินที่หมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจมีน้อยลง

3. รัฐบาลเก็บภาษีในอัตราสูง ทำให้ปริมาณเงินจำนวนหนึ่งถูกดูดออกจากระบบ (ปริมาณ เงินน้อยลง)

4. สถาบันการเงินชะลอการปล่อยสินเชื่อให้แก่ระบบเศรษฐกิจ ทำให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจมีไม่เพียงพอกับความต้องการ

5. ธนาคารกลางดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด เช่น การที่ธนาคารกลางประกาศเพิ่มอัตราเงินสดสำรองที่ธนาคารพาณิชย์จะต้องดำรงตามกฎหมาย หรือการประกาศใช้นโยบายควบคุมการปล่อยสินเชื่อ ฯลฯ ซึ่งนโยบายดังกล่าวจะส่งผลให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจน้อยลง

6. รัฐบาลใช้นโยบายงบประมาณแบบเกินดุล กล่าวคือ รัฐบาลมีรายได้มากกว่ารายจ่ายทำให้มีปริมาณเงินจำนวนหนึ่งถูกดูดออกจากระบบเศรษฐกิจ (ปริมาณเงินลดลง)

-เงินเฟ้อส่งผลกระทบทำให้อำนาจซื้อลดลง เพราะค่าเงินแท้จริงลดลงทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นอาทิ เช่น สมมติว่าเราเคยซื้อพัดลมตัวละ 200 บาทในปีที่แล้ว หากเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 5% ต่อปี ราคาของพัดลมตัวนั้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 210 บาทในปีนี้ ถ้าเงินเดือนเราเท่าเดิม นั่นหมายความว่าเรามีกำลังซื้อน้อยลงหรือจนลงนั่นเอง

- เงินเฟ้อทำให้มูลค่าที่แท้จริง (real value) ของทรัพย์สินที่เป็นตัวเงินลดลง ในขณะที่มูลค่าของทรัพย์สินที่ไม่เป็นตัวเงินอาจเพิ่มขึ้น มีผลทำให้ผู้ที่มีทรัพย์สินเป็นเงินมีรายได้ที่แท้จริงลดลง ในขณะที่ผู้ที่มีทรัพย์สินที่ไม่ใช่ตัวเงิน เช่น อสังหาริมทรัพย์ มีรายได้ที่แท้จริงมากขึ้น เงินเฟ้อจึงมีผลกระทบ อาทิ คนถือครองทรัพย์สินรวยกว่าคนถือเงินสด คนมีรายได้ประจำจนลงลูกหนี้ได้เปรียบกว่าเจ้าหนี้เพราะจำนวนเงินเท่าเดิมมีมูลค่าที่แท้จริงลดลง จึงทำให้เมื่อจ่ายหนี้คืนเจ้าหนี้ก็เสมือนจ่ายคืนในมูลค่าที่ลดลง

- ในส่วนของภาครัฐเมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อ จะทำให้รัฐเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น ทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีซื้อ ภาษีขาย เป็นต้น

รัฐบาลมักจะแก้ไขภาวะเงินเฟ้อโดยใช้นโยบายการเงินเพื่อลดปริมาณเงินที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เช่น ขายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อประชาชนนำเงินบางส่วนมาให้รัฐบาลยืม เพิ่มอัตราเงินสำรองตามกฎหมายของธนาคารพาณิชย์ ปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากให้สูงขึ้นเพื่อคนออมทรัพย์มากขึ้น เป็นต้น หรืออาจใช้นโยบายการคลัง อาทิ การเก็บภาษีประชาชนเพิ่ม เป็นต้น หรืออาจใช้นโยบายอื่น ๆ เช่น ควบคุมราคาสินค้า ควบคุมต้นทุนการผลิต ควบคุมค่าจ้างแรงงานไม่ให้สูงขึ้น เป็นต้น

ข้อเสีย คือ สินค้านำเข้าแพงกว่าเดิม

ข้อดี คือสินค้าส่งออกประเทศเราจะมีราคาถูกลง เวลาส่งออกไปขายแข่งกับประเทศอื่น ราคาที่ถูกกว่าประเทศอื่นจะทำให้ขายได้มากขึ้น

- USD/THB อ่อนค่าเล็กน้อยที่ 30.04 โดยมีแรงซื้อดอลลาร์ในช่วงปลายตลาด อย่างไรก็ดีตลอดทั้งวัน ค่าเงินบาทแกว่งตัวในกรอบแคบๆ จากที่มีแรงเทขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯจากผู้ส่งออก ซึ่งกดดันให้เงินบาททรงตัวอยู่ได้ สัปดาห์นี้คาดปรับตัวขึ้นไปที่ 30.20

- EUR/USD อยู่ที่ระดับ 1.365 โดยยูโรอ่อนค่า หลังมีความเสี่ยงมากขึ้นที่กรีซอาจไม่สามารถชำระหนี้ได้ในช่วงเวลาที่กำหนด จากการตัดลดงบประมาณที่ไม่มากพอ วันนี้คาดปรับตัวลงไปที่ 1.355

- USD/JPY อยู่ที่ 77.55 ทั้งนี้เงินเยนอ่อนค่าเล็กน้อย จากความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจยูโรโซน และจากการที่ทางประเทศกลุ่ม จี7 ไม่สามารถบรรลุข้อสรุป วันนี้คาดปรับตัวขึ้นไปที่ 77.85

ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์

- ราคาน้ำมันดิบ ตลาดล่วงหน้า NYMEX ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลงสู่ระดับ 87.24 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยนักลงทุนเทขายทำกำไร หลังราคาวิ่งขึ้นไปสูงก่อนหน้า อีกทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจที่ไม่ดีนักเป็นแรงกดดันราคาน้ำมันให้ย่อลง

- ราคาทองคำ ตลาด COMEX ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลงสู่ระดับ 1,859.50 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ จากแรงเทขายเมื่อนักลงทุนคาดว่า มาตรการสร้างงานของ ปธน.โอบามาจะลดความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยลง

ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ

- ตลาดหุ้นไทย ปิดลบเกือบ 1% ตามทิศทางในภูมิภาคที่ลดลง จากแรงเทขายในหุ้นกลุ่ม พลังงาน แบงก์ และอสังหาริมทรัพย์ หลังจากที่ไม่ได้รับปัจจัยบวกที่ชัดเจนจากมาตรการการจ้างงานของ ปธน.โอบามา

- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ลดลงมากกว่า 2% หลังนักลงทุนมีความกังวลต่อความเป็นไปได้ที่กรีซจะผิดนักชำระหนี้ เมื่อกรีซไม่สามารถหาเงินมาชำระหนี้ จากการขายพันธบัตร และการตัดลดงบประมาณที่มากพอ

อัตราดอกเบี้ย

ไทย ตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน (Repo rate) 3.50%

สหรัฐฯ Fed Funds rate 0-0.25%

ยูโรโซน Refinancing Rate 1.50%

อังกฤษ Repo Rate 0.50%

ญี่ปุ่น Official Cash Rate 0.00-0.10%

ตลาดหุ้นที่สำคัญ

- ตลาดหุ้นไทย ปิดลบเกือบ 1% ตามทิศทางในภูมิภาคที่ลดลง จากแรงเทขายในหุ้นกลุ่ม พลังงาน แบงก์ และอสังหาริมทรัพย์ หลังจากที่ไม่ได้รับปัจจัยบวกที่ชัดเจนจากมาตรการการจ้างงานของปธน.โอบามา อีกทั้งนักลงทุนอาจถือหุ้นลดลงในช่วงวันสุดท้ายของสัปดาห์ จึงมีแรงเทขายในช่วงบ่าย

- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ลดลงมากกว่า 2% หลังนักลงทุนมีความกังวลต่อความเป็นไปได้ที่กรีซจะผิดนักชำระหนี้ เมื่อกรีซไม่สามารถหาเงินมาชำระหนี้ จากการขายพันธบัตร และการตัดลดงบประมาณที่มากพอ อย่างไรก็ดี ทางฝั่งเยอรมันได้เตรียมความพร้อมต่อระบบธนาคารของตน หากมีการผิดนัดชำระหนี้จริง

ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์

- ราคาน้ำมันดิบ ตลาดล่วงหน้า NYMEX ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลงสู่ระดับ 87.24 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยนักลงทุนเทขายทำกำไร หลังราคาวิ่งขึ้นไปสูงก่อนหน้า อีกทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจที่ไม่ดีนักเป็นแรงกดดันราคาน้ำมันให้ย่อลง นอกจากนี้ได้มีความผ่อนคลายด้านอุปทานน้ำมันจากภายุในสหรัฐฯ และสถานการณ์ในลิเบียมี่คลี่คลาย

- ราคาทองคำ ตลาด COMEX ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลงสู่ระดับ 1,859.50 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ จากแรงเทขายเมื่อนักลงทุนคาดว่า มาตรการสร้างงานของ ปธน.โอบามาจะลดความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยลง อย่างไรก็ดี ปัญหายุโรปยังคงเป็นส่วนหนุนให้นักลงทุนต้องการทองคำอยู่

ตลาดเงินนิวยอร์ค

- EUR/USD อยู่ที่ระดับ 1.365 โดยยูโรอ่อนค่า หลังมีความเสี่ยงมากขึ้นที่กรีซอาจไม่สามารถชำระหนี้ได้ในช่วงเวลาที่กำหนด จากการตัดลดงบประมาณที่ไม่มากพอ และ จากการที่ทางอีซีบีอาจไม่ให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพิ่มเติม อีกทั้งปัญหาหนี้กรีซอาจส่งผลให้เจ้าหนี้ที่เป็นธนาคารพาณิชย์ฝรั่งเศส ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลง ซึ่งจะกระทบต่อความเชื่อมั่นในสกุลเงินยูโร

ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

- USD/JPY อยู่ที่ 77.55 ทั้งนี้เงินเยนอ่อนค่าเล็กน้อย จากความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจยูโรโซน และจากการที่ทางประเทศกลุ่ม จี7 ไม่สามารถบรรลุข้อสรุปในการให้ความช่วยเหลือประเทศที่มีปัญหาหนี้ คาดว่าเงินเยนที่ร่วงลงเป็นการปรับตัวทางเทคนิค ที่อาจกระเตื้องขึ้นเมื่อสถานการณ์ทางการเงินยุโรป มีความชัดเจนกว่านี้

- GPB/USD อยู่ที่ระดับ 1.5880 ทั้งนี้ปอนด์อ่อนค่า หลังจากธนาคารกลางอังกฤษคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำ และจะอัดฉีดเงินเข้าระบบอีกต่อไป เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดี และสถานการณ์หนี้ยูโรโซน ได้ส่งผลให้นักลงทุนมีความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงลดลง

ตลาดเงินเอเชีย

- สกุลเงินเอเชีย ส่วนใหญ่ปรับอ่อนค่า นำโดยดอลลาร์สิงคโปร์ ที่นักลงทุนเทขายทำกำไร หลังจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยูโรโซน ส่งผลให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะเงินสิงคโปร์ที่แข็งค่าไปก่อนหน้า

- USD/THB อ่อนค่าเล็กน้อยที่ 30.04 โดยมีแรงซื้อดอลลาร์ในช่วงปลายตลาดวันศุกร์ อย่างไรก็ดีตลอดทั้งวัน ค่าเงินบาทแกว่งตัวในกรอบแคบๆ จากที่มีแรงเทขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯจากผู้ส่งออก ซึ่งกดดันให้เงินบาททรงตัวอยู่ได้

ข้อ 3 การควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่สำคัญมาก ท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ และ บอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

ตอบ นโยบายสินเชื่อ คือ สิ่งที่องค์กรของธุรกิจกำหนดขึ้นมาเพื่อเป็นแนวทางกำหนดคุณสมบัติ ผู้ที่จะมาเป็นลูกหนี้การค้าซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการพิจารณาเครดิตและการกำหนดวงเงินสินเชื่อของลูกค้าแต่ละราย ซึ่งได้รวมถึงการให้เงื่อนไขการชำระเงิน และวิธีการเก็บเงินโดยต้องเก็บเงินให้ได้ตรงตามกำหนด และเพื่อป้องกันไม่ให้หนี้เสียหรือหนี้สูญต่อไปในอนาคต นโยบายสินเชื่อและเครดิต จึงมีความสำคัญต่อธุรกิจและต้องนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายต้องให้ความสำคัญและดำเนินงานภายใต้กรอบของนโยบายสินเชื่อของธุรกิจ(บริษัท)เพื่อใช้ในการพิจารณาเครดิตลูกค้าจะช่วยลดความเสี่ยงและทำให้เก็บเงินจากลูกค้าได้ตามกำหนดแต่นโยบายสินเชื่อจะไม่มีความหมายเลยหากผู้ปฏิบัติงานไม่ต้องการจะปฏิบัติหรือปฏิบัติโดยขาดความเข้าใจอย่างถ่องแท้กฎระเบียบดังกล่าวก็จะไม่มีคุณค่าเปรียบเหมือนเศษกระดาษทั่วๆไปเท่านั้นเอง “นโยบายสินเชื่อและเครดิต”ไม่ใช่เป็นของแผนกเครดิตแต่เป็นหลักเกณฑ์ที่องค์กรของธุรกิจเป็นผู้กำหนดขึ้นมาจึงมีความสำคัญต่อธุรกิจในระยะสั้นและระยะยาวสามารถช่วยให้ธุรกิจมีกำไรและสภาพคล่อง

วัตถุประสงค์

1.เพื่อให้การบริหารจัดการบัญชีลูกหนี้ได้ถูกวิธีและมีผลงานทางด้านจัดเก็บบัญชีลูกหนี้ได้มากขึ้น

2.เพื่อพัฒนาบุคคลากร ให้เกิดความเข้าใจและสามารถนำทักษะจากการฝึกอบรมมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

3.เพื่อลดเวลาและลดต้นทุนในการติดตามหนี้ให้น้อยลง

การควบคุมภายในและการตรวจสอบภายใน

คณะกรรมการบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ให้ความสำคัญต่อการควบคุมภายในที่ดีและผูกพันในการดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมที่ตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการความเสี่ยงและความเพียงพอของการควบคุมภายในสำหรับการดำเนินงานทุกด้านของ บสย. โดย บสย. กำหนดให้ทุกหน่วยงานของ บสย. ยึดถือแนวปฏิบัติที่ดีเกี่ยวกับการควบคุมภายในเพื่อเป็นหลักในการดำเนินธุรกิจของ บสย. และเพื่อเป็นหลักปฏิบัติของพนักงาน นอกจากนี้ยังกำหนดให้มีการสอบทานประสิทธิผลและความพอเพียงของกระบวนการบริหารความเสี่ยงและระบบการควบคุมภายใน โดยคณะกรรมการตรวจสอบ ผ่านการหารือ และประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้ตรวจสอบภายใน ซึ่งสาระสำคัญประกอบด้วยการพิจารณาความเหมาะสมของขอบเขต ภาระความรับผิดชอบ แผนการปฏิบัติงาน รวมถึงผลการประเมินความเพียงพอและคุณภาพของระบบการควบคุมภายใน และรายงานต่อคณะกรรมการ บสย. ในกรณีที่มีข้อเสนอแนะ หรือพบข้อบกพร่องที่เป็นสาระสำคัญ เพื่

ต่อข้อ 3

บสย. ให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลที่ดีโดยจัดทำนโยบายการกำกับดูแลกิจการที่ดี และระเบียบปฏิบัติงาน รวมทั้งคู่มือระบบควบคุมภายในไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งยังจัดให้มีคู่มือพนักงานกำหนดระเบียบวินัยของพนักงาน จรรยาบรรณในวิชาชีพ รวมถึงกำหนดบทลงโทษการกระทำความผิดระเบียบวินัย และความผิดขั้นร้ายแรงไว้ด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้การปฏิบัติงานของพนักงานมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป็นธรรมต่อผู้มีส่วนได้เสีย นอกจากนี้ยังได้จัดให้มีการสอบทานการปฏิบัติงานและการควบคุมภายในโดยผู้ปฏิบัติงานเป็นประจำ เพื่อเสริมสร้างให้ผู้ปฏิบัติงานเกิดความรอบคอบ ระมัดระวังในการปฏิบัติงาน บสย. กำหนดให้กิจกรรมการควบคุมเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปฏิบัติงานและจัดโครงสร้างการควบคุมที่เหมาะสมในทุกส่วนงาน กระบวนการปฏิบัติงานจะถูกกำหนดให้มีการแบ่งแยกหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ผู้ติดตามควบคุมและประเมินผลออกจากกัน เพื่อให้เกิดการถ่วงดุลและการตรวจสอบระหว่างกันอย่างเหมาะสม สำหรับกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ จะได้รับการระบุและดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับต่างๆ ที่เกี่ยวข้องของ บสย. การตรวจสอบและการติดตามดูแลการดำเนินงานของ บสย. โดยสำนักตรวจสอบภายในใช้เกณฑ์ความเสี่ยง ซึ่งครอบคลุมการปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของทางราชการ นโยบายระเบียบปฏิบัติและจรรยาบรรณในการปฏิบัติงานของ บสย. การประเมินความเพียงพอของระบบการควบคุมภายในและการจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม การรายงานผลการกำกับและตรวจสอบต่อกรรมการและผู้จัดการทั่วไป และผู้บริหาร เพื่อพิจารณาดำเนินการแก้ไข และได้นำเสนอต่อคณะกรรมการตรวจสอบเป็นประจำทุก 2 เดือน นอกจากนี้สำนักตรวจสอบ

แนวปฏิบัติทั่วไปในการติดตามทวงถามหนี้กับลูกหนี้

(1)เวลาและความถี่ในการติดต่อเพื่อการติดตามทวงถามหนี้ ในการติดต่อลูกหนี้เพื่อติดตามทวงถามหนี้ ให้ดำเนินการภายในเวลา 08.00 น. ถึง 20.00 น. ในวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ยกเว้นวันหยุดราชการ ให้ดำเนินการภายในเวลา 08.00 น. ถึง 18.00 น. ทั้งนี้ โดยมีความถื่ในการติดตามที่เหมาะสม

(2)การแสดงตัวเพื่อวัตถุประสงค์ในการติดตามทวงถามหนี้ ให้ผู้ประกอบธุรกิจและผู้ให้บริการเรียกเก็บหนี้แสดงตัวต่อลูกหนี้ โดยแจ้งชื่อและวัตถุประสงค์ในการติดต่อให้ลูกหนี้ได้รับทราบอย่างถูกต้องเหมาะสม และในกรณีที่ผู้ให้บริการเรียกเก็บหนี้ติดต่อกับลูกหนี้โดยตรง (face to face) ให้ผู้ให้บริการเรียกเก็บหนี้แสดงเอกสารซึ่งแสดงให้เห็นว่าตนได้รับอนุญาตจากผู้ประกอบธุรกิจให้ติดตามทวงถามหนี้แทนด้วย

(3)วิธีการเรียกเก็บหนี้

(3.1) ไม่ให้เรียกเก็บหนี้จากบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ลูกหนี้ เช่น ญาติพี่ น้องหรือเพื่อนร่วมงาน เว้นแต่ได้รับการยินยอมจากลูกหนี้หรือเป็นสิทธิตามกฎหมาย

(3.2) ไม่ใช้ความรุนแรงเพื่อนให้ลูกหนี้ชำระหนี้ เช่น ทำร้ายร่างกาย ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของลูกหนี้

(3.3) ไม่ปลอมแปลง บิดเบือนข้อมูล เอกสารหรือแสดงท่าทางอันทำให้ลูกหนี้สำคัญผิด เช่น

(3.3.1) ไม่ปลอมแปลงหรือบิดเบือนว่าเป็นบุคคลอื่น หรือใช้ชื่ออื่นนอกเหนือจากชื่อจริง รวมถึงไม่ปลอมแปลงหรือบิดเบือนข้อมูลในการแสดงตัวหรืออำนาจหน้าที่ของผู้ให้บริการเรียกเก็บหนี้ ไม่ใช้สัญลักษณ์หรือแสดงท่าทางเพื่อทำให้ลูกหนี้สำคัญผิดว่า มาจากหน่วยงานของรัฐ หรือบริษัทข้อมูลเครดิต

(3.3.2) ไม่ปลอมแปลง หรือบิดเบือนเพื่อให้ลูกหนี้สำคัญผิดว่าเอกสารเรียกเก็บหนี้ หรือเอกสารที่ใช้ในการติดต่อกับลูกหนี้นั้น ออกหรือได้รับอนุญาตหรือการรับรองจากหน่วยงานของรัฐหรือบริษัทข้อมูลเครดิต หรือทำให้ลูกหนี้เข้าใจผิดในสาระสำคัญทางกฎหมายของเอกสารดังกล่าว

(3.3.3) ไม่ปลอมแปลง บิดเบือน หรือแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จเกี่ยวกับยอดหนี้เกินกว่าที่มีอยู่ตามกฎหมาย เช่น ประเภท จำนวน สถานะปัจจุบัน หรือค่าธรรมเนียมจากการเรียกเก็บหนี้ เป็นต้น หรือแสดงท่าทางอื่นใดอันเป็นเท็จเพื่อให้ลูกหนี้สำคัญผิดในการชำระหนี้

(3.4) ไม่ข่มขู่ หรือคุกคามในลักษณะที่ผิดกฎหมาย เช่น

(3.4.1) ข่มขู่ว่าจะใช้ความรุนแรง ทำร้ายร่างกาย ทรัพย์สินหรือชื่อเสียงของลูกหนี้หรือของบุคคลอื่น หรือข่มขู่ว่าจะฟ้องร้องด้วยความอันเป็นเท็จว่าลูกหนี้กระทำผิดกฎหมายหากไม่ชำระหนี้

(3.4.2) ข่มขู่ว่าจะเพิ่มค่าธรรมเนียมทนายความ ค่าสืบสวนค่าบริการในการติดตามทวงถามหนี้ ค่าบริการทางการเงิน หรือค่าธรรมเนียมอื่นใดซึ่งไม่สามารถเรียกเก็บได้จริงตามกฎหมาย

(3.4.3) ข่มขู่ว่าจะกระทำการใด ๆ ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจและผู้ให้บริการเรียกเก็บหนี้ไม่เจตนาที่จะกระทำหรือไม่สามารถกระทำได้จริงตามกฎหมาย

(3.4.4) ข่มขู่ว่าจะปลอมแปลงหรือเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับยอดหนี้ของลูกหนี้อันเป็นเท็จหรือข้อมูลอื่นเพื่อทำลายชื่อเสียงของลูกหนี้

(3.5) ไม่รบกวน หรือรังควานลูกหนี้โดยไม่มีเหตุอันสมควร เช่น

(3.5.1) การติดต่อทางโทรศัพท์หลายครั้งโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร หรือทำให้โทรศัพท์ดังอย่างต่อเนื่องเพื่อทำให้ลูกหนี้หรือบุคคลอื่นเกิดความรำคาญ

(3.5.2) การติดต่อด้วยโทรศัพท์กับลูกหนี้หรือบุคคลอื่นโดยไม่เปิดเผยชื่อ

(3.6) ไม่ใช้ภาษาหยาบคาย ข่มขู่ ดูหมิ่นหรือส่อให้เห็นถึงผลกระทบที่มีลักษณะเป็นการข่มขู่ลูกหนี้หรือผู้ทีเกี่ยวข้องกับลูกหนี้ หรือทำให้ลูกหนี้สำคัญผิดว่าลูกหนี้ได้กระทำสิ่งที่ผิดกฎหมายหรือผิดศีลธรรมอันดีงาม

(4) การเก็บรักษาความลับของลูกหนี้ ให้ผู้ประกอบธุรกิจและผู้ให้บริการเรียกเก็บหนี้ใช้ความระมัดระวังเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพในการเก็บรักษาความลับของลูกหนี้ และไม่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับหนี้ของลูกหนี้ระหว่างการติดต่อกับบุคคลอื่น เว้นแต่ได้รับการยินยอมจากลูกหนี้ เช่น

(4.1) ไม่เปิดเผยข้อความ หรือสัญลักษณ์ที่แสดงให้ทราบว่าลูกหนี้มีหนี้สิน ซึ่งมีเจตนาให้เข้าถึงได้เป็นการทั่วไปและทำให้ลูกหนี้เกิดความอับอาย เช่น การใช้ไปรษณียบัตร หรือโทรสาร ทั้งนี้ในการติดต่อทางจดหมาย บริเวณด้านนอกซองจดหมายไม่ควรระบุข้อความหรือสัญลักษณ์อื่นใดอันแสดงให้ทราบว่าลูกหนี้มีหนี้สิน นอกเหนือจากที่อยู่และชื่อของผู้เรียกเก็บหนี้

(4.2) ในการติดต่อกับนายจ้างของลูกหนี้ ให้ติดต่อโดยมีความถี่ที่เหมาะสมเพื่อยืนยันการจ้างงานหรือที่อยู่ของลูกหนี้เท่านั้น กล่าวคือ สอบถามได้เฉพาะว่าลูกหนี้เป็นพนักงานอยู่หรือไม่ และต้องไม่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับหนี้สินของลูกหนี้

(4.3) ในการติดต่อกับบุคคลในครอบครัวของลูกหนี้ ให้ติดต่อโดยมีความถี่และในสถานที่ที่เหมาะสม และต้องไม่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับหนี้สินของลูกหนี้

(4.4) ไม่ควรติดต่อบุคคลอื่นเพื่อติดตามทวงถามหนี้นอกเหนือจากบุคคลที่กล่าวไว้ตามข้อ (4.2) และ (4.3) เว้นแต่เป็นการติดต่อเพื่อสอบถามที่อยู่ของลูกหนี้หรือได้รับคำยินยอมจากลูกหนี้

(5) การรับเงินจากลูกหนี้ ให้ผู้ประกอบธุรกิจและผู้ให้บริการเรียกเก็บหนี้มีระบบและหลักฐานการรับเงินจากลูกหนี้ทีเหมาะสมและมีผลในทางกฎหมาย

4.2.2การว่าจ้างผู้ให้บริการเรียกเก็บหนี้เรียกเก็บหนี้แทน

(1)การว่าจ้างผู้ให้บริการเรียกเก็บหนี้

(1.1)ในการใช้บริการผู้ให้บริการเรียกเก็บหนี้ ผู้ประกอบธุรกิจจะต้องรับผิดชอบต่อลูกหนี้และบุคคลภายนอกเสมือนผู้ประกอบธุรกิจเป็นผู้ดำเนินการเอง และต้องจัดให้มีการทำสัญญาว่าจ้างเป็นลายลักษณ์อักษร รวมทั้งดูแลการปฏิบัติงานของผู้ให้บริการเรียกเก็บหนี้ให้มีมาตรฐานเช่นเดียวกับที่ผู้ประกอบธุรกิจดำเนินการเอง

(1.2)ผู้ประกอบธุรกิจต้องแจ้งให้ลูกหนี้ทราบตั้งแต่ในเวลาที่ลูกหนี้ขอกู้เงินว่าจะใช้บริการบุคคลอื่นในการติดตามทวงถามหนี้รวมถึงระบุค่าใช้จ่ายที่คาดว่าอาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว

ข้อ4. จงอธิบายถึงอัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratio) ที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ พร้อมทั้งอธิบายลงไปในรายละเอียดด้วยว่ามีวิธีการพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้

ตอบ 1.การวิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity Ratio)

  1.1 อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนหรืออัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio) อัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current Ratio) = สินทรัพย์หมุนเวียน (CA)/หนี้สินหมุนเวียน (CL) วัด ความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น ถ้าค่าที่คำนวณได้สูงเท่าใด แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนที่ประกอบไปด้วย เงินสด ลูกหนี้ และสินค้าคงเหลือมากกว่าหนี้ระยะสั้น ทำให้คล่องตัวในการชำระหนี้ระยะสั้นมีค่อนข้างมาก โดยปกติอัตราส่วน 2 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว

  1.2 อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio or Acid Test Ratio) อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio) = (สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงเหลือ)/หนี้สินหมุนเวียน หรือ (Quick Ratio = CA - Inventory)/CL เป็นการวัดส่วนของสินทรัพย์ที่ได้หักค่าสินค้าคงเหลือ ที่เป็นสินทรัพย์ระยะสั้นและมีความคล่องตัวในการเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ต่ำสุด ออก เพื่อให้ทราบถึงสภาพคล่องที่แท้จริงของกิจการได้ โดยปกติอัตราส่วน 1 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว

1.3 อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover) อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover) A/R Turnover = ขายเชื่อสุทธิ หรือใช้ยอดขายรวม (ครั้ง หรือ รอบ)/ลูกหนี้ถัว เฉลี่ย ลูกหนี้ถัว เฉลี่ย = (ลูกหนี้ต้นงวด + ลูกหนี้ปลายงวด)/2 หากค่าที่คำนวณได้ มีค่าสูง แสดงถึงความสามารถในการบริหารลูกหนี้ให้แปลงสภาพเป็นเงินสดได้เร็ว

  1.4 ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Average Collection Period) ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Avg. Collection Period) (วัน) = 365 วัน/อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ ยิ่งต่ำยิ่งดี แสดงให้เห็นถึงระยะเวลาในการเรียกเก็บหนี้ว่าสั้นหรือยาว เพื่อให้ทราบถึงคุณภาพของลูกหนี้ ประสิทธิภาพในการเรียกเก็บหนี้ และนโยบายในการให้สินเชื่อทางธุรกิจ

1.5 อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover) อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover) = ต้นทุนสินค้าขาย (COGS)/สินค้าคงเหลือเฉลี่ย (Avg. Inventory) สินค้าคงเหลือเฉลี่ย =(สินค้าต้นงวด + สินค้าปลายงวด)/2 หากค่าคำนวณได้สูง ย่อมแสดงถึงความสามารถในการบริหารการขายสินค้าได้เร็ว

1.6 ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า(วัน) = 365 (วัน)/อัตราหมุนเวียนของสินค้า (Inventory Turnover) ยิ่งขายได้เร็ว (ระยะเวลาสั้น) ยิ่งดี 2.ความสามารถในการหากำไร (Profitability Ratio)

  1.1 อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin

) 1.2 อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit Margin) 1.3 อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)

1.4 อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Return On Equity or ROE) อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)(%) = ขายสุทธิ - ต้นทุนขาย หรือ SALES - COGS/ขายสุทธิ SALES = กำไรขั้นต้น หรือ Gross Profit/ขายสุทธิ SALES ยิ่งสูงยิ่งดี อัตรากำไรจากผลการดำเนินงาน(Operating Profit Margin)(%) = กำไรจากการดำเนินงาน(Operating Profit Margin)/ขายสุทธิ (SALES) ยิ่งสูงยิ่งดี อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)(%) = กำไรสุทธิ (Net Profit)/ขายสุทธิ (SALES) ยิ่งสูงยิ่งดี แสดงให้เห็นประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทในการทำกำไร หลังจากหักต้นทุนค่าใช้จ่ายรวมทั้งภาษีเงินได้หมดแล้ว ผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE %) = กำไรสุทธิ (Net Profit)/ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) ยิ่งสูงยิ่งดี แสดงให้เห็นว่าเงินลงทุนในส่วนของเจ้าของ จะได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาจากการดำเนินการของกิจการนั้นในอัตราส่วนเท่าไร หากมีค่าสูง แสดงถึงประสิทธิภาพในการหากำไรสูงด้วย Dupont Equation ROE (%) = NP (or EAT) = (EAT/SALES) (SALES/ASSETS) (ASSETS/EQUITY) /Equity หรือ ROE (%) =รายได้จากการขาย สินทรัพย์ทั้งหมด= กำไรสุทธิ X รายได้จากการขาย X สินทรัพย์ทั้งหมด / ส่วนของผู้ถือหุ้น = (ความสามารถในการหากำไร) (การใช้เงินทุน) (ความสามารถในการหาทุน) หรือ สมการนี้เท่ากับ ROE (%) = (Net Profit Margin) (Total Asset Turnover) (Financial Leverage) 3. อัตราส่วนแสดงประสิทธิภาพในการทำงาน (Efficiency Ratio) อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม (ROA)(%) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /สินทรัพย์รวม (Total Assets) ยิ่ง สูงยิ่งดี เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรของสินทรัพย์ทั้งหมดที่ธุรกิจใช้ในการ ดำเนินงาน ว่าให้ผลตอบแทนจากการดำเนินงานได้มากน้อยเพียงใด หากมีค่าสูง แสดงถึงการใช้สินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ถาวร (ROFA) = กำไรสุทธิ (Net Profit or NP)/รวมสินทรัพย์ถาวร (Fix Assets) อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Turnover) อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Turnover)(ครั้ง) = ขายสุทธิ (SALES)/สินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset) ยิ่งสูงยิ่งดี อัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total Assets Turnover) อัตราส่วนการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total Assets Turnover) (ครั้งหรือเท่า) = ขายสุทธิ (SALES)/สินทรัพย์รวม (Total Assets) จำนวน ครั้งสูง ดี เป็นอัตราส่วนที่แสดงถึงประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ทั้งหมด (TA) เมื่อเทียบกับยอดขาย (SALES) ถ้าอัตราส่วนนี้ต่ำ แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์มากเกินความต้องการ 4. อัตราส่วนวิเคราะห์นโยบายทางการเงิน (Leverage Ratio or Financial Ratio) เพื่อให้ทราบถึงแหล่งที่มาของเงินทุนว่ามาจากหนี้สินหรือส่วนของเจ้าของ ว่ามีมากน้อยเพียงใด อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt/Equity Ratio) (เท่า) = หนี้สินรวม (Total Debt)/ส่วนของเจ้าของ (Equity) ยิ่งต่ำยิ่งดี แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงในด้านเจ้าหนี้และเจ้าของกิจการ ถ้าอัตราส่วนสูงแสดงว่า กิจการมีความเสี่ยงจากการกู้ยืมเงินมาใช้ในการดำเนินกิจการ ความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest Coverage) (เท่า) = {กำไรสุทธิ (NP) + ภาษีเงินได้ (Tax) - ดอกเบี้ยจ่าย(Interest)}/ดอกเบี้ยจ่าย (Interest) เป็นการวัดความสามารถของธุรกิจในการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ ผลคำนวณออกมามีค่าสูง แสดงว่าธุรกิจมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยสูง อัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout) = เงินปันผลต่อหุ้น (Dividend/share)/กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) แสดงถึงนโยบายการจ่ายเงินปันผลของธุรกิจ อัตราส่วนที่กล่าวมาเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์หลักทรัพย์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน เพื่อท่านจะได้พิจารณางบการเงินได้ในระดับหนึ่ง สัญญาณเตือนภัยจากการวิเคราะห์งบการเงิน

1. ขาดทุนมาก ๆ และติดต่อกันหลายปี

  2. ระยะเวลาการเก็บหนี้นานขึ้น

3. อัตราหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของสูงขึ้นเร็วมาก

4. สินค้าคงคลังสูงมากผิดปกติ

5. ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น

6. ยอดขายสูงขึ้น แต่กำไรลดลง

  7. หนี้สูญเพิ่มขึ้น

8. รายงานผู้สอบบัญชีผิดปกติ เปลี่ยนผู้สอบบัญชีใหม่

  9. ขายสินทรัพย์ของบริษัท เพื่อสร้างกำไรให้เข้าเป้าในระยะสั้น

ข้อ 5. ท่านคิดว่างานพิธีการสินเชื่อมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด เมื่อเปรียบเทียบกับงานด้านการตลาดสินเชื่อ และถ้าต้องทำงานทั้ง 2 ด้านในคนเดียวกันในสาขาของธนาคารแห่งหนึ่งนั้น ท่านจะบริหารจัดการเวลาของตนเองและการบริหารความเสี่ยงของธนาคารให้มี ประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผลได้อย่างไร

ตอบ ทบทวนผลการติดต่อกับลูกค้าทุกรายอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อทราบว่ามีการเดินบัญชีสม่ำเสมอหรือไม่ ชำระเงินต้นดอกเบี้ย ตรงตามเงื่อนไขหรือไม่ ทบทวนผลการประกอบการลูกค้าจากการวิเคราะห์งบการเงิน ซึ่งเป็นการวิเคราะห์เชิงประมาณด้านอื่นๆ เช่น การบริการงาน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทบทวนหรือสำรวจหลักประกันว่ามีสภาพไม่ด้อยไปจากเดิม เยี่ยมชมกิจการของลูกค้า โดยปกติพนักงานสินเชื่อจะมีโอกาสในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่จะนำของขวัญไปอวยพรให้กับลูกค้า

ข้อ 6. เมื่อท่านได้ศึกษาเพาเวอร์พอยท์ เรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคาร ไปนั้น ขอให้ท่านจับประเด็นให้ได้ว่ามีประเด็นใดบ้างที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียม ตัวมากู้เงินจากธนาคาร และประเด็นเหล่านั้นธนาคารสามารถตรวจสอบได้อย่างไร

ตอบ วิธีแรกที่มักพบเห็น ก็คือ นำ เงินบริษัทและบริษัทในเครือ ไปหาประโยชน์จากการซื้อขายหุ้น วิธีนี้ถือว่า “เบสิก” ที่สุดเพราะทำ กันจนเป็นเรื่องปกติธรรมดา และมักเกิดกับบริษัทที่มีบริษัทในเครือหลายแห่ง เมื่อผู้บริหารเห็นว่าบริษัทใดทำ ท่าจะไปได้สวยก็เข้าซื้อหุ้นในราคาถูก ส่วนบริษัทใดจะไปไม่รอดก็โยก เงินของบริษัทไปซื้อหุ้นตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงแบบดื้อๆทั้งที่เมื่อพลิกดูรายชื่อกรรมการของบริษัททั้ง 2 แห่ง ก็จะพบว่าเป็นกลุ่มคนกลุ่มเดียวกันนั่นเองเรียกว่ารับกระเป๋าซ้าย จ่ายกระเป๋าขวา ทางการก็ได้แต่นั่งดูตาละห้อย เพราะกฎหมายเล่นงานไม่ได้ ถ้ามีการแจ้ง “รายการที่เกี่ยวโยง” กับตลาดหลักทรัพย์อย่างถูกต้อง และคณะกรรมการบริษัทให้การรับรองกรณีนี้มีตัวอย่างให้เห็นนักต่อนัก เช่นกรณีที่เกิดขึ้นกับกลุ่มบริษัทในเครือ เอ็นทีเอส สตีล ภายใต้การนำ ของเจ้าพ่อโรงเหล็ก “สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง” เจ้าของสโลแกน “ไม่หลบ ไม่หนี ไม่จ่าย”“ซันเทคกรุ๊ป” และ “เอ็นทีเอสสตีล กรุ๊ป” เคยควักเงินซื้อหุ้น “เหมราช พัฒนาที่ดิน” ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มตัวเองด้วยราคาแพงลิบลิ่ว แล้วตัวเองกลับรับเซ้งหุ้นซันเทคกรุ๊ปมาอีกทอดในราคาถูกๆหรือกรณีของบริษัทซีวีดี เข้าซื้อหุ้นบริษัทซีวีดี มิวสิค ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าเอาเงินบริษัทไปซื้อหุ้นจากลูกของกรรมการบางคนของบริษัทด้านบริษัทศิครินทร์ และบริษัทจุลดิศดีเวลลอป ครั้งที่อำ นาจเบ็ดเสร็จอยู่ในมือ “ธีรพจน์จรูญศรี” ก็มีพฤติกรรมทำ นองเดียวกัน รู้ทั้งรู้ว่าจุลดิศอยู่ในสภาวะสั่นคลอน ก็ยังนำ เงินศิครินทร์กว่า 214 ล้านบาท ไปซื้อหุ้นจุลดิศ และมีการตั้งค่าเผื่อเงินลงทุนลดค่าจำ นวน 177 ล้านบาท ซึ่งเป็นการกระทำ ที่ไม่ผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัท และยังถูกตั้งข้อสังเกตอีกว่าอาจนำเงินบริษัทไปซื้อหุ้นจาก “ไอ้โม่ง” พวกเดียวกัน 2. โยกเงินไปจุนเจือ “อาณาจักรส่วนตัว” วิธีการที่พบบ่อยในการผ่องถ่ายผลประโยชน์ออกจากบริษัทอีกกรณี ก็คือ “การโยกเงินบริษัทไปจุนเจือกิจการในอาณาจักรส่วนตัว” ซึ่งเป็นวิธีการสร้างความเสียหายโดยที่กฎหมายยากจะตามจิกกรณีที่พบบ่อยก็คือ “บริษัทเอ” จดทะเบียนในตลาดหุ้น ถือหุ้นเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ใน“บริษัทบี” ที่อยู่นอกตลาด แต่กลับเอาเงินก้อนโตไปจุนเจือ “บริษัทบี” ที่ตัวเองถือหุ้นใหญ่ถ้ารวยก็รวยคนเดี ยว แต่ถ้าเจ๊งก็พร้อมจะนำ “บริษัทเอ” มาร่วมเจ๊งด้วยดังนั้นเวลาอ่าน “งบการเงิน” ก็อย่าลืมพลิกไปดูหมายเหตุประกอบงบการเงิน ซึ่งเป็นส่วนที่สำ คัญที่สุด “ขยะเน่าๆ” มักซ่อนอยู่ในหมายเหตุข้างท้าย ส่วนตัวเลขกำ ไร-ขาดทุน เป็นเพียงแค่เปลือกนอกลวงตาตัวอย่างที่ครึกโครมอยู่ในขณะนี้ เห็นจะเป็นกรณีของ บริษัทเซอร์คิท อีเลคโทรนิคส์อินดัสตรีส์ กรณีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏออกมาเพราะกลุ่มเพื่อนพ้อง “งานทวี” เกิดวิวาทกันเองแฉกันไปแฉกันมา คนนอกจึงรู้ว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลซุกซ่อนอยู่อันเนื่องมาจาก “ศิวะ งานทวี” ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทนำ เงินบริษัท 471 ล้านบาท ไปปล่อยกู้ให้กับ 5 บริษัทที่มีกลุ่มของตัวเองเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ทั้งที่ทุกบริษัทประสบปัญหาขาดทุนจึงยังเป็นปริศนาอยู่ว่าบริษัทเซอร์คิทจะได้เงินกลับคืนมาหรือไม่กรณีนี้กรรมการบางคนไม่มีสิทธิเข้าโหวตเพราะเป็น “รายการที่เกี่ยวโยง” แต่ก็ใช้วิธี“ซิกแซ็ก” โอนหุ้นให้กับเลขาหน้าห้องเพื่อเข้าโหวตแทนแน่กว่านั้นก็คือสามารถกีดกันฝ่ายตรงข้ามไม่ให้เข้าประชุมคัดค้านมติได้เป็นผลสำ เร็จรายการเกี่ยวโยงดังกล่าวจึง “ผ่านฉลุย” แต่หุ้นเซอร์คิท อีเลคโทรนิคส์ ในตลาดหลักทรัพย์ ร่วงวันร่วงคืนมองดูก็รู้ว่าใคร “เจ๊ง” 3. ตั้งบริษัทส่วนตัวรับช่วงผลประโยชน์ วิธีการถ่ายเทผลประโยชน์ออกจากบริษัทเข้ากระเป๋าแสนกลอีกวิธีหนึ่งซึ่งได้รับความนิยมไม่แพ้กันก็คือ “การตั้งบริษํทส่วนตัวรับช่วงผลประโยชน์”วิธีนี้แม้จะจับมือดมได้ แต่ก็จับเข้าตะรางได้ยาก ถ้าคนทำ รู้กฎหมายอย่างดีเช่น “บริษัทเอ” ที่ตนเองถือหุ้นทั้ง 100% อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ส่วน “บริษัทบี” จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เป็นบริษัทมหาชน แต่ “บริษัทบี” จะซื้อขายอะไรก็ต้องผ่านมือ “บริษัทเอ” บริษัทส่วนตัวแบบนี้จึงได้รับผลประโยชน์แบบเนื้อๆ ยกตัวอย่างในอดีต กรณีห้างดัง “มาบุญครอง” สมัยอยู่ในมือ “ศิริชัย บูลกุล” เคยใช้วิธีตั้ง บริษัทลูกรับช่วงเช่าพื้นที่ห้างในราคาถูก แล้วเอาไปให้เช่าต่อในราคาแพงลิบลิ่ว ผู้ที่เสียประโยชน์ 4 ก็คือ ผู้ถือหุ้นและเจ้าหนี้ คนที่เจ็บใจที่สุดเป็น “คุณหญิง ชนัตถ์ ปิยะอุย” เจ้าของห้างรายใหม่ เพราะกว่าจะหมดสัญญาเช่าก็ถูก “สูบเลือด” นานโขทีเดียวอีกตัวอย่างหนึ่งคือ กรณีบริษัทฟินิคซ พัลพแอนด์ เพเพอร์ ภายใต้การบริหารงานของ“ยอร์จ โรเยอร์ เดวิสัน”รายนี้มี “ทีเด็ด” ตรงที่นำ เงินของฟินิคซฯ ไปลงทุนในบริษัทสยามโมนิกซ์ ซึ่งตนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยแจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่าลงทุนไป 125 ล้านบาท แต่กลับไปจดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ 250 ล้านบาทเงินอีก 125 ล้านบาท ของฟินิคซฯ หายไปไหนช่วยตอบทีนอกจากนั้นยังมีความลึกลับซํ้าซ้อนอื่นๆ ที่เอาผิดผู้บริหารได้ยาก เช่นการตั้งบริษัท ยูโรเปี้ยนโอเวอร์ซีส์ ดีเวลลอปเม้นท์ คอร์ปอเรชั่น หรือ EODC (Asia) ขึ้นมา เพื่อฟินิคซฯ จะสั่งซื้อเครื่องจักร หรือวัตถุดิบจากต่างประเทศ หรือทำ ธุรกรรมเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ บริษัทนี้ก็จะเข้ามาเป็น “นายหน้า” ซื้อขายให้ ทุกครั้งของการซื้อ บริษัทต้องจ่ายเงินแพงกว่าปกติค่อนข้างมากแถมผู้บริหารยังออกไปตั้งบริษัทกินรีอินดัสตรีส์ ทำ ธุรกิจเหมือนกับ ฟินิคซฯ ทุกอย่าง ซึ่งอาจจะตีความได้ว่าเป็นการเตรียมการล่วงหน้า สำ หรับการ “ชิ่ง” ออกจากฟินิคซฯ 4. ซื้อสินทรัพย์สูงกว่าราคาจริง วิธีการโยกเงินเข้ากระเป๋าที่แนบเนียนอีกวิธีหนึ่ง ที่ผู้บริหารหัวใสชอบทำ เพราะรับทรัพย์ เร็ว แต่ต้องยอมเสี่ยงตะราง ก็คือ ซื้อ/ขายสินทรัพย์และเงินลงทุนสูงหรือตํ่ากว่าความเป็นจริง วิธีนี้ ทำ ง่าย และสะดวก ถ้ากรรมการบริษัทหรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงร่วมเป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวกัน สินทรัพย์ยอดนิยมที่ถูกนำ มาใช้เป็นกลไกถ่ายเทผลประโยชน์ทีดี่ที่สุดก็คือ “ที่ดิน” ซึ่ง ฟันธงได้เลยว่า สาเหตุที่ทำ ให้ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์กร หรือบีบีซีต้องล่มจมไปในวันนี้ ส่วน หนึ่งเป็นเพราะมีนักการเมืองบางกลุ่ม ร่วมกับกลุ่มผู้บริหารของธนาคารนำ ที่ดินที่อยู่ไกลสุดกู่ มี ราคาประเมินไร่ละเพียง 1-2 หมื่นบาท ไปขอคํ้าประกันเงินกู้จากบีบีซี ในราคาไร่ละ 5 แสนบาท หรือแพงกว่าราคาประเมินถึง 50 เท่า โดยใช้ชื่อ คนขับรถหรือคนใกล้ชิดไปขอกู้ กระบวนการต่อไปคือผ่องถ่ายเงินไปอีก 2-3 ทอดผ่านบริษัท หรือคนกลาง ก่อนจะโยกเข้า กระเป๋าแสนกลเพื่อป้องกันการถูกล้วงลึกมาถึงตัว รายละเอียดของกรณีตัวอย่างนี้อาจเสาะหาได้ที่ นักการเมืองคนที่ชื่อ “สุชาติ ตันเจริญ”ฟินิคซ พัลพฯ ก็ใช้วิธีการเดียวกันนี้ โดยกรรมการของบริษัทบางคน ซื้อที่ดินมาไร่ละ 2.25หมื่นบาท แต่ใช้อำ นาจของตัวเองบีบให้บริษัทซื้อต่อในราคาสูงถึงไร่ละ 1.2 แสนบาท“เจ้าสัวแบงก์” บางคนก็ยังทำ เรื่องแบบนี้ เพราะต้องการระบายที่ดินของตัวเองจึงให้แบงก์ เข้ามารับซื้อ ในท้ายที่สุด ผู้ถือหุ้นทั้งหมด ก็ต้องเข้ามาร่วม “แชร์” ส่วนขาดทุน กลยุทธ์แบบนี้วงการแพทย์ก็ยังนำ ไปใช้ โดยเฉพาะเรื่อง “ฉาวโฉ่” กรณีปั่นราคายาจนแพง หูฉี่ ทั้งที่ต้นทุนแค่นิดเดียว ส่วนเกินที่เกิดขึ้นถูกนำ ไปแจกจ่ายแบ่งเปอร์เซ็นต์กันจนรวยไม่รู้เรื่อง 5. ขายสินทรัพย์ถูกกว่าความเป็นจริง กรณีขายสินทรัพย์ของบริษัทในราคาถูกเกินจริงก็เป็นการถ่ายเทผลประโยชน์ออกจากบริษัท อีกวิธีหนึ่ง วิธีนี้เขาเรียกว่า “โยกของดีมาไว้กับตัว”เกิดขึ้นแล้วกับบริษัทศิครินทร์ ที่นั่นเขาตอบแทนกรรมการบริษัทบางคนด้วยโรงพยาบาล“เทพารักษ์” ทั้งหลังโดยลงบัญชีว่าขายไปในราคา 10 ล้านบาท10 ล้านบาท ราคานี้สร้างอย่างไรก็ไม่มีทางได้ เท่านั้นยังไม่พอยังใช้วิธีตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญทั้งจำ นวน พูดง่ายๆ ว่ายกให้กันฟรีๆ ไปเลย 6. เทคโอเวอร์ เพื่อโยก “ของเน่า” เข้าบริษัท วิธีโยกของเน่าเสียเข้ามาไว้ในบริษัท ส่วนใหญ่จะทำ ผ่านกระบวนการเทคโอเวอร์ ซึ่งบางคนมองเห็นแต่ด้านดีเพียงด้านเดีย แต่หากติดตามดูจะพบว่า 10 กว่าบริษัทที่ ราเกซ สักเสนา ไปเทคโอเวอร์ ในสมัยที่เขายังเถลิงอำ นาจร่วมกับ เกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ ในบีบีซี เกือบทุกบริษัทมีอาการเน่า แล้วทั้งนั้นกรณีดังกล่าวทำ ได้เพาะผู้บริหารรู้เห็นเป็นใจปล่อยให้ราเกซใช้เงินของบีบีซีเข้ามาปั่นราคาหุ้น แล้วหาคนเข้ามาเทคโอเวอร์ต่ออีกทอด โดยบีบีซีเป็นผู้สนับสนุนการเงินเพื่อทำ การเทคโอเวอร์(Leveraged Buyout-LBO)ราเกซทำ หน้าที่เพียง “จับแพะชนแกะ” ก็รับกำ ไรเนื้อๆ พร้อมๆ กับเจ้าของบริษัท ใครออกทัน “รวย” ใครออกช้าก็ “ซวย” ตามระเบียบ ทว่าขี้กองโตกลับถูกโยกไปไว้ให้ “บีบีซี” รับเละเพียงผู้เดียว 7. ผลตอบแทนกรรมการ : ผ่องถ่ายแบบแอบแฝง วิธีการผ่องถ่ายผลประโยชน์ออกจากบริษัทยังมีอีกมากมายหลายวิธี การจ่ายผลตอบแทน ให้คณะผู้บริหารสูงเกินจริง ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ใช้กันจนเป็นปกติธรรมดา โดยไม่ถือว่าผิดกฎหมาย แต่อย่างใด ในอดีตผู้บริหารไฟแนนซ์ใหญ่ๆ มักมีการจ่ายเงินเดือนกันเป็น ล้านขึ้นชื่อก็คือ บง.เอกธนกิจ ภายใต้การนำ ของ ปิ่น จักกะพาก ซึ่งเวลานี้มีข่าวว่ายังสามารถใช้ชีวิตสุขสบายในต่างประเทศ ผู้บริหารระดับท็อปของที่นี่แต่ละคนเกินเงินเดือน สูงถึง 1.2 ล้านบาททีเดียวด้าน บล.เจ.เอฟ. ธนาคม ภายใต้การบริหารของ กรณ์ จาติกวณิช ก็ไม่น้อยหน้า ในช่วงรุ่งเรืองเคยจ่ายโบนัสให้กับ ผู้บริหารสูงสุดถึง 33 เดือน เรียกว่าทำ งานปีเดียวเท่ากับรายได้ของพนักงานทั่วไปเป็นสิบๆ ปี เพียงแต่วันนี้ บล.เจ.เอฟ ธนาคม ยังยืนอยู่ได้เพราะไม่นอกกรอบมากนักส่วน บงล.วอลล์สตรท ที่เคยแจกตั๋วเครื่องบิน และพอคเก็ตมันนี่ ให้มาร์เก็ตติ้งไปชอบปิงที่ฮ่องกงเป็นโบนัสนั้น วันนี้เจ๊งไปเรียบร้อยแล้วสำ หรับบริษัทที่ขึ้นเชื่อว่าจ่ายหนักที่สุดในอดีต ก็คือ บริษัทเทเลคอมเอเซีย หรือ “ทีเอ” ในปี 2539 ครั้งที่เศรษฐกิจยังดี เคยจ่ายเงินให้คณะกรรมการบริษัทจำ นวน 16 คนรวมกันสูงถึง 60ล้านบาท เฉพาะเจ้าสัว “ธนินท์ เจียรวนนท์” คนเดียวรับไป 8.4 ล้านบาทวันนี้ที่ “ทีเอ” กำ ลังป่วยหนี้ท่วมหัวจากพิษเศรษฐกิจ ไม่รู้ว่ายังกล้าจ่ายหนักๆ อย่างนี้อีกนอกจากนี้ในช่วงรุ่งเรืองบริษัทส่วนใหญ่ก็มีการประเคนหุ้นโบนัสราคาถูกให้กับผู้บริหาร เป็นจำ นวนมาก พฤติกรรมลักษณะนี้ ปิ่น จักกะพาก และ “กลุ่มเอก” ในสมัยนั้น ทำ กันจนกลาย เป็น แฟชั่นและไฟแนนซ์อื่นๆ ก็ดำ เนินรอยตามจนรํ่ารวยกันไปหลายตลบช่วงเศรษฐกิจฮอตๆ ยังมีการควักเงินซื้อภาพเขียนศิลปะราคาแพงกันเป็นโกดัง เพื่อมาติดข้างฝาอวดบารมี โดยผู้ที่สะสมภาพเขียนไว้มากที่สุดในประเทศไทย ก็คือ บุญชัย เบญจรงคกุลแห่ง “ยูคอม”มาถึงวันนี้บริษัทยูคอมมีสภาพอย่างไร ขอให้ติดตามดูราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ จากที่เคยมีราคาหุ้นละหลายร้อยบาท วันนี้เหลือไม่ถึง 10 บาท ส่วน วีระ มานะคงตรีชีพ แห่ง บงล.ซิทก้าเป็นนักธุรกิจที่ได้ชื่อว่าเป็นนักธุรกิจที่มี วัฒนธรรม โดยปรนเปรอความสุขส่วนตัวด้วยการสะสมภาพเขียนราคาแพง และประทับใจในวัฒนธรรมตะวันออก ชอบโชว์ศิลปะชงชา แต่พฤติกรรมที่แท้จริงเริ่มปรากฏขึ้นเมื่อ บงล.ซิทก้ากำ ลังอยู่ในกระบวนการย่อยสลายวันนี้ “วีระ” กำ ลังดิ้นให้พ้นเงื้อมมือของกฎหมาย เขาถูกกล่าวโทษว่าทุจริตให้เกิดความเสียหาย กับบริษัทในวงเงินประมาณ 400 ล้านบาทข้อกล่าวหาที่ทางการมีต่อ “วีระ” ก็คือนำ เงินบริษัทไปซื้อหุ้นของบริษัทเพื่อเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นให้กับตัวเองวิธีการของ “วีระ” จนมุมต่อหลักฐานตรงที่หลังจากถ่ายโอนเงินโดยวิธีรับซื้อลด และรับประกันตั๋วแลกเงินมาแล้วเขาก็โอนเข้าบัญชีบริษัทต่างๆ 5 แห่ง ซึ่งทำ หน้าที่ชำ ระค่าหุ้นให้กับตัวเองส่วนเงินปันผลจากบงล.ซิทก้า ก็โอนเข้าบัญชีของตัวเองแม้ว่าหลักฐานจะแน่นหนาแต่ “วีระ” ก็มีโอกาสต่อสู้ได้อีกหลายเฮือกถ้ามี “แพะ”เผลอๆ อาจจะรอดได้ง่ายๆ เช่นเดียวกั บคดีของ ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี ที่โอกาสพลิกผันมีอยู่มาก เพราะมีข้อแก้ต่างเรื่องหลักประกันการปล่อยกู้มากมายที่แน่ๆ คนระดับนี้ไม่มีทางหา “บ่วง” มาผูกคอแบบง่ายๆ อย่างที่ใครคิด 8. เข้าตาจนจำ ต้องสร้าง ลักฐานเท็จ ส่วนยุทธวิธีการโกงโดยการสร้างหลักฐานเท็จ ถ้าไม่เข้าตาจนจริงๆ คนระดับผู้บริหารคงไม่คิดทำ เพราะเป็นการสร้างบ่วงผูกคอที่ยากจะดิ้นให้หลุดภายใต้เงื่อมมือของกฎหมายกระนั้นก็ตามวิธีนี้ก็เกิดขึ้นแล้วกับหลายบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ โดยเฉพาะกรณีของชาญ อัศวโชค แห่งบริษัทอัลฟาเทค อิเล็คโทรนิคส์ ผู้สร้างบริษัท

4. จงอธิบายถึงอัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratio) ที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ พร้อมทั้งอธิบายลงไปในรายละเอียดด้วยว่ามีวิธีการพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้

ตอบ การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน (Ratio Analysis)

1.การวิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity Ratio)

1.1 อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนหรืออัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio)

อัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current Ratio) = สินทรัพย์หมุนเวียน (CA) /หนี้สินหมุนเวียน (CL) วัด ความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น ถ้าค่าที่คำนวณได้สูงเท่าใด แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนที่ประกอบไปด้วย เงินสด ลูกหนี้ และสินค้าคงเหลือมากกว่าหนี้ระยะสั้น ทำให้คล่องตัวในการชำระหนี้ระยะสั้นมีค่อนข้างมาก โดยปกติ อัตราส่วน 2 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว

1.2 อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio or Acid Test Ratio)

อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio) = (สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงเหลือ) /หนี้สินหมุนเวียน หรือ( Quick Ratio = CA - Inventory )/CL

เป็น การวัดส่วนของสินทรัพย์ที่ได้หักค่าสินค้าคงเหลือ ที่เป็นสินทรัพย์ระยะสั้นและมีความคล่องตัวในการเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ต่ำสุด ออก เพื่อให้ทราบถึงสภาพคล่องที่แท้จริงของกิจการได้ โดยปกติอัตราส่วน 1 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว

1.3 อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover)

อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover)

A/R Turnover = ขายเชื่อสุทธิ หรือใช้ยอดขายรวม (ครั้ง หรือ รอบ) /ลูกหนี้ถัว เฉลี่ย

ลูกหนี้ถัว เฉลี่ย = (ลูกหนี้ต้นงวด + ลูกหนี้ปลายงวด )/ 2

หากค่าที่คำนวณได้ มีค่าสูง แสดงถึงความสามารถในการบริหารลูกหนี้ให้แปลงสภาพเป็นเงินสดได้เร็ว

1.4 ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Average Collection Period)

ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Avg. Collection Period) (วัน) = 365 วัน /อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ ยิ่งต่ำยิ่งดี แสดงให้เห็นถึงระยะเวลาในการเรียกเก็บหนี้ว่าสั้นหรือยาว เพื่อให้ทราบถึงคุณภาพของลูกหนี้ ประสิทธิภาพในการเรียกเก็บหนี้ และนโยบายในการให้สินเชื่อทางธุรกิจ

1.5 อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover)

อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover) = ต้นทุนสินค้าขาย (COGS) /สินค้าคงเหลือเฉลี่ย (Avg. Inventory)

สินค้าคงเหลือเฉลี่ย =( สินค้าต้นงวด + สินค้าปลายงวด )/ 2

หากค่าคำนวณได้สูง ย่อมแสดงถึงความสามารถในการบริหารการขายสินค้าได้เร็ว

1.6 ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า

ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า(วัน) = 365 (วัน) /อัตราหมุนเวียนของสินค้า(Inventory Turnover)

ยิ่งขายได้เร็ว (ระยะเวลาสั้น) ยิ่งดี

ประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้คือ อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน หรือ อัตราส่วนสภาพคล่อง เพราะอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนบ่งบอกถึง สภาพคล่องของบริษัทได้จากการเปรียบเทียบจาก สินทรัพย์หมุนเวียนกับหนี้สินหมุนเวียน อัตราส่วนยิ่งมีค่ามากเท่าไหร่ยิ่งแสดงให้เห็นว่าบริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนมากกว่าหนี้สินหมุนเวียนเท่านั้น ซึ้งเป็นการบอกให้เรารู้ว่าสถานภาพทางการเงินของบริษัทแข้งแรงมาก แต่ถ้าบริษัทมีหนี้สินหมุนเวียนมากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนจะมีค่าน้อยกว่า 1 และยิ่งอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนมีค่าน้อยเพียงไร ยิ่งหมายความว่าสถานภาพทางการเงินของบริษัท ยิ่งแย่มากเท่านั้น เนื่องจากมีปริมาณหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน ซึ้งอาจทำให้บริษัท ไม่สามารถหาเงินมาชำระหนี้ได้ และอาจนำไปสู้การล้มลาย

ดังนั้น เจ้าหนี้และบริษัทคู้ค้าจึงให้ความสนใจกับอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนเป็นพิเศษ โดยผู้ประกอบการจะสามารถหาอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน ของบริษัทของตนเองได้จากงบดุลของบริษัท ซึ่งจะมีการแสดงมูลค่า ของสินทรัพย์หมุนเวียนและหนี้สินหมุนเวียนของบริษัทเอาไว้ในรายงานผลประกอบการประจำปี

6. เมื่อท่านได้ศึกษาเพาเวอร์พอยท์ เรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคาร ไปนั้น ขอให้ท่านจับประเด็นให้ได้ว่ามีประเด็นใดบ้างที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียม ตัวมากู้เงินจากธนาคาร และประเด็นเหล่านั้นธนาคารสามารถตรวจสอบได้อย่างไร

ตอบ จากที่ได้ศึกษาเพาเวอร์พอยท์ เรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคาร ประเด็นที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียม ตัวมากู้เงินจากธนาคาร คือ การปรับแต่งบัญชีรายได้ให้ดูดี มีรายรับที่มากกว่ารายจ่าย หรือถ้ามีรายจ่ายมาก ก็จะเพิ่มจำนวนลูกหนี้ปลอมขึ้น โดยการนำตาสีตาสา เข้ามาเซ็นต์ รับรู้หรือเป็นพยาน แล้วให้ค่าเหนื่อยกับตาสีตาสาไป ซึ่งประเด็นเหล่านี้ ธนาคาร สามารถ ตรวจสอบได้จาก งบดุลของบริษัทซึ่งงบดุลนี้จะแสดงรายรับรายจ่ายทั้งหมดของบริษัท และถ้าหากว่ามีการผิดเพี้ยนไปจากเดิมก็จะสามารถทำให้รู้ได้ทันทีเลยว่า บริษัทนี้ต้องการที่จะมาโกงเรา แต่ถ้าหากว่าเราตรวจสอบประวัติหรือความเป็นมาของบริษัทเหล่านี้ให้ดีเสียก่อนเราก็คงไม่ต้องเสียเวลามาจับผิดลูกค้าเหล่านี้ ซึ่งมันเป็นการบริหารความเสี่ยงก่อนที่ลูกค้าหรือลูกหนี้จะมาโกงเราได้

3 การควบคุมสินเชื่อ ถือเป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่สำคัญมาก ท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ และ บอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

ตอบ นโยบายสินเชื่อ คือ สิ่งที่องค์กรของธุรกิจกำหนดขึ้นมาเพื่อเป็นแนวทางกำหนดคุณสมบัติ ผู้ที่จะมาเป็นลูกหนี้การค้าซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการพิจารณาเครดิตและการ กำหนดวงเงินสินเชื่อของลูกค้าแต่ละราย ซึ่งได้รวมถึงการให้เงื่อนไขการชำระเงิน และวิธีการเก็บเงินโดยต้องเก็บเงินให้ได้ตรงตามกำหนด และเพื่อป้องกันไม่ให้หนี้เสียหรือหนี้สูญต่อไปในอนาคต นโยบายสินเชื่อและเครดิต จึงมีความสำคัญต่อธุรกิจและต้องนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยผู้ที่มี หน้าที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายต้องให้ความสำคัญและดำเนินงานภายใต้กรอบของนโยบาย สินเชื่อของธุรกิจ(บริษัท)เพื่อใช้ในการพิจารณาเครดิตลูกค้าจะช่วยลดความ เสี่ยงและทำให้เก็บเงินจากลูกค้าได้ตามกำหนดแต่นโยบายสินเชื่อจะไม่มีความ หมายเลยหากผู้ปฏิบัติงานไม่ต้องการจะปฏิบัติหรือปฏิบัติโดยขาดความเข้าใจ อย่างถ่องแท้กฎระเบียบดังกล่าวก็จะไม่มีคุณค่าเปรียบเหมือนเศษกระดาษทั่วๆไป เท่านั้นเอง “นโยบายสินเชื่อและเครดิต”ไม่ใช่เป็นของแผนกเครดิตแต่เป็นหลักเกณฑ์ที่ องค์กรของธุรกิจเป็นผู้กำหนดขึ้นมาจึงมีความสำคัญต่อธุรกิจในระยะสั้นและ ระยะยาวสามารถช่วยให้ธุรกิจมีกำไรและสภาพคล่อง วัตถุประสงค์ 1.เพื่อให้การบริหารจัดการบัญชีลูกหนี้ได้ถูกวิธีและมีผลงานทางด้านจัดเก็บ บัญชีลูกหนี้ได้มากขึ้น 2.เพื่อพัฒนาบุคคลากร ให้เกิดความเข้าใจและสามารถนำทักษะจากการฝึกอบรมมาใช้ให้เกิดประโยขน์สูงสุด 3.เพื่อลดเวลาและลดต้นทุนในการติดตามหนี้ให้น้อยลง

การควบคุมสินเชื่อบุคคลนั้น เป็นเรื่องที่ควรจะทำในลักษณะของการกำหนดมาตรฐาน แต่ควรจะให้มีความยืดหยุ่น หรือขอบเขตที่กว้างพอสมควร เพื่อที่จะได้เกิดการแข่งขันแบบเสรีได้

เพราะการที่แต่ละผู้ประกอบการให้ข้อเสนอที่แตกต่างกัน ผู้บริโภคก็จะเป็นผู้ตัดสิน โดยพยายามเลือกข้อเสนอที่ดีที่สุดให้ตนเอง ซึ่งตามหลักของ demand และ supply อัตราดอกเบี้ยจะลดลงแน่นอน หากมีผู้ประกอบการมากรายขึ้น

แต่หากเหมือนๆ กันหมดแล้ว ก็ต้องดูว่าความเหมือนนั้น อยู่ที่จุดเหมาะสมหรือไม่ คำว่าเหมาะสม คงจะต้องดูถึงผู้บริโภค ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ แต่ผู้ประกอบการ ก็สามารถอยู่ได้ และมีการเติบโตได้

มิฉะนั้น ก็จะเป็นภาระของภาครัฐบาล ที่จะต้องจัดหาเงินกู้ให้ประชาชน หรือประชาชนอาจจะต้องกลับไปพึ่งเงินกู้นอกระบบบางส่วน ที่เมื่อถูกทวงเงิน ก็คงต้องปลอมตัวเป็นถังแก๊สเหมือนโฆษณา TV ของธนาคารออมสิน ที่ถึงแม้จะดูเหมือนตลก แต่ก็สะท้อนภาพชีวิตจริงบางส่วนเหมือนกัน

การทวงหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ

1 การทวงหนี้ถึงภูมิลำเนาของลูกหนี้

- เป็นวิธีการทงหนี้ที่ดีที่สุด เห็นหน้าเห็นตา เจรจากดดันทั้งดุทั้งด่า ทั้งเสียดทั้งสี เล่นกันแบบตรง ๆ ได้ผลที่สุด แต่สิ่งสำคัญจะต้องหาตัวลูกหนี้ให้เจอ ส่วนใหญ่เจอด่านสะกัดหลายด่านเช่น นัดหมาย รับโทรศัพท์ บอกครับ ๆ พอไปถึงเผ่นไปแล้ว

เสียเวลาเปล่า ก่อนไปพบหาข้อมูลทางลับก่อน ส่งคนไปดู หรือถามเลียบ ๆ เคียง ๆ จากลูกน้องลูกหนี้ ไปอย่านัดหมาย เพราะถ้านัดหมายไม่เจอแน่ เจอหน้าแล้วต้องเอาให้อยู่ พูดภาษามวยต้องชนะน็อคอย่างเดียว ไปแล้วอย่าเสียเที่ยวลูกหนี้จ่ายเท่าไรรับมาก่อน ไม่ว่าจะเงินสด เช็คหรือทำหนังสือรับสภาพหนี้

2 การทวงหนี้โดยทนายความ

- โนติสทนาย ลูกหนี้ก็ยังเกรงใจอยู่ แต่ในยุคข้อมูลข่าวสาร ลูกหนี้เมื่อได้รับโนติสก็มักจะปรึกษาทนาย ว่าทำอย่างไรถึงไม่ต้องจ่ายตอนนี้ หรือ จะหาทางหนีทีไล่อย่างไร จะยื้ออย่างไร จะโกงอย่างไร จะเบี้ยวได้อีกนานไหม ถ้าไม่จ่ายเจ้าหนี้จะทำอะไรได้ไหมกว่าจะฟ้องศาลอีกนานไหม กว่าจะยึดทรัพย์อีกกี่ปี พอจะมีเวลายักย้ายถ่ายเททรัพย์สินกี่วันกี่เดือน จะโอนทรัพย์สินให้ลูกให้ภรรยาจะติดคุกไหม หรือว่าต้องขายทิ้งเลย หรือจะต้องหนีออกนอก และสุดท้าย ถ้าไม่มีทรัพย์สินเลยจะทำอะไรได้ไหม จะฟ้องล้มละลายได้หรือเปล่า ถ้าได้รับความมั่นใจจากทนาย ลูกหนี้ก็อาจจะโกงเจ้าหนี้ได้

2. การที่เกิดภาวะเงินบาทมีค่าลดลงมาก (เงินบาทอ่อนตัว) มีผลต่อการที่ธนาคารของท่านในการให้สินเชื่ออย่างไรบ้าง และการที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่นั้น จะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในประเด็นใดบ้าง

ตอบ ค่าเงินบาทอ่อนตัว คือการที่ ไทยต้องการนำเข้ามาก ๆ เช่น ต้องการนำเข้าน้ำมัน หรือกรณีการนำเข้าวัตถุดิบหรือเครื่องจักรจากต่างประเทศ ดังนั้น ในกรณีนี้ ก็จะต้องมีการนำเงินบาทไปแลกเป็นเงินตราต่างประเทศ เพื่อที่จะได้เอาเงินไปจ่ายต่างประเทศ ความต้องการในเงินตราสกุลต่างประเทศก็จะสูงขึ้น กลไกตลาดก็จะทำให้ค่าของเงินบาทอ่อนลง เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า ค่าเงินบาทสามารถที่จะแข็งขึ้นและอ่อนลงได้ด้วยหลายๆ ปัจจัย แม้กระทั่งหากนักเก็งกำไรมีความรู้สึกว่าค่าเงินบาทน่าจะอ่อนกว่าที่เป็น อยู่ จึงต้องการที่จะถือเงินบาทน้อยลง และหากนักเก็งกำไรทุก ๆ คน คิดและทำเหมือนกันหมด ก็จะมีส่วนทำให้ค่าเงินบาทสามารถอ่อนค่าลงได้เช่นกัน

ถ้าค่าเงินอ่อนค่า ผลกระทบกับรายได้ประชาชาตินั้น โดยปกติจะทำให้การส่งออกเพิ่มมากขึ้น จะเป็นผลดีต่อภาคส่งออก ที่เมื่อก่อน 1 ดอลล่า ส่งอกได้เงินบาทกลับมา 31 บาท แต่ปัจจุบันได้ 33 บาท ต่อ 1 ดอลล่า ทำให้มีกำไรจากการส่งออกมาขึ้น และส่งผลเสียต่อภาคนำเข้าที่ต้องนำเข้าสินค้าในราคาที่สูงขึ้นกว่าเดิม ซึ่งก็จะทำให้การนำเข้าลดลงหรือชะลอตัวได้ ซึ่งมีผลกระทบต่อการให้สินเชื่ออย่างแน่นอนคือ ถ้าบริษัทลูกค้าเป้นบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ แล้วมาขอสินเชื่อในขนะที่เงินบาทออ่อนตัวลง จะส่งให้บริษัทลูกค้าลงทุนในสินทรัยพ์สูงมาก เพราะค่าเงินบาทอ่อน และอาจทำให้ลูกค้าของธนาคาร จ่ายหนี้ใด้ช้าลง เพราะนำเข้ามาแพง ก็ต้องเพิ่มราคาสินค้าขึ้นทำให้ ขายสินค้าออกไปได้ยากอีก เพราะมีราคาแพง ธนาคารจึงควรพิจารนาไม่ควรให้สินเชื่อกับลูกค้ารายนั้นไปเสียก่อน ในขณะที่เงินบาทยังอ่อนตัวอยู่นี้

และการที่ประเทศไทยได้เปลี่ยนผู้ว่าการแบงค์ชาติคนใหม่นั้น จะส่งผลดีกับธนาคารกสิกรไทยจำกัด (มหาชน)คือธนาคารจะมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น เพราะว่าคนที่ดูแลควบคุมธนาคาร ได้เป็นผู้ว่าการแบงค์ชาติไปด้วย ส่งผลให้ธนาคารมีศักยภาพและความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น และทำให้มีบริษัทต่างๆมาขอกู้หรือลงทุนกับทางธนาคารมากขึ้นด้วย

5. ท่านคิดว่างานพิธีการสินเชื่อมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด เมื่อเปรียบเทียบกับงานด้านการตลาดสินเชื่อ และถ้าต้องทำงานทั้ง 2 ด้านในคนเดียวกันในสาขาของธนาคารแห่งหนึ่งนั้น ท่านจะบริหารจัดการเวลาของตนเองและการบริหารความเสี่ยงของธนาคารให้มี ประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผลได้อย่างไร

ตอบ ในความคิดของดิฉัน งานพิธีการสินเชื่อนั้น มีความสำคัญพอๆ กันกับ งานด้านการตลาดสินเชื่อ เพราะ งานทั้ง 2 ชนิดมีวิธีการทำงานที่แตกต่างกันออกไป แต่ถ้าหากว่าจะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้ เพราะมีความสำคัญพอๆกัน งานด้านพิธีการสินเชื่อนั้น จะมีความเกี่ยวข้องกับ ประวัติของลูกค้า และหลักฐานต่างๆ ในการเอาผิดกับลูกค้าที่ผิดนัด และงานด้านการตลาด คืองานที่จะทำให้เรามีลูกค้าค้ามากยิ่งขึ้นหรือหมายถึงการเจาะตลาดลูกค้านั้นเอง หากขาด 2 สิ่งนี้ไป ธนาคารก็จะขาดรายได้ไปด้วย

ถ้าหากว่าฉันได้ทำงานทั้ง 2 ด้านนี้ คนเดียว ฉันจะแบ่งเวลาในการบริหารจัดการเพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยงคือ ฉัน จะทำการตลาดเจาะหาลูกค้ารายใหญ่และรายย่อยให้ได้ก่อน หลังจากนั้นเมื่อได้ลูกค้าแล้วฉันจึงค่อยมาทำด้านพิธีการของสินเชื่อ เพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยง และทำให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด

5. ท่านคิดว่างานพิธีการด้านสินเชื่อมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด  เมื่อเทียบกับงานด้านตลาดสินเชื่อ  และถ้าต้องทำงานทั้ง  2 ด้านในคนเดียวกันในสาขาของธนาคารแห่งนั้น  ท่านจะบริหารจัดการเวลาของตนเองและการบริหารความเสี่ยงของธนาคารให้มีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผลได้อย่างไร

            พิธีการสินเชื่อ
 ประกอบไปด้วย
            1. รวบรวมข้อมูลสถานะทางกฎหมายของลูกค้า
            2. ตรวจสอบหลักประกัน  เช่น ราคาประเมินทางราชการของหลักประกันนั้นๆ          
            3. นำนิติกรรมสำหรับผู้ให้กู้แก่ลูกค้า ประกอบด้วย สัญญากู้และเอกสารประกอบการกู้ สัญญาค้ำประกัน สัญญาจำนอง สัญญาจำนำ
            4. จัดเก็บนิติกรรมและหลักประกัน
        ซึ่งมีความจำเป็นมาก ไม่น้อยไปกว่าการทำงานด้านตลาดสินเชื่อ   เพราะงานด้านพิธีการด้านสินเชื่อ  ทำหน้าที่ที่เกี่ยวกับข้อมูล   ของลูกค้าไม่ว่าจะเป็น  รวบรวมข้อมูลสถานะทางกฎหมายของลูกค้า    ตรวจสอบหลักประกัน  เช่น ราคาประเมินทางราชการของหลักประกันนั้นๆ  นำนิติกรรมสำหรับผู้ให้กู้แก่ลูกค้า  จัดเก็บนิติกรรมและหลักประกัน  ซึ่งนักมากเนื่องจากผู้ที่ทำหน้าที่   “จำเป็นมากที่จะรู้ข้อกฎหมายต่างๆ”    
            และถ้าต้องทำงานทั้ง  2  ด้านในคนเดียวกันในสาขาของธนาคาร ต้องเป็นคนที่จัดการและบริหารเวลาของตนเองเป็นอย่างดี  เช่น  แบ่งเวลาในการทำงาน จัดตารางว่าวันนี้มีน่าที่หรืองานที่ต้องทำ  และควรมีคุณสมบัติของพนักงานที่ดี  เช่น
            1.มีความรู้และประสบการณ์ในการทำงานหรือไม่ก็หาคำแนะจากผู้ที่มีประสบการณ์ที่ทำงานที่
            2.เป็นผู้มีความละเอียด  รอบครอบ  ช่างสังเกต
            3.รอบรู้ในสาขาของตนเอง
            4.มีการพัฒนาตนเองและศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมสม่ำเสอม
            5.เป็นผู้ที่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี
            6.ติดตามและศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับธุรกิจสาขาที่ตนทำ
            7.มีศิลปะในการพูด  และในหารหาข้อมูล
            8.มีตวามซื่อตรงและสุจริตในการปฎิบัติหน้าที่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งในทำงานด้านพิธีการด้านสินเชื่อ 
             การบริหารความเสี่ยงของธนาคารให้มีประสิทธิภาพนั้น   บุคคลที่ทำงานด้านพิธีการสินเชื่อต้องติดตามข่าวและความเครื่องไหวของผู้เป็นลูกค้าอยู่สม่ำเสอม  เนื่องจากการทำพิธีการด้านสินเชื่อเราต้องตรวจสอบหลักประกันต่างๆ  ว่ายังมีความถูกต้องและ  อยู่ครบจากสัญญาครั้งแรกที่ทำกันไว้หรือไม่  มีการเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะใด?  และยังถูกต้องกับหลักประกันที่ทางธนาคารจะได้รับหรือไม่?  มีความเสี่ยงที่ทางธนาคารจะถูกเอาเปรียบมากน้อยเพียงใด ?  และนำมาวิเคราะห์  ในทางด้านตลาดสินเชื่อว่าควรที่จะทำอย่างไรให้ทรัพย์สินที่ทำไว้  มีความเป็นไปได้ในตลาดสินเชื่อมากที่สุด  แค่นี้ก็จะเป็นเป็นประสิธิผลต่อการทำงานทั้งงานด้านพิธีการด้านสินเชื่อ  และงานด้านตลาดสินเชื่อ

3.  การควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่สำคัญมาก ท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ และ บอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

  ทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญได้แก่
          1. การควบคุมในแนวดิ่ง ( Vertical Control)
      ผู้เป็นหัวหน้าต้องดูแลเอาใจใส่ ให้คำแนะนำแก่ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของตนทั้งนี้เพื่อให้พนักงานเหล่านั้น ทำงานด้านสินเชื่ออย่างถูกต้อง ตามระเบียบขั้นตอนตามที่องค์การกำหนดไว้ สิ่งที่มักจะต้องดูแลก็คือ พิจารณาว่าพนักงานสินเชื่อได้ทำการตรวจสอบ เก็บรวบรวมข้อมูล และทำการวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นของตัวผู้กู้ และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาวการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบพอเพียงต่อการอนุมัติสินเชื่อหรือยัง
          2. การควบคุมในแนวนอน (Horizontla Control)
       เป็นการควบคุมในระดับเดียวกัน แต่เป็นการควบคุมระหว่างหน่วยงานที่ทำหน้าที่แต่ละด้านให้กับองค์การสิ่งที่มักพบเห็นเสมอก็คือ ธนาคารหลายแห่งจะมีเจ้าหน้าที่สินเชื่อทำงานด้านการตลาด เพื่อพบปะลูกค้านำเสนองานทางด้านสินเชื่อ มีเจ้าหน้าที่วิเคราะห์สินเชื่อที่ต้องออกไปพบลูกค้าพร้อมกับฝ่ายการตลาดเพื่อร่วมรับรู้ถึงธุรกิจของลูกค้า และขอเอกสารต่างๆจากลูกค้า รวมทั้งหาข้อมูลจากแหล่งอื่นๆเพื่อทำการวิเคราะห์ความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละราย มีเจ้าหน้าที่ต้องประเมินราคาหลักประกัน ทีต้องไปพบลูกค้าเช่นกัน เพื่อทำการประเมินตามหลักวิชาการเพื่อให้เจ้าหน้าที่สินเชื่อและเจ้าหน้าที่วิเคราะห์สินเชื่อได้ใช้อ้างอิงในการกำหนดวงเงินสินเชื่อ
       3. การควบคุมด้วยการตรวจสอบภายในองค์การ
      ซึ่งจะต้องทำอย่างน้อยปีละครั้ง โดยใช้ระบบสุ่มตรวจ และไม่ต้องให้ฝ่ายสินเชื่อทราบล่วงหน้าเพราะทำให้ไม่พบจุดบกพร่อง ฝ่ายตรวจสอบภายในจะต้องมีการแบ่งทีมงานเดเป็นหลายชุด
วัตถุประสงค์ในการควบคุมการให้สินเชื่อ
***
       ในการควบคุมสินเชื่อของทุกองค์กรจะมีวัตถุประสงค์หลักคล้ายกัน ดังนี้
            1. ป้องกันหรือโอกาสทำทุจริตประพฤติมิชอบของพนักงานสินเชื่อ
            2. ส่งเสริมการให้ความรู้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชชา โดยใช้ระบบการสอนงาน เพื่อให้ผู้อ่อนประสบการณ์ได้ใช้ความคิด อย่างไรก็ตามก็ต้องระวังผู้บังคับบัญชาที่ชี้นำการตัดสินใจเพราะได้รับผลประโยชน์จากลูกค้ามาก่อนด้วย
            3. เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขในรายละเอียดการให้กู้ระหว่างกันให้ครบถ้วน รอบคอบก่อนอนุมัติเบิกถอนเงินกู้ออกไป

ตัวอย่างที่ 1 เราต้องติดตามข้อมูลของลูกค้าที่เป็นนักธุระกิจ เช่น
        1.ให้ดูด้านการติดต่อธนาคาร ว่า บัญชีเงินเบิกเกินบัญชี เกินวงเงินติดต่อกันนานๆ หรือ บัญชีเคลื่อนไหวน้อย หรือไม่เคลื่อนไหว มีความเร่งรีบในการรับเงินจากการขายลดเช็ค
            2. ข้อมูลทางการเงิน ขาดทุนมากติดต่อกันเกิน 2 ปี   อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสูงขึ้นมากไหม  เจ้าหนี้สูงขึ้น จ่ายหนี้ช้าแม้ว่ายอดซื้อเท่าเดิม
            3.การปฏิบัติตัวของลูกหนี้ ไม่ให้ความร่วมมือกับธนาคารเช่นเดิมหรือ    ตั้งใจปล่อยให้หลักประกันที่มีอยู่กับธนาคารเสื่อมค่าลง  พนักงานลาออกบ่อยโดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูง  เราก็ทำการติดตามหนี้โดย นัดลูกหนี้เพื่อเข้าพบหรือเยี่ยมชมกิจการของลูกหนี้ ว่ามีอะไรจะได้ช่วยแก้ไข  ค่อยๆพูดคุยและทำการแก้ปัณหาต่างๆโดยเงื่อนไขต้องเป็นการยอมรับทั้งสองฝ่าย  หรือถ้านั้นแล้วไม่มาไม่ติดต่อ  ติดต่อไปก็ไม่ได้การตอบรับ  ส่งหนังสือไปก็แล้ว  ไปหาก็ไม่อยู่  สิ่งสุดท้ายที่ทำก็คือ 
          1.ลูกหนี้ไม่ปฏิบัติเงื่อนไขที่ตกลงไว้ ให้เสนอขออนุมัติดำเนินคดีกับผู้มีอำนาจอนุมัติ แต่ละระดับวงเงิน และแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ
         2. นำส่งเรื่องลูกหนี้ ให้ทนายความดำเนินคดี
         3.ติดตามผลการดำเนินคดีกับทนายความ
ตัวอย่างที่ 2 การควบคุมภายในด้านการอนุมัติสินเชื่อของบริษัทเงินทุน
            ประเด็นสำคัญในการพิจารณา คือต้องมีการจัดทำสิ่งเหล่านี้ประกอบด้วย
            1. บริษัทมีการกำหนด กฎ ระเบียบ และพิธีการปฏิบัติการอนุมัติสินเชื่อแต่ละประเภทไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
            2. การพิจารณาอนุมัติวงเงินสินเชื่อแต่ละรายจะต้องเป็นไปตาม กฎ ระเบียบพิธีการปฎิบัติการของบริษัทที่กำหนดไว้ทุกกรณี
            3. การพิจารณาอนุมัติวงเงินสินเชื่อแต่ละรายจะต้องผ่านการลงนามอนุมัติจากผู้ที่มีอำนาจที่บริษัทได้แบ่งเป็นลายลักษณ์อักษรทุกครั้ง
            4. ผู้มีอำนาจอนุมัติวงเงินสินเชื่อที่ได้รับการแต่งตั้งจะต้องไม่เป็นบุคคลวึ่งไม่มีส่วนได้เสียกับลูกค้าผู้ขอวงเงินสินเชื่อ
            5. บริษัทจะต้องจัดให้มีบัตรตัวอย่างลายมือชื่อของลูกค้าและการจัดเก็บในที่ปลอดภัยภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ที่บริษัทกำหนด
            6. การให้กู้ยืม การรับซื้อ ซื้อลด และรับช่วงซื้อลด


6. เมื่อท่านได้ศึกษาเพาเวอร์พอยท์ เรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคาร ไปนั้น ขอให้ท่านจับประเด็นให้ได้ว่ามีประเด็นใดบ้างที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียมตัวมากู้เงินจากธนาคาร และประเด็นเหล่านั้นธนาคารสามารถตรวจสอบได้อย่างไร 
            ประเด็นที่ธุรกิจล้มละลาย  แต่มีอนาคต จะกู้เงินจากธนคารเพื่อเอาไปใช้จ่ายอย่างอืนที่ไม่ได้เกี่ยวกับการทำธุรกิจ  เช่น  บริษัทจนทะเบียน  10 ล้าน ลูกค้าจะโกงโดย
สร้างหลักฐานต่างๆ เช่น
            @สร้างค่าใช้จ่าย  คือ  ค่าจ้างแรงงาน   ค่าโฆษณา  ค่าซื้อวัตถุดิบเป็นต้น
            @จ้างบุคคลหรือใครก็ไม่รู้มาเป็นหุ้นส่วนในการจัดตั้งบริษัท  และมาเป็นคู่สัญญาต่างๆ  โดยจ้างในราคาถูก
            @เคลียร์ภาษีสิ้นปีให้บุคคลเหล่านี้
            @ทำD/E ให้ต่ำเพื่อที่คุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อ (Character)  ดูดีขึ้น
            @มีกรรมการบริษัทเป็นผู้มีชื่อเสียง
            @ ทำB.K.K cash  flow ให้รายรับมากกว่ารายจ่าย
            เป็นต้น
            @ D/E ratio  ไม่เกิน 2:1
วีธีการจับกลโกงลูกค้าเงินกู้ธนาคารก็ไม่อยาก เช่น
จะกู้เงินให้ได้หลัก 6C’เพื่อวิเคราะห์สินเชื่อ
            1. ดูคุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อ (Character) เป็นคุณสมบัติประการแรกที่ผู้ให้สินเชื่อพิจารณาว่าผู้ขอสินเชื่อมีลักษณะนิสัย ความประพฤติ หรืออาชีพการทำงานที่มีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด
            ตัวอย่างคุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อที่ควรหลีกเหลี่ยง เช่น ผู้มีอายุมาก มีโรคประจำตัว ผู้มีนิสัยเกเร ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล ในบางครั้งจึงพยายามหลีกเลี่ยงการให้กู้กับผู้ที่อยู่ในอาชีพ ทหาร ตำรวจ นักการเมือง นักหนังสือพิมพ์ และในบางกรณีก็มองกว้างไปถึงผู้ทำธุรกิจโรงเรียนเอกชน โรงพยาบาลเอกชน เนื่องจากในกรณีที่มีปัญหาสังคมคือบุคคลที่ 3 เช่น นักเรียนซึ่งเป็นเยาวชนจะไม่มีที่เรียน หรือผู้ป่วยจะไม่ได้รับการรักษาพยาบาลต่อเนื่อง

               **เรียนให้จบ ป.ตรี มีประสบการณ์ที่จะกู้เงิน แต่งตัวให้ดูภูมิฐาน พูดจาให้ดุเป็นระบบ วางตัวให้เป็นสากล (Character)
            2. ความสามารถในการชำระหนี้ (Capacity) เป็นคุณสมบัติที่พิจารณาในแง่การมีรายได้ในการประกอบอาชีพ หรือทำธุรกิจเพียงพอที่จะชำระหนี้ได้ตามที่ตกลงไว้ด้วยกันในแง่ธุรกิจก็จะพิจารณาในแง่ของงบการเงินในอดีตและประมาณการรายได้ในอนาคต ตัวอย่างที่สามารถมองได้ง่ายคือ เจ้าหนี้มีกต้องการให้กู้กับร้านสะดวกซื้อ ที่ขาย 24 ชั่วโมง วันละ 3 กะ โดยไม่มีวันหยุด รวมถึงสาขามากว่า 5,000 สาขา มากว่าที่จะให้กู้กับกิจการที่มีสาขาน้อย มีวันหยุดกิจการ เพราะกิจการประเภทหลังจะมีความสารถในการชำระหนี้ที่ต่ำกว่าประเภทแรก ส่วนในแง่บุคคลต้องพิจารณารายได้ว่ามีความมั่นคงและเพิ่มขึ้นพียงพอจะชำระหนี้ได้หรือไม่ รวมทั้งอาจตรวจสอบถึงหนี้สินเดิมที่ผู้ขอสินเชื่อมีอยู่ด้วยว่ายังมีภาระผูกพันอยู่มากน้อยเพียงใด เพราะในบางครั้งก็อาจพบว่าเป็นการกู้ไปเพื่อชำระหนี้สินเดิม ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อผู้ให้กู้รายใหม่

              ** สร้างระบบการเงินให้ดูดี กิจการมีกำไร มีอัตราส่วนทางการเงินดี อธิบาย Flow สามรถคืนหนี้ได้ ทำธุรกิจมาซัก 3 ปี (Capacity)
            3. เงินทุน (Capital) เป็นคุณสมบัติอีกประการหนึ่งที่ผู้ให้สินเชื่อพิจารณาว่าผู้ขอสินเชื่อนั้นมีมูลค่าทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินในปัจจุบันอยู่เท่าได หรือถ้าพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ เจ้าหนี้มีมักให้กับลูกค้าที่มีเงินทุนอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งโดยปกติมีลักเป็นจำนวนเกินครึ่งของเงินที่ใช้ในวัตถุประสงค์นั้นๆ ซึ่งจะทำให้ผู้กู้มีความเสี่ยงต่ำนั่นเอง

                    ** กู้เงินอย่าให้เกิน 80 % ของราคาประเมินราคาทรัพย์สินที่จะใช้เป็นหลักประกัน (Capital)
            4. หลักประกัน (Collateral) เป็นคุณสมบัติประการถัดมาที่มีความสำคัญมากเช่นกันจนถึงกับมีคำกล่าวว่า “No Land No Loan” ซึ้งแปลว่า ถ้าไม่มีหลักประกันคุ้มมูลค่าหนี้โดยเฉพาะที่ดิน (อสังหาริมทรัพย์) ก็ไม่มีโอกาสได้รับสินเชื่อ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจย่ำแย่

                   ** หลักประกันต้องดูโดดเด่นอยู่ในทำเลที่ดี มีสภาพคล่อง มีโอกาสเพิ่มมูลค่าในอนาคต (Collateral)
            5. สภาพทางเศรษฐกิจ (Condition) เป็นคุณสมบัติในเชิงมหาภาคที่ผู้ให้สินเชื่อต้องมีความรู้ถึงภาวะแวดล้อมภายนอกที่ส่งผลกระทบทั้งในแง่บวกและลบต่อผู้ขอสินเชื่อ และจะส่งผลกลับมายังผู้ให้สินเชื่อในที่สุด โดยทั่วไปที่ต้องพิจารณาก็คือ กฎหมาย การเมือง เศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี อัตราภาษี อัตตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน ต้นทุนแรงงาน เป็นต้น ซึ่งหลายปัจจัยในการเปลี่ยนแปลงที่มีลักษณะเป็น วัฏจักรซึ่งอาจพยากรณ์ล่วงหน้าได้ในระดับหนึ่ง

                 ** เงือนไขในการชำระคืนดอกเบี้ยและเงินต้น มาจากตัวเลข Cash Flow ทำให้ธนาคารเชื่อได้ว่าจะเหลือเงินแล้วคืนหนี้ให้ธนาคารตามแผน (Condition)
            6. ประเทศที่ติดต่อด้วย (Country) เป็นคุณสมบัติประการสำคัญในปัจจุบันที่ต้องพิจารณา เพระถึงแม้จะเป็นการให้สินเชื่อภายในประเทศ แต่ถ้าลูกค้ารายนั้นทำธุรกิจนำเข้า ส่งออก ซึ่งมีความเสี่ยงจากกฎระเบียบในการค้าโลก อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินสกุล การกีดกั้นทางการค้า รสนิยมที่เปลี่ยนแปลงไป หรือภาวะโรคร้ายแรงซึ่งเป็นเหตุสำคัญในการค้าระหว่างประเทศไม่ราบรื่น ซึ่งก็จะส่งผลต่อประมาณการรายรับ และมีปัญหาไม่สารถชำระหนี้สินได้ตามที่ตกลงกันไว้

หลักของ 3P

        1. Purpose หรือ วัตถุประสงค์

    การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์จะต้องรู้ก่อนว่าผู้กู้หรือลูกหนี้สินเชื่อต้องการเงินทุนเท่าใด ไปทำอะไร ต้องการเงินทุนระยะสั้นเพื่อใช้หมุนเวียนในกิจการ หรือต้องการเงินทุนระยะยาวเพื่อสร้างโรงงาน เครื่องจักร การทราบความต้องการหรือวัตถุประสงค์จะช่วยให้ธนาคารพาณิชย์สามารถจัดวงเงินสินเชื่อให้เหมาะสมกับลูกค้าได้

        2. Payment หรือ ความสามารถในการชำระหนี้

    การปล่อยสินเชื่อยังต้องดูด้วยว่า เมื่อลูกค้าได้เงินทุนไปใช้ในกิจการแล้วจะมีความสามารถในการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยได้หรือไม่ การวัดความสามารถข้างต้นนี้เป็นการวิเคราะห์ดูว่า เงินทุนที่ลูกค้าได้ไปนั้น ลูกค้านำไปลงทุนสินทรัพย์อะไร ถูกต้องตามวัตถุประสงค์หรือไม่ และสินทรัพย์เหล่านั้นทำให้เกิดรายได้และกำไรกับลูกค้าได้อย่างไร และลูกค้ามีกระแสเงินสดคงเหลือที่จะมาชำระหนี้คืนแก่ธนาคารได้หรือไม่ เท่าใด และในระยะเวลาเท่าใด

        3. Protection หรือ การป้องกันความเสี่ยง

ในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารให้ลูกค้านั้น ในบางครั้งลูกค้าแม้ว่าจะมีความสามารถในการชำระหนี้ได้แต่ก็ไม่มีความเต็มใจที่จะชำระ หรือในบางกรณีเกิดภาวะของรายได้และกำไรของลูกค้าไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ลูกค้าก็จะไม่สามารถชำระหนี้ได้ แม้ว่าจะเต็มใจชำระก็ตาม เหตุการณ์เหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทำความเสียหายให้กับธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากเงินทุนส่วนใหญ่ที่นำมาปล่อยสินเชื่อนี้ก็จะมาจากเงินฝากจากประชาชนหรือเงินกู้จากเจ้าหนี้ ซึ่งธนาคารพาณิชย์ต้องมีความรับผิดชอบในเงินทุนเหล่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าวธนาคารพาณิชย์จึงควรเรียกหลักประกันซึ่งอาจอยู่ในรูปสังหาริมทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์ หรือ บุคคลค้ำประกัน ให้มีมูลค่าเหมาะสมและเพียงพอต่อความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้
            “ทำการตรวจสอบให้ละเอียด”

 2.  การที่เกิดภาวะเงินบาทมีค่าลดลงมาก  (เงินบาทอ่อนตัว) มีผลต่อการที่ธนาคารของท่านในการให้สินเชื่ออย่างไรบ้าง  และการที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่นั้น  จะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในประเด็นใดบ้าง 
         
การที่เกิดภาวะเงินบาทมีค่าลดลงมาก ทำให้ยอดการส่งออกเพิ่มมากขึ้น มีผลต่อการที่ธนาคารมียอดการของกู้สินเชื่อเพื่อการส่งออกมายิ่งขึ้น   เช่น
ข่าวที่ว่า
    *กระทรวงพาณิชย์ ดันไทยเป็นศูนย์กลางการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับโลก พร้อมตั้งเป้าส่งออกอัญมณีปีนี้โตได้อีก 10% มูลค่ากว่า 400,000 ล้านบาท

        นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานบางกอกเจมส์แอนด์จิวเวลรี่แฟร์ ครั้งที่ 48 ว่ากระทรวงพาณิชย์ยังมีความมั่นใจกลุ่มสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทย ยังมีโอกาสเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยตัวเลขการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทย ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ มีตัวเลขส่งออกเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.82 หรือคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 6,545 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ และคาดว่าในปีนี้การส่งออกกลุ่มอุตสาหกรรมนี้จะมีมูลค่าเกินกว่า 12,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ดังนั้นการจัดงานบางกอกเจมส์แอนด์จิวเวลรี่แฟร์ครั้งนี้ แม้ว่าประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและยุโรป แต่ด้วยความต้องการสินค้าของตลาดโลกจึงทำให้อุตสาหกรรมดังกล่าวไม่ได้รับผล กระทบ แต่กลับทำให้อุตสาหกรรมนี้ยังมีโอกาสเติบโตได้อย่างเต็มที่ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องวางกรอบกล
            ส่งผลให้ธนาคารกสิกรไทยมีอัตราเงินเฟ้อมากขึ้น  อย่างเช่นข่าวที่ว่า 
      * ผู้ว่าฯแบงก์ชาติ เผยยังต้องติดตามแนวโน้มอัตราเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิดเพราะยังมีความเสี่ยงสูง จากราคาน้ำมัน การบริโภคในประเทศ และปัญหาเศรษฐกิจโลก

        นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.ที่จะมีขึ้นวันที่ 19 ตุลาคมนี้ ว่ายังต้องติดตามแนวโน้มอัตราเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิดเพราะยังมีความเสี่ยงสูง จากราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูง การบริโภคในประเทศและการส่งออกที่ขยายตัวต่อเนื่อง ขณะเดียวกันปัญหาเศรษฐกิจโลกก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะสหรัฐฯและยุโรปยังคงมีปัญหาและไม่สามารถหาทางออกได้

        และจากการติดตามการคาดการณ์เงินเฟ้อในอนาคตของผู้บริโภคและภาคธุรกิจยังคงอยู่ในระดับ อาจมีผลต่อการตั้งและต้นทุนการผลิตสินค้าสูงขึ้น ส่วนกรณีที่นายวีระพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี มองว่า อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเหมาะสมไม่จำเป็นต้องเป็นบวก นายประสาร กล่าวว่า ไม่ได้คำนึงในจุดนี้อยู่แล้ว แต่ควรจะอยู่ในระดับที่เหมาะสม จากปัจจุบันติดลบอยู่ 0.35% หากปล่อยให้ติดลบเป็นเวลานาน จะทำให้เศรษฐกิจขาดความสมดุลได้

       4.  จงอธิบายถึงอัตราส่วนทางการเงิน  (Financial Ratio) ที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ พร้อมทั้งอธิบายลงไปในรายละเอียดด้วยว่ามีวิธีการพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้  

ทางการเงิน
         ขาดทุนมากติดต่อกันเกิน 2 ปี
         อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสูงขึ้นมาก
         ยอดขายมากขึ้น ต้นทุนและค่าใช้จ่ายสูงขึ้น กำไรลดลง
         ยอดขายมากขึ้น ระยะเวลาเรียกเก็บหนี้นานขึ้น
         สต๊อกสินค้าสูงผิดปกติ อัตราหมุนเวียนสินค้าต่ำ
         เจ้าหนี้สูงขึ้น จ่ายหนี้ช้าแม้ว่ายอดซื้อเท่าเดิม


มีความสุขมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆนะค่ะ อาจารย์

 

6. เมื่อท่านได้ศึกษาเพาเวอร์พอยท์ เรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคาร ไปนั้น ขอให้ท่านจับประเด็นให้ได้ว่ามีประเด็นใดบ้างที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียม ตัวมากู้เงินจากธนาคาร และประเด็นเหล่านั้นธนาคารสามารถตรวจสอบได้อย่างไร

 

ตอบ จากการที่ได้ศึกษาเพาเวอร์พอยท์ เรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคาร สามารถทำให้ได้รู้ถึงคุณสมบัติของผู้ที่จะกู้ได้นั้นจะต้องมี ต้องมี 6’C เป็น ดังต่อไปนี้เป็นองค์ประกอบ คือ

• เรียนให้จบปริญญาตรี มีประสบการณ์ เรื่องที่จะกู้ แต่ตัวให้ดูภูมิฐาน พูดจาเป็นระบบ วางตัวเป็นสากล  

                                     Character จะผ่าน

• สร้างงบการเงินให้ดูดี กิจการมีกำไร มีอัตราส่วนทางการเงินที่ดี อธิบาย Cash Flow ว่าสามารถ คืนนี้ได้ ทำธุรกิจมาแล้วเป็นระยะเวลา 3 ปี  

                                        Capacity จะผ่าน

• กู้เงินอย่าให้เกิน 60% ของราคาประเมินทรัพย์สิน ที่จะเป็นหลักประกัน

                                       Capital จะผ่าน

• หลักประกันต้องดูโด่นเด่น อยู่ในทำเลดี มีสภาพคล่องมีโอกาสเพิ่มมูลค่าในอนาคต      

                                     Collateral จะผ่าน

• เงื่อนไขในการชะระคืนดอกเบี้ย และเงินต้นมาจากตัวเลข ใน Cash Flow ทำให้ธนาคารเชื่อให้ได้ว่าจะเหลือเงินแล้วคืนหนี้ ธนาคารได้ตามแผนนี้

                                         Conditions จะผ่าน        

        และคุณสมบัติเหล่านี้ที่ผู้ขอกู้ได้เตรียมเพื่อที่จะขอกู้ ล้วนมีการเตรียมการที่ดีและเป็นระบบมาแล้ว ซึ่งเราผู้ที่เป็นฝ่ายสินเชื่อของธนาคารแล้วนั้น เราต้องมีมาตรการตรวจสอบเอกสารของผู้ขอกู้ให้ดี ดูอย่างละเอียดที่สุดและในเมื่อผู้ของกู้มาขอกู้ในจำนวนที่เยอะเราต้องยิ่งต้องสังเกตให้มากกว่าเดิมอีด้วย เพื่อไม่ให้ผู้กู้สามารถมาโกงเราได้ เช่น ในงบการเงินของผู้ขอกู้นั้นเราต้องสังเกตุดูให้ดีถึงรายรับ รายจ่าย ว่าเป็นมาอย่างไร มากเกินไปหรือป่าว มีการตกแต่งงบการเงินมาเพื่อขอกู้หรือป่าว และรวมถึงการสำรวจหลักประกันที่มาคำประกันด้วยเราต้องไปสำรวจถึงสถานที่จริง ว่าเป็นอย่างไร อยู่ในย่านเศรษฐกิจหรือไม่ และมีการติดป้ายประกาศขายจริงหรือไม่ พร้อมทั้งลงพื้นที่เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ที่มาเป็นหลักประกัน สอบถามจากผู้คนแถวๆนั้นหลายๆๆปาก ไม่ใช่ถามมาแค่คนเดียว แบบนี้จะก่อให้เกิดความเสี่ยงสูง เสี่ยงต่อการที่ผู้ขอกู้มาจัดฉาก ให้เราเชื่อและให้สินเชื่อนั้นกับเขา

5. ท่านคิดว่างานพิธีการสินเชื่อมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด เมื่อเปรียบเทียบกับงานด้านการตลาดสินเชื่อ และถ้าต้องทำงานทั้ง 2 ด้านในคนเดียวกันในสาขาของธนาคารแห่งหนึ่งนั้น ท่านจะบริหารจัดการเวลาของตนเองและการบริหารความเสี่ยงของธนาคารให้มี ประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผลได้อย่างไร

ตอบ  พิธีการสินเชื่อมีความสำคัญในระดับที่ใกล้เคียงกับงานด้านการตลาดสินเชื่อ  เพราไม่ว่าหน้าที่ไหนภายในกิจการธนาคารก็มีความสำคัญต่อองค์กรเหมือนๆกัน แต่มีความสำคัญกันคนละด้านเท่านั้นเอง และถ้าดิฉันต้องทำงานทั้ง 2 ด้าน ในคนเดียวกัน ดิฉันจะบริหารจัดการเวลาของตนเองโดยจัดตารางเวลาของตนเองให้เป็นระบบ ว่าเวลานี้ต้องทำอะไร และเวลานนั้นต้องทำอะไรเพื่อจะได้รู้ว่าตอนนี้เราต้องทำอะไร ทำให้ได้บริหารเวลาในการทำงานงานอย่างมีประสิทธิภาพ

และการบริหารความเสี่ยงของธนาคารให้มี ประสิทธิภาพเราต้องมีการประเมินความเสี่ยงก่อน 

และสำหรับในการการประเมินความเสี่ยง มีขั้นตอนดังนี้ คือ

ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนพื้นฐาน คือ

1.การชี้บ่งอันตราย

2. ประมาณค่าความเสี่ยงของอันตรายแต่ละอย่าง ความเป็นไปได้ และความรุนแรงของความเสียหาย

3.ตัดสินว่าความเสี่ยงใดที่ยอมรับได้

       การประเมินที่ดำเนินไปโดยปราศจากการวางแผนที่ดี หรือประเมินด้วยความเชื่อว่าเป็นเรื่องยุ่งยากจะทำให้เสียเวลา และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ องค์กรไม่ควรยึดติดอยู่กับการประเมินในรายละเอียดมากเกินไป ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จในการดำเนินการ การประเมินความเสี่ยงจะให้ได้มาซึ่งแผนงาน เพื่อเป็นแนวทางที่จะนำไปใช้เป็นมาตรฐานควบคุม

      ผู้ประเมินความเสี่ยงที่ยังขาดประสบการณ์อาจขาดความรอบคอบ  ปกติบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดกับงานมากเกินไปอาจจะมองข้ามอันตราย หรือตัดสินว่าเป็นความเสี่ยงที่ไม่สำคัญ เพราะเข้าใจว่า ไม่มีใครเคยได้รับอันตราย ควรจะให้ทุกคนประเมินความเสี่ยงด้วยมุมมองใหม่  ๆ และโดยการใช้คำถาม

      การประเมินความเสี่ยงควรดำเนินการโดยบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ ซึ่งมีความรอบรู้ในกิจกรรมการดำเนินงานโดยเฉพาะมีการอบรมให้ความรู้ในการประเมินความเสี่ยงด้วย

กระบวนการประเมินความเสี่ยง

ขั้นตอนพื้นฐานของการประเมินความเสี่ยง

   

รูปแสดงขั้นตอนพื้นฐานของการประเมินความเสี่ยง

การประเมินความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรควรจะดำเนินตามเกณฑ์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

  1. จำแนกประเภทของกิจกรรมของงาน

ให้เขียนชนิดของกิจกรรมที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ และให้เขียนขั้นตอนปฏิบัติงาน ของแต่ละกิจกรรม โดยให้ครอบคลุม สถานที่ทำงาน เครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ บุคลากร รวมทั้งทำการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลดังกล่าว

2.ชี้บ่งอันตราย

ชี้บ่งอันตรายทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง แต่ละกิจกรรมของงาน พิจารณาว่าใครจะได้รับอันตรายและจะได้รับอันตรายอย่างไร  

3.กำหนดความเสี่ยง

ประมาณความเสี่ยงจากอันตรายแต่ละอย่าง  โดยสมมุติว่ามีการควบคุมตามแผน หรือตามขั้นตอนการทำงานที่มีอยู่ ผู้ประเมินควรพิจารณาประสิทธิผลของการควบคุม และผลที่เกิดจากความล้มเหลวของการควบคุม

4.ตัดสินว่าความเสี่ยงยอมรับได้หรือไม่

ตัดสินว่า แผนหรือการระวังป้องกันด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยที่มีอยู่ (ถ้ามี) เพียงพอที่จะจัดการอันตรายให้อยู่ภายใต้การควบคุมและเป็นไปได้ตามข้อกำหนดตามกฎหมายหรือไม่

5.เตรียมแนวฏิบัติการควบคุมความเสี่ยง (ถ้าจำเป็น)

หากพบว่า ขั้นตอนปฏิบัติข้อใดมีความหละหลวม ไม่ถูกต้อง และต้องการปรับปรุงแก้ไข เพื่อลดระดับหรืออันตราความเสี่ยงลงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ เตรียมแผนงานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ ที่พบในการประเมิน หรือที่ควรเอาใจใส่ องค์กรควรแน่ใจว่าการควบคุมที่จัดทำใหม่และที่มีอยู่มีการนำไปใช้อย่างมีประสิทธิผล

6.ทบทวนความเพียงพอของแผนปฏิบัติการ

ประเมินความเสี่ยงใหม่ด้วยวิธีการควบคุมที่ได้มีการปรับปรุง และตรวจสอบว่าความเสี่ยงนั้นอยู่ในระดับที่ยอมรับได้

3.  การควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่สำคัญมาก ท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ และ บอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

ตอบ  การควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่สำคัญมากดังนั้นเราจึงต้องแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญซึ่งการควบคุมสินเชื่อนั้นสามารถอธิบายได้ดังนี้ คือ มาตรการ หรือกฎระเบียบที่มีการกลั่นกรองมาแล้วจากผู้บริหารระดับสูงว่าจะใช้เป็นแนวทางในการความคุมสินเชื่อ เพื่อไม่ให้ปล่อยออกไปในวงเงินที่มากจนเกินไป จนก่อให้เกิดความเสี่ยงและปล่อยได้น้อยจนทำให้ไม่มีกำไร

ส่วนแนวทางในการปฏิบัติทั่วไปในการติดตามทวงถามหนี้กับลูกหนี้ มีดังนี้

(1)  เวลาและความถี่ในการติดต่อเพื่อการติดตามทวงถามหนี้

       ในการติดต่อลูกหนี้เพื่อติดตามทวงถามหนี้ ให้ดำเนินการภายในเวลา 08.00 น. ถึง 20.00 น. ในวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ยกเว้นวันหยุดราชการ ให้ดำเนินการภายในเวลา 08.00 น. ถึง 18.00 น. ทั้งนี้ โดยมีความถื่ในการติดตามที่เหมาะสม

(2) การแสดงตัวเพื่อวัตถุประสงค์ในการติดตามทวงถามหนี้

         ให้ผู้ประกอบธุรกิจและผู้ให้บริการเรียกเก็บหนี้แสดงตัวต่อลูกหนี้ โดยแจ้งชื่อและวัตถุประสงค์ในการติดต่อให้ลูกหนี้ได้รับทราบอย่างถูกต้องเหมาะสม และในกรณีที่ผู้ให้บริการเรียกเก็บหนี้ติดต่อกับลูกหนี้โดยตรง (face to face) ให้ผู้ให้บริการเรียกเก็บหนี้แสดงเอกสารซึ่งแสดงให้เห็นว่าตนได้รับอนุญาตจากผู้ประกอบธุรกิจให้ติดตามทวงถามหนี้แทนด้วย

(3) วิธีการเรียกเก็บหนี้

           (3.1) ไม่ให้เรียกเก็บหนี้จากบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ลูกหนี้ เช่น ญาติพี่ น้องหรือเพื่อนร่วมงาน เว้นแต่ได้รับการยินยอมจากลูกหนี้หรือเป็นสิทธิตามกฎหมาย

           (3.2) ไม่ใช้ความรุนแรงเพื่อนให้ลูกหนี้ชำระหนี้ เช่น ทำร้ายร่างกาย ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของลูกหนี้

           (3.3) ไม่ปลอมแปลง บิดเบือนข้อมูล เอกสารหรือแสดงท่าทางอันทำให้ลูกหนี้สำคัญผิด เช่น

               (3.3.1) ไม่ปลอมแปลงหรือบิดเบือนว่าเป็นบุคคลอื่น หรือใช้ชื่ออื่นนอกเหนือจากชื่อจริง รวมถึงไม่ปลอมแปลงหรือบิดเบือนข้อมูลในการแสดงตัวหรืออำนาจหน้าที่ของผู้ให้บริการเรียกเก็บหนี้ ไม่ใช้สัญลักษณ์หรือแสดงท่าทางเพื่อทำให้ลูกหนี้สำคัญผิดว่า มาจากหน่วยงานของรัฐ หรือบริษัทข้อมูลเครดิต

             (3.3.2) ไม่ปลอมแปลง หรือบิดเบือนเพื่อให้ลูกหนี้สำคัญผิดว่าเอกสารเรียกเก็บหนี้ หรือเอกสารที่ใช้ในการติดต่อกับลูกหนี้นั้น ออกหรือได้รับอนุญาตหรือการรับรองจากหน่วยงานของรัฐหรือบริษัทข้อมูลเครดิต หรือทำให้ลูกหนี้เข้าใจผิดในสาระสำคัญทางกฎหมายของเอกสารดังกล่าว

              (3.3.3) ไม่ปลอมแปลง บิดเบือน หรือแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จเกี่ยวกับยอดหนี้เกินกว่าที่มีอยู่ตามกฎหมาย เช่น ประเภท จำนวน สถานะปัจจุบัน หรือค่าธรรมเนียมจากการเรียกเก็บหนี้ เป็นต้น หรือแสดงท่าทางอื่นใดอันเป็นเท็จเพื่อให้ลูกหนี้สำคัญผิดในการชำระหนี้

(3.4) ไม่ข่มขู่ หรือคุกคามในลักษณะที่ผิดกฎหมาย เช่น

          (3.4.1) ข่มขู่ว่าจะใช้ความรุนแรง ทำร้ายร่างกาย ทรัพย์สินหรือชื่อเสียงของลูกหนี้หรือของบุคคลอื่น หรือข่มขู่ว่าจะฟ้องร้องด้วยความอันเป็นเท็จว่าลูกหนี้กระทำผิดกฎหมายหากไม่ชำระหนี้

            (3.4.2) ข่มขู่ว่าจะเพิ่มค่าธรรมเนียมทนายความ ค่าสืบสวนค่าบริการในการติดตามทวงถามหนี้ ค่าบริการทางการเงิน หรือค่าธรรมเนียมอื่นใดซึ่งไม่สามารถเรียกเก็บได้จริงตามกฎหมาย

ตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

1.กรณีลูกหนี้ชอบผลัด และไม่มาจ่ายตามที่ผลัดไว้จะผลัดไปเรื่อยๆ
วิธีการติดตามทวงหนี้
                ถามเหตุผลที่ลูกหนี้ขอผลัดเพราะอะไร มีเหตุผล และความจำเป็นจริงหรือไม่ที่จะขอผัดผ่อน พิจารณาเป็นกรณีไปหากไม่มีเหตุผลเพียงพอพยามยามไม่ให้ผัดผ่อนตื๊อตามเก็บให้ ได้หรือหากลูกหนี้มีความจำเป็นจริงๆ ก็ให้นัดระยะเวลาอันใกล้พร้อมกับมีเงื่อนไขว่าหากผิดนัดตามที่ผัดผ่อนอีกจำ ต้องขอรถกลับก่อน เพื่อสร้างแรงกดดันและป้องกันมิให้ผิดนัดตามที่ผลัดไว้อีก
 ถ้าพบลูกหนี้ประเภทนี้พยายามดูรายละเอียด

  • · หลังการ์ดจะเห็นประวัติการผิดนัดหลายครั้งหลายหน ใช้ข้อมูลเหล่านั้นมายืนยันกับลูกหนี้ว่า เคยผิดนัดมาแล้วหลายครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย มิฉะนั้นจำเป็นต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
     การตกลงนัดหมายพยายามทำเป็นหนังสือระบุเงื่อนไข
  • · หากผิดนัดยินดีคืนรถหรือให้ยึดได้ทันที และให้ลูกหนี้ลงลายมือชื่อไว้ด้วย ทำสำเนาให้ลูกหนี้ไว้ด้วย 1 ชุด เพื่อช่วยเตือนความจำ

2. กรณีลูกหนี้มักชอบอ้างว่ารู้จักกับผู้บริหาร ผู้จัดการ เจ้าของ
วิธีติดตามทวงหนี้
        ชี้แจงลูกหนี้ว่าเราทำตามหน้าที่ ในขณะขอให้ลูกหนี้ปฏิบัติตามสัญญาก่อน หากผู้บริหาร หรือผู้จัดการ เจ้าของ ที่ลูกหนี้รู้จัก มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงอย่างไรจะแจ้งมาที่ตัวเรา และเราจะปฏิบัติตามภายหลังกรณีนี้ให้ชี้แจงด้วยความสุภาพมิใช่ท้าทาย เพราะลูกหนี้อาจนำไปขยายผลพูดกับบริหารในทางลบ และเป็นผลเสียแก่ตัวเราได้

3. กรณี ลูกหนี้ย้ายที่อยู่โดยไม่แจ้งบริษัททราบ พนักงานไปตามก็จะไม่เจอตัว ส่งจดหมายไปก็ตีกลับ
วิธีติดตามทวงหนี้
 ติดต่อผู้เช่าซื้อที่ทำงาน· สอบถามบ้านข้างเคียงว่าย้ายไปไหน เมื่อไหร่·
 ติดต่อผู้ค้ำประกัน เพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับผู้เช่าซื้อ และทรัพย์เช่าซื้อ·
 ดูบัตรประชาชน ทะเบียนบ้านว่า ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ไหน ส่งจดหมายไปหรือออกตาม·
 ดูรายละเอียดจากจดหมายตีกลับว่า กลับมาเพราะสาเหตุข้อไหน เช่น· บ้านรื้อถอน หรือไม่มีผู้รับตามจ่าหน้า หรือจ่าหน้าไม่ถูกต้องเพราะพิมพ์ผิด จะได้แก้ไขให้ถูกต้องต่อไป

4.กรณี ลูกหนี้นำรถไปใช้ที่อื่นแล้วไม่ยอมผ่อนต่อ พนักงานก็ติดตามไม่ถึง
วิธีติดตามหนี้
            กรณีลูกหนี้นำรถไปใช้ที่อื่นต้องพยายามสืบข้อมูลว่าใช้รถอยู่ที่ไหนโดยสอบ ถามจากผู้เกี่ยวข้อง เช่น ญาติพี่น้อง ผู้ร่วมงาน และติดต่อกดดัน ผู้ค้ำประกันให้ช่วยสืบหาและรับผิดชอบ
 ตรวจสอบดูว่าภูมิลำเนาเดิมตามทะเบียนบ้านหรือบัตรประชาชนว่าอยู่ที่ใด เพราะลูกหนี้อาจนำรถไปใช้ต่างจังหวัด หรือใช้ตามไซด์งาน
            กรณีนี้พนักงานที่ไม่มีประสบการณ์ติดตามหนี้อาจไม่รู้วิธีการสืบหา-สอบ ถาม-กดดัน เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับที่ใช้รถของลูกหนี้ เราในฐานะหัวหน้างานต้องแนะนำวิธีการให้ มิฉะนั้น บัญชีลูกหนี้เหล่านี้จะขาดการดูแลรับผิดชอบ และอาจกลายเป็นหนี้สูญได้

 5. กรณีลูกหนี้ไม่สามารถชำระค่างวดได้ตรงตามกำหนด หรือล่วงเลยเกินเวลาอันสมควร
วิธีแก้ไข หรือติดตามหนี้
            ลูกหนี้ที่มีปัญหาไม่ชำระหนี้ตามกำหนดนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากความสามารถในการชำระหนี้อ่อน เช่น มีปัญหาการเงิน รายได้ลดลง หรือมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น หรือบางส่วนเกิดจากความตั้งใจในการชำระคือน้อยลงเช่น พวกเหนียวหนี้ มีอิทธิพล นำเงินไปหมุนจุดอื่นก่อน พวกนี้จะประวิงการชำระหนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ วิธีแก้ไขคือ
            1. กรณีความสามารถในการชำระหนี้อ่อน พิจารณาถึงสาเหตุเป็นรายๆ ไป เช่น ถ้ามีปัญหาการเงินเพราะเล่นการพนันใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เที่ยวเตร่ ฯลฯ คงต้องรีบกดดันให้ชำระหนี้โดยเร็วหากไม่ชำระอาจต้องสืบหาทรัพย์เช่าซื้อ เตรียมยึดคืน เมื่อกดดันให้ชำระหนี้ที่ค้าง หรือให้ชำระปิดบัญชี
            2. กรณีความตั้งใจในการชำระคืนน้อยลง กรณีนี้คงต้องรีบสืบหาทรัพย์เช่าซื้อโดยเร็ว และยึดคืนเพื่อหยุดยั้งความเสียหายที่จะเกิดแก่ทรัพย์เช่าซื้อและบริษัท เพราะลูกหนี้ไม่ตั้งใจจะชำระหนี้ประวิงเวลา เพื่อใช้ทรัพย์เช่าซื้อไปเรื่อยๆ เมื่อยึดทรัพย์เช่าซื้อแล้ว โดยมากมักให้ชำระหนี้ปิดบัญชีเท่านั้น หากใช้อิทธิพลไม่ยอมให้ยึดหรือหลบซ่อน รีบออกโนติสและดำเนินคดีโดยเร็วเพื่อเร่งให้ชำระหนี้โดยอาศัยอำนาจของกฎหมาย

4.  จงอธิบายถึงอัตราส่วนทางการเงิน  (Financial Ratio) ที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ พร้อมทั้งอธิบายลงไปในรายละเอียดด้วยว่ามีวิธีการพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้

ตอบ     การวิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity Ratio)

           1.1 อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนหรืออัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio)
อัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current Ratio) = สินทรัพย์หมุนเวียน (CA) /หนี้สินหมุนเวียน (CL) วัด ความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น ถ้าค่าที่คำนวณได้สูงเท่าใด แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนที่ประกอบไปด้วย เงินสด ลูกหนี้ และสินค้าคงเหลือมากกว่าหนี้ระยะสั้น ทำให้คล่องตัวในการชำระหนี้ระยะสั้นมีค่อนข้างมาก โดยปกติ อัตราส่วน 2 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว

                     1.2 อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio or Acid Test Ratio)
อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio) = (สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงเหลือ) /หนี้สินหมุนเวียน หรือ( Quick Ratio = CA - Inventory )/CL เป็น การวัดส่วนของสินทรัพย์ที่ได้หักค่าสินค้าคงเหลือ ที่เป็นสินทรัพย์ระยะสั้นและมีความคล่องตัวในการเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ต่ำสุด ออก เพื่อให้ทราบถึงสภาพคล่องที่แท้จริงของกิจการได้ โดยปกติอัตราส่วน 1 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว

         1.3 อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover)
อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover) A/R Turnover = ขายเชื่อสุทธิ หรือใช้ยอดขายรวม (ครั้ง หรือ รอบ) /ลูกหนี้ถัว เฉลี่ย ลูกหนี้ถัว เฉลี่ย = (ลูกหนี้ต้นงวด + ลูกหนี้ปลายงวด )/ 2 หากค่าที่คำนวณได้ มีค่าสูง แสดงถึงความสามารถในการบริหารลูกหนี้ให้แปลงสภาพเป็นเงินสดได้เร็ว

                1.4 ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Average Collection Period)
ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Avg. Collection Period) (วัน) = 365 วัน /อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ ยิ่งต่ำยิ่งดีแสดงให้เห็นถึงระยะเวลาในการเรียกเก็บหนี้ว่าสั้นหรือยาว เพื่อให้ทราบถึงคุณภาพของลูกหนี้ ประสิทธิภาพในการเรียกเก็บหนี้ และนโยบายในการให้สินเชื่อทางธุรกิจ

               1.5 อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover) อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover) = ต้นทุนสินค้าขาย (COGS) /สินค้าคงเหลือเฉลี่ย (Avg. Inventory) สินค้าคงเหลือเฉลี่ย =( สินค้าต้นงวด + สินค้าปลายงวด )/ 2 หากค่าคำนวณได้สูง ย่อมแสดงถึงความสามารถในการบริหารการขายสินค้าได้เร็ว

               1.6 ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า(วัน) = 365 (วัน) /อัตราหมุนเวียนของสินค้า (Inventory Turnover) ยิ่งขายได้เร็ว (ระยะเวลาสั้น) ยิ่งดี

เพราะฉะนั้น  อัตราส่วนทางการเงิน  (Financial Ratio) จึงจำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อเป็นอย่างมากเพราะอัตราส่วนทางการเงิน มีอัตราที่ไม่แน่นอนสามารถ ผันผวนได้ขึ้นจากปัจจัยเสี่ยงในตลาดการเงินโลก โดยเฉพาะการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ และปัญหาเพดานหนี้สาธารณะ ส่งผลให้เกิดภาวะ Risk aversion และเงินบาทปรับอ่อนค่าลงหลังจากที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเงินทุนไหลเข้าในช่วงเดือนกรกฎาคมในระยะต่อไป ด้วยความผันผวนอยู่อย่างต่อเนื่องเราก็ก็ต้องสังเกตดูอย่างต่อเนื่องและให้ความสำคัญเป็นอย่างมากเพื่อไม่ให้เกิดข้องผิดพลาดและหนี้สูญในภายหลัง

ส่วนอัตราส่วนทางการเงินมากเราก็ต้องให้สินเชื่อในจำนวนที่น้อย เพราะอัตราส่วนทางการเงินมีความห่างมากก่อให้เกิดความเสี่ยงมาก

และอัตราส่วนทางการเงินมากเราก็ต้องให้สินเชื่อในจำนวนที่น้อยเพราะอัตราส่วนทางการเงินมีความห่างน้อยก่อให้เกิดความเสี่ยงน้อย

2.  การที่เกิดภาวะเงินบาทมีค่าลดลงมาก  (เงินบาทอ่อนตัว) มีผลต่อการที่ธนาคารของท่านในการให้สินเชื่ออย่างไรบ้าง  และการที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่นั้น  จะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในประเด็นใดบ้าง

ตอบ การที่เกิดเงินอ่อนตัวมีผลต่อการให้สินเชื่อเป็นอย่างมากเพราะเศรษฐกิจโลกปัจจุบัน มีแนวโน้มจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงจากปี 2553 ซึ่งมีแรงกดดันจากปัญหาทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ที่มีปัญหาต่อเนื่องจากวิกฤตทางการเงินและ Twin Deficits จนนำไปสู่การใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินครั้งที่ 2 (QE 2) ขณะที่ยูโรโซน โดยเฉพาะประเทศในกลุ่ม PIIGS ที่ยังประสบวิกฤติหนี้สาธารณะทำให้ต้องปรับโครงสร้างนโยบายทางการคลังให้มีความเข้มงวดมากขึ้น ทั้งนี้ปัญหาดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะเป็นปัญหาต่อเนื่อง

          ดังนั้น การให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการธุรกิจไปในตอนนี้ต้องพิจารณานั้นต้องสังเกตให้ดีว่าจะนำไปทำอะไร เป็นผู้นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศหรือป่าวซึ่งถ้าเป็นผู้นำเข้าควรจริงควรเลี่ยงที่จะให้สินเชื่อก่อนเพราะมีความเสี่ยงสูงในการให้สินเชื่อ เนื่องจากค่าเงินบาทอ่อนตัวลงจึงจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากกว่าปกติในการนำเข้าสินค้า และควรสินเชื่อกับธุรกิจแก่ผู้ส่งออกเพราะจะขายสินค้าได้มากขึ้นเนื่องจากค่าเงินอ่อนตัวลงทำให้ต่างประเทศมองว่าสินค้าเราถูกลงและสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก และส่งผลดีต่อธุรกิจส่งออกทำให้เกิดกำไร และธุรกิจสามารถนำผลกำไรหักค่าใช้จ่าและนำส่วนที่เหลือมาชำระหนี้สินเชื่อให้กับธนาคารได้ตามเงื่อไขที่ได้ทำไว้กับธนาคารได้ตามกำหนด

            และสำหรับการเปลี่ยนผู้ว่าแบงค์ชาติคนใหม่ตอนนี้ ส่งผลในมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมากเพราะการเปลี่ยนผู้ว่าแบงค์ชาติก็เหมือนเปลี่ยนรัฐบาลใหม่เช่นเดียวกัน เพราะต้องมีนโยบายทางการเงินที่ใหม่มาด้วยเช่นเดียวกัน และในการปรับเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นและมีประสิทธิก็ต้องใช้เวลาด้วยเช่นเดียวและน่าจะส่งผลดีต่อธนาคารกสิกรไทย จำกัด มาหาชน



   

 

 

                    แฮปปี้  แฮปปี้ ^;^ นะค่ะ  "อาจารย์"     

             ของให้สุขภาพแข็งแร๊ง ! มาสอนหนู๋อีกครั้งนะค่ะ  .0. 

3.การควบคุมสินเชื่อเป็นการบริหารความเสี่ยง(Risk Management) ที่สำคัญมาก ท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่ สำคัญ และบอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

1. การควบคุมในแนวดิ่ง (Vertical Control )

เป็นการควบคุมที่มีอยู่ ในลักษณะตามสายการบังคับบัญชาที่ผู้เป็นหัวหน้าต้องดูแลเอาใจใส่ ให้คำแนะนำ (Supervion) แก่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของตน และประการสุดท้ายก็คือ ผู้ทำการวิเคราะห์ที่อยู่ในสายการบังคับบัญชานั้นได้ใช้ดุลพินิจหรือวิจารณญาณอย่างรอบคอบสมเหตุสมผล และเป็นอิสระจากภาวการณ์กดดันได้ดีเพียงพอแล้ว ซึ่งทำให้องค์กรลดความเสี่ยงลงได้

2. การควบคุมในแนวนอน (Horizontal Control)

เป็นการควบคุมในระดับเดียวกันแต่เป็นการควบคุมระหว่างหน่อยงานที่ทำหน้าที่แต่ละด้านให้กับองค์กร สิ่งที่มักพบเห็นเสมอก็คือ ธนาคารหลายแห่งจะมีเจ้าหน้าที่สินเชื่อทำงานด้านหารตลาด เพื่อพบประกับลูกค้าและเสนอแนะบริการด้านสินเชื่อ มีเจ้าหน้าที่ที่ต้องวิเคราะห์สินเชื่อที่ต้องออกไปพบลูกค้าพร้อมกับฝ่ายการตลาดเพื่อร่วมรับรู้ถึงธุรกิจของลูกค้า และขอเอกสารต่างๆ จากลูกค้าและรวมถึงหาข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ เพื่อทำความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละราย มีเจ้าหน้าที่ประเมินราคาหลักประกัน ที่ต้องไปพบลูกค้าด้วยเช่นกัน เพื่อรวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องทางทรัพย์สินที่จะนำมาเป็นหลักประกัน สุดท้ายยังมีเจ้าหน้าที่ในงานพิธีกร ที่ต้องคอยทำหน้าที่เตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทำนิติกรรมระหว่างลูกค้ากับผู้ให้สินเชื่อคือธนาคาร เมื่อลูกค้าลงนามครบถ้วนแล้ว ก็ต้องจัดเก็บอย่างปลอดภัยมีระบบรักษาความลับลูกค้ามิให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องมารับรู้หรือค้นหา เพราะจะทำให้เกิดการสูญหายต่อธนาคารได้

3.การควบคุมด้วยการตรวจสอบภายในองค์กร (Internal Audit Control)

โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบภายใน ซึ่งจะต้องทำอย่างน้อยปีละครั้ง โดยใช้ระบบสุ่มตรวจ และต้องไม่ให้ฝ่ายสินเชื่อทราบล่วงหน้าเพราจะทำให้ไม่พบจุดบกพร่อง ในขณะที่ผู้เขียนทำงานอยู่ที่ธนาคารพานิชย์อยูนั้น

การควบคุมสินเชื่อของสถาบันการเงินหรือธนาคารโดยฝ่ายสินเชื่อ

1. ธนาคารจะทบทวนผลการติดต่อกับลูกค้าทุกรายอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อทราบว่ามีการเดินบัญชีสม่ำเสมอหรือไม่ ชำระเงินต้นดอกเบี้ย ตรงตามเงื่อนไขหรือไม่

2. ทบทวนผลการประกอบการลูกค้าจากการวิเคราะห์งบการเงิน ซึ่งเป็นการวิเคราะห์เชิงประมาณด้านอื่นๆ เช่น การบริการงาน การพัฒนาผลิตภัณฑ์

3. ทบทวนหรือสำรวจหลักประกันว่ามีสภาพไม่ด้อยไปจากเดิม

4. เยี่ยมชมกิจการของลูกค้า โดยปกติพนักงานสินเชื่อจะมีโอกาสในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่จะนำของขวัญไปอวยพรให้กับลูกค้า

สำหรับการติดตามทวงหนี้

---ใช้วิธีประนีประนอม

ใช้เจรจากับลูกหนี้ โดยต้องสร้างบรรยากาศให้เป็นกันเอง แสดงความเห็นใจตามสมควร ร่วมปรึกษาหารือในปัญหาที่เกิดขึ้น และร่วมหาแนวทางแก้ไข ปรับเงื่อนไขการชำระ และเงื่อนไขอื่นให้อยู่ในจุดที่ทั้ง 2 ฝ่ายยอมรับได้

---ใช้จดหมายแจ้งเตือน

การใช้หัวจดหมายของเจ้าหนี้ จะเป็นจดหมายเตือนรูปแบบนี้จะเป็นการเตือนเมื่อเริ่มค้างลงนามโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อ มีข้อความที่ไม่รุนแรง แล้วมีการใช้ตรายางลงไปด้วยเพื่อให้ลูกหนี้รู้สึกกระตือรือร้นในการชำระหนี้ โดยตรายางเป็นสีแดง ประทับตรา ด่วน ด่วนมาก ด่วนที่สุด อนุมัติยึด อนุมัติส่งฟ้อง เป็นการกระตุ้นให้ลูกหนี้และผู้ค้ำประกันให้รีบดำเนินการชำระหนี้โดยเร็ว….

4.จงอธิบายอัตราส่วนทางการเงิน(Financial Ratio)ที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อสินเชื่อ พร้อมทั้งอธิบายลงไปในลายละเอียดด้วยว่ามีวิธีการพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้

----สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt-to-Equity Ratio) กับการให้สินเชื่อของธนาคาร

สถาบันการเงินทุกแห่งทั่วโลก นิยมใช้อัตราส่วนระหว่างหนี้สินต่อทุน (Debt-to-Equity Ratio หรือ D-E Ratio) มาเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมากในการวิเคราะห์โครงการของผู้กู้ ก่อนที่จะตัดสินใจในการให้ความสนับสนุนด้านสินเชื่อ นักวิเคราะห์สินเชื่อของธนาคารทุกคนคงไม่ใครไม่รู้จักภาษาของการวิเคราะห์สินเชื่อที่สำคัญมากที่สุดคำนี้ หลักการที่ใช้ในการตัดสินใจให้สินเชื่อนั้นก็ไม่ยากเกินไป เพราะทุกคนถูกสอนกันมานานแสนนานแล้วว่าธนาคารจะไม่พิจารณาให้สินเชื่อแก่โครงการไหนก็ตาม ที่มีค่าของ D-E Ratio สูงมากเกินไป เนื่องจากเหตุผลว่าโครงการที่มีค่าของหนี้สินต่อทุนสูงมากนั้น ย่อมจะมีความเสี่ยงสูงมากตามไปด้วย ซึ่งอาจส่งผลให้ธนาคารเสียหายได้ ถ้าหากโครงการที่ขอกู้นั้น มีอันเป็นไปสักวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้า แล้วนักวิเคราะห์สินเชื่อของทุกๆ สถาบันการเงินก็จะยึดถือหลักการของหนี้สินต่อทุนนี้เป็นเสมือนหนึ่งคัมภีร์ในการทำงานที่มีค่า อบรมสั่งสอนกันมาจากรุ่นสู่รุ่นจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้

ความเข้าใจในเรื่องของ D-E Ratio นั้นถูกต้องแน่นอน แต่สิ่งหนึ่งที่ยังพบเห็นอยู่เสมอๆ ก็คือวิธีการคำนวณหาค่าของหนี้สิน และค่าของทุนนั้นจริงๆแล้วเราควรจะคำนวณจากอะไรถึงจะถูกต้องที่สุด ตัวอย่างเช่นคำว่า Debt หรือหนี้สิน หรือสินเชื่อที่ให้กู้แก่ลูกค้านั้น ควรจะใช้จำนวนเงินกู้ระยะยาว หรือเงินกู้ระยะสั้น หรือว่าทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน และในกรณีที่ให้กู้แก่โครงการประเภท Project Finance กับการให้กู้เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) แก่บริษัทจำกัดในตลาดหลักทรัพย์ หรือนอกตลาดหลักทรัพย์นั้น ค่าของ D-E Ratio ที่เป็นตัวป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน (Financial Risks) ที่เรารู้จักกันดีนั้น ควรจะใช้ตัวเลขหนี้สินตัวไหนในงบดุล (Balance sheet) เข้ามาคำนวณ จึงจะถูกต้องตามหลักการบริหารความเสี่ยงในการให้กู้ยืมแก่ธุรกิจ ยังไม่ต้องพูดถึงตัวหารที่เรียกว่าทุน หรือ Owners’ Equity นั้นว่าควรต้องประกอบไปด้วยรายการไหนบ้างในงบดุลของผู้ยื่นขอกู้มายังธนาคาร เช่นกำไรสะสม ส่วนล้ำมูลค่าหุ้น หรือทุนจดทะเบียน ผู้เขียนพบว่าคำถามเหล่านี้มีผู้ชำนาญงานด้านสินเชื่อ และการเงินพยายามอธิบายให้คำตอบมากมาย และที่น่าสนใจมากก็คือผู้เขียนก็ได้รับคำตอบที่หลากหลายมากมายพอๆกับคำถามอีกด้วยเช่นกัน

พบว่าในหลายๆครั้งกับการทำงานด้านวิเคราะห์และอำนวยสินเชื่อของเรานั้น ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในบางเรื่องเกี่ยวกับหลักการวิเคราะห์เครดิตที่ดีอาจจะพอยอมรับได้บ้าง แต่ก็มีอีกหลายเรื่องเหมือนกันที่ไม่ควรจะผิดพลาดเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นอาจมากเกินกว่าที่จะยอมรับได้ และในบรรดาความผิดพลาดในกลุ่มหลังนี้ ประเด็นของสัดส่วนระหว่างหนี้สินต่อทุนนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ควรจะให้มีความผิดพลาดเกิดขึ้นเลยในการทำงานของธนาคาร

หลักการแรกสุดก็คือ สัดส่วนระหว่างหนี้สินต่อทุน (D-E Ratio) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Financial Leverage หรือ Gearing นั้นเป็นอัตราส่วนที่ธนาคารใช้สำหรับบริหารความเสี่ยงในการให้สินเชื่อ โดยเน้นการจัดสัดส่วนการให้กู้ยืมให้เหมาะสมกับขนาดของเงินลงทุนของโครงการ (Project Investment) ด้วยการกำหนดสัดส่วนเป็นตัวเลขที่เหมาะสมระหว่างจำนวนเงินกู้กับจำนวนเงินลงทุนทั้งหมดของโครงการ (Debt Ratio) หรือจำนวนเงินกู้กับจำนวนเงินลงทุนของผู้กู้หรือเจ้าของโครงการ (Debt-to-Equity Ratio) ไม่ให้สูงหรือต่ำมากเกินไป ในกรณีที่สัดส่วนสูงมากเช่นมากกว่า 4:1 ขึ้นไป ความเสี่ยงทางการเงิน (Financial Risks) ก็จะสูงมากตามไปด้วย ถ้าผู้กู้ประสบปัญหาในการดำเนินงานเมื่อไร กำไรและกระแสเงินสดรับที่ต่ำลงก็คงไม่พอเพียงที่จะชำระดอกเบี้ยและเงินต้นคืนให้กับธนาคารผู้ให้กู้อย่างแน่นอน และในทางตรงกันข้าม ถ้าสัดส่วนนี้ต่ำมากๆเช่น 0.5:1 ระดับของความเสี่ยงก็จะต่ำตามไปด้วย ข้อดีก็คือธนาคารสามารถบริหารความเสี่ยงได้ แต่ข้อเสียก็คือธนาคารอาจจะขยายสินเชื่อได้จำกัดมาก โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ตลาดมีระดับการแข่งขันด้านการขยายสินเชื่อที่สูง และลูกค้าผู้ขอกู้มีฐานะทางการเงินค่อนข้างดี มีอำนาจในการต่อรอง

สำหรับสัดส่วนของ D-E Ratio ที่เหมาะสมนั้น ก็ไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอนตายตัว ขึ้นกับหลายๆปัจจัยด้วยกันเช่น นโยบายสินเชื่อของธนาคาร สภาพของเศรษฐกิจของประเทศ ประเภทของอุตสาหกรรมที่ผู้กู้ประกอบการอยู่ ระดับการแข่งขันระหว่างสถาบันการเงินด้วยกัน ตลอดจนฐานะทางการเงิน และ Credit Rating ของผู้กู้ เป็นต้น แต่ถ้าจะถามว่าเกณฑ์ที่มักใช้กันมากควรอยู่ที่เท่าไร คำตอบก็คือน่าจะอยู่ไม่เกิน 2:1 ถือว่าเป็นสัดส่วนที่กำลังเหมาะสมดี จากข้อมูลที่มีพบว่าในช่วงปี 2540 เมื่อประเทศไทยประสบปัญหาภาวะวิกฤติทางการเงิน (Financial Crisis) ครั้งใหญ่ ตัวเลขค่าเฉลี่ยของสัดส่วนหนี้สินต่อทุน ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 5:1 ในขณะที่ตัวเลขเดียวกันนี้ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 1:1 ในปี 2550 ซึ่งลดลงค่อนข้างมาก สะท้อนให้เห็นถึงการบริหารความเสี่ยงของธนาคารที่ปรับเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ตามตัวเลขสัดส่วนนี้เป็นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งมีฐานะทางการเงินที่ดีกว่ากลุ่มธุรกิจที่อยู่นอกตลาด หรือธุรกิจ SMEs ค่อนข้างมาก ถ้าพิจารณาจากประเด็นของความเสี่ยงอย่างเดียว เราก็น่าจะสรุปง่ายๆได้ว่า ค่าของ D-E Ratio ของบริษัทกลุ่มหลังนี้ก็ควรจะมีสัดส่วนที่ต่ำกว่า เพื่อไม่ให้เป็นการเสี่ยงมากเกินไปสำหรับธนาคารผู้ให้กู้ อย่างไรก็ตามความเป็นจริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น ดังจะอธิบายโดยละเอียดในช่วงท้ายของบทความอีกที

ในการคำนวณหาค่าของ D-E Ratio นั้น สามารถทำได้ไม่ยากนัก เพียงแต่ว่านักวิเคราะห์ของธนาคารต้องทราบก่อนว่าโครงการที่ยื่นขอสินเชื่อมายังธนาคารนั้น จัดอยู่ในกลุ่มลูกค้าประเภทไหน กล่าวคือ เป็นโครงการลงทุนใหม่ที่ยื่นขอกู้ในรูปของ Project Finance หรือว่าเป็นการขอสินเชื่อโดยบริษัทจำกัดที่ดำเนินการมานานหลายปีแล้วช่วงหนึ่งในรูปของสินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) ซึ่งความแตกต่างข้างต้นนี้ค่อนข้างจะนำมาสู่วิธีการคำนวณที่แตกต่างกันตามไปด้วย เพื่อให้เห็นภาพชัดมากยิ่งขึ้น ผู้เขียนขอยกตัวอย่างการคำนวณประกอบคำอธิบายไปพร้อมกัน เพื่อช่วยให้ท่านผู้อ่านที่สนใจในเรื่องนี้ สามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องต่อไป

กรณีที่ 1 โครงการที่ขอกู้ประเภท Project Finance

การคำนวณหาค่า D-E Ratio สำหรับการให้กู้แก่โครงการประเภทนี้ จะใช้หลักของ Capital Structure เป็นสำคัญ กล่าวคือส่วนของหนี้สินนั้นจะใช้เพียงสินเชื่อระยะยาวเท่านั้นในการคำนวณ แม้ว่าธนาคารอาจจะให้กู้เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนพ่วงไปด้วยก็ตาม แต่ก็จะไม่นำมาใช้คำนวณเนื่องจากโครงการลงทุนใหม่นี้ สินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อโครงการสร้างเสร็จแล้ว และดำเนินการแล้วเท่านั้น ตัวอย่างเช่นลูกค้ารายหนึ่งขอสินเชื่อมาจำนวน 200 ล้านบาท แยกเป็นเงินทุนหมุนเวียน 20 ล้านบาท และเงินลงทุนในทรัพย์สินถาวรอีก 180 ล้านบาท โดยแจ้งว่าเงินลงทุนทั้งหมดของโครงการอยู่ที่ 300 ล้านบาท ซึ่งการคำนวณหาสัดส่วนหนี้สินต่อทุนก็สามารถคำนวณได้ดังนี้

เงินลงทุนรวมของโครงการ = 300 ล้านบาท

สินเชื่อหมุนเวียนที่ขอมายังธนาคาร = 20 ล้านบาท

สินเชื่อเพื่อลงทุนในทรัพย์สินถาวร = 180 ล้านบาท

เงินลงทุนส่วนเจ้าของ = 100 ล้านบาท

D-E Ratio = 180/100

= 1.8:1

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

จากตัวอย่างการคำนวณ จะเห็นว่าเราจะไม่เอาส่วนของเงินทุนหมุนเวียนมาใช้ในการคำนวณเลย ค่าของ D-E Ratio แบบนี้เราคำนวณมาจากโครงสร้างของเงินทุน (Capital Structure) ของโครงการ ซึ่งหมายถึงการพิจารณาเฉพาะส่วนของเงินลงทุนในทรัพย์สินประเภททุนเท่านั้นเอง ปกติแล้วการคำนวณแบบนี้จะพบมากที่สุดกับทุกโครงการที่เป็น Project Finance ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจประเภท SMEs, โครงการลงทุนขนาดใหญ่ หรือแม้แต่การให้สินเชื่อแบบ Loan Syndication เป็นต้น

การไม่เอาจำนวนเงินกู้ที่เป็นเงินทุนหมุนเวียนมาใช้ในการคำนวณนั้น ก็เพราะว่าสินเชื่อที่เป็นเงินทุนหมุนเวียนนั้นยังไม่มีการเบิกใช้ได้ จนกว่าโครงการจะสร้างเสร็จ และทำการผลิตสินค้าแล้ว จึงจะสามารถเบิกเงินกู้มาใช้ในการหมุนเวียนทำธุรกิจได้ ตราบใดที่ไม่มีการผลิตและจำหน่าย ธุรกิจก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินทุนหมุนเวียน ไม่เหมือนกับสินเชื่อที่ใช้ในการซื้อทรัพย์สินประเภททุนต่างๆ ที่จำเป็นต้องลงทุนไปก่อน จนเมื่อแล้วเสร็จจึงจะสามารถเริ่มทำการผลิตขาย เพื่อนำกำไรหรือกระแสเงินสดมาชำระคืนให้กับธนาคารผู้ให้กู้ได้ คำว่าโครงสร้างของเงินทุน หรือ Capital Structure นั้นมาจากความหมายตรงนี้นี่เอง

5. ท่านคิดว่างานพิธีการสินเชื่อมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด เมื่อเปรียบเทียบกับงานด้านการตลาดสินเชื่อ และถ้าต้องทำงานทั้ง 2 ด้านในคนเดียวกันในสาขาของธนาคารแห่งหนึ่งนั้น ท่านจะบริหารจัดการเวลาของตนเองและการบริหารความเสี่ยงของธนาคารให้มีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผลได้อย่างไร

-----การพิธีการสินเชื่อ เป็นงานที่ต้องอาศัยความรู้ทางกฎหมายอย่างมากผู้ปฏิบัติต้องเข้าใจกฎหมาย มีความรอบคอบ ซื่อสัตย์ และมีความสามารถในการประสานงานกับลูกค้า เจ้าหน้าที่สินเชื่อผู้ดูแลลูกค้า หน่วยงานราชการภายนอกที่ต้องเกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานที่ดิน กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมเจ้าท่าบริษัทประกันภัย เป็นหน่วยงานที่สนับสนุนเพื่อดำเนินการทางกฏหมายกับลูกค้านั้นๆ

ส่วนด้านการตลาดสินเชื่อ จะคอยพบปะกับลูกค้าเพื่อเสนอบริการด้านสินเชื่อ และต้องการมีหัวการค้า เนื่องจากรายได้หลักที่จะได้รับการให้สินเชื่อ คือ อัตราดอกเบี้ยที่ตกลงกันระหว่างผู้ให้สินเชื่อและผู้ขอสินเชื่อ ดังนั้น เจ้าหน้าที่สินเชื่อจะต้องทราบต้นทุนของเงินกู้ที่จะปล่อยสินเชื่อว่าอยู่ในระดับใด เพื่อที่จะได้สามารถต่อรองกับผู้ขอสินเชื่อได้ อันนำซึ่งประโยชน์สูงสุดแก่หน่วยงานของตน

การบริหารเวลาและการบริหารความเสี่ยงคือต้องมีการวางแผนการทำงานและมีลายละเอียดของลูกค้าที่จะมาทำการบริการ สิ่งสำคัญต้องมีความซื่อสัตย์ความรอบครอบ และแบ่งเวลาในการทำงาน

6.เมื่อท่านได้ศึกษาเพาเวอร์พอยท์ เรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคาร ไปนั้น ขอให้ท่านจับประเด็นให้ได้ว่ามีประเด็นใดบ้างที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียมตัวมากู้เงินจากธนาคาร และประเด็นเหล่านั้นธนาคารสามารถตรวจสอบได้อย่างไร

1. ใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลกับสถาบันการเงินหรือบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลการกู้เงินนอกระบบ เนื่องจากการกู้เงินนอกระบบ ดอกเบี้ย ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมจะแพงกว่าปกติ

2. เลือกใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคล กับผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าวควรพิจารณาเรื่องอัตราดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ (เช่น ค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน ค่าธรรมเนียมการจัดการเงินกู้ ค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปี) เป็นต้น

3. ระมัดระวังโฆษณาที่ระบุว่า “ดอกเบี้ยต่อเดือนน้อยนิด หรือดอกเบี้ย 0%” โดยต้องดูว่าอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นอัตราต่อเดือนหรือไม่ ถ้าใช่ให้คูณ 12 จึงจะได้อัตราดอกเบี้ยต่อปีที่ต้องจ่ายจริง

นอกจากนี้ หากดอกเบี้ยที่ท่านต้องจ่าย มีลักษณะเป็นจำนวนคงที่ตลอดอายุสัญญาเงินกู้ (Flat Rate) ต้องลองคำนวณว่า อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงแบบลด ต้นลดดอก (Effective Rate) เป็นเท่าไร โดยคูณ ด้วย 1.8 นอกจากดอกเบี้ยแล้ว ท่านต้องพิจารณาว่ายังมีค่าธรรมเนียม หรือค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ หากใช้บริการดังกล่าว เช่น ค่าใช้จ่ายในการติดตามทวงถามหนี้ ค่าธรรมเนียมการชำระเงินที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสหรือธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น

4. อย่าใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคล เพียงเพื่อต้องการของแถมจากผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าว เพราะท่านอาจประสบปัญหาหนี้สินได้ ควรระลึกอยู่เสมอว่า ใช้สินเชื่อส่วนบุคคลเมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องกู้ยืมเงินไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง

2.  การที่เกิดภาวะเงินบาทมีค่าลดลงมาก  (เงินบาทอ่อนตัว) มีผลต่อการที่ธนาคารของท่านในการให้สินเชื่ออย่างไรบ้าง  และการที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่นั้น  จะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในประเด็นใดบ้าง

   เงินบาทอ่อนตัวมีผลต่อธนาคาร คือ

Capital หรือ เงินทุน

การลงทุนในสินทรัพย์ของลูกค้านั้น ลูกค้าควรจะมีเงินทุนของตนเองส่วนหนึ่งมาลงทุนด้วยธนาคารมักจะไม่สนับสนุนโครงการที่จะขอเงินกู้ทั้ง 100 % จากธนาคาร เพราะจะทำให้ภาระหนี้สินของโครงการอยู่ในระดับสูงซึ่งจะไปเพิ่มความเสี่ยงทางการเงินของกิจการให้สูงขึ้นด้วย

Condition หรือ สภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่และแนวโน้ม

ในการปล่อยสินเชื่อนั้น แม้ว่าจะวิเคราะห์มาแล้วเป็นอย่างดีว่าลูกค้ามีคุณสมบัติต่าง ๆ ตาม C ทั้ง 4 ข้อข้างต้น ก็ยังไม่ได้หมายความว่าจะเป็นสินเชื่อที่ดีมีคุณภาพได้ ถ้าภาวะเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจไม่เอื้ออำนวย เจ้าหน้าที่สินเชื่อของธนาคารจึงจำเป็นต้องรู้ข้อมูลความเป็นไปของเศรษฐกิจระดับมหภาค ข้อมูลโครงสร้างและการแข่งขันในอุตสาหกรรมของธุรกิจนั้น เพื่อเป็นข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสและอุปสรรคสำหรับธุรกิจนั้นประกอบการตัดสินใจให้สินเชื่อหรือไม่ต่อไป

 Country ประเทศที่ติดต่อด้วย

เป็นคุณสมบัติประการสำคัญในปัจจุบันที่ต้องพิจารณาเพราะถึงแม้จะเป็นการให้สินเชื่อในประเทศ แต่ลูกค้ารายนั้นทำธุรกิจส่งเข้าและส่งออก ซึ่งมีความเสี่ยงจากกฎระเบียบการค้าโลก อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงิน การกีดกันทางการค้า รสนิยมที่เปลี่ยนแปลงไป หรือภาวะโรคร้ายแรงซึ่งคงเป็นสาเหตุสำคัญให้การค้าระหว่างประเทศไม่ราบรื่น ซึ่งจะส่งผลต่อประมาณการรายรับ และมีปัญหาไม่สามารถชำระหนี้สินได้ตามที่ตกลงไว้

การที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่นั้น  จะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) คือ

ผู้ว่าการธนาคารคนใหม่ต้องใช้ในเรื่อง  

Protection หรือ การป้องกันความเสี่ยง

ในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารให้ลูกค้านั้น ในบางครั้งลูกค้าแม้ว่าจะมีความสามารถในการชำระหนี้ได้แต่ก็ไม่มีความเต็มใจที่จะชำระ หรือในบางกรณีเกิดภาวะของรายได้และกำไรของลูกค้าไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ลูกค้าก็จะไม่สามารถชำระหนี้ได้ แม้ว่าจะเต็มใจชำระก็ตาม เหตุการณ์เหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทำความเสียหายให้กับธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากเงินทุนส่วนใหญ่ที่นำมาปล่อยสินเชื่อนี้ก็จะมาจากเงินฝากจากประชาชนหรือเงินกู้จากเจ้าหนี้ ซึ่งธนาคารพาณิชย์ต้องมีความรับผิดชอบในเงินทุนเหล่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าวธนาคารพาณิชย์จึงควรเรียกหลักประกันซึ่งอาจอยู่ในรูปสังหาริมทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์ หรือ บุคคลค้ำประกัน ให้มีมูลค่าเหมาะสมและเพียงพอต่อความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้

 

3.  การควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่สำคัญมาก ท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ และ บอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

แนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ คือ

1. กำหนดวงเงินตามจำนวนที่ลูกค้าต้องการหรือตามที่ลูกค้าขอ

2. การกำหนดวงเงินสินเชื่อตามระดับความเสี่ยง 

3. กำหนดวงเงินสินเชื่อตามฐานะการจ้างงาน 

4. กำหนดวงเงินสินเชื่อจากรายงานของสำนักงานสินเชื่อ 

5. กำหนดวงเงินสินเชื่อเป็นระยะเวลา 

6. กำหนดวงเงินสินเชื่อจากเงินเดือนและระยะเวลาการเปิดบัญชีสินเชื่อ  

 

การติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่

1.ลูกหนี้ที่อยู่บ้านเช่า อาศัยเขาอยู่ ไม่ได้อยู่ตามบ้านเลขที่ที่ให้ไว้ในสัญญา

วิธีแก้ไข

กรณีนี้ลูกหนี้อาจให้ที่อยู่ตามทะเบียนบ้านในการทำสัญญาเช่าซื้อหรือบัตรประชาชน แต่ตัวจริงอยู่บ้านเช่า แก้ไขโดย

1. สอบถามข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ที่มีบุคคลแวดล้อม เช่น ที่อยู่เก่า ที่ทำงาน ญาติพี่น้อง ผู้ค้ำ

2. กดดันลูกหนี้ให้ปรากฎตัวและขอที่อยู่ใหม่โดยใช้การฝากโน้ตข้อความ หรือส่งจดหมายเตือนระบุว่าลูกหนี้ย้ายที่อยู่โดยไม่แจ้งถือว่ามีเจตนาปิดบังซ่อนเร้นรัพย์เช่าซื้อ ถ้าค้างตั้งแต่งวดแรกๆ ที่เช่าซื้อให้รีบกดดันผู้ค้ำประกันช่วยตามลูกหนี้ และหาข้อมูลเกี่ยวกับที่อยู่ใหม่และสถานที่ใช้ทรัพย์เช่าซื้อ เพื่อสืบยึดกลับโดยเร็วต่อไป

2. ลูกหนี้มีเจตนาหลบเลี่ยง

วิธีแก้ไข

กรณีนี้อาจเป็นเพราะมีความสามารถในการชำระหนี้ แต่ไม่มีเจตนาที่จะชำระคืน หรือเพราะไม่มีความสามารถในการชำระหนี้และไม่มีเจตนาจะชำระด้วย แก้ไขโดย

1. รีบสืบยึดทรัพย์เช่าซื้อกลับโดยเร็ว เพราะลูกหนี้มีเจตนาใช้ทรัพย์ไปเรื่อยๆ ไม่ยอมชำระค่าเช่าซื้อ เพื่อหยุดยั้งความเสียหายที่จะเกิดแก่ตัวทรัพย์เช่าซื้อ มิให้ขาดทุนมาก

2. ติดต่อผู้ค้ำประกัน ให้ช่วยติดตามลูกหนี้และทรัพย์เช่าซื้ออย่างกระชั้นชิด และให้ช่วยส่งข่าวหรือข้อมูลต่างๆ ตลอดจนช่วยยึดกลับคืนด้วย

3. บางครั้งต้องใช้วิธีกดดันโดยปล่อยข่าวลือว่าจะฟ้อง หรือขอความร่วมมือ จากผู้บังคับบัญชาหัวหน้างาน พ่อ-แม่ ญาติพี่น้อง ภริยาช่วยเกลี้ยกล่อมให้ยอมคืนทรัพย์เช่าซื้อโดยเร็ว

 

4. จงอธิบายอัตราส่วนทางการเงิน (Finance Ratio) ที่จำเป็นในการพัฒนาสินเชื่อ พร้อมทั้งอธิบายลงไปในรายละเอียด ด้วยว่าวิธีการพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้

 อัตราส่วนทางการเงิน (Finance Ratio) ที่จำเป็นในการพัฒนาสินเชื่อ ได้แก่

 1. การวิเคราะห์ตามแนวขวาง (Horizontal Analysis) การเปรียบเทียบผลการดำเนินงานขหรือฐานะของกิจการในปีนั้นเองและเทียบกับปีอื่นๆ เพื่อให้มองเห็นถึงแนวโน้ม พัฒนาการ และความสามรถในการปรับตัวของบริษัท

2. การวิเคราะห์ตามแนวตั้ง (Vertical Analysis) เป็นการวิเคราะห์ฐานะทางการเงิน ผลการดำเนินงานของกิจการในปีนั้นๆ กับรายการอื่นว่าสูงหรือต่ำ หรือเป็นสัดส่วนเท่าใดของรายการทั้งหมด

             ซึ่งข้อมูลทางอัตราส่วนที่นำมาวิเคราะห์จานำมาจากงบดุลและงบกำไรขาดทุนของปีปัจจุบันและปีก่อนปัจจุบันมาทำการเปรียบเทียบ เพื่อนำข้อมูลไปพิจารณาและพัฒนาสินเชื่อต่อไป

            ส่วนประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้ คือกำไรสุทธิที่ได้จากการดำเนินงาน ถือว่าเป็นค่าส่วนใหญ่ที่คนให้ความสนใจมาก แต่ไม่ใช่เป็นกำไรหลังจากเสียภาษีอากร เพื่อให้เห็นว่ากิจการได้รับผลตอบแทนในการดำเนินงานเป็นจำนวนเท่าไหร่ ซึ่งค่าที่ได้นี้นำมาเปรียบเทียบผลการดำเนินงานได้กับกิจการในประเภทเดียวกันที่เป็นคู่แข่งได้

 

5. ท่านคิดว่างานพิธีการสินเชื่อมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด เมื่อเปรียบเทียบกับงานด้านการตลาดสินเชื่อ  และถ้าต้องทำงานทั้ง 2 ด้านในคนเดียวกันในสาขาของธนาคารแห่งหนึ่งนั้น ท่านจะบริหารจัดการเวลาของตนเองและการบริหารความเสี่ยงของธนาคารให้มีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผลได้อย่างไร 

               ถือว่ามีความสำคัญมากในงานพิธีการสินเชื่อเพราะหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ด้านการให้สินเชื่อมีหน้าที่ ดังนี้

1.ปัจจุบันที่ต้องเริ่มทำอันดับแรกคือ การตรวจสอบแบล็คลิสต์ ต้องไม่มีชื่อในตาข่ายแบล็คลิสต์

2.ตรวจสอบหลักประกัน การประเมินมูลค่าที่ดิน อาคาร สิ่งปลูกสร้าง พิธีการด้านกฎหมายเกี่ยวกับการจำจำนอง ปลดจำนอง การไถ่ถอนฯลฯ

3.จัดทำเอกสารสัญญาต่างๆ  เช่น คำขอเงินกู้ สัญญาเงินกู้ สัญญาค้ำประกัน(บุคคล) สัญญา จำนำ จำนอง  ค้ำประกันสัญญา

4.การจัดทำประมวลผลสรุปรายงานสินเชื่อประจำงวด รายวัน สัปดาห์ เดือน ไตรมาส งวดครึ่งปี รายปี

         จะเห็นได้ว่างานในส่วนของพิธีการสินเชื่อจะมีบางส่วนที่สอดคล้องกับงานด้านการตลาดสินเชื่อ ในเรื่องของการจัดทำประมวลผลสรุปรายงานสินเชื่อประจำงวด รายวัน สัปดาห์ เดือน ไตรมาส งวดครึ่งปี รายปี ซึ่งสามารถทั้ง 2 ด้านในคนเดียวกันในสาขาของธนาคารแห่งหนึ่งนั้นได้ โดยนำขอมูลที่เกี่ยวกับด้านการตลาดของฝ่ายสินเชื่อที่มีอยู่แล้วมาจัดทำในไฟล์เดียวกัน เพราะงานๆหนึ่งสามารถทำได้หลายงานซึ่งที่มาๆจากแหล่งเดียวกัน ดังนั้นการบริหารความเสี่ยงในการทำงานทั้ง 2 งาน ในคนๆเดียวกันจะสามารถไปด้วยกันได้

      

6. เมื่อท่านได้ศึกษาเพาเวอร์พอยท์ เรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคาร ไปนั้น ขอให้ท่านจับประเด็นให้ได้ว่ามีประเด็นใดบ้างที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียมตัวมากู้เงินจากธนาคาร และประเด็นเหล่านั้นธนาคารสามารถตรวจสอบได้อย่างไร

       ประเด็นที่ลูกค้าในเพาเวอร์พอยท์มักจะเตรียมตัวมากู้ด้วยก็ คือ จะปรากฏให้เห็นในงบการเงิน ซึ่งสะท้อนฐานะทาง ทั้งกระแสเงินสดเข้าออก ว่าในการดำเนินกิจการของบริษัทมีกำไรในแต่ละปีเพิ่มขึ้น จาก 3 ปี ที่ผ่านมา ทำให้บริษัทมีความน่าเชื่อถือ เกิดจากการตบแต่งงบการเงินทั้งนั้น โดยว่าจ้างบุคคลให้มาเป็นที่ปรึกษาปลอม ทั้งการหลี่กเลี่ยงภาษีโดยใช้สารพัดวิธี รวมไปถึงการขยายธุรกิจในเครือ เพื่อเพิ่มเครดิตของบริษัทสร้างภาพให้เกิดแรงจูงใจในการปล่อยสินเชื่อแก่บริษัทนี้

         ธนาคารสามารถตรวจสอบได้โดยจากปัจจัยเหล่านี้

1. รายงานขอผู้สอบบัญชีที่ยาวเกินไป

2. การลดลงของค่าใช้จ่ายที่อยู่ในดุลยพินิจของฝ่ายบริหาร

3. การเปลี่ยนแปลงนโยบายทางบัญชีที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายการตัดค่าเสื่อมราคา

4. การเพิ่มขึ้นของบัญชีลูกหนี้

5. การขยายตัวของบัญชีเจ้าหนี้ที่ดูดีเกินไป

6. การเพิ่มขึ้นของภาษีเงินได้

7. อัตราหมุนเวียนของสินค้าที่สูงขึ้นจนน่าคิดตาม

               จากที่กล่าวมาก็ คือ การตรวจสอบที่มาของบัญชีเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทางธนาคารที่จะให้สอนเชื่อกับบริษัทนี้ ว่ากำไรที่เกิดจากการดำเนินงานมีที่มาที่ไปเป็นอย่างไร การได้มาของเงินนั้นเป็นจริงตามที่ระบุไว้ในบัญชีหรือไม่ ทั้งนี้ก็เพื่อธนาคารจะได้ไม่แจ้งข้อหากับบริษัทได้เลย ถ้าผลออกมาว่าลูกค้าโกงเงินบริษัทจริง

 

"Happy Birth Day นะคะอาจารย์ ขอให้มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ปราศจาก โรคภัยไข้เจ็บคะ" "

 

ข้อ6 เมื่อท่านได้ศึกษาเพาเวอร์พอยท์เรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคารไปนั้น ขอให้ท่านจับประเด็นให้ได้ว่ามีประเด็นใดบ้างที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียมตัวมากู้เงินจากธนาคารและประเด็นเหล่านั้นธนาคารสามารถตรวจสอบได้อย่างไร

ตอบ 1. การขอกู้เงินไปลงทุนในธุรกิจ แต่ไม่ได้นำเงินนั้นไปใช้ในธุรกิจ โดยการมีส่วนรู้เห็นกับร้านขายวัตถุดิบ โดยมีการออกบิลค่าวัตถุดิบจริงแต่ไม่ได้ซื้อขายกันจริงๆ

การตรวจสอบ ได้โดยธนาคารผู้ให้กู้เป็นผู้ติดต่อขอซื้อวัตถุดิบเหล่านั้นด้วยตัวเองกับร้ายขายที่ธนาคารเลือก แล้วให้ทางร้านจัดส่งวัตถุไปให้กับผู้ขอกู้ แทนที่จะให้เป็นเงินไป แต่ให้เป็นวัตถุดิบแทน

2. เรียนให้จบ ป.ตรี มีประสบการณ์ที่จะกู้เงิน แต่งตัวให้ดูภูมิฐาน พูดจาให้ดุเป็นระบบ วางตัวให้เป็นสากล

การตรวจสอบ ดูประวัติผู้ขอสินเชื่อมีลักษณะนิสัย ความประพฤติ หรืออาชีพการทำงานที่มีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด

3. สร้างระบบการเงินให้ดูดี กิจการมีกำไร มีอัตราส่วนทางการเงินดี อธิบาย Flow สามรถคืนหนี้ได้ ทำธุรกิจมาซัก 3 ปี

การตรวจสอบ พิจารณาในแง่การมีรายได้ในการประกอบอาชีพ หรือทำธุรกิจเพียงพอที่จะชำระหนี้ได้ตามที่ตกลงไว้ด้วยกันในแง่ธุรกิจก็จะพิจารณาในแง่ของงบการเงินในอดีตและประมาณการรายได้ในอนาคต

4. กู้เงินอย่าให้เกิน 80 % ของราคาประเมินราคาทรัพย์สินที่จะใช้เป็นหลักประกัน

การตรวจสอบ พิจารณาว่าผู้ขอสินเชื่อนั้นมีมูลค่าทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินในปัจจุบันอยู่เท่าได หรือถ้าพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ เจ้าหนี้มีมักให้กับลูกค้าที่มีเงินทุนอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งโดยปกติมีลักเป็นจำนวนเกินครึ่งของเงินที่ใช้ในวัตถุประสงค์นั้นๆ ซึ่งจะทำให้ผู้กู้มีความเสี่ยงต่ำ

ข้อ4 จงอธิบายถึงอัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratio) ที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ พร้อมทั้งอธิบายลงไปในรายละเอียดด้วยว่ามีวิธีการพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้

ตอบ อัตราส่วนทางการเงิน (Financial ratio) เป็นการนำตัวเลขที่อยู่ในงบการเงินมาหาอัตราส่วนเพื่อใช้ในการวิเคราะห์เปรียบเทียบกับกิจการอื่น หรือ เปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานในอดีต ช่วยให้ผู้วิเคราะห์ประเมินผลการดำเนินงาน แนวโน้ม และความเสี่ยงของตัวอย่างอัตราส่วนทางการเงิน

อัตราส่วนสภาพคล่อง

อัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current ratio)

อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick ratio)

อัตราส่วนเงินสด (Cash ratio)

อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ (Receivable turnover)

ระยะเวลาเก็บหนี้ (Collection period)

อัตราหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory turnover)

ระยะเวลาขายสินค้า (Holding period)

วงจรเงินสด (Cash conversion cycle)

อัตราส่วนประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์

อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total asset turnover)

อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (Net fixed asset turnover)

อัตราหมุนเวียนของส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity turnover)

อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไร

อัตรากำไรขั้นต้น (Gross profit margin)

อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating profit margin)

อัตรากำไรสุทธิ (Net profit margin)

อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ทั้งหมด (Return On Assets : ROA)

อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (Return On Equity : ROE)

อัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้

อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์ (Debt to Asset ratio)

อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity ratio)

อัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest coverage ratio) กิจการได้ดียิ่งขึ้น

การพิจารณาสินเชื่ออย่างรอบคอบจะช่วยให้ลดจำนวนหนี้ที่มีปัญหาไปได้มาก ฉะนั้นความรู้ความสามารถของเจ้าหน้าที่สินเชื่อ เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับองค์กร ควรมีการพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเกิดหนี้ที่มีปัญหาขึ้น ผลการวิเคราะห์มักพบเสมอว่า หลายกรณีเกิดจากการที่อนุมัติวงเงินสินเชื่อบกพร่อง ซึ่งพอสรุปได้ ดังนี้

1. การจัดวงเงินสินเชื่อไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ที่ใช้

2. การขาดข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้

3. การวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้คืนผิดพลาด

4. การกำหนดระยะเวลาชำระคืนไม่เหมาะสม

5. ขาดเงื่อนไขในการใช้วงเงินสินเชื่อแต่ละประเภท

6. ขาดการควบคุมการใช้วงเงินสินเชื่อ

7. ให้วงเงินสินเชื่อมากหรือน้อยเกินไป

8. DOUBLE FINANCING

ข้อ3 การควบคุมสินเชื่อถือป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่สำคัญมาก ท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ และ บอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

ตอบ 1. การควบคุมในแนวดิ่ง (Vertical Control )

เป็นการควบคุมที่มีอยู่ ในลักษณะตามสายการบังคับบัญชาที่ผู้เป็นหัวหน้าต้องดูแลเอาใจใส่ ให้คำแนะนำ (Supervion) แก่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของตน และประการสุดท้ายก็คือ ผู้ทำการวิเคราะห์ที่อยู่ในสายการบังคับบัญชานั้นได้ใช้ดุลพินิจหรือวิจารณญาณอย่างรอบคอบสมเหตุสมผล และเป็นอิสระจากภาวการณ์กดดันได้ดีเพียงพอแล้ว ซึ่งทำให้องค์กรลดความเสี่ยงลงได้

2. การควบคุมในแนวนอน (Horizontal Control)

เป็นการควบคุมในระดับเดียวกันแต่เป็นการควบคุมระหว่างหน่อยงานที่ทำหน้าที่แต่ละด้านให้กับองค์กร สิ่งที่มักพบเห็นเสมอก็คือ ธนาคารหลายแห่งจะมีเจ้าหน้าที่สินเชื่อทำงานด้านหารตลาด เพื่อพบประกับลูกค้าและเสนอแนะบริการด้านสินเชื่อ มีเจ้าหน้าที่ที่ต้องวิเคราะห์สินเชื่อที่ต้องออกไปพบลูกค้าพร้อมกับฝ่ายการตลาดเพื่อร่วมรับรู้ถึงธุรกิจของลูกค้า และขอเอกสารต่างๆ จากลูกค้าและรวมถึงหาข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ เพื่อทำความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละราย มีเจ้าหน้าที่ประเมินราคาหลักประกัน ที่ต้องไปพบลูกค้าด้วยเช่นกัน เพื่อรวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องทางทรัพย์สินที่จะนำมาเป็นหลักประกัน สุดท้ายยังมีเจ้าหน้าที่ในงานพิธีกร ที่ต้องคอยทำหน้าที่เตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทำนิติกรรมระหว่างลูกค้ากับผู้ให้สินเชื่อคือธนาคาร เมื่อลูกค้าลงนามครบถ้วนแล้ว ก็ต้องจัดเก็บอย่างปลอดภัยมีระบบรักษาความลับลูกค้ามิให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องมารับรู้หรือค้นหา เพราะจะทำให้เกิดการสูญหายต่อธนาคารได้

3.การควบคุมด้วยการตรวจสอบภายในองค์กร (Internal Audit Control)

ซึ่งจะต้องทำอย่างน้อยปีละครั้ง โดยใช้ระบบสุ่มตรวจและต้องไม่ให้ฝ่ายสินเชื่อทราบล่วงหน้า เพราะจะทำให้ไม่พบจุกบกพร่องในขณะที่ผู้เขียนทำงานอยู่ที่ธนาคารไทยพาณิชย์นั้น ฝ่ายตรวจสอบจะแบ่งทีมงานเป็นหลายชุด ที่จะออกตรวจในสาขาภูมิภาค

ตัวอย่างที่1

การทวงหนี้โดยทนายความ

- โนติสทนาย ลูกหนี้ก็ยังเกรงใจอยู่ แต่ในยุคข้อมูลข่าวสาร ลูกหนี้เมื่อได้รับโนติสก็มักจะปรึกษาทนาย ว่าทำอย่างไรกูถึงไม่ต้องจ่ายตอนนี้ หรือ กูจะหาทางหนีทีไล่อย่างไร กูจะยื้ออย่างไร กูจะโกงอย่างไร กูจะเบี้ยวได้อีกนานไหม ถ้ากูไม่จ่ายเจ้าหนี้จะทำอะไรกูได้ไหม กว่าจะฟ้องศาลอีกนานไหม กว่าจะยึดทรัพย์อีกกี่ปี กูพอจะมีเวลายักย้ายถ่ายเททรัพย์สินกี่วันกี่เดือน กูจะโอนทรัพย์สินให้ลูกให้เมียจะติดคุกไหม หรือว่ากูต้องขายทิ้งเลย หรือจะต้องหนีออกนอก และสุดท้าย ถ้ากูไม่มีทรัพย์สินเลยจะทำอะไรกูได้ไหม จะฟ้องล้มละลายกูได้หรือเปล่า ถ้าได้รับความมั่นใจจากทนาย ลูกหนี้ก็อาจจะโกงเจ้าหนี้ได้

ตัวอย่างที่2

การทวงหนี้ถึงภูมิลำเนาของลูกหนี้

- เป็นวิธีที่ดีที่สุด เห็นหน้าเห็นตา เจรจากดดันทั้งดุทั้งด่า ทั้งเสียดทั้งสี เล่นกันแบบตรง ๆ ได้ผลที่สุด แต่สิ่งสำคัญจะต้องหาตัวลูกหนี้ให้เจอ ส่วนใหญ่เจอด่านสะกัดหลายด่านเช่น นัดหมาย รับโทรศัพท์ บอกครับ ๆ พอไปถึงเผ่นไปแล้ว เสียเวลาเปล่า ก่อนไปพบหาข้อมูลทางลับก่อน ส่งคนไปดู หรือถามเลียบ ๆ เคียง ๆ จากลูกน้องลูกหนี้ ไปอย่านัดหมาย เพราะถ้านัดหมายไม่เจอแน่ เจอหน้าแล้วต้องเอาให้อยู่ พูดภาษามวยต้องชนะน็อคอย่างเดียว ไปแล้วอย่าเสียเที่ยวลูกหนี้จ่ายเท่าไรรับมาก่อน ไม่ว่าจะเงินสด เช็คหรือทำหนังสือรับสภาพหนี้ จำผมไว้ ต้องมีอะไรติดไม้ติดมือมาบ้าง

ข้อ2 การที่เกิดภาวะเงินบาทมีค่าลดลงมาก (เงินบาทอ่อนตัว) มีผลต่อธนาคารของท่านในการให้สินเชื่ออย่างไรบ้าง และ การที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่นั้น จะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)ในประเด็นใดบ้าง

ตอบ การเกิดภาวะเงินบาทอ่อนตัว มีผลต่อการให้สินเชื่อ

1. การให้เงินทุนในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารลดลงจากเดิม

2. การพิจารณาในการให้สินเชื่อต้องตรวจสอบอย่างละเอียดมากขึ้นว่าผู้ขอสินเชื่อมีคุณสมบัติตามที่ธนาคารกำหนดหรือไม่ โดยใช้หลักดังนี้

หลัก 5’C

1. อุปนิสัยของลูกค้า (CHARACTER)

2. ความสามารถในการชำระหนี้ (CAPACITY)

3. เงินทุน (CAPITAL)

4. หลักประกัน (COLLATERALS)

5. สถานการณ์ (CONDITION)

หลัก 3 ‘P

1. วัตถุประสงค์ (PURPOSE)

2. การชำระคืน (PAYMENT)

3. การป้องกันความเสี่ยง (PROTECTION)

การเปลี่ยนผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย จะส่งผลต่อการให้สินเชื่อในประเด็น

1. นโยบายสินเชื่อที่เปลี่ยนไป เป็นการกำหนดโดยผู้บริหารของสถาบันการเงิน เพื่อกำหนดเป้าหมายให้แก่ผู้ปฏิบัติเช่นในปีนี้จะขยายตัวทางด้านสินเชื่อวงเงินเท่าไหร่ อัตราตอบแทนเป็นอย่างไร และจะปล่อยสินเชื่อให้แก่ธุรกิจใดบ้าง ซึ่งนโยบายสินเชื่ออาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ ตามผลการประกอบการของสถาบันการเงินนั้น ๆ เอง การกำหนดนโยบายสินเชื่อ จะต้องคำนึงถึงปัจจัยหลัก 3 ข้อ คือ

1. กำไร (PROFIT)

2. สภาพคล่อง (LIQUIDITY)

3. ความเสี่ยง (RISK)

2. แนวทางการวิเคราะห์สินเชื่อ (CREDIT ANALYSIS) เปลี่ยนไป

การวิเคราะห์สินเชื่ออย่างรอบคอบจะช่วยให้ลดจำนวนหนี้ที่มีปัญหาไปได้มาก ฉะนั้นความรู้ความสามารถของเจ้าหน้าที่สินเชื่อ เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับองค์กร ควรมีการพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเกิดหนี้ที่มีปัญหาขึ้น ผลการวิเคราะห์มักพบเสมอว่า หลายกรณีเกิดจากการที่อนุมัติวงเงินสินเชื่อบกพร่อง ซึ่งพอสรุปได้ ดังนี้

1. การจัดวงเงินสินเชื่อไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ที่ใช้

2. การขาดข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้

3. การวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้คืนผิดพลาด

4. การกำหนดระยะเวลาชำระคืนไม่เหมาะสม

5. ขาดเงื่อนไขในการใช้วงเงินสินเชื่อแต่ละประเภท

6. ขาดการควบคุมการใช้วงเงินสินเชื่อ

7. ให้วงเงินสินเชื่อมากหรือน้อยเกินไป

8. DOUBLE FINANCING

ข้อ5 ท่านคิดว่างานพิธีการสินเชื่อมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด เมื่อเปรียบเทียบกับงานด้านการตลาดสินเชื่อ และถ้าต้องทำงานทั้ง 2 ด้านในคนเดียวกันในสาขาของธนาคารแห่งหนึ่งนั้น ท่านจะบริหารจัดการเวลาของตนเองและการบริหารความเสี่ยงของธนาคารให้มีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผลได้อย่างไร

ตอบ สำคัญมาก คือเป็นขั้นตอนการจัดทำสัญญา จดจำนอง จำนำ หลักประกัน จำเป็นจะต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก เพราะหากเกิดข้อผิดพลาดขึ้น อาจทำให้ไม่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้ตามกฎหมาย ควรดูเงื่อนไขและข้อตกลงในการอนุมัติวงเงินสินเชื่ออย่างละเอียดรอบคอบ และต้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อตกลงนั้น โดยคำนึงถึงปัญหาทางด้านกฎหมายเป็นหลักในการดำเนินการ หากมีเงื่อนไขที่อาจจะเป็นปัญหาทางด้านกฎหมาย ต้องสอบถามทางฝ่ายกฎหมายโดยด่วน และจะพบว่า หากมีความบกพร่องทางด้านนี้ เมื่อเจรจาหนี้กับลูกค้า จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และทำให้การแก้ไขหนี้ยากขึ้นมาก

พิธีการสินเชื่อ

1. รวบรวมข้อมูลสถานะทางกฎหมายของลูกค้า

2. ตรวจสอบหลักประกัน

3. ทำนิติกรรมสำหรับผู้ให้กู้แก่ลูกค้า

4. จัดเก็บนิติกรรมและหลักประกัน

เราควรบริหารจัดการความเสี่ยง (RISK MANAGEMENT)ได้โดย ธุรกิจธนาคาร เป็นธุรกิจที่เกิดขึ้นจากการบริการความเสี่ยงเป็นหัวใจสำคัญ ฉะนั้นถ้าสามารถลดความเสี่ยงลงได้มากเท่าไร ก็จะมีสถานะมั่นคงมากเท่านั้น และควรคำนึงถึงด้วยว่า ถ้าเสี่ยงมาก ควรได้รับผลตอบแทนมาก ถ้าเสี่ยงน้อย ผลตอบแทนน้อย ก็ไม่เป็นไร การบริหารความเสี่ยง มีประเด็นที่ต้องคำนึงถึง คือ

GOOD QUANLITY OF ASSET คือ การบริหารสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดี เลือกลงทุนในธุรกิจที่มีผลตอบแทนสูง สินเชื่อที่ธนาคารปล่อยก็ถือว่าเป็นสินทรัพย์ด้วย ฉะนั้น การปล่อยสินเชื่อที่ดี ก็จะสามารถลดความเสี่ยงได้

INDUSTRIAL DISTRIBUTION คือ การกระจายสัดส่วนสินเชื่อใน PORTFOLIO ไปตามประเภทของธุรกิจต่าง ๆ ไม่ควรปล่อยสินเชื่อธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งมากจนเกินไป หากธุรกิจนั้น ๆ มีปัญหา ผลกระทบก็จะรุนแรงตามไปด้วย

4. จงอธิบายอัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratio) ที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อพร้อมทั้งอธิบายลงในรายละเอียด ด้วยว่า มีวีพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพัฒนาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้

-อัตราส่วนทางการเงินนั้นจำเป็นต่อการพิจารณาสินเชื่อ เนื่องมาจาก จะช่วยลดความเสี่ยงของธนาคารได้ การให้สินเชื่อเป็นธุรกิจ ซึ่งจะต้องขายความเสี่ยงเป็นหลัก เป็นการประกันความเสี่ยงในอนาคต ไม่มีใครยืนยันได้ว่า สินเชื่อที่ปล่อยไปนั้น จะได้รับการชำระคืนโดยครบถ้วน ฉะนั้น การอำนวยสินเชื่ออย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้ภาระหนี้เสียในอนาคต อยู่ในระดับที่พอยอมรับได้ ซึ่งโดยทั่วไปจะมีพอยอมรับได้ ซึ่งโดยทั่วไปจะมีขั้นตอนใหญ่ ๆ ดังนี้

1) การกำหนดนโยบายสินเชื่อ(CREDIT POLICY)

2) การวิเคราะห์สินเชื่อ (CREDIT POLICY)

3) พิธีการทางด้านสินเชื่อ

4) การสอบทานสินเชื่อ

5) การแก้ไขหนี้ที่มีปัญหา

1) การกำหนดนโยบายสินเชื่อ(CREDIT POLICY)

เป็นการกำหนดโดยผู้บริหารของสถาบันการเงิน เพื่อกำหนดเป้าหมายให้แก่ผู้ปฏิบัติเช่นในปีนี้จะขยายตัวทางด้านสินเชื่อวงเงินเท่าไหร่ อัตราตอบแทนเป็นอย่างไร และจะปล่อยสินเชื่อให้แก่ธุรกิจใดบ้าง ซึ่งนโยบายสินเชื่ออาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ ตามผลการประกอบการของสถาบันการเงินนั้น ๆ เอง การกำหนดนโยบายสินเชื่อ จะต้องคำนึงถึงปัจจัยหลัก 3 ข้อ คือ

1. กำไร (PROFIT)

2. สภาพคล่อง (LIQUIDITY)

3. ความเสี่ยง (RISK)

1. การบริการกำไร (PROFIT MANAGEMENT)

ในการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงินก็เช่นเดียวกับธุรกิจโดยทั่วไป ที่มีผู้ถือหุ้น ซึ่งได้นำเงินมาลงทุนโดยหวังผลตอบแทนคือ เงินปันผล ฉะนั้น ผู้บริการจำเป็นที่จะต้องตั้งเป้าหมายในการทำกำไร เป็นหัวใจสำคัญในการบริหารงาน

รายได้ของสถาบันการเงิน สถาบันการเงินมีรายได้หลักที่สำคัญ ดังนี้

1. ดอกเบี้ย (INTERRST)

2. ค่าธรรมเนียม (FEE)

3. รายได้จากการขายหลักทรัพย์

4. รายได้จากการปริวรรตเงินตรา

5. รายได้จากการลงทุน

2. การบริหารสภาพคล่อง (LIQUIDITY MANAGEMENT)

ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่ต้องอาศัยความไว้วางใจของผู้ฝากเงิน ฉะนั้น เมื่อใดก็ตามที่ผู้ฝากต้องการถอนเงิน จะต้องได้รับเงินโดยไม่มีเงื่อนไข ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อนั้น ไม่สามารถได้รับการชำระเงินคืนจากลูกค้าได้ทันที สถาบันการเงินจึงต้องบริหารสภาพคล่อง ให้อยู่ในระดับที่ดีตลอดเวลา และในขณะเดียวกัน การดำรงเงินไว้ก็เป็นภาระที่สถาบันการเงิน จะต้องจ่ายดอกเบี้ยให้ผู้ฝากซึ่งหากไม่สามารถปล่อยสินเชื่อได้ ก็จะทำให้ขาดรายได้ไป ดังนั้น จึงต้องคำนึงถึง

MATCHING SOURCES OF FUND คือ การจัดหาแหล่งเงินให้ได้สัดส่วนกับสินเชื่อที่จะปล่อย หาแหล่งเงินสำรองในกรณีฉุกเฉิน ในกรณีนี้ เป็นการปล่อยสินเชื่อวงเงินจำนวนมาก มีระยะเวลาการชำระเงินต้นระยะยาว ซึ่งอาจจะต้องหาแหล่งเงินกู้ระยะยาวมาใช้เพิ่ม เพื่อให้ได้สัดส่วนกัน การบริหารเงิน จึงเป็นความสามารถอันหนึ่งของสถาบันการเงิน เพราะถ้ามีการจัดการที่ดี จะทำให้ได้ผลกำไรมาก

MATURITY DISTRIBUTION เป็นการจัดสินเชื่อตามระยะเวลาการชำระเงินต้นที่เหมาะสม คือ มีทั้งสินเชื่อระยะยาว ระยะปานกลาง และระยะสั้น ทั้งนี้ควรมีสินเชื่อที่สามารถเรียกชำระเงินต้นคืนได้ทุกขณะ (CALL LOAN) ด้วย เพื่อเป็นการดูดซับสภาพคล่องที่มีมากเกินไป

3. การบริหารความเสี่ยง (RISK MANAGEMENT)

ธุรกิจธนาคาร เป็นธุรกิจที่เกิดขึ้นจากการบริการความเสี่ยงเป็นหัวใจสำคัญ ฉะนั้นถ้าสามารถลดความเสี่ยงลงได้มากเท่าไร ก็จะมีสถานะมั่นคงมากเท่านั้น และควรคำนึงถึงด้วยว่า ถ้าเสี่ยงมาก ควรได้รับผลตอบแทนมาก ถ้าเสี่ยงน้อย ผลตอบแทนน้อย ก็ไม่เป็นไร การบริหารความเสี่ยง มีประเด็นที่ต้องคำนึงถึง คือ

GOOD QUANLITY OF ASSET คือ การบริหารสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดี เลือกลงทุนในธุรกิจที่มีผลตอบแทนสูง สินเชื่อที่ธนาคารปล่อยก็ถือว่าเป็นสินทรัพย์ด้วย ฉะนั้น การปล่อยสินเชื่อที่ดี ก็จะสามารถลดความเสี่ยงได้

INDUSTRIAL DISTRIBUTION คือ การกระจายสัดส่วนสินเชื่อใน PORTFOLIO ไปตามประเภทของธุรกิจต่าง ๆ ไม่ควรปล่อยสินเชื่อธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งมากจนเกินไป หากธุรกิจนั้น ๆ มีปัญหา ผลกระทบก็จะรุนแรงตามไปด้วย

2) การวิเคราะห์สินเชื่อ (CREDIT ANALYSIS)

การวิเคราะห์สินเชื่ออย่างรอบคอบจะช่วยให้ลดจำนวนหนี้ที่มีปัญหาไปได้มาก ฉะนั้นความรู้ความสามารถของเจ้าหน้าที่สินเชื่อ เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับองค์กร ควรมีการพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเกิดหนี้ที่มีปัญหาขึ้น ผลการวิเคราะห์มักพบเสมอว่า หลายกรณีเกิดจากการที่อนุมัติวงเงินสินเชื่อบกพร่อง ซึ่งพอสรุปได้ ดังนี้

1. การจัดวงเงินสินเชื่อไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ที่ใช้

2. การขาดข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้

3. การวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้คืนผิดพลาด

4. การกำหนดระยะเวลาชำระคืนไม่เหมาะสม

5. ขาดเงื่อนไขในการใช้วงเงินสินเชื่อแต่ละประเภท

6. ขาดการควบคุมการใช้วงเงินสินเชื่อ

7. ให้วงเงินสินเชื่อมากหรือน้อยเกินไป

8. DOUBLE FINANCING

3) พิธีการทางด้านสินเชื่อ

คือขั้นตอนการจัดทำสัญญา จดจำนอง จำนำ หลักประกัน จำเป็นจะต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก เพราะหากเกิดข้อผิดพลาดขึ้น อาจทำให้ไม่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้ตามกฎหมาย ควรดูเงื่อนไขและข้อตกลงในการอนุมัติวงเงินสินเชื่ออย่างละเอียดรอบคอบ และต้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อตกลงนั้น โดยคำนึงถึงปัญหาทางด้านกฎหมายเป็นหลักในการดำเนินการ หากมีเงื่อนไขที่อาจจะเป็นปัญหาทางด้านกฎหมาย ต้องสอบถามทางฝ่ายกฎหมายโดยด่วน และจะพบว่า หากมีความบกพร่องทางด้านนี้ เมื่อเจรจาหนี้กับลูกค้า จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และทำให้การแก้ไขหนี้ยากขึ้นมาก

4) การสอบทานสินเชื่อ (CREDIT REVIEW)

คือ การติดตามผลการใช้วงเงินสินเชื่อ ที่ได้รับการอนุมัติจากทางธนาคาร ควรกระทำการสอบทานอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อที่จะได้ทราบว่า ลูกค้าได้ปฎิบัติตรงตามข้อตกลงหรือไม่ สถานะภาพของลูกค้าเป็นอย่างไร หากลูกค้ามีปัญหาอย่างใด ก็จะเป็นสัญญาณเตือนภัย (WARNING SIGN) ให้ทราบว่า ถึงเวลาที่จะเพิ่มสินเชื่อให้กับลูกค้าแล้ว ก็จะทำให้สามารถรักษาลูกค้าที่ดีไว้กับธนาคารได้ต่อไป

ควรสอบทานสินเชื่อเมื่อไร

การสอบทานสินเชื่อ ควรเป็นระบบที่ต่อเนื่องไปโดยตลอด นับตั้งแต่ลูกค้าได้รับวงเงินสินเชื่อจากทางธนาคาร ไปจนกว่า จะยกเลิกวงเงินสินเชื่อทั้งหมด หากมีกำลังเพียงพอ ควรสอบทานดังนี้

(1) EVALUATE NEWLY GRANTED LOAN เป็นการตรวจสอบการใช้วงเงินสินเชื่อที่

ได้รับอนุมัติใหม่ ว่าตรงตามวัตถุประสงค์หรือไม่ และทำตามข้อตกลงครบถ้วนหรือไม่ โดยตรวจสอบภายในระยะเวลา 1 เดือน นับแต่วันที่ลูกค้าเริ่มใช้วงเงินสินเชื่อ

(2) PERIODIC REVIEW (การตรวจสอบตามกำหนดเวลา) คือการสอบทานที่กำหนด

อาจจะเป็น 6 เดือนต่อครั้งหรือปีละครั้ง

(3) TRANFER REVIEW กรณีสอบทาน เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารในสายงานสินเชื่อ

(4) CONTINGENCY REVIEW เป็นการสอบทานเมื่อเกิดเหตุการณ์ ที่จะมีผลกระทบต่อธุรกิจของลูกค้าหรือมีผลกระทบต่อหลักประกันของลูกค้า

5) การแก้ไขหนี้ที่มีปัญหา

ในการปล่อยสินเชื่อนั้น แม้ว่าจะมีการวิเคราะห์ที่ดีอย่างไรก็ตาม แต่ก็มีหนี้บางส่วนที่เป็น หนี้ที่มีปัญหา (PROBLEM LOAN)

มีผู้บริหารธนาคารใหญ่ท่านหนึ่ง เคยกล่าวไว้ว่า การปล่อยสินเชื่อนั้น เหมือนกันตักน้ำตาลจะต้องมีน้ำตาลบางส่วนล่วงหล่น แต่จะทำอย่างไร ให้ส่วนที่มีปัญหานั้น น้อยที่สุดได้อย่างไรและหากเกิดหนี้ที่มีปัญหาแล้ว จะต้องบริหารอย่างไร เพื่อให้ธนาคารเสียหายน้อยที่สุด

ความหมายของหนี้ที่มีปัญหา

คือหนี้ที่เกิดขึ้นเพราะการผิดข้อตกลง (DEFAULT) กับผู้ให้สินเชื่อ ซึ่งไม่ใช่เป็นหนี้เสียเสมอไป หนี้ที่มีปัญหานั้น มักจะถูกละเลยจากเจ้าหน้าที่สินเชื่อ จึงทำให้รู้ปัญหานั้นว่าล่าช้า และไม่ได้รับการแก้ไขตั้งแต่ต้น ทำให้ปัญหาลุกลามจนกว่าจะแก้ไขได้ ฉะนั้น หากมีการ สอบทานสินเชื่อ (CREDIT REVIEW) โดยสม่ำเสมอแล้ว ก็สามารถขจัดปัญหาต่างๆ ตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งมีโอกาสในการแก้ไขได้ดีกว่า เปรียบเสมือนคนที่เป็นไข้ที่ได้พบแพทย์ตั้งแต่มีอาการเริ่มแรก ย่อมมีโอกาสจะรักษาให้หายขาดได้ ดีกว่าปล่อยให้ทรุดหนักจนกว่าจะแก้ไขได้

“หากต้องการสุขภาพที่ดี ควรตรวจร่างกายทุก 6 เดือน

สินเชื่อก็เช่นเดียวกัน หากต้องการสินเชื่อที่ดี ควรตรวจสอบทุก 6 เดือน”

ฉะนั้น จะเห็นได้ว่า การสอบทานสินเชื่อ มีความสำคัญกับธนาคารเป็นอย่างมาก ผู้เขียนเคยเดินทางร่วมกับชมรมผู้บริหารสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ไทย ไปดูงานที่ธนาคาร HANGSENG BANK ที่ฮ่องกง ซึ่งเขาให้ความสนใจด้านการควบคุมสินเชื่อเป็นอย่างมาก โดยมีส่วนที่ทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะ เรียกว่า CREDIT CONTROL DEPARTMENT โดยมี 2 ส่วนงาน ที่สำคัญคือ

1) FACILITY REVIEW SECTION

2) RECOVERY SECTION

1) FACILITY REVIEW SECTION

ทำหน้าที่ REVIEW สินเชื่อของลูกค้ารายใหม่ ซึ่งได้รับอนุมติแล้ว จะส่งเรื่องมาให้ส่วนงานนี้ พิจารณาสอบทานการใช้วงเงินสินเชื่อ โดยทำหน้าที่อิสระแยกจากฝ่ายสินเชื่อ เป็นการคานอำนาจของฝ่ายสินเชื่อด้วย

หน้าที่หลักของส่วนงานนี้

1) ประเมินสถานะภาพของลูกหนี้รายใหม่ รวมทั้งการจัดเกรดของลูกค้า โดยได้แบ่งระดับชั้นของลูกหนี้ออกเป็น 7 ระดับ ดังนี้

GRADE 1 LOW RIST หนี้ความเสี่ยงต่ำ

GRADE 2 SATISFACTOPY RISK หนี้เสี่ยงต่ำอยู่ในระดับน่าพอใจ

GRADE 3 FATR RISK หนี้ความเสี่ยงพอสมควร

GRADE 4 WATCH LIST หนี้ที่อยู่ในรายการน่าจับตามอง

GRADE 5 SUB-STANDARD หนี้ต่ำกว่ามาตรฐาน

GRADE 6 DOUBTFUL & BAD หนี้สงสัยจะสูญหรือหนี้เสีย

GRADE 7 LOSS หนี้สูญ

2) ทำรายงานการตรวจสอบอย่างละเอียด แสดงถึงหนี้ที่มีปัญหา และแก้ไขหนี้ในเบื้องต้น

3) วิเคราะห์งบการเงินของลูกค้า โดยวิเคราะห์ตามระยะเวลาที่กำหนด หรือรวมทั้งการให้ความคิดเห็น สถานะทางการเงินและสมรรถนัของธุรกิจ

4) กระทำการสอบทานสินเชื่อ

5) ควบคุมดูแลรายงานข้อมูลสินเชื่อ

6) จัดทำระยะการบันทึกรายละเอียดของลูกค้าและประวัติของลูกค้า

2) RECOVERY SECTION

ส่วนงานแก้ไขหนี้ ซึ่งจะดูแลลูกค้า ที่จัดอยู่ในระดับ SUB-STANDDARD (GRADE5) ขึ้นไป ซึ่งถือว่า เป็นหนี้ต่ำกว่ามาตรฐาน รวมทั้งดำเนินวิธีการเพื่อเรียกหนี้คืนจากลูกหนี้ ตลอดจนดำเนินการทางกฎหมายด้วย

.

6. เมื่อท่านได้ศึกษาเพาเวอร์พอยท์ เรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคารไปนั้น ขอให้ท่านจับประเด็นได้ว่ามีประเด็นใดบ้างที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียมตัวมากู้เงินจากธนาคาร และประเด็นเหล่านั้น ธนาคารสามารถตรวจสอบได้อย่างไร

- ประเด็นที่ลูกค้า มักจะทำในการเตรียมตัวมากู้เงินกับธนาคาร จะเป็นประเด็นเกี่ยวกับ การปลอมแปลงตัวเลข ของต้นทุน ตัวเลขในสมุดบัญชี ธนาคารสามารถตรวจสอบได้โดย

1. ดูคุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อ (Character) เป็นคุณสมบัติประการแรกที่ผู้ให้สินเชื่อพิจารณาว่าผู้ขอสินเชื่อมีลักษณะนิสัย ความประพฤติ หรืออาชีพการทำงานที่มีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด

ตัวอย่างคุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อที่ควรหลีกเหลี่ยง เช่น ผู้มีอายุมาก มีโรคประจำตัว ผู้มีนิสัยเกเร ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล ในบางครั้งจึงพยายามหลีกเลี่ยงการให้กู้กับผู้ที่อยู่ในอาชีพ ทหาร ตำรวจ นักการเมือง นักหนังสือพิมพ์ และในบางกรณีก็มองกว้างไปถึงผู้ทำธุรกิจโรงเรียนเอกชน โรงพยาบาลเอกชน เนื่องจากในกรณีที่มีปัญหาสังคมคือบุคคลที่ 3 เช่น นักเรียนซึ่งเป็นเยาวชนจะไม่มีที่เรียน หรือผู้ป่วยจะไม่ได้รับการรักษาพยาบาลต่อเนื่อง

**เรียนให้จบ ป.ตรี มีประสบการณ์ที่จะกู้เงิน แต่งตัวให้ดูภูมิฐาน พูดจาให้ดุเป็นระบบ วางตัวให้เป็นสากล (Character)

2. ความสามารถในการชำระหนี้ (Capacity) เป็นคุณสมบัติที่พิจารณาในแง่การมีรายได้ในการประกอบอาชีพ หรือทำธุรกิจเพียงพอที่จะชำระหนี้ได้ตามที่ตกลงไว้ด้วยกันในแง่ธุรกิจก็จะพิจารณาในแง่ของงบการเงินในอดีตและประมาณการรายได้ในอนาคต ตัวอย่างที่สามารถมองได้ง่ายคือ เจ้าหนี้มีกต้องการให้กู้กับร้านสะดวกซื้อ ที่ขาย 24 ชั่วโมง วันละ 3 กะ โดยไม่มีวันหยุด รวมถึงสาขามากว่า 5,000 สาขา มากว่าที่จะให้กู้กับกิจการที่มีสาขาน้อย มีวันหยุดกิจการ เพราะกิจการประเภทหลังจะมีความสารถในการชำระหนี้ที่ต่ำกว่าประเภทแรก ส่วนในแง่บุคคลต้องพิจารณารายได้ว่ามีความมั่นคงและเพิ่มขึ้นพียงพอจะชำระหนี้ได้หรือไม่ รวมทั้งอาจตรวจสอบถึงหนี้สินเดิมที่ผู้ขอสินเชื่อมีอยู่ด้วยว่ายังมีภาระผูกพันอยู่มากน้อยเพียงใด เพราะในบางครั้งก็อาจพบว่าเป็นการกู้ไปเพื่อชำระหนี้สินเดิม ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อผู้ให้กู้รายใหม่

** สร้างระบบการเงินให้ดูดี กิจการมีกำไร มีอัตราส่วนทางการเงินดี อธิบาย Flow สามรถคืนหนี้ได้ ทำธุรกิจมาซัก 3 ปี (Capacity)

3. เงินทุน (Capital) เป็นคุณสมบัติอีกประการหนึ่งที่ผู้ให้สินเชื่อพิจารณาว่าผู้ขอสินเชื่อนั้นมีมูลค่าทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินในปัจจุบันอยู่เท่าได หรือถ้าพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ เจ้าหนี้มีมักให้กับลูกค้าที่มีเงินทุนอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งโดยปกติมีลักเป็นจำนวนเกินครึ่งของเงินที่ใช้ในวัตถุประสงค์นั้นๆ ซึ่งจะทำให้ผู้กู้มีความเสี่ยงต่ำนั่นเอง

** กู้เงินอย่าให้เกิน 80 % ของราคาประเมินราคาทรัพย์สินที่จะใช้เป็นหลักประกัน (Capital)

4. หลักประกัน (Collateral) เป็นคุณสมบัติประการถัดมาที่มีความสำคัญมากเช่นกันจนถึงกับมีคำกล่าวว่า “No Land No Loan” ซึ้งแปลว่า ถ้าไม่มีหลักประกันคุ้มมูลค่าหนี้โดยเฉพาะที่ดิน (อสังหาริมทรัพย์) ก็ไม่มีโอกาสได้รับสินเชื่อ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจย่ำแย่

** หลักประกันต้องดูโดดเด่นอยู่ในทำเลที่ดี มีสภาพคล่อง มีโอกาสเพิ่มมูลค่าในอนาคต (Collateral)

5. สภาพทางเศรษฐกิจ (Condition) เป็นคุณสมบัติในเชิงมหาภาคที่ผู้ให้สินเชื่อต้องมีความรู้ถึงภาวะแวดล้อมภายนอกที่ส่งผลกระทบทั้งในแง่บวกและลบต่อผู้ขอสินเชื่อ และจะส่งผลกลับมายังผู้ให้สินเชื่อในที่สุด โดยทั่วไปที่ต้องพิจารณาก็คือ กฎหมาย การเมือง เศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี อัตราภาษี อัตตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน ต้นทุนแรงงาน เป็นต้น ซึ่งหลายปัจจัยในการเปลี่ยนแปลงที่มีลักษณะเป็น วัฏจักรซึ่งอาจพยากรณ์ล่วงหน้าได้ในระดับหนึ่ง

** เงือนไขในการชำระคืนดอกเบี้ยและเงินต้น มาจากตัวเลข Cash Flow ทำให้ธนาคารเชื่อได้ว่าจะเหลือเงินแล้วคืนหนี้ให้ธนาคารตามแผน (Condition)

6. ประเทศที่ติดต่อด้วย (Country) เป็นคุณสมบัติประการสำคัญในปัจจุบันที่ต้องพิจารณา เพระถึงแม้จะเป็นการให้สินเชื่อภายในประเทศ แต่ถ้าลูกค้ารายนั้นทำธุรกิจนำเข้า ส่งออก ซึ่งมีความเสี่ยงจากกฎระเบียบในการค้าโลก อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินสกุล การกีดกั้นทางการค้า รสนิยมที่เปลี่ยนแปลงไป หรือภาวะโรคร้ายแรงซึ่งเป็นเหตุสำคัญในการค้าระหว่างประเทศไม่ราบรื่น ซึ่งก็จะส่งผลต่อประมาณการรายรับ และมีปัญหาไม่สารถชำระหนี้สินได้ตามที่ตกลงกันไว้

** ธุรกิจเจ๊งแล้วแต่มีอนาคตดี เจ้าของเดิมล้มละลาย ขายวากเครื่องจักรเก่า สอนวิธีใช้ให้ จึงจ้างเป้นที่ปรึกษาและให้เป็นผู้จัดการโรงงาน

ซื้อที่ดิน 15 ล้าน กู้ 8 ล้าน

ก่อสร้างแบงค์ให้กู้ 80%

เครื่องจักรแบงค์ให้กู้ 70%

2.การที่เกิดเงินบาทมีค่าลดลงมาก(เงินบาทอ่อนตัว) มีผลต่อที่การธนาคารของท่านในการให้สินเชื่ออย่างไรบ้าง และการที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ จะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรจำกัด(มหาชน )ในประเด็นใดบ้าง

-การที่ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงนั้น มีผลต่อการปล่อยสินเชื่อคือจะทำให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อได้ง่าย การที่มีผู้ว่าการธนาคารคนใหม่นั้น จะส่งผลต่อการปล่อยสินเชื่อ ของธนาคารกสิกร หลายด้าน

3.การควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยงเป็น(Risk Management)ที่สำคัญ ท่านจงอธิบาย แนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ และบอกตัวอย่างการตามติดการทวงหนี้ ที่มีประสิทธิภาพมา2ตัวอย่าง

- การควบคุมสินเชื่อ

แนวทางในการควบคุมสินเชื่อ

1. การควบคุมในแนวดิ่ง ( Vertical Control)

ผู้เป็นหัวหน้าต้องดูแลเอาใจใส่ ให้คำแนะนำแก่ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของตนทั้งนี้เพื่อให้พนักงานเหล่านั้น ทำงานด้านสินเชื่ออย่างถูกต้อง ตามระเบียบขั้นตอนตามที่องค์การกำหนดไว้ สิ่งที่มักจะต้องดูแลก็คือ พิจารณาว่าพนักงานสินเชื่อได้ทำการตรวจสอบ เก็บรวบรวมข้อมูล และทำการวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นของตัวผู้กู้ และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาวการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบพอเพียงต่อการอนุมัติสินเชื่อหรือยัง

2. การควบคุมในแนวนอน (Horizontla Control)

เป็นการควบคุมในระดับเดียวกัน แต่เป็นการควบคุมระหว่างหน่วยงานที่ทำหน้าที่แต่ละด้านให้กับองค์การสิ่งที่มักพบเห็นเสมอก็คือ ธนาคารหลายแห่งจะมีเจ้าหน้าที่สินเชื่อทำงานด้านการตลาด เพื่อพบปะลูกค้านำเสนองานทางด้านสินเชื่อ มีเจ้าหน้าที่วิเคราะห์สินเชื่อที่ต้องออกไปพบลูกค้าพร้อมกับฝ่ายการตลาดเพื่อร่วมรับรู้ถึงธุรกิจของลูกค้า และขอเอกสารต่างๆจากลูกค้า รวมทั้งหาข้อมูลจากแหล่งอื่นๆเพื่อทำการวิเคราะห์ความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละราย มีเจ้าหน้าที่ต้องประเมินราคาหลักประกัน ทีต้องไปพบลูกค้าเช่นกัน เพื่อทำการประเมินตามหลักวิชาการเพื่อให้เจ้าหน้าที่สินเชื่อและเจ้าหน้าที่วิเคราะห์สินเชื่อได้ใช้อ้างอิงในการกำหนดวงเงินสินเชื่อ

3. การควบคุมด้วยการตรวจสอบภายในองค์การ

ซึ่งจะต้องทำอย่างน้อยปีละครั้ง โดยใช้ระบบสุ่มตรวจ และไม่ต้องให้ฝ่ายสินเชื่อทราบล่วงหน้าเพราะทำให้ไม่พบจุดบกพร่อง ฝ่ายตรวจสอบภายในจะต้องมีการแบ่งทีมงานเดเป็นหลายชุด

***วัตถุประสงค์ในการควบคุมการให้สินเชื่อ***

ในการควบคุมสินเชื่อของทุกองค์กรจะมีวัตถุประสงค์หลักคล้ายกัน ดังนี้

1. ป้องกันหรือโอกาสทำทุจริตประพฤติมิชอบของพนักงานสินเชื่อ

2. ส่งเสริมการให้ความรู้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชชา โดยใช้ระบบการสอนงาน เพื่อให้ผู้อ่อนประสบการณ์ได้ใช้ความคิด อย่างไรก็ตามก็ต้องระวังผู้บังคับบัญชาที่ชี้นำการตัดสินใจเพราะได้รับผลประโยชน์จากลูกค้ามาก่อนด้วย

3. เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขในรายละเอียดการให้กู้ระหว่างกันให้ครบถ้วน รอบคอบก่อนอนุมัติเบิกถอนเงินกู้ออกไป

การกำหนดอำนาจการอนุมัติและการลงนาม

การควบคุมสินเชื่อในแง่ปฏิบัติงาน โดยปกติทุกกิจการให้สินเชื่อแก่ลูกค้า จะต้องกำหนดอำนาจอนุมัติ ถ้าความเสี่ยงสูงมาก มักจะเป็นการอนุมัติและลงนามโดยคณะกรรมการพิจารณาสินเชื่อและลงนามด้วยกรรมการขององค์กร แต่ถ้าความเสี่ยงรองลงมาจะมีการกำหนดว่าผู้มีหน้าที่ในตำแหน่งใดที่อนุมัติและลงนามแทนอง๕กรได้ ซึ่งในกรณีที่ลดความเสี่ยงลงไปอีก จึงมักจะกำหนดผู้มีอำนาจลงนามที่จะต้องร่วมกันอนุมัติมากกว่า 2 คนขึ้นไป

สถาบันการเงินมักกำหนดอำนาจอนุมัติ และลงนามในแต่ละระดับความเสี่ยง โดยพิจารณาจาก

1. ตำแหน่งทางการบริหาร ถ้ามีตำแหน่งสูง เช่น ระดับกรรมการ ก็จะลงนามได้เกือบจะทุกเรื่อง

2. วงเงินและประเภทของสินเชื่อ

3. ระยะเวลาการกู้ ถ้าเป็นระยะเวลาสั้นๆ เช่นวงเงินชั่วคราว 3 เดือน สำหรับกิจการที่มีลักษณะธุรกิจเป็นช่วงฤดูกาล และวงเงินชั่วคราวไม่เกิน 20% ของวงเงินปกติ ผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อสามารถอนุมัติได้

4. หลักประกัน

5. อัตราดอกเบี้ย

การควบคุมสินเชื่อของสถาบันการเงินหรือธนาคารโดยฝ่ายสินเชื่อ

1. ธนาคารทบทวนผลการติดต่อกับลูกค้าทุกรายอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อทราบว่ามีการเดินบัญชีสม่ำเสมอหรือไม่ ชำระเงินต้น ดอกเบี้ย ตรงตามเงื่อนไขหรือไม่

2. ทบทวนผลประกอบการลูกค้าจากการวิเคราะห์งบการเงิน

3. ทบทวนหรือสำรวจหลักประกันว่าสภาวะด้อยค่าไปจากเดิม เช่น ไปดูที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำนองเป็นหลักประกันว่ายังอยู่ในสภาพดี

4. เยี่ยมชมกิจการของลูกค้า

การควบคุมสินเชื่อของสถาบันการเงินหรือธนาคารโดยฝ่ายตรวจสอบภายใน

ฝ่ายตรวจสอบภายในจะมุ่งเน้นการควบคุมใน 3 ด้าน คือ

1. พิจารณาว่าได้จัดทำนิติกรรมตามระเบียบของธนาคารประกันครบถ้วนก่อนลูกค้าเบิกเงินกู้หรือไม่ทุกสิ่งที่ต้องมีต่อกันอย่างครบถ้วนทุกสิ่งที่ต้องมีต่อกัน และได้จัดทำประกันภัยทรัพย์สินที่นำมาเป็นหลักประกันไว้ครบทุกชิ้นหรือไม่

2. พิจารณาเจาะจงไปที่ฝ่ายสินเชื่อเลยว่า พนักงานสินเชื่อ ได้ทำตามนโยบายของธนาคารที่กำหนดให้ ณ ขณะนั้นๆ หรือไม่

3. พิจารณาในแง่คุณภาพหนี้ว่าอยู่ชั้นใด สัดส่วนเป็นอย่างไร ธนาคารจัดแบ่งลูกค้าสินเชื่อเป็นกลุ่มดังนี้

3.1 สินเชื่อปกติ

3.2 สินเชื่อที่ควรเอาใจใส่เป็นพิเศษ

3.3 สินเชื่อที่จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน

3.4 สินเชื่อจัดชั้นสงสัย

4.5 สินเชื่อจัดชั้นสงสัยจะสูญ

4.6 สินเชื่อชั้นสูง (ฟ้องร้อง)

กรณีของลูกค้าของฝ่ายสินเชื่อใดมีสัดส่วนสินเชื่อปกติสูงๆ ก็แสดงว่ามีการทำงานที่ดีความเสี่ยงของธนาคารจะค่อนข้างต่ำ แต่ถ้าสินเชื่อที่ควรเอาใจใส่เป็นพิเศษ หรือจัดชั้นสูญมากๆชั้นก็แสดง่าเป็นภาระหนัก ให้ต้องติดตามแก้ไขโครงสร้างหนี้กันต่อไป

ตัวอย่างที่ 1 การควบคุมภายในด้านการอนุมัติสินเชื่อของบริษัทเงินทุน

ประเด็นสำคัญในการพิจารณา คือต้องมีการจัดทำสิ่งเหล่านี้ประกอบด้วย

1. บริษัทมีการกำหนด กฎ ระเบียบ และพิธีการปฏิบัติการอนุมัติสินเชื่อแต่ละประเภทไว้เป็นลายลักษณ์อักษร

2. การพิจารณาอนุมัติวงเงินสินเชื่อแต่ละรายจะต้องเป็นไปตาม กฎ ระเบียบพิธีการปฎิบัติการของบริษัทที่กำหนดไว้ทุกกรณี

3. การพิจารณาอนุมัติวงเงินสินเชื่อแต่ละรายจะต้องผ่านการลงนามอนุมัติจากผู้ที่มีอำนาจที่บริษัทได้แบ่งเป็นลายลักษณ์อักษรทุกครั้ง

4. ผู้มีอำนาจอนุมัติวงเงินสินเชื่อที่ได้รับการแต่งตั้งจะต้องไม่เป็นบุคคลวึ่งไม่มีส่วนได้เสียกับลูกค้าผู้ขอวงเงินสินเชื่อ

5. บริษัทจะต้องจัดให้มีบัตรตัวอย่างลายมือชื่อของลูกค้าและการจัดเก็บในที่ปลอดภัยภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ที่บริษัทกำหนด

6. การให้กู้ยืม การรับซื้อ ซื้อลด และรับช่วงซื้อลด

7. จัดให้มีแฟ้มลูกหนี้ราตัวซึ่งควรมีรายละเอียดดังนี้

7.1 สำเนาภาพถ่ายและหลักฐานแสดงตัวทะเบียนบ้านของลูกหนี้และผู้ค้ำประกัน

5.ท่านคิดว่างานพิธีการสินเชื่อมีความสำคัญมากน้อยเยงใดเมื่อเปรียบเทียบกับงานด้านตลาดสินเชื่อ และถ้าจะต้องทำงาน ทั้ง2ด้าน ในธนาคารแห่งนั้น ท่านจะบริหาร

-เมื่อเปรียบเทียบ งานสินเชื่อทั้ง2นี้ งานพีธีการสินเชื่อก็มีความสำคัญมาก ถาต้องทำงานทั้งสองด้านนี้ การบริหารเวลาที่จะไม่ให้ ธนาคารเกิดความเสี่ยง และมีประสิทธิภาพคือ การมีคุณสมบัติตามแบบ ของงานทั้ง2งานนี้

1. ให้เปรียบเทียบประเด็นพิจารณาในการให้สินเชื่อระหว่าง สินเชื่อพาณิชยกรรม (Modern Trade) และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Development) รายใหญ่ๆในประเทศไทย

ตอบ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Development) จะให้สินเชื่อสูงกว่า สินเชื่อพาณิชยกรรม (Modern Trade)เนื่องจาก พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มียอดการปล่อยสินเชื่อดีและเป็นที่นิยมมากกว่าสินเชื่อพาณิชยกรรม ทำให้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีผลประกอบการดี. มียอดสินเชื่อขยายตัวแม้เกิดภาวะวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำก็ตาม

3. การควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่สำคัญมาก ท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ และ บอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

ตอบ การควบคุมสินเชื่อ คือ สิ่งที่องค์กรของธุรกิจกำหนดขึ้นมาเพื่อเป็นแนวทางกำหนดคุณสมบัติ ผู้ที่จะมาเป็นลูกหนี้การค้าซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการพิจารณาเครดิตและการกำหนดวงเงินสินเชื่อของลูกค้าแต่ละราย ซึ่งได้รวมถึงการให้เงื่อนไขการชำระเงิน และวิธีการเก็บเงินโดยต้องเก็บเงินให้ได้ตรงตามกำหนด และเพื่อป้องกันไม่ให้หนี้เสียหรือหนี้สูญต่อไปในอนาคต นโยบายสินเชื่อและเครดิต จึงมีความสำคัญต่อธุรกิจและต้องนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายต้องให้ความสำคัญและดำเนินงานภายใต้กรอบของนโยบายสินเชื่อของธุรกิจ(บริษัท)เพื่อใช้ในการพิจารณาเครดิตลูกค้าจะช่วยลดความเสี่ยงและทำให้เก็บเงินจากลูกค้าได้ตามกำหนดแต่นโยบายสินเชื่อจะไม่มีความหมายเลยหากผู้ปฏิบัติงานไม่ต้องการจะปฏิบัติหรือปฏิบัติโดยขาดความเข้าใจอย่างถ่องแท้กฎระเบียบดังกล่าวก็จะไม่มีคุณค่าเปรียบเหมือนเศษกระดาษทั่วๆไปเท่านั้นเอง “นโยบายสินเชื่อและเครดิต”ไม่ใช่เป็นของแผนกเครดิตแต่เป็นหลักเกณฑ์ที่องค์กรของธุรกิจเป็นผู้กำหนดขึ้นมาจึงมีความสำคัญต่อธุรกิจในระยะสั้นและระยะยาวสามารถช่วยให้ธุรกิจมีกำไรและสภาพคล่อง

วัตถุประสงค์

1.เพื่อให้การบริหารจัดการบัญชีลูกหนี้ได้ถูกวิธีและมีผลงานทางด้านจัดเก็บบัญชีลูกหนี้ได้มากขึ้น

2.เพื่อพัฒนาบุคคลากร ให้เกิดความเข้าใจและสามารถนำทักษะจากการฝึกอบรมมาใช้ให้เกิดประโยขน์สูงสุด

3.เพื่อลดเวลาและลดต้นทุนในการติดตามหนี้ให้น้อยลง

การที่ธนาคารจะรองรับความเสี่ยงของลูกหนี้ได้ต้องใช้มาตรการรับมือกับภัย 5 มาตรการ (5R)R1 Readiness ความเตรียมพร้อม

องค์กรต้องเตรียมความพร้อมระบบการบริหารความเสี่ยงให้มีความพร้อมในการจัดทำมาตรการขจัดหรือควบคุมภัยต่างๆเอาไว้ล่วงหน้า

R2 Response การตอบสนองอย่างฉับไว

เมื่อเกิดอุบัติภัยขึ้นระบบต้องมีสมรรถนะที่ดีพอในการตอบโต้ภัยแต่ละชนิดอย่างได้ผลและทันเวลา

R3 Rescue การช่วยเหลือกู้ภัย

เป็นกระบวนการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินขององค์กร ที่ได้ผลและทันเวลา

R4 Rehabilitation การกลับเข้าไปทำงาน

เมื่ออุบัติภัยสิ้นสุดลงแล้วต้องกลับเข้าไปที่เดิมให้เร็วที่สุดเพื่อ การซ่อมแซม การเปลี่ยนใหม่ หรือการสร้างขึ้นใหม่ (Rebuild) เพื่อให้อาคารสถานที่พร้อมที่จะดำเนินกิจการต่อไปได้ อาจรวมไปถึงการประกันภัยด้วย

R5 Resumption การกลับคืนสู่สภาวะปกติ

องค์กรสามารถเปิดทำการ หรือ ดำเนินธุรกิจต่อไปตามปกติได้เสมือนว่าไม่มีอุบัติภัยมาก่อน

Response กับ Rescue อาจจะเหมือนเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ความจริงแล้วแตกต่างกัน โดยขอยกตัวอย่าง กรณีเกิดอัคคีภัย อุปกรณ์ดับเพลิงอัตโนมัติ รวมถึง Fire Alarm คือขั้นตอนของ Response แต่ไฟฉุกเฉินและเครื่องช่วยหายใจ เพื่อให้พนักงานสวม เพื่อหนีออกจากอาคาร เป็นขั้นตอนของ Rescue

ตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพ

ปัญหา

ตัวอย่างที่ 1. ลูกหนี้ชอบผลัด และไม่มาจ่ายตามที่ผลัดไว้จะผลัดไปเรื่อยๆ

วิธีแก้ไข

ถามเหตุผลที่ลูกหนี้ขอผลัดเพราะอะไร มีเหตุผล และความจำเป็นจริงหรือไม่ที่จะขอผัดผ่อน พิจารณาเป็นกรณีไปหากไม่มีเหตุผลเพียงพอพยามยามไม่ให้ผัดผ่อนตื๊อตามเก็บให้ได้หรือหากลูกหนี้มีความจำเป็นจริงๆ ก็ให้นัดระยะเวลาอันใกล้พร้อมกับมีเงื่อนไขว่าหากผิดนัดตามที่ผัดผ่อนอีกจำต้องขอรถกลับก่อน เพื่อสร้างแรงกดดันและป้องกันมิให้ผิดนัดตามที่ผลัดไว้อีก

• ถ้าพบลูกหนี้ประเภทนี้พยายามดูรายละเอียด หลังการ์ดจะเห็นประวัติการผิดนัดหลายครั้งหลายหน ใช้ข้อมูลเหล่านั้นมายืนยันกับลูกหนี้ว่า เคยผิดนัดมาแล้วหลายครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย มิฉะนั้นจำเป็นต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

• การตกลงนัดหมายพยายามทำเป็นหนังสือระบุเงื่อนไข หากผิดนัดยินดีคืนรถหรือให้ยึดได้ทันที และให้ลูกหนี้ลงลายมือชื่อไว้ด้วย ทำสำเนาให้ลูกหนี้ไว้ด้วย 1 ชุด เพื่อช่วยเตือนความจำ

ปัญหา

ตัวอย่างที่ 2. ลูกหนี้ย้ายที่อยู่โดยไม่แจ้งบริษัททราบ พนักงานไปตามก็จะไม่เจอตัว ส่งจดหมายไปก็ตีกลับ

วิธีแก้ไข

• ติดต่อผู้เช่าซื้อที่ทำงาน

• สอบถามบ้านข้างเคียงว่าย้ายไปไหน เมื่อไหร่

• ติดต่อผู้ค้ำประกัน เพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับผู้เช่าซื้อ และทรัพย์เช่าซื้อ

• ดูบัตรประชาชน ทะเบียนบ้านว่า ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ไหน ส่งจดหมายไปหรือออกตาม

• ดูรายละเอียดจากจดหมายตีกลับว่า กลับมาเพราะสาเหตุข้อไหน เช่น บ้านรื้อถอน หรือไม่มีผู้รับตามจ่าหน้า หรือจ่าหน้าไม่ถูกต้องเพราะพิมพ์ผิด จะได้แก้ไขให้ถูกต้องต่อไป

ตัวอย่างที่ 3. ลูกหนี้บางคนก็คุยกันไม่รู้เรื่อง

วิธีแก้ไข

กรณีลูกหนี้คุยกันไม่รู้เรื่อง มี 2 ลักษณะ คือ

1. ลูกหนี้มีลักษณะไม่ยอมรับสภาพความจริง ไม่รับรู้สถานการณ์ในปัจจุบัน พยายามบ่ายเบี่ยงไม่พูดถึงปัญหา และไม่ให้ความร่วมมือในการแก้ไข รู้สึกไม่พอใจและแสดงออกมาทางคำพูด กิริยาท่าทาง วิธีแก้ไขต้องมีสติและควบคุมอารมณ์ไว้ ค่อยๆ ชี้แจงใช้น้ำเสียงนุ่มนวล พยายามพูดถึงปัญหาแล้วปลอบโยนว่าทุกปัญหาสามารถแก้ไขได้เรายอมรับสภาพความเป็นจริง และชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์ปัจจุบันและผลที่จะเกิดขึ้น หากไม่ให้ความร่วมมือ อย่าพลอยโกรธตามไปกับลูกหนี้ หรือใช้วาจาไม่สุภาพต่อว่า เช่น ทำไมคุณถึงเป็นคนงี่เง่า พูดคุยกันไม่รู้เรื่องอย่างนี้ เพราะจะทำให้สถานการณ์เลวร้าย และเกิดเหตุบานปลาย กลายเป็นเรื่องส่วนตัวไป

4. จงอธิบายถึงอัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratio) ที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ พร้อมทั้งอธิบายลงไปในรายละเอียดด้วยว่ามีวิธีการพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้

ตอบ อัตราส่วนทางการเงิน (Financial ratio) เป็นการนำตัวเลขที่อยู่ในงบการเงินมาหาอัตราส่วนเพื่อใช้ในการวิเคราะห์เปรียบเทียบกับกิจการอื่น หรือ เปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานในอดีต ช่วยให้ผู้วิเคราะห์ประเมินผลการดำเนินงาน แนวโน้ม และความเสี่ยงของตัวอย่างอัตราส่วนทางการเงิน

อัตราส่วนสภาพคล่อง

อัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current ratio)

อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick ratio)

อัตราส่วนเงินสด (Cash ratio)

อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ (Receivable turnover)

ระยะเวลาเก็บหนี้ (Collection period)

อัตราหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory turnover)

ระยะเวลาขายสินค้า (Holding period)

วงจรเงินสด (Cash conversion cycle)

อัตราส่วนประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์

อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total asset turnover)

อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (Net fixed asset turnover)

อัตราหมุนเวียนของส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity turnover)

อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไร

อัตรากำไรขั้นต้น (Gross profit margin)

อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating profit margin)

อัตรากำไรสุทธิ (Net profit margin)

อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ทั้งหมด (Return On Assets : ROA)

อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (Return On Equity : ROE)

อัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้

อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์ (Debt to Asset ratio)

อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity ratio)

อัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest coverage ratio) กิจการได้ดียิ่งขึ้น

ในการพิจารณาอัตราส่วนทางการเงินจะเห็นได้ว่าธนาคารจะวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินเพื่อดู งบการเงินของธนาคารย์มีลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากธุรกิจในอุตสาหกรรมอื่น การวิเคราะห์งบการเงินของธนาคาร เพื่อการมุ่งตอบคำถามเรื่องสภาพปัจจัยพื้นฐานของธนาคาร จำเป็นต้องเข้าใจโครงสร้างงบการเงินทั้งงบดุลและงบกำไรขาดทุน รวมทั้งลักษณะในการดำเนินงานของธนาคารย์ซึ่งมีผลกระทบต่อรายการต่างๆ ในงบดุล และงบกำไรขาดทุนของธนาคาร นอกจากนี้นักวิเคราะห์ยังต้องเข้าใจอัตราส่วนทางการเงินของธนาคารซึ่งแบ่งออกเป็นด้านต่างๆ เช่น สภาพคล่อง คุณภาพของสินเชื่อ ประสิทธิภาพการดำเนินงาน ความสามารถในการทำกำไร ความเพียงพอของเงินกองทุน จึงจะสามารถสรุปภาพรวมเกี่ยวกับฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของธนาคารได้

5. ท่านคิดว่างานพิธีการสินเชื่อมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด เมื่อเปรียบเทียบกับงานด้านการตลาดสินเชื่อ และถ้าต้องทำงานทั้ง 2 ด้านในคนเดียวกันในสาขาของธนาคารแห่งหนึ่งนั้น ท่านจะบริหารจัดการเวลาของตนเองและการบริหารความเสี่ยงของธนาคารให้มีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผลได้อย่างไร

ตอบ ขั้นแรกต้องศึกษาเกี่ยวกับลูกค้าเพื่อแยกประเภทลูกค้า เพื่อง่ายต่อการแบ่งงาน เพราะการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์จะต้องรู้ก่อนว่าผู้กู้หรือลูกหนี้สินเชื่อต้องการเงินทุนเท่าใด ไปทำอะไร ต้องการเงินทุนระยะสั้นเพื่อใช้หมุนเวียนในกิจการ หรือต้องการเงินทุนระยะยาวเพื่อสร้างโรงงาน เครื่องจักร การทราบความต้องการหรือวัตถุประสงค์จะช่วยให้ธนาคารพาณิชย์สามารถจัดวงเงินสินเชื่อให้เหมาะสมกับลูกค้าได้ การปล่อยสินเชื่อยังต้องดูด้วยว่า เมื่อลูกค้าได้เงินทุนไปใช้ในกิจการแล้วจะมีความสามารถในการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยได้หรือไม่ การวัดความสามารถข้างต้นนี้เป็นการวิเคราะห์ดูว่า เงินทุนที่ลูกค้าได้ไปนั้น ลูกค้านำไปลงทุนสินทรัพย์อะไร ถูกต้องตามวัตถุประสงค์หรือไม่ และสินทรัพย์เหล่านั้นทำให้เกิดรายได้และกำไรกับลูกค้าได้อย่างไร และลูกค้ามีกระแสเงินสดคงเหลือที่จะมาชำระหนี้คืนแก่ธนาคารได้หรือไม่ เท่าใด และในระยะเวลาเท่าใด ในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารให้ลูกค้านั้น ในบางครั้งลูกค้าแม้ว่าจะมีความสามารถในการชำระหนี้ได้แต่ก็ไม่มีความเต็มใจที่จะชำระ หรือในบางกรณีเกิดภาวะของรายได้และกำไรของลูกค้าไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ลูกค้าก็จะไม่สามารถชำระหนี้ได้ แม้ว่าจะเต็มใจชำระก็ตาม เหตุการณ์เหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทำความเสียหายให้กับธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากเงินทุนส่วนใหญ่ที่นำมาปล่อยสินเชื่อนี้ก็จะมาจากเงินฝากจากประชาชนหรือเงินกู้จากเจ้าหนี้ ซึ่งธนาคารพาณิชย์ต้องมีความรับผิดชอบในเงินทุนเหล่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าวธนาคารพาณิชย์จึงควรเรียกหลักประกันซึ่งอาจอยู่ในรูปสังหาริมทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์ หรือ บุคคลค้ำประกัน ให้มีมูลค่าเหมาะสมและเพียงพอต่อความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เมื่อเรารู้และสามารถพิจารณาได้ก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานเกิดขึ้น

6. เมื่อท่านได้ศึกษาเพาเวอร์พอยท์ เรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคาร ไปนั้น ขอให้ท่านจับประเด็นให้ได้ว่ามีประเด็นใดบ้างที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียมตัวมากู้เงินจากธนาคาร และประเด็นเหล่านั้นธนาคารสามารถตรวจสอบได้อย่างไร

ตอบ ในสภาวะวิกฤต “หนี้เสีย” ส่งผลกระทบรุนแรงต่อธุรกิจ เพราะเงินทุนหมุนเวียนจะจมอยู่กับบัญชีลูกหนี้มาก ทำให้กิจการขาดสภาพคล่อง สร้างความหนักใจให้แก่เจ้าของกิจการและผู้บริหารอย่างยิ่ง เพราะจะต้องคิดค้นหาวิธีต่างๆ เพื่อแก้ไขหนี้เสียโดยเร่งด่วน ดังนั้น ต้องตรวสอบตั้งแต่เริ่มแรกที่ลูกค้าเดินเข้ามา เพื่อไม่ก่อให้เกิด “หนี้มีปัญหา” เพื่อสามารถดึงเงินกลับสู่ธุรกิจได้ในสภาวะวิกฤตถดถอย ตกต่ำในขณะนี้ เพื่อความอยู่รอด “ของธุรกิจ” บทความตอนนี้ ควรวิธีการต่างๆ ด้วยความมีสติ นุ่มนวลมีเทคนิค ใช้กลยุทธ์อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ ก็จะสามารถจัดการกับปัญหา “หนี้เสีย” ได้อย่างเป็นระบบและลดปัญหา “หนี้สูญ” ได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง” อมตะวาจา ของท่านซุนวู ยังคงเป็นจริงในปัจจุบัน ที่เรามักจะพูดเปรียบเทียบ “การธุรกิจ” เสมือนหนึ่ง “การออกรบ” ก็เพราะถ้าเรารู้จักลูกหนี้ รู้เขา-รู้เรา แล้วย่อมสามารถวางแผนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุผลสำเร็จ

กลยุทธ์การวางแผนการติดตามหนี้

การวางแผนการติดตามหนี้เป็นการกำหนดสิ่งที่จะต้องทำไว้ล่วงหน้าเกี่ยวกับงานติดตามหนี้สินว่าจะทำอย่างไร โดยใคร วิธีไหน เมื่อไหร่ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ และเพื่อเป็นการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นขณะเดียวกันเป็นการช่วยลดปัญหาที่จะต้องแก้ไขให้น้อยลง ทำให้สามารถควบคุมสถานการณ์ การทำงานติดตามหนี้ได้ดีขึ้น

ทำไมต้องวางแผนงานติดตามหนี้?

1. เพราะท่านถูกงานควบคุมตัวท่าน มากกว่าที่ท่านจะควบคุมมันใช่หรือไม่?

2. เพราะท่านมีงานด่วนเป็นประจำที่ต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าบ่อยๆ ใช่หรือไม่?

3. หัวหน้าของท่านคิดว่าท่านควรจะมีผลงานติดตามหนี้ดีกว่านี้ใช่หรือไม่?

4. ท่านคิดว่าตัวเองน่าจะทำงานติดตามหนี้ให้ได้ผลงานดีกว่านี้ใช่หรือไม?

สิ่งที่จำเป็นสำหรับการวางแผนงานติดตามหนี้

1. เป้าหมายรายปี-รายเดือน

2. วิธีการ-แนวทางและการจัดการที่จะต้องใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

3. กำหนดการของแผนงานติดตามหนี้

4. งบประมาณที่ต้องใช้ในงานติดตามหนี้

5. คาดการณ์สิ่งที่อาจเกิดขึ้น เพื่อเตรียมป้องกันหรือแก้ไขไว้ก่อน

6. มาตรฐานที่ต้องการ

ประโยชน์ของการวางแผน งานติดตามหนี้

1. ทำให้ผลงานติดตามหนี้ดีขึ้น – เพิ่มขึ้น

2. ทำให้เกิดการพัฒนาการติดตามหนี้ใหม่ๆ

3. ทำให้เกิดการพัฒนาพนักงานติดตามหนี้ให้มีประสิทธิภาพ

4. ทำให้เกิดการสร้างระบบงานติดตามหนี้ที่ดียิ่งขึ้น

5. ช่วยการตัดสินใจให้ดีขึ้น ง่ายขึ้น

6. ช่วยให้สามารถควบคุมงานติดตามหนี้ได้มากกว่าที่จะถูกควบคุม

ทั้งนี้ในวิธีตรวจสอบที่สำคัญคือ การหมั่นทราบถึงความเคลื่อนไหวของลูกค้าบ่อยๆ ทั้งความเคลื่อนไหวของธุรกิจและบัญชี เพื่อก่อให้เกิดความมั่นใจในการจับกลไกงได้

3. การควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่สำคัญมาก ท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ และ บอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

ตอบ

1.การควบคุมในแนวดิ่ง (Vertical Control )

เป็นการควบคุมที่มีอยู่ ในลักษณะตามสายการบังคับบัญชาที่ผู้เป็นหัวหน้าต้องดูแลเอาใจใส่ ให้คำแนะนำ (Supervion) แก่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของตน และประการสุดท้ายก็คือ ผู้ทำการวิเคราะห์ที่อยู่ในสายการบังคับบัญชานั้นได้ใช้ดุลพินิจหรือวิจารณญาณอย่างรอบคอบสมเหตุสมผล และเป็นอิสระจากภาวการณ์กดดันได้ดีเพียงพอแล้ว ซึ่งทำให้องค์กรลดความเสี่ยงลงได้

2.การควบคุมในแนวนอน (Horizontal Control)

เป็นการควบคุมในระดับเดียวกันแต่เป็นการควบคุมระหว่างหน่อยงานที่ทำหน้าที่แต่ละด้านให้กับองค์กร สิ่งที่มักพบเห็นเสมอก็คือ ธนาคารหลายแห่งจะมีเจ้าหน้าที่สินเชื่อทำงานด้านหารตลาด เพื่อพบประกับลูกค้าและเสนอแนะบริการด้านสินเชื่อ มีเจ้าหน้าที่ที่ต้องวิเคราะห์สินเชื่อที่ต้องออกไปพบลูกค้าพร้อมกับฝ่ายการตลาดเพื่อร่วมรับรู้ถึงธุรกิจของลูกค้า และขอเอกสารต่างๆ จากลูกค้าและรวมถึงหาข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ เพื่อทำความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละราย มีเจ้าหน้าที่ประเมินราคาหลักประกัน ที่ต้องไปพบลูกค้าด้วยเช่นกัน เพื่อรวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องทางทรัพย์สินที่จะนำมาเป็นหลักประกัน สุดท้ายยังมีเจ้าหน้าที่ในงานพิธีกร ที่ต้องคอยทำหน้าที่เตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทำนิติกรรมระหว่างลูกค้ากับผู้ให้สินเชื่อคือธนาคาร เมื่อลูกค้าลงนามครบถ้วนแล้ว ก็ต้องจัดเก็บอย่างปลอดภัยมีระบบรักษาความลับลูกค้ามิให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องมารับรู้หรือค้นหา เพราะจะทำให้เกิดการสูญหายต่อธนาคารได้

3.การควบคุมด้วยการตรวจสอบภายในองค์กร (Internal Audit Control)

ซึ่งจะต้องทำอย่างน้อยปีละครั้ง โดยใช้ระบบสุ่มตรวจและต้องไม่ให้ฝ่ายสินเชื่อทราบล่วงหน้า เพราะจะทำให้ไม่พบจุกบกพร่องในขณะที่ผู้เขียนทำงานอยู่ที่ธนาคารไทยพาณิชย์นั้น ฝ่ายตรวจสอบจะแบ่งทีมงานเป็นหลายชุด ที่จะออกตรวจในสาขาภูมิภาค

หลักในการทวงหนี้อันดับแรกคือการเขียนจดหมาย

• เลือกใช้ข้อความและสำนวนให้เหมาะกับลูกค้าและโอกาส จะต้องระมัดระวังคำพูดมิให้เป็นการดูหมิ่นลูกค้า แต่ควรเขียนด้วยภาษาสุภาพและแสดงความคาดหวังว่าลูกค้าจะชำระค่าสินค้าโดยเร็ว

• จดหมายทวงหนี้ในครั้งแรก ควรเขียนเพียง เตือนลูกค้าว่าครบกำหนดชำระหนี้แล้วขอให้รีบชำระด้วย

• หากเขียนจดหมายทวงหนี้ไปครั้งหนึ่งแล้วยังไม่ได้รับคำตอบจากลูกค้าแต่อย่าง ใด อาจเขียนจดหมายติดตามเป็นครั้งที่สอง โดยขอให้ลูกค้าแจ้งเหตุผลอันสมควร และเขียนอย่างสุภาพนุ่มนวลที่สุด โดยเขียนอ้างถึงความปรารถนาดีที่จะรักษาชื่อเสียงและความเชื่อถือทางการเงิน ที่ดีของลูกค้า

• หากส่งจดหมายทวงหนี้ไปแล้ว 2-3 ฉบับ แต่ยังไม่ได้รับคำตอบ อาจจะยื่นกำหนดเวลาชำระเงินให้เป็นคำขาดและอาจอ้างอิงถึงการดำเนินงานตาม กฎหมาย

ตัวอย่างที่1การทวงหนี้เถ้าแก่ใหญ่บริษัทรับเหมาชื่อดัง ลูกหนี้รายนี้หาตัวยากชมัดโกงทรัพย์พายเออร์ตั้งแต่ตะปูไปจนถึงเสาเข็ม ค่าแรงพนักงาน พูดหยาบ ๆ โกงครบวงจร ผมบอกว่ามันว่าไงรู้ไหมครับ มึงต้องหาตัว เถ้าแก่ใหญ่ให้ได้ ลูกน้องผมตอบว่า ไม่รู้แม่งไปอยู่ไหน ไม่รู้ไปซุกอยู่รูไหน ผมบอกว่า มึงส่งนักสืบไปเฝ้าที่บ้านมัน 24 ชั่วโมง หาตัวมันให้เจอ ไปทวงมันในสนามกอล์ฟเลย วิธีการที่ผมว่าเป็นผล ลูกน้องผมเจอมันจนได้ มันกลับบ้านตี 2 อาบน้ำแต่งตัว ตี 4 มันออกจากบ้าน ลูกน้องผมขับรถตามไปทันที่สนามกอล์ฟแถวรามอินทรา พอรู้ว่ามันตีกอล์ฟผมบอกลูกน้องผมให้ไปขอแรงตำรวจท้องที่มาคนหนึ่งประกาศเรียกมันเลยบอกว่ามีเรื่องด่วน พอมันมาเท่านั้นเอง เราก็เปิดสงครามการทวงหนี้เลย ลูกน้องผมเล่าให้ฟังว่า หน้ามันถอด สีเห็นได้ชัดเลย พอมันเพรี่ยงพร้ำ ลูกน้องด่าว่ามันรุนแรงเสีย ๆ หาย ๆ ว่ามันตั้งใจโกง คนได้ยินกันทั้งสโมสร วิธีการของผมได้ผลจริง ๆ มันยกมือไหว้เลย แล้วบอกว่าให้พูด เบาหน่อยอายคน และไปคุยในห้องส้วม สุดท้ายจ่ายเช็คมาเป็นอันจบเรื่อง

ตัวอย่างที่2 ลูกหนี้บริษัทรับเหมา รับงานราชการต้องสืบให้รู้ว่ารับงานที่ไหนแล้วเข้าไปก่อกวนร้องเรียนแบบนี้ไม่นานต้องจ่ายแน่ เพราะประวัติเสื่อมเสียราชการไม่เอา เมื่อเจอลูกหนี้ต้องขู่ลูกหนี้ว่าถ้าคุณไม่จ่ายผมจะเอาคำสั่งศาลมาระงับเงินที่ส่วนราชการทันที คุณต้องมีประวัติเสื่อมเสียราชการจะขึ้นบัญชีดำคุณ คุณจะอับอายขายขี้หน้าให้รีบจ่ายเป็นการด่วน หากไม่จ่ายเดือดร้อนแน่ คนอย่างผมไม่เคยขู่ใครพูดแล้วต้องทำไม่ต้องท้าผมถ้าใช้มุขนี้โดยทั่วไปลูกหนี้ยอมจ่ายสถานเดียว

4. จงอธิบายถึงอัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratio) ที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ พร้อมทั้งอธิบายลงไปในรายละเอียดด้วยว่ามีวิธีการพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้

ตอบ การกำหนดวงเงินสินเชื่อ

กำหนดวงเงินทั้งประเภทและจำนวนเงินเป็นสิ่งสำคัญมากเพราะจะทำให้เจ้าหนี้หรือธนาคารสามารถควบคุมลูกค้าให้ใช้เงินตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการถ้ากำหนดวงเงินผิดประเภทรวมทั้งจำนวนน้อยเกินไป ก็ทำให้ลูกค้าไม่พอใช้จนทำให้ปฎิเสธการให้สินเชื่อ แต่หากกำหนดวงเงินมากเกินไป ก็ส่งผลต่อความเสี่ยงในอนาคตที่ลูกค้าจะใช้เงินอย่างสรุ่ยสุร่ายและใช้ในด้านอื่นๆที่ไม่จำเป็นกับธุรกิจหลักของเขา

***วัตถุประสงค์ในการกำหนดวงเงินสินเชื่อ****

วัตถุประสงค์ในการกำหนดวงเงินสินเชื่อนั้น ทำไปเพื่อต้องการให้ทราบถึงแนวทางและวิธีการพิจารณาวงเงินสินเชื่อที่ลูกค้าขออนุมัติในจำนวนที่เหมาะสม และถูกต้องกับการดำเนินงานธุรกิจ

ปัจจัยที่ควรพิจารณา

1.. วัตถุประสงค์ของวงเงินที่ขออนุมัติ โดยดูว่าวงเงินทีลูกค้าขอนั้นนำไปใช้เพื่ออะไร เช่น

1.1 วงเงินกู้ระยะยาว ควรจะนำไปลงทุนในสินทรัพย์ถาวร

1.2 วงเงินทุนหมุนเวียน ควรจะนำไปใช้หมุนเวียนในการดำเนินงาน และจะต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับลักษณะวงเงินแต่ละประเภทด้วย

2. ระยะเวลาที่จะต้องสนับสนุนวงเงิน ปกติจะเริ่มจากากรวื้อสินค้าจนกระทั่งเก็บเงินได้จาการขาย

3. จำนวนเงินที่ต้องพิจารณาให้ จะมีปริมาณหรือน้อยขึ้นอยู่กับ

3.1 ความจำเป็นในการที่จะต้องใช้สินเชื่อประเภทนั้น

3.2 เพื่อผลทางการตลาดในสภาวะแข่งขันของตลาดที่มีสูง

3.3 การป้องกันความเสี่ยง มีวิธีการควบคุมการใช้เงินของลูกค้าได้อย่างไร หรือการเรียกหลักประกันเพิ่ม และการทำนิติกรรมในส่วนที่ธนาคารให้วงเงินเพิ่มจากเดิมให้ครบถ้วน

5. ท่านคิดว่างานพิธีการสินเชื่อมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด เมื่อเปรียบเทียบกับงานด้านการตลาดสินเชื่อ และถ้าต้องทำงานทั้ง 2 ด้านในคนเดียวกันในสาขาของธนาคารแห่งหนึ่งนั้น ท่านจะบริหารจัดการเวลาของตนเองและการบริหารความเสี่ยงของธนาคารให้มีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผลได้อย่างไร

ตอบ มีความสำคัญมาก เพราะ พิธีการสินเชื่อ

ประกอบไปด้วย

1. รวบรวมข้อมูลสถานะทางกฎหมายของลูกค้า

2. ตรวจสอบหลักประกัน เช่น ราคาประเมินทางราชการของหลักประกันนั้นๆ

3. นำนิติกรรมสำหรับผู้ให้กู้แก่ลูกค้า ประกอบด้วย สัญญากู้และเอกสารประกอบการกู้ สัญญาค้ำประกัน สัญญาจำนอง สัญญาจำนำ

4. จัดเก็บนิติกรรมและหลักประกัน

ดังนั้นเมื่อทำงาน2อย่างนี้ไปด้วยกันแล้วจะต้องจัดเวลาให้เหมาะกับงานและไม่ให้กระทบกระเทือนต่องานทั้ง2ฝ่าย และมีความซื่อสัตย์กับองค์กรนั้นๆและควรตรงต่อเวลามากเพื่อเป็นดีต่อองค์ และการแข่งขันกับคู่แข่งด้วย

6. เมื่อท่านได้ศึกษาเพาเวอร์พอยท์ เรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคาร ไปนั้น ขอให้ท่านจับประเด็นให้ได้ว่ามีประเด็นใดบ้างที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียมตัวมากู้เงินจากธนาคาร และประเด็นเหล่านั้นธนาคารสามารถตรวจสอบได้อย่างไร

ตอบ ลูกค้ามักเตรียมตัวมากู้เงินจากธนาคารมีดังนี้

1. สมมติว่าตัวเองทำธุรกิจมามากกว่า3ปี

2. แต่งตัวให้ดูภูมิฐาน พูดจาให้ดุเป็นระบบและมีการซ้อมมาเป็นอย่างดี

3. มีการว่าจ้างบุคคลอื่นมาเป็นเจ้าของบริษัทเพื่อหลอกตาธนาคาร

4. มีการจัดหาผู้ประกันที่มีหน้าการงานที่น่าเชื่อถือ

จะกู้เงินให้ได้หลัก 6C’เพื่อวิเคราะห์สินเชื่อ

1. ดูคุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อ (Character) เป็นคุณสมบัติประการแรกที่ผู้ให้สินเชื่อพิจารณาว่าผู้ขอสินเชื่อมีลักษณะนิสัย ความประพฤติ หรืออาชีพการทำงานที่มีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด

ตัวอย่างคุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อที่ควรหลีกเหลี่ยง เช่น ผู้มีอายุมาก มีโรคประจำตัว ผู้มีนิสัยเกเร ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล ในบางครั้งจึงพยายามหลีกเลี่ยงการให้กู้กับผู้ที่อยู่ในอาชีพ ทหาร ตำรวจ นักการเมือง นักหนังสือพิมพ์ และในบางกรณีก็มองกว้างไปถึงผู้ทำธุรกิจโรงเรียนเอกชน โรงพยาบาลเอกชน เนื่องจากในกรณีที่มีปัญหาสังคมคือบุคคลที่ 3 เช่น นักเรียนซึ่งเป็นเยาวชนจะไม่มีที่เรียน หรือผู้ป่วยจะไม่ได้รับการรักษาพยาบาลต่อเนื่อง

**เรียนให้จบ ป.ตรี มีประสบการณ์ที่จะกู้เงิน แต่งตัวให้ดูภูมิฐาน พูดจาให้ดุเป็นระบบ วางตัวให้เป็นสากล (Character)

2. ความสามารถในการชำระหนี้ (Capacity) เป็นคุณสมบัติที่พิจารณาในแง่การมีรายได้ในการประกอบอาชีพ หรือทำธุรกิจเพียงพอที่จะชำระหนี้ได้ตามที่ตกลงไว้ด้วยกันในแง่ธุรกิจก็จะพิจารณาในแง่ของงบการเงินในอดีตและประมาณการรายได้ในอนาคต ตัวอย่างที่สามารถมองได้ง่ายคือ เจ้าหนี้มีกต้องการให้กู้กับร้านสะดวกซื้อ ที่ขาย 24 ชั่วโมง วันละ 3 กะ โดยไม่มีวันหยุด รวมถึงสาขามากว่า 5,000 สาขา มากว่าที่จะให้กู้กับกิจการที่มีสาขาน้อย มีวันหยุดกิจการ เพราะกิจการประเภทหลังจะมีความสารถในการชำระหนี้ที่ต่ำกว่าประเภทแรก ส่วนในแง่บุคคลต้องพิจารณารายได้ว่ามีความมั่นคงและเพิ่มขึ้นพียงพอจะชำระหนี้ได้หรือไม่ รวมทั้งอาจตรวจสอบถึงหนี้สินเดิมที่ผู้ขอสินเชื่อมีอยู่ด้วยว่ายังมีภาระผูกพันอยู่มากน้อยเพียงใด เพราะในบางครั้งก็อาจพบว่าเป็นการกู้ไปเพื่อชำระหนี้สินเดิม ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อผู้ให้กู้รายใหม่

** สร้างระบบการเงินให้ดูดี กิจการมีกำไร มีอัตราส่วนทางการเงินดี อธิบาย Flow สามรถคืนหนี้ได้ ทำธุรกิจมาซัก 3 ปี (Capacity)

3. เงินทุน (Capital) เป็นคุณสมบัติอีกประการหนึ่งที่ผู้ให้สินเชื่อพิจารณาว่าผู้ขอสินเชื่อนั้นมีมูลค่าทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินในปัจจุบันอยู่เท่าได หรือถ้าพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ เจ้าหนี้มีมักให้กับลูกค้าที่มีเงินทุนอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งโดยปกติมีลักเป็นจำนวนเกินครึ่งของเงินที่ใช้ในวัตถุประสงค์นั้นๆ ซึ่งจะทำให้ผู้กู้มีความเสี่ยงต่ำนั่นเอง

** กู้เงินอย่าให้เกิน 80 % ของราคาประเมินราคาทรัพย์สินที่จะใช้เป็นหลักประกัน (Capital)

4. หลักประกัน (Collateral) เป็นคุณสมบัติประการถัดมาที่มีความสำคัญมากเช่นกันจนถึงกับมีคำกล่าวว่า “No Land No Loan” ซึ้งแปลว่า ถ้าไม่มีหลักประกันคุ้มมูลค่าหนี้โดยเฉพาะที่ดิน (อสังหาริมทรัพย์) ก็ไม่มีโอกาสได้รับสินเชื่อ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจย่ำแย่

** หลักประกันต้องดูโดดเด่นอยู่ในทำเลที่ดี มีสภาพคล่อง มีโอกาสเพิ่มมูลค่าในอนาคต (Collateral)

5. สภาพทางเศรษฐกิจ (Condition) เป็นคุณสมบัติในเชิงมหาภาคที่ผู้ให้สินเชื่อต้องมีความรู้ถึงภาวะแวดล้อมภายนอกที่ส่งผลกระทบทั้งในแง่บวกและลบต่อผู้ขอสินเชื่อ และจะส่งผลกลับมายังผู้ให้สินเชื่อในที่สุด โดยทั่วไปที่ต้องพิจารณาก็คือ กฎหมาย การเมือง เศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี อัตราภาษี อัตตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน ต้นทุนแรงงาน เป็นต้น ซึ่งหลายปัจจัยในการเปลี่ยนแปลงที่มีลักษณะเป็น วัฏจักรซึ่งอาจพยากรณ์ล่วงหน้าได้ในระดับหนึ่ง

** เงือนไขในการชำระคืนดอกเบี้ยและเงินต้น มาจากตัวเลข Cash Flow ทำให้ธนาคารเชื่อได้ว่าจะเหลือเงินแล้วคืนหนี้ให้ธนาคารตามแผน (Condition)

6. ประเทศที่ติดต่อด้วย (Country) เป็นคุณสมบัติประการสำคัญในปัจจุบันที่ต้องพิจารณา เพระถึงแม้จะเป็นการให้สินเชื่อภายในประเทศ แต่ถ้าลูกค้ารายนั้นทำธุรกิจนำเข้า ส่งออก ซึ่งมีความเสี่ยงจากกฎระเบียบในการค้าโลก อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินสกุล การกีดกั้นทางการค้า รสนิยมที่เปลี่ยนแปลงไป หรือภาวะโรคร้ายแรงซึ่งเป็นเหตุสำคัญในการค้าระหว่างประเทศไม่ราบรื่น ซึ่งก็จะส่งผลต่อประมาณการรายรับ และมีปัญหาไม่สารถชำระหนี้สินได้ตามที่ตกลงกันไว้

** ธุรกิจเจ๊งแล้วแต่มีอนาคตดี เจ้าของเดิมล้มละลาย ขายวากเครื่องจักรเก่า สอนวิธีใช้ให้ จึงจ้างเป้นที่ปรึกษาและให้เป็นผู้จัดการโรงงาน

ซื้อที่ดิน 15 ล้าน กู้ 8 ล้าน

ก่อสร้างแบงค์ให้กู้ 80%

เครื่องจักรแบงค์ให้กู้ 70%

2.  การที่เกิดภาวะเงินบาทมีค่าลดลงมาก  (เงินบาทอ่อนตัว) มีผลต่อการที่ธนาคารของท่านในการให้สินเชื่ออย่างไรบ้าง  และการที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่นั้น  จะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในประเด็นใดบ้าง

ตอบ   การที่ภาวะ เงินบาทมีค่าลดลงมากค่าเงินอ่อนตัว  
ข้อดี: ของนอกรับเข้ามาถูก คนไทยใช้จ่ายกันเยอะ น้ำมันถูก แต่คนส่งออกไม่ได้กำไร  
ค่าเงินบาทอ่อนตัวเป็นผลดีต่อผู้ส่งออกของไทย 

ภาวะเงินเฟ้อ หมายถึง ภาวะที่ราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปในระบบเศรษฐกิจสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งก็จะมีผลทำให้ค่าของเงินที่เราถืออยู่ลดลง ตัวอย่างของค่าของเงินที่ลดลงเช่น ราคาน้ำมันเคยอยู่ที่ 14 บาทต่อลิตร สมมติเราเคยเติมน้ำมัน 10 ลิตร ก็จะใช้เงิน 140 บาท แต่ปัจจุบัน ราคาน้ำมันได้กลายเป็น 28 บาทต่อลิตร หากเราใช้เงินเท่าเดิมคือ 140 บาท เราจะเติมน้ำมันได้เพียง 5 ลิตร ไม่ใช่ 10 ลิตรแบบที่เคยเติมได้ ซึ่งหากต้องการที่จะเติมน้ำมัน 10 ลิตร เท่าเดิม แปลว่าเราต้องใช้เงินเพิ่มขึ้นเป็น 280 บาท หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ การเกิดภาวะเงินเฟ้อ จะทำให้เงินจำนวนเท่าเดิมที่เราถืออยู่มีค่าลดลง ทำให้ซื้อของได้น้อยลง

         ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อราคาน้ำมันแพงขึ้นแบบนี้ ต้นทุนในการขนส่งสินค้าจากแหล่งผลิตที่จะส่งไปขายยังที่ต่าง ๆ ก็ย่อมต้องสูงขึ้น และทำให้ราคาสินค้าชนิดอื่นๆ ต้องขึ้นราคาตามไปด้วย แต่การที่มีสินค้าแค่ชนิดใดชนิดหนึ่งแพงขึ้น จะยังไม่เรียกว่าเงินเฟ้อ เพราะภาวะเงินเฟ้อหมายถึง ราคาสินค้าและบริการโดยทั่วๆ ไปแพงขึ้น ซึ่งเป็นไปได้ว่า อาจจะมีราคาสินค้าบางอย่างถูกลงด้วยในเวลาเดียวกัน แต่โดยรวม ๆ แล้ว หากราคาสินค้าและบริการโดยเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้น และเป็นเช่นนี้ต่อเนื่องไปสักพักหนึ่ง ถึงจะเรียกได้ว่าเกิดภาวะเงินเฟ้อ โดยที่เราจำเป็นต้องรู้เรื่องเงินเฟ้อ ก็เพื่อที่จะใช้สำหรับวัดค่าครองชีพหรือมาตรฐานการครองชีพของเรา (ประชาชน) ว่าดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างไร

ส่งผลต่อการให้สินเชื่อ ของธนาคารพาณิชย์ทำให้ คนที่มีเงินคืนตามกำหนด  ผลกระทบของเงินเฟ้อ 

            เมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้นในระบบ ระบบเศรษฐกิจย่อมเกิดผลกระทบต่างๆ ดังนี้

            อำนาจซื้อของเงิน เมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อ ระดับราคาสินค้าจะสูงขึ้น อำนาจซื้อของเงินแต่ละหน่วยลดลง ประชาชนจึงรีบใช้จ่ายเงินในการซื้อสินค้าและบริการต่างๆ ส่งผลทำให้อุปสงค์รวมเพิ่มขึ้นและทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรงขึ้นไปอีก

            การออมและการลงทุน ในระยะที่เกิดภาวะเงินเฟ้อ ประชาชนมักจะรีบเร่งใช้จ่ายเงิน ส่งผลให้เงินออมและการลงทุนของประเทศลดลงด้วย

            การกระจายรายได้ เมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อจะทำเกิดการเปลี่ยนแปลงในการกระจายรายได้ บุคคลกลุ่มที่มีฐานะดีและอำนาจการต่อรองสูงจะได้รับประโยชน์ ในขณะที่บุคคลกลุ่มที่มีฐานะยากจนและขาดอำนาจการต่อรองต้องเสียประโยชน์ ผลของภาวะเงินเฟ้อจึงทำให้คนรวยยิ่งรวยขึ้นและคนจนยิ่งจนมากขึ้น

            การค้าต่างประเทศ ภาวะเงินเฟ้อก่อให้เกิดผลกระทบแก่การส่งออกและการนำเข้า ด้านการส่งออก  ปริมาณการส่งออกจะลดลงเนื่องจากราคาสินค้าที่สูงขึ้นทำให้ส่งออกไปได้น้อยลง ด้านการนำเข้าการที่ราคาสินค้าในประเทศสูงขึ้นกระตุ้นให้มีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมากขึ้น

            การเมือง การที่ระดับราคาสูงขึ้นจะมีผลทำให้ค่าครองชีพของประชาชนเพิ่มขึ้น บุคคลจึงพยายามที่จะปรับปรุงรายได้ให้สูงขึ้น การกระจายรายได้ยิ่งเหลื่อมล้ำคนที่มีรายได้น้อยยิ่งจนลง ถ้ารัฐบาลไม่สามารถลดภาวะเงินเฟ้อเพื่อชะลอการเพิ่มขึ้นของระดับราคาได้แล้ว จะเกิดความไม่พอใจในประสิทธิภาพการทำงานส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้

 

ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย คนใหม่

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล  

มีผลทำให้ธนาคารกสิกรไทย ให้สินเชื่อได้ปกติ

3.  การควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่สำคัญมาก ท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ และ บอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

ตอบ                          ผู้ที่จะมาเป็นลูกหนี้การค้าซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการพิจารณาเครดิตและการกำหนดวงเงินสินเชื่อของลูกค้าแต่ละราย ซึ่งได้รวมถึงการให้เงื่อนไขการชำระเงิน และวิธีการเก็บเงินโดยต้องเก็บเงินให้ได้ตรงตามกำหนด และเพื่อป้องกันไม่ให้หนี้เสียหรือหนี้สูญต่อไปในอนาคต นโยบายสินเชื่อและเครดิต จึงมีความสำคัญต่อธุรกิจและต้องนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายต้องให้ความสำคัญและดำเนินงานภายใต้กรอบของนโยบายสินเชื่อของธุรกิจ(บริษัท)เพื่อใช้ในการพิจารณาเครดิตลูกค้าจะช่วยลดความเสี่ยงและทำให้เก็บเงินจากลูกค้าได้ตามกำหนดแต่นโยบายสินเชื่อจะไม่มีความหมายเลยหากผู้ปฏิบัติงานไม่ต้องการจะปฏิบัติหรือปฏิบัติโดยขาดความเข้าใจอย่างถ่องแท้กฎระเบียบดังกล่าวก็จะไม่มีคุณค่าเปรียบเหมือนเศษกระดาษทั่วๆไปเท่านั้นเอง “นโยบายสินเชื่อและเครดิต”ไม่ใช่เป็นของแผนกเครดิตแต่เป็นหลักเกณฑ์ที่องค์กรของธุรกิจเป็นผู้กำหนดขึ้นมาจึงมีความสำคัญต่อธุรกิจในระยะสั้นและระยะยาวสามารถช่วยให้ธุรกิจมีกำไรและสภาพคล่อง วัตถุประสงค์ 1.เพื่อให้การบริหารจัดการบัญชีลูกหนี้ได้ถูกวิธีและมีผลงานทางด้านจัดเก็บบัญชีลูกหนี้ได้มากขึ้น 2.เพื่อพัฒนาบุคคลากร ให้เกิดความเข้าใจและสามารถนำทักษะจาก การฝึกอบรมมาใช้ให้เกิดประโยขน์สูงสุด 3.เพื่อลดเวลาและลดต้นทุนในการติดตามหนี้ให้น้อยลง

 

1.ให้เปรียบเทียบประเด็นพิจารณาในการให้สินเชื่อระหว่าง สินเชื่อพาณิชยกรรม (Modern Trade)  และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Development) รายใหญ่ๆในประเทศไทย

ตอบ สถาบันการเงินมีการจัดประเภทของสินเชื่อไว้แตกต่างกันหลายประเภท  เช่น  สินเชื่ออุตสาหกรรม  สินเชื่อพาณิชยกรรม  และสินเชื่อแต่ละประเภทก็ยังแบ่งเป็นสินเชื่อประเภทย่อยๆ  ออกไปอีก 

การให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์    ธนาคารพาณิชย์ต้องจัดทำรายงานการอนุมัติสินเชื่อเพื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สำหรับลูกหนี้ที่มีวงเงินรวมกันตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไปเป็นรายไตรมาสเพื่อให้ธปท.สามารถติดตามการให้สินเชื่อ อสังหาริมทรัพย์ได้อย่างใกล้ชิด

 

4.  จงอธิบายถึงอัตราส่วนทางการเงิน  (Financial Ratio) ที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ พร้อมทั้งอธิบายลงไปในรายละเอียดด้วยว่ามีวิธีการพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้

ตอบ     อัตราส่วนทางการเงิน (Financial ratio) เป็นการนำตัวเลขที่อยู่ในงบการเงินมาหาอัตราส่วนเพื่อใช้ในการวิเคราะห์เปรียบเทียบกับกิจการอื่น หรือ เปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานในอดีต ช่วยให้ผู้วิเคราะห์ประเมินผลการดำเนินงาน แนวโน้ม และความเสี่ยงของกิจการได้ดียิ่งขึ้น

อัตราส่วนที่สำรัญในการพิจรณาสินเชื่อ

อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ คือ จำนวนครั้งที่กิจการสามารถเก็บเงินจากการขายเชื่อได้ คำนวณโดยยอดขายเชื่อสุทธิหารด้วยลูกหนี้การค้าเฉลี่ย โดยที่ลูกหนี้การค้าเฉลี่ย คือลูกหนี้การค้าต้นงวดบวกลูกหนี้การค้าปลายงวดหารด้วย 2 หากอัตราหมุนเวียนของลูกหนี้สูงหมายความว่ากิจการสามารถเก็บเงินจากการขายเชื่อได้เร็ว แต่หากอัตรานี้สูงเกินไปอาจหมายถึงกิจการเข้มงวดในการให้เครดิตกับลูกค้ามากเกินไปทำให้เสียเปรียบในการแข่งขัน ดังนั้นการนำอัตราส่วนนี้ไปเปรียบเทียบกับกิจการอื่น จึงควรดูนโยบายการให้เครดิตแก่ลูกหนี้ของกิจการด้วย

อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick ratio หรือ Acid test) คือ อัตราส่วนที่ปรับปรุงมาจากอัตราส่วนทุนหมุนเวียน ซึ่งในการคำนวณจะไม่นำสินค้าคงเหลือมาคิดรวมกับสินทรัพย์หมุนเวียนอื่น ๆ เช่น เงินสด ลูกหนี้การค้า และ สินทรัพย์ในความต้องการของตลาด เนื่องจากสินค้าคงเหลือสามารถแปลงเป็นเงินสดได้ช้ากว่า และอาจมีมูลค่าต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี ทำให้อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็วบอกถึงสภาพคล่องของกิจการได้ดีกว่าอัตราส่วนทุนหมุนเวียน

5. ท่านคิดว่างานพิธีการสินเชื่อมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด เมื่อเปรียบเทียบกับงานด้านการตลาดสินเชื่อ  และถ้าต้องทำงานทั้ง 2 ด้านในคนเดียวกันในสาขาของธนาคารแห่งหนึ่งนั้น ท่านจะบริหารจัดการเวลาของตนเองและการบริหารความเสี่ยงของธนาคารให้มีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผลได้อย่างไร

ตอบพิธีการสินเชื่อมีความสำคัญมาก เมื่อเปรียบกับงานด้านสินเชื่อ แต่มีความสำคัญเทียบเท่ากันได้  ต้องจัด ตัวเองให้เหมาะกับงานที่ทำ ถ้าคิดว่าสามรถทำงานในสองด้านนี้ใสคนเดียวได้ จะก่อให้เกิด ประสิทธิผลดีต่อผู้ทำและธนาคารเพื่อที่ขั้นตอนต่างๆ จะสำเสร็จรวดเร็ว แต่ถ้า ไม่รอบครอบก็จะทำให้เกิดผลเสียได้เช่นกัน 

 

6. เมื่อท่านได้ศึกษาเพาเวอร์พอยท์ เรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคาร ไปนั้น ขอให้ท่านจับประเด็นให้ได้ว่ามีประเด็นใดบ้างที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียมตัวมากู้เงินจากธนาคาร และประเด็นเหล่านั้นธนาคารสามารถตรวจสอบได้อย่างไร

ตอบ  ธนาคารสามารถตรวจสอบได้ดังนี้  

จับกลโกงลูกค้าเงินกู้ธนาคาร จะกู้เงินให้ได้ต้องมี  6  C’S 

1.Character เรียนให้จบปริญญาตรี ปริญญาโท มีประสบการณ์เรื่องที่จะกู้เงิน แต่งตัวให้ดูภูมิฐาน พูดจาให้เป็นระบบ วางตัวให้เป็นกลาง

2.  Capacity สร้างงบการเงินให้ดูดี กิจการมีกำไร มีอัตราส่วนทางการเงินดี อธิบาย Cash Flow ว่าสามารถคืนหนี้ได้ ทำธุรกิจมาได้ซัก 3 ปี

3. Capital กู้เงินอย่าให้เกิน 80% ของราคาประเมินทรัพย์สินที่จะใช้เป็นหลักประกัน

4. Collateral หลักประกันต้องดูโดดเด่น อยู่ในทำเลที่ดี มีสภาพคล่อง มีโอกาสเพิ่มมูลค่าในอนาคต

5. Condition เงื่อนไขในการชำระคืนดอกเบี้ยและเงินต้น มาจากตัวเลขใน Cash Flow ทำให้ธนาคารเชื่อให้ได้ว่าจะเหลือเงินแล้วคืนหนี้ธนาคารได้ตามแผนนี้

 

Case Study

บริษัท บางกอก จำกัด

B.K.K. Co., Ltd

- ธุรกิจเจ๊งแล้ว

- เจ้าของเดิมล้มละลาย

- ขายซากเครื่องจักรเก่าให้

- ทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท

ทรัพย์สิน          =          หนี้สิน + ทุน

เงินสด 0.3       =                      1.0

       +

ลูกหนี้เงินให้กู้กรรมการ 0.7

(สร้างหลักฐานด้วยตั๋วสัญญาใช้เงิน)

 

ปีที่ 1  

- หนึ่งปีผ่านไป มียอดลูกหนี้เงินกู้ให้กรรมการ 7 แสนบาท

- บริหารงานด้วยเงินสดเพียง 3 แสนบาท

ปีที่ 2

- รับเงินให้กู้กรรมการเป็นเงินสด (เงินไมได้จ่ายจริง)

อ้างว่าไปจ่ายค่าโฆษณา ค่าที่ปรึกษา มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย จากคน 4 คน โดยยื่น ภ.ง.ด. 3

            1. นายศักดิ์ มีดี

            2. นายพร้อม บุญถึง

            3. นายเก่ง มากมาย

            4. นายเรา ชอบเขา

จ่ายภาษีเพียง 3% ของ 7 แสนบาท = 21,000

ได้หุ้นสามัญมาฟรีๆ 70,000 หุ้น @ 10 บาท

แถมยังประหยัดภาษีนิติบุคคล 30% ของ 700,000 บาท เท่ากับ 210,000 บาท

ในที่สุดทุนจดทะเบียนเพิ่มเป็น 50 ล้านบาท

            ก็สร้างค่าใช้จ่าย จ้างคนมาถูกๆ เพื่อมาเป็นคู่สัญญา แล้วเคลียร์ภาษีให้กับคนเหล่านี้อีกด้วย โดยนำที่เงินที่ SYPHON (ย้ายเงินจำนวนมากๆ ไปไว้ในที่แห่งอื่น) ออกมาใช้เพิ่มทุน

            ทำให้มองว่า D/E RATIO ต่ำ ทำให้ Character เริ่มดูดีแล้ว

            มีกรรมการบริษัทเป็นผู้ที่มีชื่อเสียง

                        - เป็นทั้งนักการเมือง

                        - เป็นนักธุรกิจชื่อดัง

                        - เป็นนักวิชาการ

                                    ภาพลักษณ์ดูดีขึ้นอีก

ขั้นต่อมา 

            บริษัท บางกอก จำกัด (B.K.K. Co., Ltd) ทำให้ Cash Flow ให้รับมากกว่าจ่าย

ปีที่ 3

- ทำให้ยอดขายของบริษัทโต และสูงอย่างรวดเร็ว

- มีเงินทุนหมุนเวียนจำนวนมาก

- มีเงินเข้า – ออก ธนาคารแต่ละเดือน เกือบ 10 ล้านบาท

- สร้างรายจ่ายปลอม จึงเสียภาษีแค่ 3%

ปีที่ 4

- รู้ว่าทุน 50 ล้านบาท กู้ได้ถึง 100 ล้านบาท (D/E RATIO ไม่เกิน 2%) จะหลอกกู้เงินธนาคาร ซัก 60 ล้านบาท

สร้างโครงการในฝัน

ที่ดิน + สร้างโรงงาน          50 ล้านบาท

เครื่องจักร                       34 ล้านบาท

รวม                                 84 ล้านบาท

กู้เพียง                                       60 ล้านบาท

ในส่วนที่เหลือ                           24 ล้านบาท (ออกเอง)

- Cash Flow สูงกว่าเก่า 2 เท่า

- ที่ดิน + โรงงาน คืนได้ทุกเดือน

- เครื่องจักรสามารถชำระคืนได้

- สร้าง Capacity หลอกธนาคาร

- ต้องทำให้ Current Ratio มากกว่า 2:1

- ตั้งบริษัทในเครือ แต่มีการจ่ายเงินเดือนพนักงาน และมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ไม่เป็นจริง

ถ้าตั้งรายจ่ายปลอมไม่หมด ทำสิ่งต่อไปนี้

- ให้กรรมการกู้ เกิดต้นทุนเพียง 3% ของ 10 ล้านบาท แค่ 300,000 บาท แลกเงินกู้ 60 ล้านบาท

- สร้างบริษัทในเครือเพิ่มอีก โดยจ้าง บริษัท บางกอก จำกัด (B.K.K. Co., Ltd) เป็นที่ปรึกษา

 

 600,000 บาท = 1% ของ 60 ล้านบาท

แต่ถ้าเกิดกู้ไม่ถึง 100 ล้านบาท

600,000 บาท = 0.06 %

- จ้างที่ปรึกษา

            1. นายอิ่ม สมบูรณ์ ทำงาน เงินเดือน 10,000 บาท

            2. นายเปา วุ้นจิ้ง ขับรถ Taxi

            3. นายรัก สวนจัง เป็นชาวสวน

            แต่ได้ค่าที่ปรึกษาทุกๆ ปี ปีละ 1 ล้านบาท

            จากการสร้างหลักฐานจ่าย (ปลอม) ของ บริษัท บางกอก จำกัด (B.K.K. Co., Ltd)

สรุปว่าจะหลอกธนาคาร

          ซื้อที่ดิน        15 ล้านบาท กู้       8        ล้านบาท

          ก่อสร้าง        35 ล้านบาท กู้       28      ล้านบาท (80% ธนาคารให้กู้)

          เครื่องจักร    34 ล้านบาท กู้       24      ล้านบาท (70% ธนาคารให้กู้)

4.  จงอธิบายถึงอัตราส่วนทางการเงิน  (Financial Ratio) ที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ พร้อมทั้งอธิบายลงไปในรายละเอียดด้วยว่ามีวิธีการพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้

ตอบ 1. อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนหรืออัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio)
อัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current Ratio) = สินทรัพย์หมุนเวียน (CA) /หนี้สินหมุนเวียน (CL)
เป็นการวัดความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น ถ้าค่าที่คำนวณได้สูงเท่าใด แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนที่ประกอบไปด้วย เงินสด ลูกหนี้ และสินค้าคงเหลือมากกว่าหนี้ระยะสั้น ทำให้คล่องตัวในการชำระหนี้ระยะสั้นมีค่อนข้างมาก โดยปกติ อัตราส่วน 2 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว

2. อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio or Acid Test Ratio)
อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio) = (สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงเหลือ) /หนี้สินหมุนเวียน หรือ( Quick Ratio = CA - Inventory )/CL

            เป็น การวัดส่วนของสินทรัพย์ที่ได้หักค่าสินค้าคงเหลือ ที่เป็นสินทรัพย์ระยะสั้นและมีความคล่องตัวในการเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ต่ำสุดออก เพื่อให้ทราบถึงสภาพคล่องที่แท้จริงของกิจการได้ โดยปกติอัตราส่วน 1 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว

3. อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover)
อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover)
A/R Turnover = ขายเชื่อสุทธิ หรือใช้ยอดขายรวม (ครั้ง หรือ รอบ) /ลูกหนี้ถัว เฉลี่ย
ลูกหนี้ถัว เฉลี่ย = (ลูกหนี้ต้นงวด + ลูกหนี้ปลายงวด )/ 2

            หากค่าที่คำนวณได้ มีค่าสูง แสดงถึงความสามารถในการบริหารลูกหนี้ให้แปลงสภาพเป็นเงินสดได้เร็ว  ในทางตรงกันข้ามคำนวณได้มีค่าต่ำ แสดงถึงความสามารถในการบริหารลูกหนี้ให้แปลงสภาพเป็นเงินสดได้ล่าช้า

 4. ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Average Collection Period)
ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Avg. Collection Period) (วัน) = 365 วัน /อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้

          ยิ่งต่ำยิ่งดี แสดงให้เห็นถึงระยะเวลาในการเรียกเก็บหนี้ว่าสั้นหรือยาว เพื่อให้ทราบถึงคุณภาพของลูกหนี้ ประสิทธิภาพในการเรียกเก็บหนี้ และนโยบายในการให้สินเชื่อทางธุรกิจ

5. อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover)
อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover) = ต้นทุนสินค้าขาย (COGS) /สินค้าคงเหลือเฉลี่ย (Avg. Inventory)

สินค้าคงเหลือเฉลี่ย =( สินค้าต้นงวด + สินค้าปลายงวด )/ 2
            หากค่าคำนวณได้สูง ย่อมแสดงถึงความสามารถในการบริหารการขายสินค้าได้อย่างเร็ว

6. ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า
ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า(วัน) = 365 (วัน) /อัตราหมุนเวียนของสินค้า (Inventory Turnover)

            ยิ่งขายได้เร็ว (ระยะเวลาสั้น) ยิ่งดี

            ทั้งหมดเป็นประด็นในพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้ เพื่อที่จะนำไปใช้ในการประกอบการปล่อยสินเชื่อ

3.  การควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่สำคัญมาก ท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ และ บอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

 

ตอบ การควบคุมสินเชื่อนั้นแบ่งได้เป็น 3 ส่วน คือ

1. การควบคุมในแนวดิ่ง (Vertical Control) คือ ผู้เป็นหัวหน้าต้องเอาใจใส่ ให้คำแนะนำ (Supervision) แก่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของตน

2. การควบคุมในแนวนอน (Horizontal Control) คือ เป็นการควบคุมในระดับเดียวกัน แต่เป็นการควบคุมระหว่างหน่วยงานที่แต่ละด้านให้กับองค์กร

3. การควบคุมด้วยการตรวจสอบภายในองค์กร (Internal Audit Control) โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบภายใน ซึ่งจะต้องทำปีละครั้ง โดยการสุ่มตรวจ เพื่อเจ้าหน้าที่สินเชื่อรู้ตัว

วัตถุประสงค์ในการควบคุมสินเชื่อ 

1. ป้องกันการทุจริตของเจ้าหน้าที่สินเชื่อ

2. ส่งเสริมการให้ความรู้แก่ผู้บังคับบัญชา โดยใช้วิธีการสอนงาน

3. เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขในรายละเอียดการให้กู้ระหว่างกันให้ครบถ้วน รอบคอบ ก่อนอนุมัติให้เบิกถอนกู้ออกไป

            ก่อนที่เราติดตามหรือทวงหนี้เราควรที่จะปฏิบัติตามดังต่อไปนี้

          The Tracing or tracing credit needs to be done very methodically. Good planning for ability credit quickly, punctual. Not to damage the positive images of the credit and control the coats. Creditor is review system loan regularly and nearby. Review system loan is include

     1. Type of the credit.

     2. Collateral in present is the correct.

     3. Entrepreneurs of the customer as the original ones.

     4. The operation is business profits. (Sun rise ,Sun shine ,Sun set)

     5. Financial status.

     6. The capital of liquidity.

     7. Average debt balance per month.

     8. Team manager and management.

จากนั้นจึงเริ่มการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมาดังต่อไปนี้

(When review system loan. tracking techniques of credit)

 

1. Negotiation is face. (การเจรจาต่อรอง) เป็นวิธีการที่ง่ายที่สุด และทำให้สองฝ่ายไม่ติดใจกันและกัน

2. Tracking credit by mail. การส่งจดหมายเตือนแจ้งว่า ตอนนี้คุณยังเป็นหนี้อยู่เท่าไร

 

3. Tracking by phone. เมื่อส่งจดหมายไปแล้ว ไม่มีการโต้ตอบกลับมาแต่อย่างไร เราก็ควรที่จะโทรไปลูกหนี้ของเรา ว่าจะวิธีไหนที่จะทำให้เขาเอาเงินมาให้ การที่จะโทรไปควรให้ฝ่ายกฎหมายของธนาคารโทรเนื่องจาก มีศิลปะในการพูด และข้อกำหมายต่างๆ ทำให้ลูกหนี้เกิดความกลัว ดังนั้นจึงนำเงินมากับทางธนาคาร

 

The last 4. Prosecution Court. เมื่อ 3 วิธีที่กล่าวมาข้างต้น ไม่ได้สามารถเรียกเก็บเงินได้จากลูกหนี้ นี้คือวิธีสุดท้ายที่จะต้องนำมาใช้ นั้นก็คือ การฟ้องต่อศาล

5. ท่านคิดว่างานพิธีการสินเชื่อมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด เมื่อเปรียบเทียบกับงานด้านการตลาดสินเชื่อ และถ้าต้องทำงานทั้ง 2 ด้านในคนเดียวกันในสาขาของธนาคารแห่งหนึ่งนั้น ท่านจะบริหารจัดการเวลาของตนเองและการบริหารความเสี่ยงของธนาคารให้มีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผลได้อย่างไร

 

ตอบ พิธีการสินเชื่อมีความสำคัญมาก ไม่แพ้กับงานด้านการตลาดของสินเชื่อ เนื่องจากงานด้านการตลาดของสินเชื่อก็จะต้องทำยอดหรือเป้าหมายจากทางกรรมการผู้จัดการใหญ่ ส่งมาให้กับผู้จัดการสาขา จากนั้นผู้จัดการสาขาก็จะส่งมาให้กับเราเพื่อทำตามยอดหรือเป้าหมายที่ธนาคารได้วางเอาไว้ แต่งานด้านการตลาดของสินเชื่อจะต้องเหนื่อยกว่าพิธีการสินเชื่อ เพราะต้องออกไปหากลุ่มลูกค้า บริษัทหรือกิจการร้านค้าต่างๆ เพื่อที่จะได้ให้กลุ่มเรานี้ ได้มาขอสินเชื่อกับทางธนาคารของเรา

          ถ้าต้องทำงานทั้ง 2 ด้านในคนเดียวกันในสาขาของธนาคารแห่งหนึ่งนั้น ท่านจะบริหารจัดการเวลาของตนเองและการบริหารความเสี่ยงของธนาคารให้มีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผลได้อย่างไร

            ถ้าต้องทำงานทั้ง 2 ด้าน คือ งานพิธีการสินเชื่อและงานด้านการตลาดของสินเชื่อ เมื่อเราได้กลุ่มลูกค้า บริษัทหรือกิจการร้านค้าต่างๆ มาขอสินเชื่อกับธนาคารของเรา จากนั้นเราก็ควรที่จะปฏิบัติตามแนวทางของงานพิธีการสินเชื่อ ดังต่อไปนี้

1. รวบรวมข้อมูลสถานะทางกฎหมายของลูกค้า

2. ตรวจสอบหลักประกัน หลักประกันนั้นต้องดูโดดเด่น อยู่ในทำเลที่ดี มีสภาพคล่อง มีโอกาสเพิ่มมูลค่าในอนาคต

3. ทำนิติกรรมสำหรับผู้ให้แก่ลูกค้า

4. จัดเก็บนิติกรรมและหลักประกัน

 

นิติกรรมสินเชื่อสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้

            ประการแรก คือ นิติกรรมวงเงินสินเชื่อ เช่น สัญญากู้ยืม คำขอให้ออกหนังสือค้ำประกัน ในแง่กฎหมาย เรียกว่า สัญญาหลัก หรือสัญญาประธาน

            ประการที่สอง คือ นิติกรรมหลักประกันสินเชื่อ “การค้ำประกัน” เรียกว่า การจำนอง จำนำ ในแง่กฎหมาย เรียกว่า สัญญารอง หรือสัญญาอุปกรณ์

ข้อที่ต้องคำนึงถึงอันเป็นพื้นฐานการทำนิติกรรมโดยกว้างๆ มีดังนี้

1. ตัวผู้ทำนิติกรรม

            1.1 ประเภทบุคคล

            1.2 ประเภทนิติบุคคล พวกบริษัท

            1.3 การใช้ชื่อในสัญญา

            1.4 การลงนามในสัญญา ทำได้ทั้งการลงลายมือชื่อ และการลงลายพิมพ์นิ้วมือ

2. วันที่ทำนิติกรรม ซึ่งจะทำวันไหนก็ได้

3. เงื่อนไขในการอนุมัติ

            3.1 การชำระคืนหนี้ (repayment condition) มีการผ่อนชำระเป็นรายเดือน รายงวด หรือรายปี

            3.2 อัตราดอกเบี้ย (interest rate)

4. แบบและข้อบัญญัติทางกฎหมายเพื่อความสมบูรณ์

            4.1 การติดอากรแสตป์ ต้องมีการขีดฆ่าด้วย ตามกฎหมายลูกค้าต้องเป็นคนขีดฆ่า

           เมื่อได้ทำสิ่งที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้ จะทำให้ทำงานทั้ง 2 ด้านในคนเดียวกันในสาขาของธนาคารแห่งหนึ่งนั้น จะบริหารจัดการเวลาของตนเองและการบริหารความเสี่ยงของธนาคารให้มีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผลได้ดี

2.  การที่เกิดภาวะเงินบาทมีค่าลดลงมาก  (เงินบาทอ่อนตัว) มีผลต่อการที่ธนาคารของท่านในการให้สินเชื่ออย่างไรบ้าง  และการที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่นั้น  จะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในประเด็นใดบ้าง 

ตอบ สำหรับกรณีของค่าเงินบาทอ่อนลง ก็อาจจะเกิดได้ในกรณีที่ไทยต้องการนำเข้ามาก ๆ เช่น ต้องการนำเข้าน้ำมัน หรือกรณีการนำเข้าวัตถุดิบหรือเครื่องจักรจากต่างประเทศ ดังนั้น ในกรณีนี้ ก็จะต้องมีการนำเงินบาทไปแลกเป็นเงินตราต่างประเทศ เพื่อที่จะได้เอาเงินไปจ่ายต่างประเทศ ความต้องการในเงินตราสกุลต่างประเทศก็จะสูงขึ้น กลไกตลาดก็จะทำให้ค่าของเงินบาทอ่อนลง เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า ค่าเงินบาทสามารถที่จะแข็งขึ้นและอ่อนลงได้ด้วยหลายๆ ปัจจัย แม้กระทั่งหากนักเก็งกำไรมีความรู้สึกว่าค่าเงินบาทน่าจะอ่อนกว่าที่เป็นอยู่ จึงต้องการที่จะถือเงินบาทน้อยลง และหากนักเก็งกำไรทุก ๆ คน คิดและทำเหมือนกันหมด ก็จะมีส่วนทำให้ค่าเงินบาทสามารถอ่อนค่าลงได้เช่นกัน

 

ดังนั้นการปล่อยสินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ก็จะลดลง เนื่องค่าเงินบาทอ่อนตัวลง ทำให้เกิด

 

1. ระดับราคาสินค้านำเข้าสูงขึ้น

          ทั้งสินค้าบริโภคและสินค้าทุน ซึ่งมีผลทำให้ต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น ขณะที่ความต้องการสินค้าส่งออกเพิ่มขึ้นในระยะสั้น ทำให้เกิดการแย่งกันใช้สินค้าและปัจจัยการผลิต จึงทำให้ราคาสินค้าและปัจจัยการผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้ค่าเงินบาทที่ลดลง จึงมีผลทำให้ระดับราคาสินค้าโดยรวมหรืออัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น และทำให้ความสามารถในการซื้อสินค้าและบริการของประชาชนลดลง

2. ผลกระทบต่อค่าจ้างแรงงาน
     ค่าเงินบาทที่ลดลง จะทำให้การส่งออกขยายตัว และส่งผลทำให้ค่าจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น แต่เพียงเท่านี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่า ความเป็นอยู่ของแรงงานดีขึ้นหรือไม่ เนื่องจาก ต้องพิจารณาจากค่าจ้างที่แท้จริง ซึ่งหมายถึงค่าจ้างที่เป็นตัวเงินเทียบกับระดับราคาสินค้าและบริการ ทั้งนี้ค่าเงินบาทที่อ่อนลงจะทำให้อัตราค่าจ้างที่เป็นตัวเงินและระดับราคาเพิ่ม ขึ้นไปด้วยกัน ดังนั้นแรงงานจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นหรือไม่ จึงขึ้นอยู่กับ ค่าจ้างแรงงานหรือระดับราคามีอัตราการเพิ่มขึ้นที่สูงกว่ากัน หากระดับราคาเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าค่าจ้าง หมายถึง แรงงานมีค่าจ้างที่แท้จริงลดลง

3. ผลกระทบต่อการกระจายรายได้
     การอ่อนตัวของเงินบาททำให้ความต้องการสินค้าส่งออกของไทยเพิ่มขึ้น ภาคการส่งออกต้องขยายการผลิต ทำให้ค่าจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดีแรงงานที่จะได้รับประโยชน์ส่วนใหญ่น่าจะเป็นแรงงานที่มีทักษะ เพราะภาคการส่งออกของไทยส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรม (มูลค่าร้อยละ 77 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด) และสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกสูงนั้นเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, แผงวงจรไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งต้องอาศัยแรงงานที่มีทักษะ นั่นหมายความว่าแม้ว่าภาคการผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้นจะได้ประโยชน์ แต่ประโยชน์ที่ได้รับจะกระจายไปยังแรงงานที่มีทักษะมากกว่า ทำให้แรงงานระดับล่างได้รับผลประโยชน์ไม่มากนัก ดังนั้นค่าเงินบาทที่ลดลงอาจจะทำให้การกระจายรายได้แย่ลงได้

 

Happy Bithday to  Assistant Professor Doctor Krisada ^^




 


3. การควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่สำคัญมาก ท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ และ บอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

ตอบ การบริหารความเสี่ยงนับว่ามีบทบาทสำคัญที่ทำให้ผลการดำเนินงานของธนาคารในรอบปี2552 ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งที่เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก โดยธนาคารใช้แนวทางของ COSO ERMFramework ซึ่งเป็นกระบวนการบริหารความเสี่ยงตามหลักสากล ในการบริหารความเสี่ยงและจัดการความเสี่ยงภายในองค์กร (Enterprise Risk Management: ERM)โดยมีหลักการสำคัญ คือ การเชื่อมโยงกระบวนการบริหารความเสี่ ยงเข้ากับแผนกลยุทธ์และโอกาสทางธุรกิจของธนาคาร ซึ่ งช่ วยบูรณาการการบริหารและจัดการความเสี่ยงให้ครอบคลุมทั่วทั้งองค์กร ในปี2552ธนาคารได้จัดทำแผนภูมิความเสี่ยง (Risk Map) ประจำปีพร้อมทั้งจัดทำดัชนีชี้วัดความเสี่ยง (Key Risk Indicator:KRI) ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Risk Appetite)และระดับความเสี่ยงที่ทนได้ (Risk Tolerance) ซึ่งครอบคลุมความเสี่ยงหลักของธนาคาร ทั้งด้านกลยุทธ์ด้านการปฏิบัติงาน ด้านการเงิน และด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบ สำหรับการบริหารความเสี่ยงหลักในด้านต่างๆ นั้น

ธนาคารได้ทำการทบทวนและปรับปรุงกระบวนการและเครื่องมือให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อให้พร้อมรับ

กับการแข่ งขันที่ จะทวีความรุนแรงขึ้นภายใต้สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและการเงินที่ เปลี่ ยนแปลงไป

โดยเฉพาะการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิต ที่จะมีผลมากต่อรายได้หลักและฐานะเงินกองทุน ธนาคารได้นำปัจจัยความเสี่ยง และการบริหารความเสี่ยงเครื่ องมือที่ ทันสมัยมาใช้อย่ างต่ อเนื่ อง อาทิ ระบบ

Loan Originationและ Credit Scoring ที่ใช้ในการพิจารณาสินเชื่อรายย่อย และการทดสอบภาวะวิกฤติ

เมื่อมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญมากระทบ เป็นต้น นอกจากนี้ธนาคารยังให้ความสำคัญกับการสร้างความตระหนัก

และมีความเข้าใจตรงกันว่า การบริหารความเสี่ยงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องและเป็นความรับผิดชอบของบุคลากรทุกคน โดยการจัดเป็นหนึ่งในหลักสูตรการปฐมนิเทศทั้งในระดับกรรมการและพนักงานที่เข้ามาใหม่ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับภาพรวมของการบริหารความเสี่ยงของธนาคาร และได้มีการสื่อสารไปทั่วทั้งองค์กรเพื่อกระตุ้นในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีส่วนช่วยสนับสนุนให้ทุกหน่ วยงานสามารถปฏิบัติงานได้บรรลุเป้าหมายขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับการบริหารจัดการตามหลักบรรษัทภิบาลและการกำกับดูแลกิจการที่ ดี ที่ จะส่ งผลให้ธนาคารเติบโตได้อย่ างมั่นคงและยั่งยืน

ในปี 2552 ธนาคารได้ให้ความสำคัญยิ่งขึ้นกับการบริหารความเสี่ยงของบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงิน ซึ่งมีจำนวนรวม 11 บริษัท ประกอบด้วยธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อ ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจประกันภัยและธุรกิจที่สนับสนุนงานของธนาคาร โดยธนาคารได้กำหนดนโยบายและแนวทางการบริหารความเสี่ยงของกลุ่ มธุรกิจทางการเงินที่ สอดคล้องกับประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การกำกับแบบรวมกลุ่ม และได้กำกับดูแลให้บริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินมีการบริหารความเสี่ยงที่ครอบคลุมความเสี่ยงทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ ด้านกลยุทธ์ ด้านเครดิต ด้านตลาด ด้านสภาพคล่อง และด้านปฏิบัติการ รวมทั้งได้ให้การสนับสนุนด้วยการจัดฝึกอบรมและถ่ ายทอดความรู้ให้กับบุคลากรของบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงิน เพื่อให้สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ซึ่งธนาคารจะทำการประเมินผลการบริหารความเสี่ ยงในภาพรวมของกลุ่มธุรกิจทางการเงินอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

หลักปฏิบัติในการแก้ไขหนี้เสีย มีทางได้แก่

1. ประนีประนอมและให้ความช่วยเหลือจนลูกหนี้สามารถชำระหนี้ได้ (Work Out)

2. บังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้ตามสัญญาโดยวิธีกฏหมาย (Liquidation

6. เมื่อท่านได้ศึกษาเพาเวอร์พอยท์ เรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคาร ไปนั้น ขอให้ท่านจับประเด็นให้ได้ว่ามีประเด็นใดบ้างที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียมตัวมากู้เงินจากธนาคาร และประเด็นเหล่านั้นธนาคารสามารถตรวจสอบได้อย่างไร

ตอบ ซื้อสินทรัพย์สูงกว่าราคาจริง

วิธีการโยกเงินเข้ากระเป๋าที่แนบเนียนอีกวิธีหนึ่ง ที่ผู้บริหารหัวใสชอบทำ เพราะรับทรัพย์

เร็ว แต่ต้องยอมเสี่ยงตะราง ก็คือ ซื้อ/ขายสินทรัพย์และเงินลงทุนสูงหรือตํ่ากว่าความเป็นจริง วิธีนี้

ทำ ง่าย และสะดวก ถ้ากรรมการบริษัทหรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงร่วมเป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวกัน

สินทรัพย์ยอดนิยมที่ถูกนำ มาใช้เป็นกลไกถ่ายเทผลประโยชน์ทีดี่ที่สุดก็คือ “ที่ดิน” ซึ่ง

ฟันธงได้เลยว่า สาเหตุที่ทำ ให้ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์กร หรือบีบีซีต้องล่มจมไปในวันนี้ ส่วน

หนึ่งเป็นเพราะมีนักการเมืองบางกลุ่ม ร่วมกับกลุ่มผู้บริหารของธนาคารนำ ที่ดินที่อยู่ไกลสุดกู่ มี

ราคาประเมินไร่ละเพียง 1-2 หมื่นบาท ไปขอคํ้าประกันเงินกู้จากบีบีซี ในราคาไร่ละ 5 แสนบาท

หรือแพงกว่าราคาประเมินถึง 50 เท่า โดยใช้ชื่อ คนขับรถหรือคนใกล้ชิดไปขอกู้

กระบวนการต่อไปคือผ่องถ่ายเงินไปอีก 2-3 ทอดผ่านบริษัท หรือคนกลาง ก่อนจะโยกเข้า

กระเป๋าแสนกลเพื่อป้องกันการถูกล้วงลึกมาถึงตัว รายละเอียดของกรณีตัวอย่างนี้อาจเสาะหาได้ที่

นักการเมืองคนที่ชื่อ “สุชาติ ตันเจริญ”

ฟินิคซ พัลพฯ ก็ใช้วิธีการเดียวกันนี้ โดยกรรมการของบริษัทบางคน ซื้อที่ดินมาไร่ละ 2.25

หมื่นบาท แต่ใช้อำ นาจของตัวเองบีบให้บริษัทซื้อต่อในราคาสูงถึงไร่ละ 1.2 แสนบาท

“เจ้าสัวแบงก์” บางคนก็ยังทำ เรื่องแบบนี้ เพราะต้องการระบายที่ดินของตัวเองจึงให้แบงก์

เข้ามารับซื้อ ในท้ายที่สุด ผู้ถือหุ้นทั้งหมด ก็ต้องเข้ามาร่วม “แชร์” ส่วนขาดทุน

กลยุทธ์แบบนี้วงการแพทย์ก็ยังนำ ไปใช้ โดยเฉพาะเรื่อง “ฉาวโฉ่” กรณีปั่นราคายาจนแพง

หูฉี่ ทั้งที่ต้นทุนแค่นิดเดียว ส่วนเกินที่เกิดขึ้นถูกนำ ไปแจกจ่ายแบ่งเปอร์เซ็นต์กันจนรวยไม่รู้เรื่อง

เราควรต้องตรวจสอบนายละเอียดแบบถี่ถ่วนทุกขั้นตอนเพื่อที่จะไม่ให้ลูกค้าที่มากู้เงินสามารถโกงเราได้ข้อมลูทุกสิ่งทุกอย่างเราต้องดูให้ละเอียดตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีก

4. จงอธิบายถึงอัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratio) ที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ พร้อมทั้งอธิบายลงไปในรายละเอียดด้วยว่ามีวิธีการพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้

ตอบ อัตราส่วนทางการเงิน (Financial ratio) เป็นการนำตัวเลขที่อยู่ในงบการเงินมาหาอัตราส่วนเพื่อใช้ในการวิเคราะห์เปรียบเทียบกับกิจการอื่น หรือ เปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานในอดีต ช่วยให้ผู้วิเคราะห์ประเมินผลการดำเนินงาน แนวโน้ม และความเสี่ยงของกิจการได้ดียิ่งขึ้น

อัตราส่วนทางการเงินส่วนใหญ่ของกลุ่มคุณภาพสินเชื่อชี้ให้เห็นว่าลักษณะดังกล่าวส่งผลให้ระดับความเสี่ยงประเภท credit risk ของธนาคารอยู่ในระดับสูงขึ้น ซึ่งต้องพิจารณาว่าความเสี่ยงที่สูงขึ้นในขณะที่สินเชื่อขยายตัวเพิ่มขึ้นจะถูกชดเชยด้วยความสามารถในการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

โดยหลักใหญ่ๆ มีอยู่ 7 ประการ ในการที่สถาบันการเงินจะพิจาณาการปล่อยสินเชื่อ โดยแต่ละแหล่งข้อมูลและเครื่องบ่งชี้ทั้งในเชิงปริมาณ (Quantitative) และในเชิงคุณภาพ (Qualitative) เพื่อเป็นแนวทางสร้างความเข้าใจให้แก่ SMEs ก่อนการตัดสินใจเริ่มวางแผนธุรกิจเพื่อขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน โดยมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1. หลักประกัน

คือ หลักทรัพย์และความแตกต่างในมูลค่าของวงเงินกู้ และความมั่นคงในทรัพย์สิน

2. อัตราเสี่ยง

คือ การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน

3. ความสามารถของกิจการในการสร้างกำไร

คือ การพยากรณ์การขาย

การวิเคราะห์หาจุดคุ้มทุน

การคาดคะเนหรือการประมาณการทางการเงิน(งบดุล,งบกำไรขาดทุน)

4. สภาพคล่องของทรัพย์สิน

คือ การดูจากบัญชีงบดุล

5. ภาวะการหมุนเวียนของเงินทุน

คือ การวิเคราะห์กระแสการหมุนเวียนของเงิน

6. ความสามารถและความชำนาญและการบริหาร

คือ ดูจากระบบการผลิต การควบคุม คุณภาพและกลวิธีทางการตลาด

โครงสร้างและระบบการบริหารภายใน

2. การที่เกิดภาวะเงินบาทมีค่าลดลงมาก (เงินบาทอ่อนตัว) มีผลต่อการที่ธนาคารของท่านในการให้สินเชื่ออย่างไรบ้าง และการที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่นั้น จะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในประเด็นใดบ้าง

ตอบ มีผลต่ออัตราการแลกเปลี่ยนของธนาคาร ในการปล่อยกู้พ่อค้าที่จะส่งของออกไปยังต่างประเทศก็มีเพิ่มขึ้นเพราะกำไรได้มากขึ้น การอ่อนค่าลงของค่าเงินบาทน่าจะส่งผลกระทบเพิ่มเติมต่อการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศ เนื่องจากราคาน้ำมันและอาหารในตลาดโลกที่มีหน่วยในการซื้อขายเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐไม่ได้มีการปรับตัวลดลงตามมา การอ่อนค่าลงของเงินบาทจึงทำให้ราคาน้ำมันและอาหารที่คิดเป็นหน่วยเงินบาทปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นไปจากเดิมอีก การอ่อนค่าลงของเงินบาทในครั้งนี้จะสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย

ข้อ  3 

ค่ะการควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยงน่ะค่ะ  โดยที่

การบริหารความเสี่ยง (RISK MANAGEMENT)  ของธุรกิจธนาคาร  เป็นธุรกิจที่เกิดขึ้นจากการบริการความเสี่ยงเป็นหัวใจสำคัญ  ฉะนั้นถ้าสามารถลดความเสี่ยงลงได้มากเท่าไร  ก็จะมีสถานะมั่นคงมากเท่านั้น  และควรคำนึงถึงด้วยว่า  ถ้าเสี่ยงมาก  ควรได้รับผลตอบแทนมาก  ถ้าเสี่ยงน้อย  ผลตอบแทนน้อย  ก็ไม่เป็นไร  การบริหารความเสี่ยง  มีประเด็นที่ต้องคำนึงถึง คือ

            GOOD QUANLITY OF ASSET คือ การบริหารสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดี เลือกลงทุนในธุรกิจที่มีผลตอบแทนสูง  สินเชื่อที่ธนาคารปล่อยก็ถือว่าเป็นสินทรัพย์ด้วย  ฉะนั้น  การปล่อยสินเชื่อที่ดี  ก็จะสามารถลดความเสี่ยงได้

            INDUSTRIAL DISTRIBUTION คือ การกระจายสัดส่วนสินเชื่อใน PORTFOLIO ไปตามประเภทของธุรกิจต่าง ๆ  ไม่ควรปล่อยสินเชื่อธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งมากจนเกินไป  หากธุรกิจนั้น ๆ มีปัญหา  ผลกระทบก็จะรุนแรงตามไปด้วย

โดยแนวทางในการพิจารณาควบคุมสินเชื่อที่สำคัญมีดังนี้

1.      การควบคุมในแนวดิ่ง (Vertical Control )

เป็นการควบคุมที่มีอยู่ ในลักษณะตามสายการบังคับบัญชาที่ผู้เป็นหัวหน้าต้องดูแลเอาใจใส่ ให้คำแนะนำ (Supervion) แก่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของตน และประการสุดท้ายก็คือ ผู้ทำการวิเคราะห์ที่อยู่ในสายการบังคับบัญชานั้นได้ใช้ดุลพินิจหรือวิจารณญาณอย่างรอบคอบสมเหตุสมผล และเป็นอิสระจากภาวการณ์กดดันได้ดีเพียงพอแล้ว ซึ่งทำให้องค์กรลดความเสี่ยงลงได้

2.      การควบคุมในแนวนอน (Horizontal Control)

เป็นการควบคุมในระดับเดียวกันแต่เป็นการควบคุมระหว่างหน่อยงานที่ทำหน้าที่แต่ละด้านให้กับองค์กร สิ่งที่มักพบเห็นเสมอก็คือ ธนาคารหลายแห่งจะมีเจ้าหน้าที่สินเชื่อทำงานด้านหารตลาด เพื่อพบประกับลูกค้าและเสนอแนะบริการด้านสินเชื่อ มีเจ้าหน้าที่ที่ต้องวิเคราะห์สินเชื่อที่ต้องออกไปพบลูกค้าพร้อมกับฝ่ายการตลาดเพื่อร่วมรับรู้ถึงธุรกิจของลูกค้า และขอเอกสารต่างๆ จากลูกค้าและรวมถึงหาข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ  เพื่อทำความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละราย มีเจ้าหน้าที่ประเมินราคาหลักประกัน ที่ต้องไปพบลูกค้าด้วยเช่นกัน เพื่อรวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องทางทรัพย์สินที่จะนำมาเป็นหลักประกัน สุดท้ายยังมีเจ้าหน้าที่ในงานพิธีกร ที่ต้องคอยทำหน้าที่เตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทำนิติกรรมระหว่างลูกค้ากับผู้ให้สินเชื่อคือธนาคาร เมื่อลูกค้าลงนามครบถ้วนแล้ว ก็ต้องจัดเก็บอย่างปลอดภัยมีระบบรักษาความลับลูกค้ามิให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องมารับรู้หรือค้นหา เพราะจะทำให้เกิดการสูญหายต่อธนาคารได้

3.      การควบคุมด้วยการตรวจสอบภายในองค์กร (Internal Audit Control)

ซึ่งจะต้องทำอย่างน้อยปีละครั้ง โดยใช้ระบบสุ่มตรวจและต้องไม่ให้ฝ่ายสินเชื่อทราบล่วงหน้า เพราะจะทำให้ไม่พบจุกบกพร่องในขณะที่ผู้เขียนทำงานอยู่ที่ธนาคารไทยพาณิชย์นั้น ฝ่ายตรวจสอบจะแบ่งทีมงานเป็นหลายชุด ที่จะออกตรวจในสาขาภูมิภาค

การควบคุมสินเชื่อของสถาบันการเงินหรือธนาคารโดยฝ่ายสินเชื่อ

1.      ธนาคารจะทบทวนผลการติดต่อกับลูกค้าทุกรายอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อทราบว่ามีการเดินบัญชีสม่ำเสมอหรือไม่ ชำระเงินต้นดอกเบี้ย ตรงตามเงื่อนไขหรือไม่

2.      ทบทวนผลการประกอบการลูกค้าจากการวิเคราะห์งบการเงิน ซึ่งเป็นการวิเคราะห์เชิงประมาณด้านอื่นๆ เช่น การบริการงาน การพัฒนาผลิตภัณฑ์

3.      ทบทวนหรือสำรวจหลักประกันว่ามีสภาพไม่ด้อยไปจากเดิม

4.      เยี่ยมชมกิจการของลูกค้า โดยปกติพนักงานสินเชื่อจะมีโอกาสในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่จะนำของขวัญไปอวยพรให้กับลูกค้า

การควบคุมสินเชื่อของสถาบันการเงินหรือธนาคารโดยฝ่ายตรวจสอบภายใน 3 ด้านคือ

1.      พิจารณาว่าได้จัดทำนิติกรรมตามระเบียบของธนาคารอย่างครบถ้วนก่อนลูกค้าเบิกเงินกู้หรือไม่ หลักประกันทุกสิ่งทุกต้องมีต่อกัน ได้จัดอย่างปลอดภัย ยากแก่การสูญหาย และยากต่อการเข้าถึงของผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

2.      พิจารณาเจาะจงไปที่ฝ่ายสินเชื่อเลยว่า พนังงานสินเชื่อได้ทำตามนโยบายของธนาคารที่กำหนดให้ ณ ขณะนั้นๆ หรือไม่ เช่น นโยบายการให้กู้กับธุรกิจอสังหริมทรัพย์

3.      พิจารณาในแง่คุณภาพหนี้ว่าอยู่ในชั้นใด สัดส่วนเป็นอย่างไร

สินเชื่อปกติ

สินเชื่อที่ควรเอาใจใส่เป็นพิเศษ

สินเชื่อจัดชั้นตำกว่ามาตรฐาน

สินเชื่อจัดชั้นสงสัย

สินเชื่อจัดชั้นสงสัยจะสูญ

สินเชื่อชั้นสูญ

ค่ะโดยที่มีการติดตามทวงหนี่มีประสิทธิภาพดังตัวอย่าง 2 วิธีดังนี้

1  การเจรจาต่อรอง ค่ะโดยการเจรจาต่อรองเนี่ยน่ะค่ะทางที่ดีควรจัดทำกันที่ธนาคาร โดยจะต้อง

-มีการศึกษารายละเอียดก่อนเจรจา

-เตรียมบรรยากาศในการไปเจรจา

-เจรจากับลูกหนี้

                        -มีการประนีประนอมกัน

-ต้องใช้หลักทางจิตวิทยาในการเจรจาต่อรอง

2  ทวงทาง จดหมาย  2ประการคือ

-เพื่อแจ้งข่าวค้างชำระ

-เพื่อถูกตามกฎหมาย

โดยการทวงทางจดหมายน่ะค่ะจะต้อง

 • เลือกใช้ข้อความและสำนวนให้เหมาะกับลูกค้าและโอกาส จะต้องระมัดระวังคำพูดมิให้เป็นการดูหมิ่นลูกค้า แต่ควรเขียนด้วยภาษาสุภาพและแสดงความคาดหวังว่าลูกค้าจะชำระค่าสินค้าโดยเร็ว
       • จดหมายทวงหนี้ในครั้งแรก ควรเขียนเพียง เตือนลูกค้าว่าครบกำหนดชำระหนี้แล้วขอให้รีบชำระด้วย
       • หากเขียนจดหมายทวงหนี้ไปครั้งหนึ่งแล้วยังไม่ได้รับคำตอบจากลูกค้าแต่อย่าง ใด อาจเขียนจดหมายติดตามเป็นครั้งที่สอง โดยขอให้ลูกค้าแจ้งเหตุผลอันสมควร และเขียนอย่างสุภาพนุ่มนวลที่สุด โดยเขียนอ้างถึงความปรารถนาดีที่จะรักษาชื่อเสียงและความเชื่อถือทางการเงิน ที่ดีของลูกค้า
       • หากส่งจดหมายทวงหนี้ไปแล้ว 2-3 ฉบับ แต่ยังไม่ได้รับคำตอบ อาจจะยื่นกำหนดเวลาชำระเงินให้เป็นคำขาดและอาจอ้างอิงถึงการดำเนินงานตาม กฎหมาย

 

ข้อ  5

ค่ะดิฉันคิดว่าพิธีการสินเชื่อนี้ก็มีความสำคัญเหมือนกันค่ะ  เพราะ  เป็นขั้นตอนการดำเนินงานตามกฎหมาย โดยทั่วไปกิจการธนาคารเมื่ออนุมัติสินเชื่อแล้ว  พนักงานสินเชื่อจะทำใบนำส่งงานไปยังหน่วยงานพิธีการ ซึ่งเป็นหน่วยงานสนับสนุนเพื่อดำเนินการทางกฎหมายกับลูกค้านั้นๆ  เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ทางด้านพิธีการสินเชื่อมักมีความรู้ทางด้านกฎหมาย  แต่บางคนมีความรู้ทางด้านบริหารธุรกิจ  และผ่านการอบรมในกฏหมายที่เกี่ยวข้อง  และมีประสบการณ์ในด้านสินเชื่อก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน  งานพิธีการสินเชื่อประกอบด้วย

1.       รวบรวมข้อมูลสถานะทางกฎหมายของลูกค้า  อยู่ในสถานะที่ทำนิติกรรมได้และมีคุณสมบัติที่ทำนิติกรรมได้ตามกฎหมาย

2.      ตรวจสอบหลักประกัน  มีการตรวจสอบเอกสารกับทางราชการ เช่นกรมที่ดิน ซึ่งทำให้รู้พฤติกรรมสรรณฐาน และราคาประเมินทางราชการของหลักประกันนั้นๆ

3.      ทำนิติกรรมสำหรับผู้ให้กู้แก่ลูกค้า  ประกอบด้วย สัญญากู้  และเอกสารประกอบการกู้  สัญญาค้ำประกัน  สัญญาจำนอง  สัญญาจำนำ  เป็นต้น มักทำเป็น 3 ชุด ต้นฉบับ คู่ฉบับ สำเนาให้ลูกค้า   จะแยกเก็บคนละสถานที่กัน เผื่อเพลิงไหม้จะไม่สูญหมด ต้นและคู่ลงนานจริง

4.      จัดเก็บนิติกรรมและหลักประกัน   ให้อยู่ที่ปลอดภัย สะดวก คนไม่เกี่ยวข้องดูไม่ได้

เมื่อเทียบกัลตลาดสินสินเชื่อแร้วน่ะค่ะ  เพราะว่าทั้งทางพิธีการสินเชื่อจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในตัวสินเชื่อและเป็นการบริหารความเสี่ยงโดยช่วยลดความเสี่ยงให้กับด้านสินเชื่อนั่นเองค่ะ

ถ้าหากดิฉันต้องทำงานทั้ง 2 ด้านในคนเดียวกันในสาขานั้นดิฉันก็จะมีการบริหารจัดการเวลาและบริหารความเสี่ยงของธนาคารให้มีประสิทธิภาพและเพื่อให้เกิดผลประโยชน์อย่างดีที่สุด โดยที่  จะทำเป็นขั้นตอนๆไปนั่นก็คือ

1) การกำหนดนโยบายสินเชื่อ(CREDIT POLICY)

            เป็นการกำหนดโดยผู้บริหารของสถาบันการเงิน  เพื่อกำหนดเป้าหมายให้แก่ผู้ปฏิบัติเช่นในปีนี้จะขยายตัวทางด้านสินเชื่อวงเงินเท่าไหร่  อัตราตอบแทนเป็นอย่างไร  และจะปล่อยสินเชื่อให้แก่ธุรกิจใดบ้าง  ซึ่งนโยบายสินเชื่ออาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ ตามผลการประกอบการของสถาบันการเงินนั้น ๆ เอง การกำหนดนโยบายสินเชื่อ จะต้องคำนึงถึงปัจจัยหลัก 3 ข้อ คือ

            1. กำไร (PROFIT)

            2. สภาพคล่อง (LIQUIDITY)

            3. ความเสี่ยง (RISK)

2) การวิเคราะห์สินเชื่อ (CREDIT ANALYSIS)

            การวิเคราะห์สินเชื่ออย่างรอบคอบจะช่วยให้ลดจำนวนหนี้ที่มีปัญหาไปได้มาก  ฉะนั้นความรู้ความสามารถของเจ้าหน้าที่สินเชื่อ  เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับองค์กร  ควรมีการพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ  เมื่อเกิดหนี้ที่มีปัญหาขึ้น  ผลการวิเคราะห์มักพบเสมอว่า  หลายกรณีเกิดจากการที่อนุมัติวงเงินสินเชื่อบกพร่อง  ซึ่งพอสรุปได้ ดังนี้

1.      การจัดวงเงินสินเชื่อไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ที่ใช้

2.      การขาดข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้

3.      การวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้คืนผิดพลาด

4.      การกำหนดระยะเวลาชำระคืนไม่เหมาะสม

5.      ขาดเงื่อนไขในการใช้วงเงินสินเชื่อแต่ละประเภท

6.      ขาดการควบคุมการใช้วงเงินสินเชื่อ

7.      ให้วงเงินสินเชื่อมากหรือน้อยเกินไป

8.      DOUBLE FINANCING

3) นั่นก็ปฏิบัติการพิธีการทางด้านสินเชื่อ

โดยจัดทำสัญญา  จดจำนอง จำนำ  หลักประกัน  จำเป็นจะต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก  เพราะหากเกิดข้อผิดพลาดขึ้น  อาจทำให้ไม่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้ตามกฎหมาย  ควรดูเงื่อนไขและข้อตกลงในการอนุมัติวงเงินสินเชื่ออย่างละเอียดรอบคอบ  และต้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อตกลงนั้น  โดยคำนึงถึงปัญหาทางด้านกฎหมายเป็นหลักในการดำเนินการ  หากมีเงื่อนไขที่อาจจะเป็นปัญหาทางด้านกฎหมาย  ต้องสอบถามทางฝ่ายกฎหมายโดยด่วน  และจะพบว่า หากมีความบกพร่องทางด้านนี้  เมื่อเจรจาหนี้กับลูกค้า  จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และทำให้การแก้ไขหนี้ยากขึ้นมาก

ข้อ  6

  เมื่อได้ศึกษาเรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคาร ประเด็นสำคัญที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียมตัวมากู้เงินธนาคารและวิธีการที่จะนำมาป้องกันนั่นก็คือ เช่น

      เชิดเงิน เชิดสินค้า
      เป็นมุขพื้นฐานที่บรรดาลูกค้าที่คิดจะโกงนิยมใช้กัน ก็คือการเชิดเงินและเชิดสินค้าแล้วหนีหน้าไปเลยจนไม่สามารถตามเจอ หรือถ้าเจอก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หาว่าจ่ายอย่างครบถ้วนไปแล้ว ซึ่งเงินและสินค้าที่ถูกโกงไปนั้นผู้ประกอบการสามารถทำได้ดีที่สุดก็แค่แจ้ง ความเอาผิดทางกฎหมาย แต่ก็เป็นการยากที่จะตามได้คืนจนครบ ดัง นั้นวิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือผู้ประกอบการจะต้องตรวจสอบความน่าชื่อถือของ ลูกค้าในทุกๆครั้งที่มีการทำธุรกิจร่วมกันด้วย อีกทั้งจะต้องเก็บเอกสารการสั่งซื้อและชำระเงินเอาไว้ให้ดี เพื่อที่ว่าถ้าเกิดตุกติกขึ้นมาจะได้มีหลักฐานอ้างอิงจึงจะเป็นแนวทางการ แก้ไขปัญหาที่ถูกต้องรัดกุมที่สุดนั่นเอง

      สินค้ามาส่งไม่ครบและไม่ได้มาตรฐาน
      อย่าหลงคิดว่าการที่สินค้ามาส่งไม่ครบและขาดมาตรฐานจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้น จากเรื่องการขนส่งเท่านั้น เพราะบางทีปัญหานี้ก็มีที่มาจากความจงใจของลูกค้าที่คิดมิซื่อด้วยเช่นกัน ดัง นั้นก่อนที่จะส่งสินค้าทุกครั้งผู้ประกอบการจะต้องตรวจนับและตรวจสอบมาตรฐาน ของสินค้าให้ตรงตามสเปคที่สั่งก่อนที่จะส่งให้เรียบร้อยเสียก่อน และเมื่อส่งสินค้าแล้วต้องให้ลูกค้าตรวจสอบให้ดี พร้อมทั้งลงชื่อรับสินค้าในใบนำส่งเพื่อใช้เป็นเอกสารยืนยันว่าทางบริษัทได้ ส่งสินค้าในจำนวนที่ครบถ้วนถูกต้อง และลูกค้าเองก็ได้ตรวจสอบแล้ว

     อย่าให้สินเชื่อกับใครง่ายๆ
     ด้วยความที่การทำธุรกิจเป็นเรื่องของการใช้หัวใจซื้อความเชื่อมั่นระหว่าง กัน ซึ่งจุดนี้ได้กลายเป็นช่องว่างให้เหล่าบรรดามิจฉาชีพใช้เป็นช่องทางในการโกง เป็นจำนวนมาก โดยอ้างเอาเรื่องความเชื่อใจระหว่างกันเป็นข้อต่อรองเพื่อเอาเปรียบผู้ ประกอบการทั้งในเรื่องของการขอสินเชื่อโดยการขอเอาสินค้าไปจำหน่ายก่อน หรือผ่อนชำระเงินเป็นงวดๆไป ซึ่งหากผู้ประกอบการไม่แน่ใจในความน่าเชื่อถือของลูกค้า ขอ แนะนำว่าอย่าปล่อยสินค้าด้วยวิธีการให้สินเชื่อหรือผ่อนชำระโดยเด็ดขาดมิ เช่นนั้นผู้ประกอบการอาจจะตกเป็นเหยื่อไปโดยไม่รู้ตัวในทันที

     เช็คเด้ง
     ปัญหา “เช็คคืน” หรือที่เรียกกันว่า “เช็คเด้ง” เป็นกลโกงยอดฮิตในยุคสมัย ดัง นั้นหากจะต้องรับเช็คจากลูกค้าแล้วล่ะก็ ก็ขอให้ใช้กับลูกค้าเก่าที่เป็นลูกค้าชั้นดีของกิจการจริงๆ สำหรับลูกค้าใหม่ขอแนะนำให้รับเป็นเงินสดก่อนน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

     ระวังการทำนิติกรรมสัญญาในทุกรูปแบบ
     อาจจะเป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะเป็นนิยายอยู่สักหน่อยแต่ปัญหานี้ก็ได้เกิด ขึ้นจริงกับการทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะกับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่การเซ็นสัญญาทำธุรกิจถือเป็นวิถีปกติที่เกิด ขึ้นเป็นประจำในการดำเนินงาน ดังนั้นก่อนที่ผู้ ประกอบการจะทำสัญญาร่วมงานกับลูกค้าคุณจะต้องแน่ใจและตรวจสอบรายละเอียดใน สัญญาเสียก่อนว่ามันตรงกับความเป็นจริงที่ตกลงกันไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคา รูปแบบสินค้า จำนวน วิธีการ และระยะเวลาส่งมอบงาน เพราะถ้าอีกฝ่ายหนึ่งเกิดเล่นตุกติกขึ้นมา อย่างน้อยผู้ประกอบการก็จะมีหนังสือสัญญาไว้ใช้อ้างอิงในชั้นศาลได้

แม้ภัยจากลูกค้าจะเป็น สิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่สามารถป้องกันได้เสมอไป โดยภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุดที่จะป้องกันกิจการก็คือ ตัวผู้ประกอบการเองจะต้องรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมและแยกแยะให้ได้ว่าลูกค้าคน ไหนคือมิตรแท้ทางธุรกิจและคนไหนคือสิบแปดมงกุฏกันแน่นั่นเอง

ข้อ  2 

การที่เงินบาทมีค่าลดลงมาก มีผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารนั่นก็คือ

        โดยค่าเงินที่อ่อนตัวลง จะช่วยเพิ่มความร้อนแรงของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ สิ่งที่ทางการจะต้องดูแลคือ การป้องกันมิให้ค่าเงินอ่อนตัวอย่างรวดเร็วเกินไป จนทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่มาลงทุน ทางธนาคารก็มีการลดดอกเบี้ย ทำให้เกิดปัญหาต่อการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

การที่ผู้ว่าแบงค์ชาติคนใหม่ทำให้เกิดผลกระทบต่อธนาคารกสิกรไทยอย่างไร นั่นก็คือ  ผู้ว่าแบงค์มาจากธนาคารกสิกรไทยทำให้มีการติดต่อสื่อสารกันสะดวก ยิ่งอย่างหนึ่งตอนนี้รัฐบาลเปลี่ยนใหม่ทำให้เกิดนโยบายต่างๆเปลี่ยนไปจากเดิมโดยทางรัฐบาลเน้นทางเกษตรกรด้วย ดังนั้นต้องมีการติดต่อคุยกัน ประสานงานกันมากยิ่งขึ้น

ข้อ  4

อัตราส่วนทางการเงิน ที่จำเป็นในกานพิจารณาสินเชื่อนั่นก็คือ 

1.      อัตราการหมุนเเวียนของลูกหนี้ = ยอดขายเชื่อสุทธิ/ ลูกหนี้เฉลี่ย

       2. ระยะเวลาเก็บหนี้โดยเฉลี่ย         =     360/อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้

       3. ดัชนีการขาดทุนจากหนี้สูญ          =     หนี้สูญ/ยอดขายเชื่อสุทธิ

 

อีกอย่างนึงก็คือ  อัตราหมุนเวียนสินค้า = ต้นทุนสินค้า/ต้นทุนสินค้าเฉลี่ย

โดยที่จะดู ถ้าหากมีเยอะถึงจะดี

ข้อ 1  ในการพิจารณาการให้สินเชื่อพาณิชยกรรม  และสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ๆ

สินเชื่อพาณิชยกรรม  เป็นการให้สินเชื่อในทางด้านการเงิน ส่วนอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ๆ จะเป็นการให้สินเชื่อทางด้านทรัพย์สิน หรือที่ดิน

 

 

2. การที่เกิดภาวะเงินบาทมีค่าลดลงมาก (เงินบาทอ่อนตัว) มีผลต่อการที่ธนาคารของท่านในการให้สินเชื่ออย่างไรบ้าง และการที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่นั้น จะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในประเด็นใดบ้าง

ตอบ กรณีของค่าเงินบาทอ่อนลง ก็อาจจะเกิดได้ในกรณีที่ไทยต้องการนำเข้ามาก ๆ เช่น ต้องการนำเข้าน้ำมัน หรือกรณีการนำเข้าวัตถุดิบหรือเครื่องจักรจากต่างประเทศ ดังนั้น ในกรณีนี้ ก็จะต้องมีการนำเงินบาทไปแลกเป็นเงินตราต่างประเทศ เพื่อที่จะได้เอาเงินไปจ่ายต่างประเทศ ความต้องการในเงินตราสกุลต่างประเทศก็จะสูงขึ้น กลไกตลาดก็จะทำให้ค่าของเงินบาทอ่อนลง เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า ค่าเงินบาทสามารถที่จะแข็งขึ้นและอ่อนลงได้ด้วยหลายๆ ปัจจัย แม้กระทั่งหากนักเก็งกำไรมีความรู้สึกว่าค่าเงินบาทน่าจะอ่อนกว่าที่เป็นอยู่ จึงต้องการที่จะถือเงินบาทน้อยลง และหากนักเก็งกำไรทุก ๆ คน คิดและทำเหมือนกันหมด ก็จะมีส่วนทำให้ค่าเงินบาทสามารถอ่อนค่าลงได้เช่นกัน

(ผลต่อการส่งออก เราใช้เงินซื้อมากขึ้นในขณะที่เราได้ของเท่าเดิม และขายของได้เยอะขึ้นเพราะต่างประเทศใช่เงินซื้อน้อยลงจึงมีกำลังซื้อเยอะขึ้น ซื้อของเรามากขึ้น)

เวลาจะดูผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็ง หรืออ่อน รวมทั้งการสรุปว่าค่าเงินบาทอ่อนเป็นเรื่องดี ค่าเงินบาทแข็งเป็นเรื่องไม่ดี จึงอาจจะไม่จริงเสมอไป แต่จะต้องดูผลดีและผลเสียในหลายๆ ด้านประกอบกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนว่าจะเลือกมองจากด้านใด ทั้งนี้ โดยส่วนใหญ่แล้ว อาจไม่มีใครตอบได้ว่าค่าเงินบาทที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจไทยควรจะอยู่ที่ระดับใด เพราะขึ้นอยู่กับสภาพของเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่สิ่งที่เห็นตรงกันเป็นส่วนใหญ่คือ ค่าเงินบาท ควรจะมีเสถียรภาพ กล่าวคือ ไม่ควรจะผันผวนเปลี่ยนแปลงขึ้นลงอย่างรวดเร็วมากเกินไป เพราะการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว คาดเดาได้ยาก จะมีผลต่อการตัดสินใจของผู้ที่เกี่ยวข้องต่างๆ และส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ

และจะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในประเด็น สนับสนุนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง การคิดอัตราดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมของสถาบันการเงิน

3. การควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่สำคัญมาก ท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ และ บอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

ตอบ แนวทางในการพิจารณาควบคุมสินเชื่อ

1. การควบคุมในแนวดิ่ง (Vertical Control )

เป็นการควบคุมที่มีอยู่ ในลักษณะตามสายการบังคับบัญชาที่ผู้เป็นหัวหน้าต้องดูแลเอาใจใส่ ให้คำแนะนำ (Supervion) แก่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของตน และประการสุดท้ายก็คือ ผู้ทำการวิเคราะห์ที่อยู่ในสายการบังคับบัญชานั้นได้ใช้ดุลพินิจหรือวิจารณญาณอย่างรอบคอบสมเหตุสมผล และเป็นอิสระจากภาวการณ์กดดันได้ดีเพียงพอแล้ว ซึ่งทำให้องค์กรลดความเสี่ยงลงได้

2. การควบคุมในแนวนอน (Horizontal Control)

เป็นการควบคุมในระดับเดียวกันแต่เป็นการควบคุมระหว่างหน่อยงานที่ทำหน้าที่แต่ละด้านให้กับองค์กร สิ่งที่มักพบเห็นเสมอก็คือ ธนาคารหลายแห่งจะมีเจ้าหน้าที่สินเชื่อทำงานด้านหารตลาด เพื่อพบประกับลูกค้าและเสนอแนะบริการด้านสินเชื่อ มีเจ้าหน้าที่ที่ต้องวิเคราะห์สินเชื่อที่ต้องออกไปพบลูกค้าพร้อมกับฝ่ายการตลาดเพื่อร่วมรับรู้ถึงธุรกิจของลูกค้า และขอเอกสารต่างๆ จากลูกค้าและรวมถึงหาข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ เพื่อทำความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละราย มีเจ้าหน้าที่ประเมินราคาหลักประกัน ที่ต้องไปพบลูกค้าด้วยเช่นกัน เพื่อรวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องทางทรัพย์สินที่จะนำมาเป็นหลักประกัน สุดท้ายยังมีเจ้าหน้าที่ในงานพิธีกร ที่ต้องคอยทำหน้าที่เตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทำนิติกรรมระหว่างลูกค้ากับผู้ให้สินเชื่อคือธนาคาร เมื่อลูกค้าลงนามครบถ้วนแล้ว ก็ต้องจัดเก็บอย่างปลอดภัยมีระบบรักษาความลับลูกค้ามิให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องมารับรู้หรือค้นหา เพราะจะทำให้เกิดการสูญหายต่อธนาคารได้

3. การควบคุมด้วยการตรวจสอบภายในองค์กร (Internal Audit Control)

ซึ่งจะต้องทำอย่างน้อยปีละครั้ง โดยใช้ระบบสุ่มตรวจและต้องไม่ให้ฝ่ายสินเชื่อทราบล่วงหน้า เพราะจะทำให้ไม่พบจุกบกพร่องในขณะที่ผู้เขียนทำงานอยู่ที่ธนาคารไทยพาณิชย์นั้น ฝ่ายตรวจสอบจะแบ่งทีมงานเป็นหลายชุด ที่จะออกตรวจในสาขาภูมิภาค

วัตถุประสงค์ในการควบคุมการให้สินเชื่อ

1.ป้องกันหรือลดโอกาสการทำทุจริตประพฤติมิชอบของพนักงานสินเชื่อ

2.ส่งเสริมการให้ความรู้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา โดยใช้ระบบการสอนงาน เพื่อให้ผู้อ่อนประสบการณ์ได้ใช้ความคิด

3.เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขในรายละเอียดการให้กู้ระหว่างกันให้ควบถ้วน รอบคอบก่อนอนุมัติให้เบิกถอนเงินกู้ออกไป

การกำหนดอำนาจอนุมัติและการลงนาม

เพราะบางครั้งผู้มีอำนาจลงนามติดธุรกิจ ผู้อื่นในระดับเดียวกันก็สามารถลงนามแทนกันได้ ซึ่งในการนี้เพื่อให้ลดความเสี่ยงลงไปอีก จึงมักจะกำหนดผู้มีอำนาจลงนามที่จะต้องร่วมกันอนุมัติมากกว่า 2 คนขึ้นไป

สถาบันการเงินมักกำหนดอำนาจอนุมัติ

1.ตำแหน่งทางการบริหาร เช่น ระดับกรรมการ ก็จะลงนามเกือบทุกเรื่อง

2. วงเงินและประเภทวงเงินสินเชื่อ เช่นวงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท

3.ระยะเวลาการกู้ ถ้าเป็นระยะเวลาสั้นๆ เช่นวงเงินชั่วคราว 3 เดือน

4.หลักประกัน เช่น กรณีที่ได้รับหลักประกันเพิ่ม หัวหน้าสายงานสินเชื่อ2 คน ก็จะลงนามได้

5. อัตราดอกเบี้ยที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาสินเชื่อของธนาคารอนุมัติสินเชื่อให้ลูกค้าแล้วในอัตราดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่า 2%

การควบคุมสินเชื่อของสถาบันการเงินหรือธนาคารโดยฝ่ายสินเชื่อ

1. ธนาคารจะทบทวนผลการติดต่อกับลูกค้าทุกรายอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อทราบว่ามีการเดินบัญชีสม่ำเสมอหรือไม่ ชำระเงินต้นดอกเบี้ย ตรงตามเงื่อนไขหรือไม่

2. ทบทวนผลการประกอบการลูกค้าจากการวิเคราะห์งบการเงิน ซึ่งเป็นการวิเคราะห์เชิงประมาณด้านอื่นๆ เช่น การบริการงาน การพัฒนาผลิตภัณฑ์

3. ทบทวนหรือสำรวจหลักประกันว่ามีสภาพไม่ด้อยไปจากเดิม

4. เยี่ยมชมกิจการของลูกค้า โดยปกติพนักงานสินเชื่อจะมีโอกาสในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่จะนำของขวัญไปอวยพรให้กับลูกค้า

การควบคุมสินเชื่อของสถาบันการเงินหรือธนาคารโดยฝ่ายตรวจสอบภายใน 3 ด้านคือ

1. พิจารณาว่าได้จัดทำนิติกรรมตามระเบียบของธนาคารอย่างครบถ้วนก่อนลูกค้าเบิกเงินกู้หรือไม่ หลักประกันทุกสิ่งทุกต้องมีต่อกัน ได้จัดอย่างปลอดภัย ยากแก่การสูญหาย และยากต่อการเข้าถึงของผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

2. พิจารณาเจาะจงไปที่ฝ่ายสินเชื่อเลยว่า พนังงานสินเชื่อได้ทำตามนโยบายของธนาคารที่กำหนดให้ ณ ขณะนั้นๆ หรือไม่ เช่น นโยบายการให้กู้กับธุรกิจอสังหริมทรัพย์

3. พิจารณาในแง่คุณภาพหนี้ว่าอยู่ในชั้นใด สัดส่วนเป็นอย่างไร

สินเชื่อปกติ

สินเชื่อที่ควรเอาใจใส่เป็นพิเศษ

สินเชื่อจัดชั้นตำกว่ามาตรฐาน

สินเชื่อจัดชั้นสงสัย

สินเชื่อจัดชั้นสงสัยจะสูญ

สินเชื่อชั้นสูญ

กรณีตัวอย่างที่ 1 การควบคุมภายในด้านการอนุมัติสินเชื่อของบริษัทเงินทุนประเด็นสำคัญในการพิจารณา

1. จะต้องรู้กฎระเบียบของบริษัททุกอย่าง

2. การพิจารณาวงเงินการอนุมัติแต่ละรายจะต้องเป็นไปตามกฎ ระเบียบ พิธีการ ปฎิบัติของบริษัทที่กำหนดทุกกรณี

3. การพิจารณาอนุมัติวงเงินสินเชื่อแต่ละรายจะต้องผ่านการลงนามอนุมัติจากผู้ที่มีอำนาจตามที่ได้แต่งตั้งเป็นลายลักษณือักษร ทุกครั้ง

4. ผู้มีอำนาจอนุมัติวงเงินสินเชื่อที่ได้รับการแต่งตั้งจะต้องไม่เป็นบุคคลซึ่งมีส่วนได้เสียกับลูกค้าผู้ขอวงเงินสินเชื่อ

5. บริษัทจะต้องจัดให้มีบัตรตัวอย่างลายมือชื่อของลูกค้าและจัดเก็บในที่ปลอดภัยภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ที่บริษัทกำหนดไว้

6. การให้กู้ยืม การรับซื้อ ซื้อลด และรับช่วงซื้อลด

7. จัดแฟ้มลูกหนี้รายตัวซึ่งควรมีรายละเอียดดังนี้

สำเนาภาพถ่ายหลักฐานแสดงตัวเป็นนายทะเบียนบ้านของลูกหนี้และผู้ค้ำประกัน

กรณีตัวอย่างที่ 4 การควบคุมและการตรวจสอบสต๊อกสินค้าเกษตรของธนาคาร

คุณสมบัติของลูกค้า

1. ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการค้าและการผลิตสินค้าเกษตรเป็นอาชีพหลักและมีประสบการณืเกี่ยวกับสินค้าที่จะนำมจำนำเป็นอย่างดี

2. มีวงเงินสินเชื่อประเภทอื่นอยู่กับธนาคารอยู่ก่อนแล้ว

3. มีฉาง โกดัง หรือโรงเก็บสินค้า ที่ธนาคารพิจารณาแล้วว่าจัดเก็บสินค้าที่จะจำนำเป็นประกับกับธนาคารได้

4. ลูกค้าประวัติการติดต่อที่ดีกับธนาคาร มีความซื่อสัตย์ เชื่อถือได้ และมีเครดิตในวงการธุรกิจอยู่ในเกณฑ์ดี

4. จงอธิบายถึงอัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratio) ที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ พร้อมทั้งอธิบายลงไปในรายละเอียดด้วยว่ามีวิธีการพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้

ตอบ การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน (Ratio Analysis) เป็น การนำรายการต่างๆ ในงบการเงินมาเทียบอัตราส่วนเพื่อหาความสัมพันธ์ว่า มีความเหมาะสมเพียงใด การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินแบ่งตามวัตถุประสงค์ในการใช้งาน 4 ประการ

1. การวิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity Ratio)

2. การวิเคราะห์ความสามารถในการหากำไร (Profitability Ratio)

3. การวิเคราะห์ความสามารถ (ประสิทธิภาพ) ในการดำเนินงาน (Efficiency Ratio)

4. การวิเคราะห์โครงสร้างของเงินทุนหรือภาระหนี้สิน (Leverage Ratio or Financial Policy Ratio)

1.การวิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity Ratio)

1.1 อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนหรืออัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio)

อัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current Ratio) = สินทรัพย์หมุนเวียน (CA) /หนี้สินหมุนเวียน (CL)

วัด ความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น ถ้าค่าที่คำนวณได้สูงเท่าใด แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนที่ประกอบไปด้วย เงินสด ลูกหนี้ และสินค้าคงเหลือมากกว่าหนี้ระยะสั้น ทำให้คล่องตัวในการชำระหนี้ระยะสั้นมีค่อนข้างมาก โดยปกติ อัตราส่วน 2 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว

1.2 อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio or Acid Test Ratio)

อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio) = (สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงเหลือ) /หนี้สินหมุนเวียน

หรือ( Quick Ratio = CA - Inventory )/CL

เป็น การวัดส่วนของสินทรัพย์ที่ได้หักค่าสินค้าคงเหลือ ที่เป็นสินทรัพย์ระยะสั้นและมีความคล่องตัวในการเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ต่ำสุด ออก เพื่อให้ทราบถึงสภาพคล่องที่แท้จริงของกิจการได้ โดยปกติอัตราส่วน 1 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว

1.3 อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover)

อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover)

A/R Turnover = ขายเชื่อสุทธิ หรือใช้ยอดขายรวม (ครั้ง หรือ รอบ) /ลูกหนี้ถัว เฉลี่ย

ลูกหนี้ถัว เฉลี่ย = (ลูกหนี้ต้นงวด + ลูกหนี้ปลายงวด )/ 2

หากค่าที่คำนวณได้ มีค่าสูง แสดงถึงความสามารถในการบริหารลูกหนี้ให้แปลงสภาพเป็นเงินสดได้เร็ว

1.4 ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Average Collection Period)

ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Avg. Collection Period) (วัน) = 365 วัน /อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้

ยิ่งต่ำยิ่งดี

แสดงให้เห็นถึงระยะเวลาในการเรียกเก็บหนี้ว่าสั้นหรือยาว เพื่อให้ทราบถึงคุณภาพของลูกหนี้

ประสิทธิภาพในการเรียกเก็บหนี้ และนโยบายในการให้สินเชื่อทางธุรกิจ

1.5 อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover)

อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover) = ต้นทุนสินค้าขาย (COGS) /สินค้าคงเหลือเฉลี่ย (Avg. Inventory)

สินค้าคงเหลือเฉลี่ย =( สินค้าต้นงวด + สินค้าปลายงวด )/ 2

หากค่าคำนวณได้สูง ย่อมแสดงถึงความสามารถในการบริหารการขายสินค้าได้เร็ว

1.6 ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า

ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า(วัน) = 365 (วัน) /อัตราหมุนเวียนของสินค้า (Inventory Turnover)

ยิ่งขายได้เร็ว (ระยะเวลาสั้น) ยิ่งดี

2.ความสามารถในการหากำไร (Profitability Ratio)

1.1 อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)

1.2 อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit Margin)

1.3 อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)

1.4 อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Return On Equity or ROE)

อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)(%) = ขายสุทธิ - ต้นทุนขาย หรือ SALES - COGS / ขายสุทธิ SALES

= กำไรขั้นต้น หรือ Gross Profit /ขายสุทธิ SALES

ยิ่งสูงยิ่งดี

อัตรากำไรจากผลการดำเนินงาน(Operating Profit Margin)(%) = กำไรจากการดำเนินงาน(Operating Profit Margin) /ขายสุทธิ (SALES)

ยิ่งสูงยิ่งดี

อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)(%) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /ขายสุทธิ (SALES)

ยิ่งสูงยิ่งดี แสดงให้เห็นประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทในการทำกำไร หลังจากหักต้นทุนค่าใช้จ่ายรวมทั้งภาษีเงินได้หมดแล้ว

ผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE %) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity)

ยิ่ง สูงยิ่งดี แสดงให้เห็นว่าเงินลงทุนในส่วนของเจ้าของ จะได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาจากการดำเนินการของกิจการนั้นในอัตราส่วนเท่าไร หากมีค่าสูง แสดงถึงประสิทธิภาพในการหากำไรสูงด้วย

Dupont Equation

ROE (%) = NP (or EAT) = (EAT/SALES) (SALES/ASSETS) (ASSETS/EQUITY) /Equity

หรือ ROE (%) =รายได้จากการขาย สินทรัพย์ทั้งหมด= กำไรสุทธิ X รายได้จากการขาย X สินทรัพย์ทั้งหมด / ส่วนของผู้ถือหุ้น

= (ความสามารถในการหากำไร) (การใช้เงินทุน) (ความสามารถในการหาทุน)

หรือ สมการนี้เท่ากับ ROE (%) = (Net Profit Margin) (Total Asset Turnover) (Financial Leverage)

3. อัตราส่วนแสดงประสิทธิภาพในการทำงาน (Efficiency Ratio)

อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม (ROA)(%) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /สินทรัพย์รวม (Total Assets)

ยิ่ง สูงยิ่งดี เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรของสินทรัพย์ทั้งหมดที่ธุรกิจใช้ในการ ดำเนินงาน ว่าให้ผลตอบแทนจากการดำเนินงานได้มากน้อยเพียงใด หากมีค่าสูง แสดงถึงการใช้สินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ

อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ถาวร (ROFA) = กำไรสุทธิ (Net Profit or NP) /รวมสินทรัพย์ถาวร (Fix Assets)

อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Turnover)

อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Turnover)(ครั้ง) = ขายสุทธิ (SALES) /สินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset)

ยิ่งสูงยิ่งดี

อัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total Assets Turnover)

อัตราส่วนการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total Assets Turnover) (ครั้งหรือเท่า) = ขายสุทธิ (SALES) /สินทรัพย์รวม (Total Assets)

จำนวน ครั้งสูง ดี เป็นอัตราส่วนที่แสดงถึงประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ทั้งหมด (TA) เมื่อเทียบกับยอดขาย (SALES) ถ้าอัตราส่วนนี้ต่ำ แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์มากเกินความต้องการ

4. อัตราส่วนวิเคราะห์นโยบายทางการเงิน (Leverage Ratio or Financial Ratio)

เพื่อให้ทราบถึงแหล่งที่มาของเงินทุนว่ามาจากหนี้สินหรือส่วนของเจ้าของ ว่ามีมากน้อยเพียงใด

อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt/Equity Ratio) (เท่า) = หนี้สินรวม (Total Debt) /ส่วนของเจ้าของ (Equity)

ยิ่งต่ำ ยิ่งดี แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงในด้านเจ้าหนี้และเจ้าของกิจการ ถ้าอัตราส่วนสูง

แสดงว่า กิจการมีความเสี่ยงจากการกู้ยืมเงินมาใช้ในการดำเนินกิจการ

ความ สามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest Coverage) (เท่า) = {กำไรสุทธิ (NP) + ภาษีเงินได้ (Tax) - ดอกเบี้ยจ่าย(Interest)} /ดอกเบี้ยจ่าย (Interest)

เป็นการวัดความสามารถของธุรกิจในการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ ผลคำนวณออกมามีค่าสูง แสดงว่าธุรกิจมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยสูง

อัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout) = เงินปันผลต่อหุ้น (Dividend /share) /กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS)

แสดงถึงนโยบายการจ่ายเงินปันผลของธุรกิจ

อัตราส่วนที่กล่าวมาเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์หลักทรัพย์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน เพื่อท่านจะได้พิจารณางบการเงินได้ในระดับหนึ่ง

1. Current Ratio (Times) = (Current Assets)/(Current Liabilities)

เป็นอัตราส่วนที่ใช้วัดความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น หน่วยเป็นจำนวน

เท่า จำนวนเท่าที่คำนวณได้จะบอกว่าบริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนมากกว่าหนี้สิน

หมุนเวียนอยู่กี่เท่า

2. Quick Ratio (Times) = (Current Assets–Inventories)/(Current Liabilities)

มีความหมายคล้ายกับ Current Ratio แต่การคิดสินทรัพย์หมุนเวียนนั้นไม่รวม

มูลค่าของสินค้าและพัสดุคงเหลือ เพราะสินค้าและพัสดุคงเหลือมีสภาพคล่องน้อยกว่า

สินทรัพย์หมุนเวียนประเภทอื่น ๆ (เช่นเงินสดและเงินฝากธนาคาร ลูกหนี้การค้า เป็น

ต้น)

3. Inventory Turnover Ratio (Times) = (Sales)/(Inventories)

เป็นอัตราส่วนที่แสดงถึงจำนวนรอบที่สินค้าคงคลังถูกหมุนเวียนในรอบหนึ่งปี

ค่าที่คำนวณได้เป็นจำนวนเท่า ถ้าค่าที่ได้คือ 12 เท่า แปลว่าในหนึ่งปี สินค้าคงคลังที่มี

อยู่ถูกขายเป็นเงินแล้วกลับมาอยู่ในรูปของสินค้าคงคลังอีกที 12 รอบ ค่าของอัตรา

ส่วนตัวนี้ยิ่งมากยิ่งดี เพราะหมายความว่า บริษัทแปลงสินค้าคงคลังเป็นรายได้ได้เร็ว

หมายเหตุ 1. ตำราบางเล่มแนะนำให้ใช้ค่าเฉลี่ยของ Inventories

4. Days Sales Outstanding Ratio (Days) = (Account Receivables)/(Sales/360)

เป็นอัตราส่วนที่วัดจำนวนวันกว่าลูกค้าเชื่อจะชำระเงินโดยเฉลี่ย ค่าที่คำนวณได้

มีหน่วยเป็นวัน ถ้าค่าที่ได้ คือ 60 วันหมายถึง โดยเฉลี่ยแล้วบริษัทขายสินค้าไปแล้ว

อีก 60 วันถึงจะได้เงินสดกลับมาที่บริษัท ค่ายิ่งน้อยยิ่งดี ค่ายิ่งมากแสดงถึงความด้อย

ประสิทธิภาพในการเก็บหนี้

หมายเหตุ 1. ทางการเงินบางครั้งใช้ 1 ปี เท่ากับ 360 วัน

2. ตำราบางเล่มแนะนำให้ใช้ค่าเฉลี่ยของ Account Receivables

5. Total Assets Turnover Ratio (Times)= (Sales)/(Total Assets)

เป็นอัตราส่วนที่วัดประสิทธิภาพการใช้ทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ในการก่อให้เกิด

รายได้จากการขาย ค่าที่คำนวณได้เป็นจำนวนเท่า ค่ายิ่งมากยิ่งดี ค่าน้อยแสดงว่า

บริษัทอาจมีสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จากการขายอยู่มาก อาจจะต้องขายสินทรัพย์นั้นทิ้ง

6. Debt Ratio (%) = (Total Debt)/(Total Assets)

แสดงอัตราส่วนร้อยละของหนี้สินทั้งหมดต่อทรัพย์สินทั้งหมด ค่ายิ่งสูง

หมายถึง บริษัทมีหนี้สินต่อทรัพย์สินในอัตราส่วนที่สูง ค่าเกิน 50% หมายถึงว่าเกิน

กว่า 50 % ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่บริษัทมีอยู่เป็นส่วนของเจ้าหนี้

7. Times Interest Earned or TIE (Times) = EBIT/Interest Expense

แสดงจำนวนเท่าของรายได้ก่อนดอกเบี้ยและภาษีที่จะมีพอจ่ายภาระดอกเบี้ย

หน่วยเป็นเท่า ค่ายิ่งสูงหมายถึง บริษัทมีรายได้ก่อนดอกเบี้ยและภาษีมากพอที่จะจ่าย

ดอกเบี้ย

8. Net Profit Margin (%) = (Net Income)/(Sales)

เป็นอัตราส่วนที่วัดว่าบริษัทกำไรสุทธิกี่เปอร์เซ็นต์ของยอดขาย เช่น ถ้าค่าที่ได้

คือ 5.00% หมายความว่า ทุก ๆ 100 บาทจากรายได้จากการขาย บริษัทมีกำไรสุทธิ

(หลังหักค่าใช้จ่าย ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคา และภาษีแล้ว) 5 บาท

9. Return on Assets (%) = (Net Income)/(Total Assets)

เป็นอัตราส่วนที่วัดกำไรสุทธิต่อทรัพย์สินทั้งหมด หน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์ ค่ายิ่ง

มายิ่งดี แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารทรัพย์สินให้เกิดกำไรสุทธิกลับมายังบริษัท

10. Return on Equity (%) = (Net Income/Total Equity)

เป็นอัตราส่วนที่วัดกำไรสุทธิต่อส่วนของเจ้าของ หน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์ ค่ายิ่ง

มายิ่งดี แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารส่วนของเจ้าของให้เกิดกำไรสุทธิ

กลับมายังบริษัท

สัญญาณเตือนภัยจากการวิเคราะห์งบการเงิน

1.ขาดทุนมากๆ และติดต่อกันหลายปี

2.ระยะเวลาการเก็บหนี้นานขึ้น

3.อัตราหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของสูงขึ้นเร็วมาก

4.สินค้าคงคลังสูงมากผิดปกติ

5.ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น

6.ยอดขายสูงขึ้น แต่กำไรลดลง

7.หนี้สูญเพิ่มขึ้น

8.รายงานผู้สอบบัญชีผิดปกติ เปลี่ยนผู้สอบบัญชีใหม่

9.ขายสินทรัพย์ของบริษัท เพื่อสร้างกำไรให้เข้าเป้าในระยะสั้น

5. ท่านคิดว่างานพิธีการสินเชื่อมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด เมื่อเปรียบเทียบกับงานด้านการตลาดสินเชื่อ และถ้าต้องทำงานทั้ง 2 ด้านในคนเดียวกันในสาขาของธนาคารแห่งหนึ่งนั้น ท่านจะบริหารจัดการเวลาของตนเองและการบริหารความเสี่ยงของธนาคารให้มีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผลได้อย่างไร

ตอบ งานพิธีการสินเชื่อ มีความสำคัญมาก เพราะขั้นตอนดำเนินงานด้านกฎหมาย ขั้นตอนการจัดทำสัญญา จดจำนอง จำนำ หลักประกัน จำเป็นจะต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก เพราะหากเกิดข้อผิดพลาดขึ้น อาจทำให้ไม่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้ตามกฎหมาย ควรดูเงื่อนไขและข้อตกลงในการอนุมัติวงเงินสินเชื่ออย่างละเอียดรอบคอบ และต้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อตกลงนั้น โดยคำนึงถึงปัญหาทางด้านกฎหมายเป็นหลักในการดำเนินการ หากมีเงื่อนไขที่อาจจะเป็นปัญหาทางด้านกฎหมาย ต้องสอบถามทางฝ่ายกฎหมายโดยด่วน และจะพบว่า หากมีความบกพร่องทางด้านนี้ เมื่อเจรจาหนี้กับลูกค้า จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และทำให้การแก้ไขหนี้ยากขึ้นมากขึ้น

ดิฉันจะบริหารงานด้วยความซื่อสัตย์และเลือกวิธีที่ดีสุด ในการจัดการความสูญเสียความเสี่ยงต่างๆ และผลต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขั้นตอนในการจัดการความเสี่ยงภัย มีดังนี้ คือ

1. การวิเคราะห์ภัยที่อาจก่อให้เกิดความเสียหาย

2. การหาวิธีการในการจัดการความเสี่ยงภัย

3. การคัดเลือกวิธีการที่ดีที่สุด

4. การปฏิบัติตามแผนหรือวิธีการที่ได้เลือกไว้

5. ตรวจสอบและเปลี่ยนแปลงวิธีการให้เหมาะสมกับภัยที่เปลี่ยนแปลงไป

วิธีการจัดการความเสี่ยงภัย ทำได้หลายรูปแบบดังนี้

1. การหลีกเหลี่ยงความเสี่ยงภัย ( Risk avoidance ) ทำได้โดยการไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมหรืองาน ที่จะก่อให้เกิด ความเสี่ยงภัย นั้น เช่น กลัวเครื่องบินตก ก็ไม่ไปนั่งเครื่องบิน ไม่กล้านำเงินไปลงทุนธุรกิจ เพราะกลัวขาดทุน ก็นำเงินไปฝากธนาคาร หรือลงทุนในธุรกิจ ที่มีความเสี่ยงภัยน้อยกว่า อย่างไรก็ตามการหลีกเหลี่ยงความเสี่ยงภัยบางครั้งอาจให้ผลเสีย เพราะบางครั้งเราอาจปฏิเสธโครงการ ที่มีความเสี่ยงสูงแต่มีประโยชน์ต่อสังคมมาก เช่น โครงการโรงไฟฟ้าปรมาณู โรงงานอุตสาห-กรรมแร่สำคัญต่างๆ ที่มีความเสี่ยงภัย ต่อการเกิดมลภาวะเป็นพิษ แต่มีคุณประโยชน์ทางเศรษฐกิจสูง ดังนั้นในบางครั้งการจัดการการเสี่ยงภัย โดยวิธีนี้ควรเป็นวิธีสุดท้าย

2. การลดความเสี่ยงภัย ( Risk Reduction ) ทำได้โดยอาจลดจำนวนครั้ง ( frequency ) หรือลดความรุนแรง (severity) ของการเกิดภัย ซึ่งทำได้ 3 วิธี คือ

• การป้องกันการเกิดความเสียหาย ( Loss prevention ) โดยจะกระทำก่อนที่จะมีความเสียหายเกิดขึ้น เช่น การเปลี่ยนสายไฟ หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่เก่า การติดป้ายห้ามสูบบุหรี่ในโรงงาน การตรวจสอบสภาพรถยนต์อยู่เสมอ การติดตั้งเครื่องดับเพลิง การติดตั้งสัญญาณการเตือนภัยกันขโมย เป็นต้น

• การควบคุมความเสียหาย ( Loss control ) วิธีนี้จะทำการขณะ หรือ ภายหลังจากที่มีความเสียหายเกิดขึ้น ทั้งนี้เพื่อควบคุมความรุนแรงของความเสียหายนั้นหรือลดความเสียหายลง เช่น การที่พนักงานดับเพลิงทำการดับเพลิงอย่างทันท่วงที การติดตั้งเครื่องพ่นน้ำดับเพลิงอัตโนมัติ การที่ผู้เจ็บป่วยรีบไปหาหมอรักษา เพื่อไม่ให้มีอาการหนักมากขึ้น เป็นต้น

• การแยกทรัพย์สิน ( Separation ) วิธีนี้จะกระทำก่อนเกิดความเสียหาย เช่น การเก็บของมีค่าไว้คนละแห่ง เช่น บ้าน ธนาคาร การสร้างโรงงาน และโกดังไว้คนละแห่ง เมื่อเกิดไฟไหม้จะไม่เสียหายทั้งหมด หรือการแยกสินค้าไว้หลายๆโกดังเช่นกัน

3. การรับการเสี่ยงภัยไว้เอง ( Risk retention ) คือ การที่เรายินยอมรับภาระความเสียหายไว้เองหากมีภัยเกิดขึ้น โดยจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม และอาจจะรับภาระนี้ไว้ทั้งหมด หรือบางส่วนก็ได้ การจัดการการเสี่ยงภัยวิธีนี้มีเหตุผล คือ

• ภัยที่เกิดขึ้นนั้นก่อให้เกิดความเสียหายน้อยมาก พอที่จะรับภาระได้ เช่น ภัยที่เกิดจากปากกาสูญหายซึ่งราคาไม่แพง

• ความเสี่ยงภัยนั้นไม่สามารถโอนไปให้ผู้อื่นได้ เช่น การที่ผู้ส่งออกหรือผู้ลงทุนในต่างประเทศต้องยอมรับความเสี่ยง ที่ทรัพย์สินของตนจะถูกรัฐบาลต่างประเทศยึด หรือ อายัด ด้วยสาเหตุต่างๆ

• ได้พิจารณาแล้วว่า วิธีนี้เสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด

4. การโอนความเสี่ยงภัย ( Risk Transfer ) เป็นวิธีการจัดการการเสี่ยงภัยที่นิยมมากในปัจจุบันนี้ โดยการโอนความเสี่ยงภัยที่จะ ก่อให้เกิด ความเสียหายทั้งหมด หรือ บางส่วน ไปให้บุคคลอื่นรับภาระแทน ซึ่งมีวิธีการกระทำได้ 2 วิธี

• การโอนความเสี่ยงภัยไปให้ผู้อื่นที่ไม่ใช่การประกันภัย ( Non-insurance Transfer ) หมายถึง การโอนความเสี่ยงภัย ไปให้บุคคลอื่น ที่ไม่ใช่บริษัทประกันภัยโดยสัญญา ซึ่งในสัญญาบางประเภทคู่สัญญา จะได้รับการโอนความเสี่ยงภัย ในการปฏิบัติตาม สัญญานั้นไปด้วย เช่น การจ้างบริษัทมาทำความสะอาดภายนอกอาคารที่สูงๆ การทำสัญญาซื้อ- ขายสินค้าล่วงหน้าโดยการกำหนดราคา ที่แน่นอน ถึงแม้ว่าราคาจะเปลี่ยนแปลงก็ตาม ก็จะต้องซื้อ - ขายในราคาเดิม การให้มีการค้ำประกันการทำงานของพนักงาน

• การโอนความเสี่ยงภัยในรูปของการประกันภัย ( Insurance Transfer ) หมายถึง การโอนความเสี่ยงภัยไปให้บริษัทประกันภัย ในรูปของการเอาประกันไว้กับบริษัทประกันภัย โดยการทำสัญญาประกันภัย ซึ่งบริษัทประกันภัยสัญญาว่าจะชดใช้ค่าเสียหาย ที่เกิดขึ้น แก่ผู้เอาประกันภัย สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น และได้รับการคุ้มครองตามสัญญาประกันภัยนั้น เช่น การทำประกันรถยนต์ เป็นการโอนความเสี่ยงภัยในความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับรถยนต์ไปให้บริษัทประกันภัย โดยสัญญาว่าหากรถยนต์เกิดอุบัติเหตุ เสียหาย บริษัทประกันภัยจะรับชดใช้ให้หรือ ซ่อมแซมให้ หรือ การทำประกันชีวิต โดยผู้เอาประกันเห็นว่า หากตัวเองประสบอันตรายถึงชีวิต จะทำให้ครอบครัวลำบาก จึงโอนความเสี่ยงภัยนี้ไปให้บริษัทประกันภัย โดยสัญญาว่า ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตลงบริษัทจะชดใช้เงิน จำนวนหนึ่งให้กับครอบครัวเป็นการบรรเทา ในเรื่องของความเป็นอยู่ที่ขาดรายได้จากสามี ซึ่งเป็นความเสี่ยงภัยอันหนึ่งเช่นกัน

6. เมื่อท่านได้ศึกษาเพาเวอร์พอยท์ เรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคาร ไปนั้น ขอให้ท่านจับประเด็นให้ได้ว่ามีประเด็นใดบ้างที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียมตัวมากู้เงินจากธนาคาร และประเด็นเหล่านั้นธนาคารสามารถตรวจสอบได้อย่างไร

ตอบ จะกู้เงินให้ได้ต้องอาศัยหลัก 6C’

- แต่งตัวให้ดูภูมิฐาน พูดจาให้ดูเป็นระบบ วางตัวให้เป็นสากล (Character)

- สร้างระบบการเงินให้ดูดี กิจการมีกำไร มีอัตราส่วนทางการเงินดี อธิบาย Flow สามารถคืนหนี้ได้

ทำธุ รกิจมาซัก 3 ปี (Capacity)

- กู้เงินอย่าให้เกิน 80 % ของราคาประเมินราคาทรัพย์สินที่จะใช้เป็นหลักประกัน (Capital)

- หลักประกันต้องดูโดดเด่นอยู่ในทำเลที่ดี มีสภาพคล่อง มีโอกาสเพิ่มมูลค่าในอนาคต (Collateral)

- เงื่อนไขในการชำระคืนดอกเบี้ยและเงินต้น มาจากตัวเลข Cash Flow ทำให้ธนาคารเชื่อได้ว่าจะเหลือเงิน แล้วคืนหนี้ให้ธนาคารตามแผน (Condition)

ประเด็นที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียมตัวมากู้เงินจากธนาคาร

1. สร้างหลักฐานปลอมด้วยตั๋วสัญญาใช้เงิน

2. งบดุลสิ้นปีมียอดลูกหนี้ให้กู้กรรมการ บริหารงานด้วยเงินเพียงไม่เท่าไร

3. รับเงินคืนจากกรรมการเป็นเงินสด (เงินไม่ได้รับจริง) อ้างว่าจ่ายออกไปเป็นค่าจ้าง , ค่าโฆษณา

มีการหักภาษี ณ.ที่จ่าย คน โดยยื่น ภ.ง.ด.3

4. ถ้าบริษัทมีกำไรจริง ก็ทำให้ลดลง โดยการ สร้างค่าใช้จ่าย ค่าจ้าง ค่าโฆษณา ฯลฯ โดยจ้างบุคคลธรรมดามาเป็นคู่สัญญา จ้างราคาถูกๆ เคลียร์ภาษีสิ้นปีให้คนเหล่านี้ด้วย นำเงินที่ syphon (การยักย้ายถ่ายโอน) ออกมาใช้เพิ่มทุน

“อัฐยายกินขนมยาย”

5. ถ้าจ่ายเงินค่าเพิ่มทุนยังไม่ครบ ก็ตั้งเป็นลูกหนี้เงินให้กู้กรรมการอีก

ทำให้มองว่า D/E RATIO ต่ำ “character เริ่มดูดีแล้ว”

6. มีกรรมการเป็นผู้มีชื่อเสียง เป็นนักการเมือง/นักวิชาการ/นักธุรกิจชื่อดัง “ภาพลักษ์ B.K.K ดูสุดหรู”

7. เสก cash flow ทำให้เงินสดรับเข้ามา มากกว่า เงินสดจ่ายของทุกๆเดือน ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย

8. ยอดขายโตมาก เงินหมุนเวียนมาก เงินเข้า – ออก สร้างรายจ่ายปลอม เสียเพียงภาษี ณ.ที่จ่าย 3 %

9. ถ้ารู้ว่าทุน 50 ล้านบาท กู้ได้ 100 ล้านบาท D/E RATIO ไม่เกิน 2:1 สามารถหลอกกู้ธนาคารได้สัก

60 ล้านบาท

10. สร้างโครงสร้างในฝัน

11. กู้เพียง 60 ล้านบาท ที่เหลือบริษัทจะออกเอง cash flow สุดสวย รายได้สูงกว่าเดิม 20 % ชำระคืนที่ดินโรงงานได้ทุกเดือน ไม่เกิน 8 ปี ชำระคืนเครื่องจักไม่เกิน 4 ปี

12. สร้าง capacity หลอกธนาคาร ต้องทำให้ Current RATO มากกว่า 2:1

13. เปิดบิลขายให้บริษัทในเครือ บริษัทนี้ไม่ได้ทำอะไรจริงๆแต่มีการจ่ายเงินเดือนให้หนักงานที่ไม่มีตัวตนจริง มีรายจ่ายอีกเพียบ ให้บริษัทในเครือนี้ ซื้อวัตถุดิบ แล้วขายต่อให้ บริษัทแม่

ในราคาทุนหรือต่ำกว่าทุน ส่งผลให้บริษัทในเครือ ขาดทุนสะสมมากขึ้น แล้วให้ บริษัทแม่ เป็นที่ปรึกษาให้บริษัทในเครือนี้ สิ้นปีมีรายได้เพิ่มอีก แล้วมีลูกหนี้การค้าอีกด้วย Current Ratio จึงสุดจ๊าบ

บริษัทในเครือ มีค่าใช้จ่ายอีก 10 ล้าน เดี๋ยวจะเจ๊ง

บริษัทในเครือนี้ บริษัทแม่ได้รับชำระหนี้ให้ ทำเหมือนเดิม สร้างรายจ่ายตามเคย

ถ้าสร้างรายจ่ายไม่มาก ให้กรรมการกู้ เกิดต้นทุนเพียง 3 % ของ 10 ล้านบาท แค่ 300,000

แลกเงินกู้ 60 ล้านบาท

4. ตอบ   อัตราส่วนทางการเงิน  (Financial Ratio ) ที่มีความจำเป็นต่อการพิจารณาสินเชื่อ และพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่ธนาคารต้องพิจารณา โดยยกมาเป็นสังเขป มีดังนี้

อัตราส่วนสภาพคล่อง

·       อัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current ratio) คือ อัตราส่วนระหว่าง สินทรัพย์หมุนเวียน และ หนี้สินหมุนเวียน ซึ่งบ่งบอกถึงสภาพคล่องของกิจการในการที่จะชำระหนี้ระยะสั้น หากอัตราส่วนนี้มีค่าน้อยกว่า 1 หมายความว่ากิจการมีหนี้สินหมุนเวียนมากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียนทำให้อาจมีปัญหาในการชำระหนี้ระยะสั้นได้ หากอัตราส่วนนี้มากกว่า 1 แสดงว่ากิจการมีสินทรัพย์หมุนเวียนมากพอที่จะชำระหนี้ระยะสั้น แต่หากมีค่าสูงกว่า 1 มาก ๆ อาจหมายถึงประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ของกิจการไม่ดีพอ อย่างไรก็ตามสินทรัพย์หมุนเวียนบางประเภท เช่น สินค้าคงเหลือ อาจมีมูลค่าลดลงหากต้องรีบขายเพื่อนำไปชำระหนี้ ทำให้บางทีเราอาจใช้อัตราส่วนที่ไม่นำสินค้าคงเหลือมาคิดด้วย หรือเรียกว่า อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว(Quick ratio)

สูตรการคำนวณ อัตราส่วนทุนหมุนเวียน = สินทรัพย์หมุนเวียน / หนี้สินหมุนเวียน

·       อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ คือ จำนวนครั้งที่กิจการสามารถเก็บเงินจากการขายเชื่อได้ คำนวณโดยยอดขายเชื่อสุทธิหารด้วยลูกหนี้การค้าเฉลี่ย โดยที่ลูกหนี้การค้าเฉลี่ย คือลูกหนี้การค้าต้นงวดบวกลูกหนี้การค้าปลายงวดหารด้วย 2 หากอัตราหมุนเวียนของลูกหนี้สูงหมายความว่ากิจการสามารถเก็บเงินจากการขายเชื่อได้เร็ว แต่หากอัตรานี้สูงเกินไปอาจหมายถึงกิจการเข้มงวดในการให้เครดิตกับลูกค้ามากเกินไปทำให้เสียเปรียบในการแข่งขัน ดังนั้นการนำอัตราส่วนนี้ไปเปรียบเทียบกับกิจการอื่น จึงควรดูนโยบายการให้เครดิตแก่ลูกหนี้ของกิจการด้วย

          สูตรการคำนวณ   อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ = ยอดขายเชื่อสุทธิ / ลูกหนี้                                                                           เฉลี่ย

            โดยที่ ลูกหนี้เฉลี่ยคำนวณได้จาก :  ลูกหนี้เฉลี่ย = (ลูกหนี้ต้นงวด + ลูกหนี้                                                                            ปลายงวด) / 2

            อย่างไรก็ตามโดยทั่วไปกิจการจะไม่เปิดเผยยอดขายเชื่อสุทธิในงบการเงิน ในทางปฏิบัติเราจึงใช้            ยอดขายสุทธิเป็นตัวตั้งแทน ดังนั้น   อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้                                                                                  = ยอดขายสุทธิ / ลูกหนี้เฉลี่ย

·       อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick ratio หรือ Acid test) คือ อัตราส่วนที่ปรับปรุงมาจากอัตราส่วนทุนหมุนเวียน ซึ่งในการคำนวณจะไม่นำสินค้าคงเหลือมาคิดรวมกับสินทรัพย์หมุนเวียนอื่น ๆ เช่น เงินสด ลูกหนี้การค้า และ สินทรัพย์ในความต้องการของตลาด เนื่องจากสินค้าคงเหลือสามารถแปลงเป็นเงินสดได้ช้ากว่า และอาจมีมูลค่าต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี ทำให้อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็วบอกถึงสภาพคล่องของกิจการได้ดีกว่าอัตราส่วนทุนหมุนเวียน

          สูตรการคำนวณ 

อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว = (สินทรัพย์หมุนเวียน - สินค้าคงเหลือ - ค่าใช้จ่ายจ่ายล่วงหน้า – สินทรัพย์          หมุนเวียนอื่นๆที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ช้า) / หนี้สินหมุนเวียน

·       อัตราส่วนเงินสด (Cash ratio) คือ อัตราส่วนที่ใช้วิเคราะห์สภาพคล่องของกิจการที่ตั้งอยู่บนหลักความระมัดระวังที่สุด โดยจะนำสินทรัพย์หมุนเวียนที่เป็นเงินสดและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด หารด้วยหนี้สินหมุนเวียน หากอัตราส่วนนี้สูงหมายถึงกิจการมีสภาพคล่องสูง แต่หากสูงมากอาจหมายถึงกิจการถือเงินสดไว้มากเกินไปทำให้ประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ลดลง จึงควรดูอัตราส่วนประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ควบคู่กันด้วย

          สูตรการคำนวณ  อัตราส่วนเงินสด = (เงินสด + หลักทรัพย์ในความต้องการของ ตลาด) / หนี้สินหมุนเวียน

 

       6. ตอบ การจับกลโกง ลูกค้าที่กู้เงินจากธนาคาร ทำให้ทราบว่า การที่จะมีการทำนั้น ลูกค้าได้คิดไว้แล้ว เช่น การรับรู้จำนวนเงินที่เกิดจากการลงทุนทางบริษัท มีจำนวนทุนเท่าไร และจะกู้ยืมจากธนาคารเท่าไร มีการนัดแนะกับบุคคลที่ 2 และ 3 เช่น นายหนึ่งเป็นกรรมการที่บริษัทแห่งหนึ่ง ได้ไปตลาดสด และได้ยินนายสอง พูดถึงเรื่องที่ดินว่าจะขาย พอนายหนึ่งรู้จึงมีการพูดคุยกัน มีการตกลงราคากัน เหมือนเกิดความพอใจก็เกิดการทำสัญญา และได้มีนายสาม เป็นนายบัญชีเพื่อให้เกิดความแนบเนียด มีการทุจริตตัวเลข เพื่อทำบัญชี และทำเอกสารที่ทำขึ้น เพื่อไม่ให้ธนาคารได้รู้ และมีการทำอยู่เรื่อยๆๆ เพื่อให้เกิดจำนวนเงินที่นายหนึ่งต้องการ แล้วมีการแบ่งเงินกัน 

แต่ธนาคารต้องมีความรอบรู้ และต้องดูว่าเอกสารการกู้นั้นถูกต้องหรือไม่ และต้องได้ไปดูงานที่บริษัทนั้น ว่าทำที่ไหน มีการทำงานอย่างไร และต้องมีการพิจารณาเกี่ยวกับสินเชื่อในด้านการเงิน  อัตราการลงทุนของบริษัทแห่งนั้น เพื่อให้เกิดความแน่ใจแก่ธนาคาร  ที่จะได้ไม่ถูกโกงอีกด้วย__________________________________________________________________

3. ตอบ   แนวทางการควบคุมสินเชื่อ มีดังนี้

1.การควบคุมในแนวดิ่ง (Vertical Control )

      เป็นการควบคุมที่มีอยู่ ในลักษณะตามสายการบังคับบัญชาที่ผู้เป็นหัวหน้าต้องดูแลเอาใจใส่ ให้คำแนะนำ (Supervion) แก่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของตน และประการสุดท้ายก็คือ ผู้ทำการวิเคราะห์ที่อยู่ในสายการบังคับบัญชานั้นได้ใช้ดุลพินิจหรือวิจารณญาณอย่างรอบคอบสมเหตุสมผล และเป็นอิสระจากภาวการณ์กดดันได้ดีเพียงพอแล้ว ซึ่งทำให้องค์กรลดความเสี่ยงลงได้

      2.การควบคุมในแนวนอน (Horizontal Control)

      เป็นการควบคุมในระดับเดียวกันแต่เป็นการควบคุมระหว่างหน่อยงานที่ทำหน้าที่แต่ละด้านให้กับองค์กร สิ่งที่มักพบเห็นเสมอก็คือ ธนาคารหลายแห่งจะมีเจ้าหน้าที่สินเชื่อทำงานด้านหารตลาด เพื่อพบประกับลูกค้าและเสนอแนะบริการด้านสินเชื่อ มีเจ้าหน้าที่ที่ต้องวิเคราะห์สินเชื่อที่ต้องออกไปพบลูกค้าพร้อมกับฝ่ายการตลาดเพื่อร่วมรับรู้ถึงธุรกิจของลูกค้า และขอเอกสารต่างๆ จากลูกค้าและรวมถึงหาข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ  เพื่อทำความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละราย มีเจ้าหน้าที่ประเมินราคาหลักประกัน ที่ต้องไปพบลูกค้าด้วยเช่นกัน เพื่อรวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องทางทรัพย์สินที่จะนำมาเป็นหลักประกัน สุดท้ายยังมีเจ้าหน้าที่ในงานพิธีกร ที่ต้องคอยทำหน้าที่เตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทำนิติกรรมระหว่างลูกค้ากับผู้ให้สินเชื่อคือธนาคาร เมื่อลูกค้าลงนามครบถ้วนแล้ว ก็ต้องจัดเก็บอย่างปลอดภัยมีระบบรักษาความลับลูกค้ามิให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องมารับรู้หรือค้นหา เพราะจะทำให้เกิดการสูญหายต่อธนาคารได้

      3.การควบคุมด้วยการตรวจสอบภายในองค์กร (Internal Audit Control)

      ซึ่งจะต้องทำอย่างน้อยปีละครั้ง โดยใช้ระบบสุ่มตรวจและต้องไม่ให้ฝ่ายสินเชื่อทราบล่วงหน้า เพราะจะทำให้ไม่พบจุกบกพร่องในขณะที่ผู้เขียนทำงานอยู่ที่ธนาคารไทยพาณิชย์นั้น ฝ่ายตรวจสอบจะแบ่งทีมงานเป็นหลายชุด ที่จะออกตรวจในสาขาภูมิภาค

วัตถุประสงค์ในการควบคุมการให้สินเชื่อ 

  1. ป้องกันหรือลดโอกาสการทำทุจริตประพฤติมิชอบของพนักงานสินเชื่อ
  2. ส่งเสริมการให้ความรู้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา โดยใช้ระบบการสอนงาน เพื่อให้ผู้อ่อนประสบการณ์ได้ใช้ความคิด
  3. เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขในรายละเอียดการให้กู้ระหว่างกันให้ควบถ้วน รอบคอบก่อนอนุมัติให้เบิกถอนเงินกู้ออกไป

การกำหนดอำนาจอนุมัติและการลงนาม 

เพราะบางครั้งผู้มีอำนาจลงนามติดธุรกิจ ผู้อื่นในระดับเดียวกันก็สามารถลงนามแทนกันได้ ซึ่งในการนี้เพื่อให้ลดความเสี่ยงลงไปอีก จึงมักจะกำหนดผู้มีอำนาจลงนามที่จะต้องร่วมกันอนุมัติมากกว่า 2 คนขึ้นไป

สถาบันการเงินมักกำหนดอำนาจอนุมัติ 

  1. 1.      ตำแหน่งทางการบริหาร      เช่นระดับกรรมการ ก็จะลงนามเกือบทุกเรื่อง 
  2. 2.      วงเงินและประเภทวงเงินสินเชื่อ   เช่นวงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท 
  3. 3.      ระยะเวลาการกู้ ถ้าเป็นระยะเวลาสั้นๆ   เช่นวงเงินชั่วคราว 3 เดือน 
  4. 4.      หลักประกัน  เช่นกรณีที่ได้รับหลักประกันเพิ่ม หัวหน้าสายงานสินเชื่อ2 คน ก็จะลงนามได้ 
  5. อัตราดอกเบี้ย         ที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาสินเชื่อของธนาคารอนุมัติสินเชื่อให้ลูกค้าแล้วในอัตราดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่า 2%

 

 

การควบคุมสินเชื่อของสถาบันการเงินหรือธนาคารโดยฝ่ายสินเชื่อ 

  1. ธนาคารจะทบทวนผลการติดต่อกับลูกค้าทุกรายอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อทราบว่ามีการเดินบัญชีสม่ำเสมอหรือไม่ ชำระเงินต้นดอกเบี้ย ตรงตามเงื่อนไขหรือไม่
  2. ทบทวนผลการประกอบการลูกค้าจากการวิเคราะห์งบการเงิน ซึ่งเป็นการวิเคราะห์เชิงประมาณด้านอื่นๆ เช่น การบริการงาน การพัฒนาผลิตภัณฑ์
  3. ทบทวนหรือสำรวจหลักประกันว่ามีสภาพไม่ด้อยไปจากเดิม
  4. เยี่ยมชมกิจการของลูกค้า โดยปกติพนักงานสินเชื่อจะมีโอกาสในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่จะนำของขวัญไปอวยพรให้กับลูกค้า

การควบคุมสินเชื่อของสถาบันการเงินหรือธนาคารโดยฝ่ายตรวจสอบภายใน 3 ด้านคือ

  1. พิจารณาว่าได้จัดทำนิติกรรมตามระเบียบของธนาคารอย่างครบถ้วนก่อนลูกค้าเบิกเงินกู้หรือไม่ หลักประกันทุกสิ่งทุกต้องมีต่อกัน ได้จัดอย่างปลอดภัย ยากแก่การสูญหาย และยากต่อการเข้าถึงของผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
  2. พิจารณาเจาะจงไปที่ฝ่ายสินเชื่อเลยว่า พนังงานสินเชื่อได้ทำตามนโยบายของธนาคารที่กำหนดให้ ณ ขณะนั้นๆ หรือไม่ เช่น นโยบายการให้กู้กับธุรกิจอสังหริมทรัพย์
  3. พิจารณาในแง่คุณภาพหนี้ว่าอยู่ในชั้นใด สัดส่วนเป็นอย่างไร

สินเชื่อปกติ

สินเชื่อที่ควรเอาใจใส่เป็นพิเศษ

สินเชื่อจัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน

สินเชื่อจัดชั้นสงสัย

สินเชื่อจัดชั้นสงสัยจะสูญ

สินเชื่อชั้นสูญ

ตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง 

ตัวอย่างที่1.  ลูกหนี้ชอบผลัด และไม่มาจ่ายตามที่ผลัดไว้จะผลัดไปเรื่อยๆ
      วิธีแก้ไข  ถามเหตุผลที่ลูกหนี้ขอผลัดเพราะอะไร มีเหตุผล และความจำเป็นจริงหรือไม่ที่จะขอผัดผ่อน พิจารณาเป็นกรณีไปหากไม่มีเหตุผลเพียงพอพยามยามไม่ให้ผัดผ่อนตื๊อตามเก็บให้ได้หรือหากลูกหนี้มีความจำเป็นจริงๆ ก็ให้นัดระยะเวลาอันใกล้พร้อมกับมีเงื่อนไขว่าหากผิดนัดตามที่ผัดผ่อนอีกจำต้องขอรถกลับก่อน เพื่อสร้างแรงกดดันและป้องกันมิให้ผิดนัดตามที่ผลัดไว้อีก
· ถ้าพบลูกหนี้ประเภทนี้พยายามดูรายละเอียด หลังการ์ดจะเห็นประวัติการผิดนัดหลายครั้งหลายหน ใช้ข้อมูลเหล่านั้นมายืนยันกับลูกหนี้ว่า เคยผิดนัดมาแล้วหลายครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย มิฉะนั้นจำเป็นต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
· การตกลงนัดหมายพยายามทำเป็นหนังสือระบุเงื่อนไข หากผิดนัดยินดีคืนรถหรือให้ยึดได้ทันที และให้ลูกหนี้ลงลายมือชื่อไว้ด้วย ทำสำเนาให้ลูกหนี้ไว้ด้วย 1 ชุด เพื่อช่วยเตือนความจำ

ตัวอย่างที่ 2     ลูกหนี้ไม่สามารถชำระค่างวดได้ตรงตามกำหนด หรือล่วงเลยเกินเวลาอันสมควร
วิธีแก้ไข    ลูกหนี้ที่มีปัญหาไม่ชำระหนี้ตามกำหนดนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากความสามารถในการชำระหนี้อ่อน เช่น มีปัญหาการเงิน รายได้ลดลง หรือมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น หรือบางส่วนเกิดจากความตั้งใจในการชำระคือน้อยลงเช่น พวกเหนียวหนี้ มีอิทธิพล นำเงินไปหมุนจุดอื่นก่อน พวกนี้จะประวิงการชำระหนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ วิธีแก้ไขคือ
1. กรณีความสามารถในการชำระหนี้อ่อน พิจารณาถึงสาเหตุเป็นรายๆ ไป เช่น ถ้ามีปัญหาการเงินเพราะเล่นการพนันใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เที่ยวเตร่ ฯลฯ คงต้องรีบกดดันให้ชำระหนี้โดยเร็วหากไม่ชำระอาจต้องสืบหาทรัพย์เช่าซื้อเตรียมยึดคืน เมื่อกดดันให้ชำระหนี้ที่ค้าง หรือให้ชำระปิดบัญชี
2. กรณีความตั้งใจในการชำระคืนน้อยลง กรณีนี้คงต้องรีบสืบหาทรัพย์เช่าซื้อโดยเร็ว และยึดคืนเพื่อหยุดยั้งความเสียหายที่จะเกิดแก่ทรัพย์เช่าซื้อและบริษัท เพราะลูกหนี้ไม่ตั้งใจจะชำระหนี้ประวิงเวลา เพื่อใช้ทรัพย์เช่าซื้อไปเรื่อยๆ เมื่อยึดทรัพย์เช่าซื้อแล้ว โดยมากมักให้ชำระหนี้ปิดบัญชีเท่านั้น หากใช้อิทธิพลไม่ยอมให้ยึดหรือหลบซ่อน รีบออกโนติสและดำเนินคดีโดยเร็วเพื่อเร่งให้ชำระหนี้โดยอาศัยอำนาจของกฎหมาย
__________________________________________________________________

5. ตอบ งานทั้ง 2 ด้านต่างก็มีความสำคัญมาก เช่นกัน แต่ขึ้นอยู่กับการทำงานและลักษณะการทำงานที่ต่างกัน ดังข้อมูลนี้

งานพิธีการสินเชื่อ

          ขั้นตอนในการอำนวยสินเชื่อ 

            การให้สินเชื่อเป็นธุรกิจ  ซึ่งจะต้องขายความเสี่ยงเป็นหลัก  เป็นการประกันความเสี่ยงในอนาคต  ไม่มีใครยืนยันได้ว่า สินเชื่อที่ปล่อยไปนั้น  จะได้รับการชำระคืนโดยครบถ้วน  ฉะนั้น การอำนวยสินเชื่ออย่างมีประสิทธิภาพ  จะช่วยให้ภาระหนี้เสียในอนาคต  อยู่ในระดับที่พอยอมรับได้  ซึ่งโดยทั่วไปจะมีพอยอมรับได้  ซึ่งโดยทั่วไปจะมีขั้นตอนใหญ่ ๆ ดังนี้ 

            1) การกำหนดนโยบายสินเชื่อ(CREDIT POLICY)

            เป็นการกำหนดโดยผู้บริหารของสถาบันการเงิน  เพื่อกำหนดเป้าหมายให้แก่ผู้ปฏิบัติเช่นในปีนี้จะขยายตัวทางด้านสินเชื่อวงเงินเท่าไหร่  อัตราตอบแทนเป็นอย่างไร  และจะปล่อยสินเชื่อให้แก่ธุรกิจใดบ้าง  ซึ่งนโยบายสินเชื่ออาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ ตามผลการประกอบการของสถาบันการเงินนั้น ๆ เอง การกำหนดนโยบายสินเชื่อ จะต้องคำนึงถึงปัจจัยหลัก 3 ข้อ คือ

            1. กำไร (PROFIT)

            2. สภาพคล่อง (LIQUIDITY)

            3. ความเสี่ยง (RISK)

            1. การบริการกำไร (PROFIT MANAGEMENT)

            ในการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงินก็เช่นเดียวกับธุรกิจโดยทั่วไป  ที่มีผู้ถือหุ้น  ซึ่งได้นำเงินมาลงทุนโดยหวังผลตอบแทนคือ เงินปันผล  ฉะนั้น  ผู้บริการจำเป็นที่จะต้องตั้งเป้าหมายในการทำกำไร  เป็นหัวใจสำคัญในการบริหารงาน

            รายได้ของสถาบันการเงิน  สถาบันการเงินมีรายได้หลักที่สำคัญ  ดังนี้

1.      ดอกเบี้ย (INTERRST)

2.      ค่าธรรมเนียม (FEE)

3.      รายได้จากการขายหลักทรัพย์

4.      รายได้จากการปริวรรตเงินตรา

5.      รายได้จากการลงทุน

            2. การบริหารสภาพคล่อง (LIQUIDITY MANAGEMENT)                

            ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่ต้องอาศัยความไว้วางใจของผู้ฝากเงิน  ฉะนั้น  เมื่อใดก็ตามที่ผู้ฝากต้องการถอนเงิน  จะต้องได้รับเงินโดยไม่มีเงื่อนไข  ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อนั้น  ไม่สามารถได้รับการชำระเงินคืนจากลูกค้าได้ทันที  สถาบันการเงินจึงต้องบริหารสภาพคล่อง  ให้อยู่ในระดับที่ดีตลอดเวลา  และในขณะเดียวกัน  การดำรงเงินไว้ก็เป็นภาระที่สถาบันการเงิน  จะต้องจ่ายดอกเบี้ยให้ผู้ฝากซึ่งหากไม่สามารถปล่อยสินเชื่อได้  ก็จะทำให้ขาดรายได้ไป  ดังนั้น  จึงต้องคำนึงถึง

            MATCHING SOURCES OF FUND  คือ การจัดหาแหล่งเงินให้ได้สัดส่วนกับสินเชื่อที่จะปล่อย  หาแหล่งเงินสำรองในกรณีฉุกเฉิน  ในกรณีนี้  เป็นการปล่อยสินเชื่อวงเงินจำนวนมาก  มีระยะเวลาการชำระเงินต้นระยะยาว  ซึ่งอาจจะต้องหาแหล่งเงินกู้ระยะยาวมาใช้เพิ่ม  เพื่อให้ได้สัดส่วนกัน  การบริหารเงิน  จึงเป็นความสามารถอันหนึ่งของสถาบันการเงิน  เพราะถ้ามีการจัดการที่ดี  จะทำให้ได้ผลกำไรมาก

            MATURITY DISTRIBUTION เป็นการจัดสินเชื่อตามระยะเวลาการชำระเงินต้นที่เหมาะสม คือ มีทั้งสินเชื่อระยะยาว  ระยะปานกลาง  และระยะสั้น  ทั้งนี้ควรมีสินเชื่อที่สามารถเรียกชำระเงินต้นคืนได้ทุกขณะ (CALL LOAN) ด้วย  เพื่อเป็นการดูดซับสภาพคล่องที่มีมากเกินไป

             3. การบริหารความเสี่ยง (RISK MANAGEMENT)

            ธุรกิจธนาคาร  เป็นธุรกิจที่เกิดขึ้นจากการบริการความเสี่ยงเป็นหัวใจสำคัญ  ฉะนั้นถ้าสามารถลดความเสี่ยงลงได้มากเท่าไร  ก็จะมีสถานะมั่นคงมากเท่านั้น  และควรคำนึงถึงด้วยว่า  ถ้าเสี่ยงมาก  ควรได้รับผลตอบแทนมาก  ถ้าเสี่ยงน้อย  ผลตอบแทนน้อย  ก็ไม่เป็นไร  การบริหารความเสี่ยง  มีประเด็นที่ต้องคำนึงถึง คือ

            GOOD QUANLITY OF ASSET คือ การบริหารสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดี เลือกลงทุนในธุรกิจที่มีผลตอบแทนสูง  สินเชื่อที่ธนาคารปล่อยก็ถือว่าเป็นสินทรัพย์ด้วย  ฉะนั้น  การปล่อยสินเชื่อที่ดี  ก็จะสามารถลดความเสี่ยงได้

            INDUSTRIAL DISTRIBUTION คือ การกระจายสัดส่วนสินเชื่อใน PORTFOLIO ไปตามประเภทของธุรกิจต่าง ๆ  ไม่ควรปล่อยสินเชื่อธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง

ต่อข้อ 5

2) การวิเคราะห์สินเชื่อ (CREDIT ANALYSIS)

            การวิเคราะห์สินเชื่ออย่างรอบคอบจะช่วยให้ลดจำนวนหนี้ที่มีปัญหาไปได้มาก  ฉะนั้นความรู้ความสามารถของเจ้าหน้าที่สินเชื่อ  เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับองค์กร  ควรมีการพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ  เมื่อเกิดหนี้ที่มีปัญหาขึ้น  ผลการวิเคราะห์มักพบเสมอว่า  หลายกรณีเกิดจากการที่อนุมัติวงเงินสินเชื่อบกพร่อง  ซึ่งพอสรุปได้ ดังนี้

1.      การจัดวงเงินสินเชื่อไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ที่ใช้

2.      การขาดข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้

3.      การวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้คืนผิดพลาด

4.      การกำหนดระยะเวลาชำระคืนไม่เหมาะสม

5.      ขาดเงื่อนไขในการใช้วงเงินสินเชื่อแต่ละประเภท

6.      ขาดการควบคุมการใช้วงเงินสินเชื่อ

7.      ให้วงเงินสินเชื่อมากหรือน้อยเกินไป

8.      DOUBLE FINANCING

            3) พิธีการทางด้านสินเชื่อ

            คือขั้นตอนการจัดทำสัญญา  จดจำนอง จำนำ  หลักประกัน  จำเป็นจะต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก  เพราะหากเกิดข้อผิดพลาดขึ้น  อาจทำให้ไม่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้ตามกฎหมาย  ควรดูเงื่อนไขและข้อตกลงในการอนุมัติวงเงินสินเชื่ออย่างละเอียดรอบคอบ  และต้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อตกลงนั้น  โดยคำนึงถึงปัญหาทางด้านกฎหมายเป็นหลักในการดำเนินการ  หากมีเงื่อนไขที่อาจจะเป็นปัญหาทางด้านกฎหมาย  ต้องสอบถามทางฝ่ายกฎหมายโดยด่วน  และจะพบว่า หากมีความบกพร่องทางด้านนี้  เมื่อเจรจาหนี้กับลูกค้า  จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และทำให้การแก้ไขหนี้ยากขึ้นมาก

            4) การสอบทานสินเชื่อ (CREDIT REVIEW)

            คือ การติดตามผลการใช้วงเงินสินเชื่อ  ที่ได้รับการอนุมัติจากทางธนาคาร  ควรกระทำการสอบทานอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง  เพื่อที่จะได้ทราบว่า ลูกค้าได้ปฎิบัติตรงตามข้อตกลงหรือไม่  สถานะภาพของลูกค้าเป็นอย่างไร  หากลูกค้ามีปัญหาอย่างใด  ก็จะเป็นสัญญาณเตือนภัย (WARNING SIGN) ให้ทราบว่า  ถึงเวลาที่จะเพิ่มสินเชื่อให้กับลูกค้าแล้ว  ก็จะทำให้สามารถรักษาลูกค้าที่ดีไว้กับธนาคารได้ต่อไป

 ควรสอบทานสินเชื่อเมื่อไร

            การสอบทานสินเชื่อ  ควรเป็นระบบที่ต่อเนื่องไปโดยตลอด  นับตั้งแต่ลูกค้าได้รับวงเงินสินเชื่อจากทางธนาคาร  ไปจนกว่า  จะยกเลิกวงเงินสินเชื่อทั้งหมด  หากมีกำลังเพียงพอ  ควรสอบทานดังนี้

            (1)   EVALUATE NEWLY GRANTED LOAN  เป็นการตรวจสอบการใช้วงเงินสินเชื่อที่

ได้รับอนุมัติใหม่  ว่าตรงตามวัตถุประสงค์หรือไม่  และทำตามข้อตกลงครบถ้วนหรือไม่  โดยตรวจสอบภายในระยะเวลา 1 เดือน  นับแต่วันที่ลูกค้าเริ่มใช้วงเงินสินเชื่อ

            (2)   PERIODIC REVIEW (การตรวจสอบตามกำหนดเวลา) คือการสอบทานที่กำหนด 

อาจจะเป็น 6 เดือนต่อครั้งหรือปีละครั้ง

            (3) TRANFER  REVIEW กรณีสอบทาน  เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารในสายงานสินเชื่อ

            (4) CONTINGENCY REVIEW  เป็นการสอบทานเมื่อเกิดเหตุการณ์  ที่จะมีผลกระทบต่อธุรกิจของลูกค้าหรือมีผลกระทบต่อหลักประกันของลูกค้า

            5) การแก้ไขหนี้ที่มีปัญหา

            ในการปล่อยสินเชื่อนั้น  แม้ว่าจะมีการวิเคราะห์ที่ดีอย่างไรก็ตาม  แต่ก็มีหนี้บางส่วนที่เป็น หนี้ที่มีปัญหา (PROBLEM LOAN)

            มีผู้บริหารธนาคารใหญ่ท่านหนึ่ง  เคยกล่าวไว้ว่า  การปล่อยสินเชื่อนั้น  เหมือนกันตักน้ำตาลจะต้องมีน้ำตาลบางส่วนล่วงหล่น  แต่จะทำอย่างไร  ให้ส่วนที่มีปัญหานั้น  น้อยที่สุดได้อย่างไรและหากเกิดหนี้ที่มีปัญหาแล้ว  จะต้องบริหารอย่างไร เพื่อให้ธนาคารเสียหายน้อยที่สุด

 ความหมายของหนี้ที่มีปัญหา

            คือหนี้ที่เกิดขึ้นเพราะการผิดข้อตกลง (DEFAULT)  กับผู้ให้สินเชื่อ  ซึ่งไม่ใช่เป็นหนี้เสียเสมอไป  หนี้ที่มีปัญหานั้น  มักจะถูกละเลยจากเจ้าหน้าที่สินเชื่อ  จึงทำให้รู้ปัญหานั้นว่าล่าช้า  และไม่ได้รับการแก้ไขตั้งแต่ต้น ทำให้ปัญหาลุกลามจนกว่าจะแก้ไขได้  ฉะนั้น  หากมีการ สอบทานสินเชื่อ (CREDIT REVIEW) โดยสม่ำเสมอแล้ว  ก็สามารถขจัดปัญหาต่างๆ  ตั้งแต่เริ่มต้น  ซึ่งมีโอกาสในการแก้ไขได้ดีกว่า  เปรียบเสมือนคนที่เป็นไข้ที่ได้พบแพทย์ตั้งแต่มีอาการเริ่มแรก  ย่อมมีโอกาสจะรักษาให้หายขาดได้  ดีกว่าปล่อยให้ทรุดหนักจนกว่าจะแก้ไขได้

“หากต้องการสุขภาพที่ดี  ควรตรวจร่างกายทุก 6 เดือน

            สินเชื่อก็เช่นเดียวกัน  หากต้องการสินเชื่อที่ดี  ควรตรวจสอบทุก 6 เดือน”

            ฉะนั้น  จะเห็นได้ว่า  การสอบทานสินเชื่อ  มีความสำคัญกับธนาคารเป็นอย่างมาก  ผู้เขียนเคยเดินทางร่วมกับชมรมผู้บริหารสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ไทย  ไปดูงานที่ธนาคาร  HANGSENG BANK ที่ฮ่องกง  ซึ่งเขาให้ความสนใจด้านการควบคุมสินเชื่อเป็นอย่างมาก  โดยมีส่วนที่ทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะ  เรียกว่า CREDIT CONTROL DEPARTMENT โดยมี 2 ส่วนงาน  ที่สำคัญคือ

            1) FACILITY REVIEW SECTION

            ทำหน้าที่  REVIEW สินเชื่อของลูกค้ารายใหม่  ซึ่งได้รับอนุมติแล้ว  จะส่งเรื่องมาให้ส่วนงานนี้  พิจารณาสอบทานการใช้วงเงินสินเชื่อ  โดยทำหน้าที่อิสระแยกจากฝ่ายสินเชื่อ  เป็นการคานอำนาจของฝ่ายสินเชื่อด้วย

            หน้าที่หลักของส่วนงานนี้

            1) ประเมินสถานะภาพของลูกหนี้รายใหม่  รวมทั้งการจัดเกรดของลูกค้า  โดยได้แบ่งระดับชั้นของลูกหนี้ออกเป็น 7 ระดับ ดังนี้

            GRADE 1       LOW RIST                  หนี้ความเสี่ยงต่ำ

            GRADE 2       SATISFACTOPY RISK         หนี้เสี่ยงต่ำอยู่ในระดับน่าพอใจ

            GRADE 3       FATR RISK                หนี้ความเสี่ยงพอสมควร

            GRADE 4       WATCH LIST             หนี้ที่อยู่ในรายการน่าจับตามอง

            GRADE 5       SUB-STANDARD      หนี้ต่ำกว่ามาตรฐาน

            GRADE 6       DOUBTFUL &            BAD    หนี้สงสัยจะสูญหรือหนี้เสีย

            GRADE 7       LOSS                          หนี้สูญ

            2) ทำรายงานการตรวจสอบอย่างละเอียด  แสดงถึงหนี้ที่มีปัญหา  และแก้ไขหนี้ในเบื้องต้น

            3) วิเคราะห์งบการเงินของลูกค้า  โดยวิเคราะห์ตามระยะเวลาที่กำหนด  หรือรวมทั้งการให้ความคิดเห็น  สถานะทางการเงินและสมรรถนัของธุรกิจ

            4) กระทำการสอบทานสินเชื่อ

            5) ควบคุมดูแลรายงานข้อมูลสินเชื่อ

            6) จัดทำระยะการบันทึกรายละเอียดของลูกค้าและประวัติของลูกค้า

            2)      RECOVERY SECTION

            ส่วนงานแก้ไขหนี้  ซึ่งจะดูแลลูกค้า  ที่จัดอยู่ในระดับ SUB-STANDDARD (GRADE5) ขึ้นไป  ซึ่งถือว่า เป็นหนี้ต่ำกว่ามาตรฐาน  รวมทั้งดำเนินวิธีการเพื่อเรียกหนี้คืนจากลูกหนี้ ตลอดจนดำเนินการทางกฎหมายด้วย

ส่วน งานด้านการตลาด ก็จะมีการวิเคราะห์ของลูกค้า การดูสินค้าของตนเองว่ามีการเจริญเติบโตในทิศทางใด และที่สำคัญที่งานทั้ง 2 มีลักษณะที่เหมือนกัน คือ การได้พปปะกับลูกค้า มีการแข่งขันด้านการตลาด ดูลักษณะการทำงานของคู่แข่ง เพื่อให้ได้ความพึงพอใจให้กับบริษัทของตน

2.ตอบ การที่เกิดสภาวะเงินบาทมีค่าอ่อนตัว จะเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น หากสมมติให้ปัจจัยอื่นๆ คงที่ การที่อยู่ ๆ ก็มีเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาในประเทศไทยมาก ๆ เช่น เข้ามาในตลาดหุ้น ซึ่งเวลาเข้ามานั้น นักลงทุนต่างประเทศจะไม่สามารถเอาเงินตราต่างประเทศที่เค้าถืออยู่มาลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้โดยตรง โดยเค้าต้องขอแลกเป็นเงินบาทก่อน ดังนั้น กรณีนี้ ความต้องการในเงินบาทก็จะสูงขึ้น ซึ่งเวลาที่ความต้องการในเงินบาทสูงขึ้น ขณะที่ปริมาณเงินบาทที่มีในระบบเศรษฐกิจอยู่คงที่ กลไกตลาดก็จะทำงาน โดยทำให้เงินบาทมีค่าสูงขึ้น หรือที่เราเรียกว่าค่าเงินบาทแข็งขึ้นนั่นเอง
            สำหรับกรณีของค่าเงินบาทอ่อนลง ก็อาจจะเกิดได้ในกรณีที่ไทยต้องการนำเข้ามาก ๆ เช่น ต้องการนำเข้าน้ำมัน หรือกรณีการนำเข้าวัตถุดิบหรือเครื่องจักรจากต่างประเทศ ดังนั้น ในกรณีนี้ ก็จะต้องมีการนำเงินบาทไปแลกเป็นเงินตราต่างประเทศ เพื่อที่จะได้เอาเงินไปจ่ายต่างประเทศ ความต้องการในเงินตราสกุลต่างประเทศก็จะสูงขึ้น กลไกตลาดก็จะทำให้ค่าของเงินบาทอ่อนลง เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า ค่าเงินบาทสามารถที่จะแข็งขึ้นและอ่อนลงได้ด้วยหลายๆ ปัจจัย แม้กระทั่งหากนักเก็งกำไรมีความรู้สึกว่าค่าเงินบาทน่าจะอ่อนกว่าที่เป็นอยู่ จึงต้องการที่จะถือเงินบาทน้อยลง และหากนักเก็งกำไรทุก ๆ คน คิดและทำเหมือนกันหมด ก็จะมีส่วนทำให้ค่าเงินบาทสามารถอ่อนค่าลงได้เช่นกัน
            (ผลต่อการส่งออก เราใช้เงินซื้อมากขึ้นในขณะที่เราได้ของเท่าเดิม และขายของได้เยอะขึ้นเพราะต่างประเทศใช่เงินซื้อน้อยลงจึงมีกำลังซื้อเยอะขึ้น ซื้อของเรามากขึ้น)
            เวลาจะดูผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็ง หรืออ่อน รวมทั้งการสรุปว่าค่าเงินบาทอ่อนเป็นเรื่องดี ค่าเงินบาทแข็งเป็นเรื่องไม่ดี จึงอาจจะไม่จริงเสมอไป แต่จะต้องดูผลดีและผลเสียในหลายๆ ด้านประกอบกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนว่าจะเลือกมองจากด้านใด ทั้งนี้ โดยส่วนใหญ่แล้ว อาจไม่มีใครตอบได้ว่าค่าเงินบาทที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจไทยควรจะอยู่ที่ระดับใด เพราะขึ้นอยู่กับสภาพของเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่สิ่งที่เห็นตรงกันเป็นส่วนใหญ่คือ ค่าเงินบาท ควรจะมีเสถียรภาพ กล่าวคือ ไม่ควรจะผันผวนเปลี่ยนแปลงขึ้นลงอย่างรวดเร็วมากเกินไป เพราะการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว คาดเดาได้ยาก จะมีผลต่อการตัดสินใจของผู้ที่เกี่ยวข้องต่างๆ และส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ

1 ให้นักเรียนเปรียบเทียบประเด็นพิจารณาในการไห้สินเชื่อระหว่าง สินเชื่อพาณิชยกรรมและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ๆในประเทศไทย

ตอบ ปัจจัยที่ควรพิจารณา

1.. วัตถุประสงค์ของวงเงินที่ขออนุมัติ โดยดูว่าวงเงินทีลูกค้าขอนั้นนำไปใช้เพื่ออะไร เช่น

1.1 วงเงินกู้ระยะยาว ควรจะนำไปลงทุนในสินทรัพย์ถาวร

1.2 วงเงินทุนหมุนเวียน ควรจะนำไปใช้หมุนเวียนในการดำเนินงาน และจะต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับลักษณะวงเงินแต่ละประเภทด้วย

2. ระยะเวลาที่จะต้องสนับสนุนวงเงิน ปกติจะเริ่มจากากรวื้อสินค้าจนกระทั่งเก็บเงินได้จาการขาย

3. จำนวนเงินที่ต้องพิจารณาให้ จะมีปริมาณหรือน้อยขึ้นอยู่กับ

3.1 ความจำเป็นในการที่จะต้องใช้สินเชื่อประเภทนั้น

3.2 เพื่อผลทางการตลาดในสภาวะแข่งขันของตลาดที่มีสูง

3.3 การป้องกันความเสี่ยง มีวิธีการควบคุมการใช้เงินของลูกค้าได้อย่างไร หรือการเรียกหลักประกันเพิ่ม และการทำนิติกรรมในส่วนที่ธนาคารให้วงเงินเพิ่มจากเดิมให้ครบถ้วน

2 การที่ค่าเงินบาทมีค่าลดลงมาก เงินบาทอ่อนตัว มีผลต่อการที่ธนาคารของท่านในการให้สินเชื่ออย่างไรบ้างและการที่มีผู้ว่าการธนาคารใหม่นั้นจะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทยจำกัด มหาชน ในประเด็นใดบ้าง

ตอบ การที่ประเทศไทยลดค่าเงินบาทลงจะมีผลทำให้ราคาสินค้านำเข้าราคาสูงขึ้น แต่ราคาสินค้าส่งออกจะต่ำลง ซึ่งจะทำให้ประชาชนในประเทศซื้อสินค้าจากต่างประเทศลดลง ชาวต่างประเทศจะซื้อสินค้าจากประเทศไทยมากขึ้น ในที่สุดเงินตราจะไหลเข้าประเทศมากขึ้น ดุลการชำระเงินในประเทศไทยจะดีขึ้นทำให้ธนาคารสามารถปล่อยกู้ได้มากขึ้น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานว่า เงินบาทอ่อนค่ากว่าระดับ 30.35 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยการอ่อนค่าของเงินบาทเป็นไปในทิศทางเดียวกับสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย หลังจากความกังวลเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้ของกรีซ และการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือธนาคารบางแห่งในยุโรปโดยมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ได้กระตุ้นแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ ของนักลงทุน พร้อมๆ กับเพิ่มแรงเทขายในสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ อนึ่ง แม้ว่ามาตรการเสริมสภาพคล่องเงินดอลลาร์ฯ ให้กับระบบธนาคารยุโรปของธนาคารกลางชั้นนำ 5 แห่ง จะช่วยหนุนสินทรัพย์เสี่ยงและเงินเอเชียให้ฟื้นตัวขึ้นในช่วงท้ายสัปดาห์ แต่เงินบาทก็ยังคงอ่อนค่ากว่า 30.35 โดยเข้าแตะระดับต่ำสุดในรอบประมาณ 2 เดือนที่ 30.37 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ในวันศุกร์ (16 ก.ย.) เงินบาทอยู่ที่ 30.37 จากระดับ 30.04 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (9 ก.ย.)

สำหรับแนวโน้มสัปดาห์ถัดไป (19-23 ก.ย. 2554) เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ 30.20-30.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยคงต้องจับตาผลการประชุมของรัฐมนตรีสหภาพยุโรป ความคืบหน้าในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป และผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (20-21 ก.ย.) รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัย ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐฯ ข้อมูลยอดขายบ้านมือสอง การเริ่มสร้างบ้าน การอนุญาตก่อสร้างเดือนส.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

3 การควบคุมสินเชื่อบริหารความเสี่ยงที่สำคัญมากท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญและบอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

ตอบ 1. การควบคุมในแนวดิ่ง ( Vertical Control)

ผู้เป็นหัวหน้าต้องดูแลเอาใจใส่ ให้คำแนะนำแก่ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของตนทั้งนี้เพื่อให้พนักงานเหล่านั้น ทำงานด้านสินเชื่ออย่างถูกต้อง ตามระเบียบขั้นตอนตามที่องค์การกำหนดไว้ สิ่งที่มักจะต้องดูแลก็คือ พิจารณาว่าพนักงานสินเชื่อได้ทำการตรวจสอบ เก็บรวบรวมข้อมูล และทำการวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นของตัวผู้กู้ และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาวการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบพอเพียงต่อการอนุมัติสินเชื่อหรือยัง

2. การควบคุมในแนวนอน (Horizontla Control)

เป็นการควบคุมในระดับเดียวกัน แต่เป็นการควบคุมระหว่างหน่วยงานที่ทำหน้าที่แต่ละด้านให้กับองค์การสิ่งที่มักพบเห็นเสมอก็คือ ธนาคารหลายแห่งจะมีเจ้าหน้าที่สินเชื่อทำงานด้านการตลาด เพื่อพบปะลูกค้านำเสนองานทางด้านสินเชื่อ มีเจ้าหน้าที่วิเคราะห์สินเชื่อที่ต้องออกไปพบลูกค้าพร้อมกับฝ่ายการตลาดเพื่อร่วมรับรู้ถึงธุรกิจของลูกค้า และขอเอกสารต่างๆจากลูกค้า รวมทั้งหาข้อมูลจากแหล่งอื่นๆเพื่อทำการวิเคราะห์ความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละราย มีเจ้าหน้าที่ต้องประเมินราคาหลักประกัน ทีต้องไปพบลูกค้าเช่นกัน เพื่อทำการประเมินตามหลักวิชาการเพื่อให้เจ้าหน้าที่สินเชื่อและเจ้าหน้าที่วิเคราะห์สินเชื่อได้ใช้อ้างอิงในการกำหนดวงเงินสินเชื่อ

3. การควบคุมด้วยการตรวจสอบภายในองค์การ

ซึ่งจะต้องทำอย่างน้อยปีละครั้ง โดยใช้ระบบสุ่มตรวจ และไม่ต้องให้ฝ่ายสินเชื่อทราบล่วงหน้าเพราะทำให้ไม่พบจุดบกพร่อง ฝ่ายตรวจสอบภายในจะต้องมีการแบ่งทีมงานเดเป็นหลายชุด

หลักในการทวงหนี้อันดับแรก คือการเขียนจดหมาย

• เลือกใช้ข้อความและสำนวนให้เหมาะกับลูกค้าและโอกาส จะต้องระมัดระวังคำพูดมิให้เป็นการดูหมิ่นลูกค้า แต่ควรเขียนด้วยภาษาสุภาพและแสดงความคาดหวังว่าลูกค้าจะชำระค่าสินค้าโดยเร็ว

• จดหมายทวงหนี้ในครั้งแรก ควรเขียนเพียง เตือนลูกค้าว่าครบกำหนดชำระหนี้แล้วขอให้รีบชำระด้วย

• หากเขียนจดหมายทวงหนี้ไปครั้งหนึ่งแล้วยังไม่ได้รับคำตอบจากลูกค้าแต่อย่าง ใด อาจเขียนจดหมายติดตามเป็นครั้งที่สอง โดยขอให้ลูกค้าแจ้งเหตุผลอันสมควร และเขียนอย่างสุภาพนุ่มนวลที่สุด โดยเขียนอ้างถึงความปรารถนาดีที่จะรักษาชื่อเสียงและความเชื่อถือทางการเงิน ที่ดีของลูกค้า

• หากส่งจดหมายทวงหนี้ไปแล้ว 2-3 ฉบับ แต่ยังไม่ได้รับคำตอบ อาจจะยื่นกำหนดเวลาชำระเงินให้เป็นคำขาดและอาจอ้างอิงถึงการดำเนินงานตาม กฎหมาย

ถ้าเกิดไม่ได้ผลจริงก็ไปทวงเองเลยวิธีนี้ได้ผลแน่ 100%

วิธีที่ 1 การทวงหนี้เถ้าแก่ใหญ่บริษัทรับเหมาชื่อดัง ลูกหนี้รายนี้หาตัวยากชมัดโกงทรัพย์พายเออร์ตั้งแต่ตะปูไปจนถึงเสาเข็ม ค่าแรงพนักงาน พูดหยาบ ๆ โกงครบวงจร ผมบอกว่ามันว่าไงรู้ไหมครับ มึงต้องหาตัว เถ้าแก่ใหญ่ให้ได้ ลูกน้องผมตอบว่า ไม่รู้แม่งไปอยู่ไหน ไม่รู้ไปซุกอยู่รูไหน ผมบอกว่า มึงส่งนักสืบไปเฝ้าที่บ้านมัน 24 ชั่วโมง หาตัวมันให้เจอ ไปทวงมันในสนามกอล์ฟเลย วิธีการที่ผมว่าเป็นผล ลูกน้องผมเจอมันจนได้ มันกลับบ้านตี 2 อาบน้ำแต่งตัว ตี 4 มันออกจากบ้าน ลูกน้องผมขับรถตามไปทันที่สนามกอล์ฟแถวรามอินทรา พอรู้ว่ามันตีกอล์ฟผมบอกลูกน้องผมให้ไปขอแรงตำรวจท้องที่มาคนหนึ่งประกาศเรียกมันเลยบอกว่ามีเรื่องด่วน พอมันมาเท่านั้นเอง เราก็เปิดสงครามการทวงหนี้เลย ลูกน้องผมเล่าให้ฟังว่า หน้ามันถอด สีเห็นได้ชัดเลย พอมันเพรี่ยงพร้ำ ลูกน้องด่าว่ามันรุนแรงเสีย ๆ หาย ๆ ว่ามันตั้งใจโกง คนได้ยินกันทั้งสโมสร วิธีการของผมได้ผลจริง ๆ มันยกมือไหว้เลย แล้วบอกว่าให้พูด เบาหน่อยอายคน และไปคุยในห้องส้วม สุดท้ายจ่ายเช็คมาเป็นอันจบเรื่อง

วิธีที่ 2 ลูกหนี้ตัวแสบไม่เคยกลับบ้านเลยเหลือแต่เมียและลูก ลูกหนี้ประเภทนี้สร้างความปวดหัวมือไม่ถึงทวงไม่ได้ปากไม่จัดก็ทวงไม่ได้ งานนี้ผมให้ลูกน้องไปทวงกับเมียมัน มันบอกเรื่องของผัวกูไม่เกี่ยว กูไม่รู้เรื่องกูไม่ได้เอาเงินมามันพูดแบบหน้าด้าน ๆ ไม่กลัวบาปกลัวกรรมด่ามันเท่าไหร่หน้ามันหนามันไม่รู้สึกแถมบอกว่า มีคนมาทวงกูทุกวันและก็ท้าให้ฟ้องอีกด้วย งานนี้ลูกน้องผมปวดขมับบอกว่านายทำไงดี ผมบอกว่า ลูกหนี้ประเภทนี้ต้องประจาน เช่น ตอนเช้าไปจ่ายตลาดไปทวงมันกลางตลาดเลยด่ามันให้เสียเลยแม้งานนี้เรียบร้อยหน้ามันเหลือ 2 หุน ดูไม่จืดเลยผมยังนึกหน้ามันออกเลยมันรีบกลับบ้านแล้วเตรียมเงินเตรียมทองจ่ายผมเลยมันด่าผมเสียหมาเลยมันบอกว่าผมเล่นแรงผมบอกว่าผมทำตามหน้าที่ต้องขอโทษด้วยวันหน้าอย่าลืมใช้บริการผมนะถ้าคุณถูกเบี้ยว

วิธีที่ 3 ลูกหนี้บริษัทรับเหมา รับงานราชการต้องสืบให้รู้ว่ารับงานที่ไหนแล้วเข้าไปก่อกวนร้องเรียนแบบนี้ไม่นานต้องจ่ายแน่ เพราะประวัติเสื่อมเสียราชการไม่เอา เมื่อเจอลูกหนี้ต้องขู่ลูกหนี้ว่าถ้าคุณไม่จ่ายผมจะเอาคำสั่งศาลมาระงับเงินที่ส่วนราชการทันที คุณต้องมีประวัติเสื่อมเสียราชการจะขึ้นบัญชีดำคุณ คุณจะอับอายขายขี้หน้าให้รีบจ่ายเป็นการด่วน หากไม่จ่ายเดือดร้อนแน่ คนอย่างผมไม่เคยขู่ใครพูดแล้วต้องทำไม่ต้องท้าผมถ้าใช้มุขนี้โดยทั่วไปลูกหนี้ยอมจ่ายสถานเดียว

4 จงอธิบายอัตราส่วนทางการเงินที่จำเป็นในการพัฒนาสินเชื่อพร้อมทั้งอธิบายลงไปในรายละเอียดด้วยว่ามีวิธีพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้

ตอบ การกำหนดวงเงินสินเชื่อ

กำหนดวงเงินทั้งประเภทและจำนวนเงินเป็นสิ่งสำคัญมากเพราะจะทำให้เจ้าหนี้หรือธนาคารสามารถควบคุมลูกค้าให้ใช้เงินตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการถ้ากำหนดวงเงินผิดประเภทรวมทั้งจำนวนน้อยเกินไป ก็ทำให้ลูกค้าไม่พอใช้จนทำให้ปฎิเสธการให้สินเชื่อ แต่หากกำหนดวงเงินมากเกินไป ก็ส่งผลต่อความเสี่ยงในอนาคตที่ลูกค้าจะใช้เงินอย่างสรุ่ยสุร่ายและใช้ในด้านอื่นๆที่ไม่จำเป็นกับธุรกิจหลักของเขา

***วัตถุประสงค์ในการกำหนดวงเงินสินเชื่อ****

วัตถุประสงค์ในการกำหนดวงเงินสินเชื่อนั้น ทำไปเพื่อต้องการให้ทราบถึงแนวทางและวิธีการพิจารณาวงเงินสินเชื่อที่ลูกค้าขออนุมัติในจำนวนที่เหมาะสม และถูกต้องกับการดำเนินงานธุรกิจ

ปัจจัยที่ควรพิจารณา

1.. วัตถุประสงค์ของวงเงินที่ขออนุมัติ โดยดูว่าวงเงินทีลูกค้าขอนั้นนำไปใช้เพื่ออะไร เช่น

1.1 วงเงินกู้ระยะยาว ควรจะนำไปลงทุนในสินทรัพย์ถาวร

1.2 วงเงินทุนหมุนเวียน ควรจะนำไปใช้หมุนเวียนในการดำเนินงาน และจะต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับลักษณะวงเงินแต่ละประเภทด้วย

2. ระยะเวลาที่จะต้องสนับสนุนวงเงิน ปกติจะเริ่มจากากรวื้อสินค้าจนกระทั่งเก็บเงินได้จาการขาย

3. จำนวนเงินที่ต้องพิจารณาให้ จะมีปริมาณหรือน้อยขึ้นอยู่กับ

3.1 ความจำเป็นในการที่จะต้องใช้สินเชื่อประเภทนั้น

3.2 เพื่อผลทางการตลาดในสภาวะแข่งขันของตลาดที่มีสูง

3.3 การป้องกันความเสี่ยง มีวิธีการควบคุมการใช้เงินของลูกค้าได้อย่างไร หรือการเรียกหลักประกันเพิ่ม และการทำนิติกรรมในส่วนที่ธนาคารให้วงเงินเพิ่มจากเดิมให้ครบถ้วน

5 ท่านคิดว่างานพิธีการสินเชื่อมีความสำคัญมากน้อยเพียงใดเมื่อเปรียบเทียบกับงานด้านการตลาดสินเชื่อและถ้าต้องทำงานทั้ง สอง ด้านในคนเดียวกันในสาขาของธนาคารแห่งหนึ่งนั้นท่านจะบริหารจัดการเวลาของตนเองและการบริหารความเสี่ยงของธนาคารให้มีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผลได้อย่างไร

ตอบ พิธีการสินเชื่อสำคัญเป็นอย่างมาก

พิธีการสินเชื่อ bank office

เจ้าหน้าที่ด้านหนี้ต้องมีความรู้ด้านกฎหมาย และความรู้ด้านบริหารธุรกิจ ซึ่งประกอบด้วย

1. รวบรวมข้อมูลสถานะทางกฎหมายของลูกค้า

2.ตรวจสอบหลักประกัน

3.ทำนอติกรรมสำหรับผู้ให้กู้แก่ลูกค้า เช่น สัญญาค่ำประกัน สัญญาจำนอง จำนำ

4.จัดเก็บนิติกรรมและหลักประกัน ให้อยู๋ในที่ปลอดภัย สะดวกในการเรียกตรวจสอบ จัดเก็บเรียบร้อย

นิติกรรมสินเชื่อ

ในระบบการให้สินเชื่อของธนาคารหรือสถาบันการเงิน ก่อนที่จะยินยอมให้ลูกค้าใช้วงเงินสินเชื่อได้ จะต้องมีการจัดทำนิติกรรมสินเชื่อให้เรียบร้อยเสร็จสิ้นก่อน ดังนั้น การจัดทำนิติกรรมสินเชื่อ จึงเป็นขั้นตอนสำคัญประการหนึ่ง ที่ผู้เกี่ยวข้องต้องให้ความสนใจเป็นอย่างมาก

การทำนิติกรรมสินเชื่ออาจแยกได้ 2 ประเภท คือ

ประการแรก คือ นิติกรรมวงเงินสินเชื่อ ได้แก่ สัญญาที่เกี่ยวกับวงเงินสินเชื่อซึ่งเป็นสัญญ่ก่อหนี้ทางกฎหมายโดยตรง เช่น สัญญากู้ยืมเงิน ในกฎหมายเรียกว่า สัญญาหลัก หรือสัญญาประทาน

ประการที่สอง คือ นิติกกรรมหลักประกันสินเชื่อ ได้แก่ สัญญาประเภทต่างๆ ที่นำมาเป็นประกันสินเชื่อ หรือกฎหมายเรียกสัญญารอง

ข้อที่ต้องคำนึงถึงอันเป็นพื้นฐานการทำนิติกรรมโดยกว้างๆ

1. ตัวผู้ทำนิติกรรม ต้องเป็นบุคคลที่ถูกต้องตามกฎหมาย แบ่งเป็น

1.1 ประเภทบุคคล ตรวจสอบดูว่าคู่สัญญามีฐานะสถานใด เช่น ผู้เยาว์ ผู้เสมือนไร้ความสามารถ หรือไร้ความสามารถ หรือไม่

1.2 ประเภทนิติบุคคล

1.3 การใช้ชื่อในสัญญา ให้ถอตามบัตรประชาติชน

แง่ในคู่สัญญาที่เป็นนิคิกรรม จะต้องระบุให้ชัดเจนว่าเป็นนิติบุคคลประเภทใด เช่น ห้างหุ้นส่วนสามัญ ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด หรือ บริษัทจำกัดมหาชน

1.4 การลงนามในสัญญา

2. วันที่ทำนิติกรรม ต้องระบุในเอกสารสัญญา และการลงนามของสัญญานิติบุคลที่จะมีผลผูกพันบริษัท และต้องลงนามโดยกรรมการผู้มีอำนาจกระทำแทน 2 คน พร้อมประทับตรา

3.เงื่อนไขการชำระหนี้ ต้องตรวจสอบดูว่าเงื่อนไขประกอบสินเชื่อมีการกำหนดไว้อย่างไร ซึ่งเงื่อนไขสำคัญที่พบอยู๋เสมอ ได้แก่

- การชำระหนี้คืน เป็นเงื่อนไขที่ขาดไม่ได้ในการอนุมัติสินเชื่อ

- อัตราดอกเบี้ย

4.แบบและข้อบัญญัติทางกฎหมายเพื่อความสมบูรณ์ ในการปฎิบัติงานด้านสินเชื่อ จะต้องคำนึงถึงหลักการ และข้อบัญญติที่สำคัญทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องซึ่งกำหนดไว้เพื่อความสมบูรณ์ ของเอกสารนิติกรรมในฐานะที่เป็นพยานเอกสาร หรืออาจเป็นข้อจำกัดห้ามบางประการที่ผู้ปฎิบัติงานพึงต้องใช้ความรอบครอบรัดกุมในการทำงาน

ส่วนงานสินเชื่อด้านการตลาดเป็นการ เพื่อพบปะลูกค้านำเสนองานทางด้านสินเชื่อ มีเจ้าหน้าที่วิเคราะห์สินเชื่อที่ต้องออกไปพบลูกค้าพร้อมกับฝ่ายการตลาดเพื่อร่วมรับรู้ถึงธุรกิจของลูกค้า และขอเอกสารต่างๆจากลูกค้า รวมทั้งหาข้อมูลจากแหล่งอื่นๆเพื่อทำการวิเคราะห์ความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละราย มีเจ้าหน้าที่ต้องประเมินราคาหลักประกัน ทีต้องไปพบลูกค้าเช่นกัน เพื่อทำการประเมินตามหลักวิชาการเพื่อให้เจ้าหน้าที่สินเชื่อและเจ้าหน้าที่วิเคราะห์สินเชื่อได้ใช้อ้างอิงในการกำหนดวงเงินสินเชื่อ

ซึ่งสรุปได้ว่างานทางด้านพิธีการสินเชื่อสำคัญเป็นอย่างมากเราสามารถทำทั้งสองอย่างพร้อมกันได้โดยการแบ่งเวลาให้ถูกต้องเป็นคนมีระเบียบในการทำงานมีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมายที่สำคัญควรใส่ใจกับลูกค้าทุกรายไม่ผิดนัดและตรงต่อเวลา

6 เมื่อท่านได้ศึกษาเพาเวอร์พอยเรื่องจับกลโกงลูกค้ามักจะทำในการเตรียมตัวมากู้เงินจากธนาคารและประเด็นเหล่านั้นธนาคารสามารถตรวจสอบได้อย่างไร

ตอบ 1. ดูคุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อ (Character) เป็นคุณสมบัติประการแรกที่ผู้ให้สินเชื่อพิจารณาว่าผู้ขอสินเชื่อมีลักษณะนิสัย ความประพฤติ หรืออาชีพการทำงานที่มีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด

ตัวอย่างคุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อที่ควรหลีกเหลี่ยง เช่น ผู้มีอายุมาก มีโรคประจำตัว ผู้มีนิสัยเกเร ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล ในบางครั้งจึงพยายามหลีกเลี่ยงการให้กู้กับผู้ที่อยู่ในอาชีพ ทหาร ตำรวจ นักการเมือง นักหนังสือพิมพ์ และในบางกรณีก็มองกว้างไปถึงผู้ทำธุรกิจโรงเรียนเอกชน โรงพยาบาลเอกชน เนื่องจากในกรณีที่มีปัญหาสังคมคือบุคคลที่ 3 เช่น นักเรียนซึ่งเป็นเยาวชนจะไม่มีที่เรียน หรือผู้ป่วยจะไม่ได้รับการรักษาพยาบาลต่อเนื่อง

**เรียนให้จบ ป.ตรี มีประสบการณ์ที่จะกู้เงิน แต่งตัวให้ดูภูมิฐาน พูดจาให้ดุเป็นระบบ วางตัวให้เป็นสากล (Character)

2. ความสามารถในการชำระหนี้ (Capacity) เป็นคุณสมบัติที่พิจารณาในแง่การมีรายได้ในการประกอบอาชีพ หรือทำธุรกิจเพียงพอที่จะชำระหนี้ได้ตามที่ตกลงไว้ด้วยกันในแง่ธุรกิจก็จะพิจารณาในแง่ของงบการเงินในอดีตและประมาณการรายได้ในอนาคต ตัวอย่างที่สามารถมองได้ง่ายคือ เจ้าหนี้มีกต้องการให้กู้กับร้านสะดวกซื้อ ที่ขาย 24 ชั่วโมง วันละ 3 กะ โดยไม่มีวันหยุด รวมถึงสาขามากว่า 5,000 สาขา มากว่าที่จะให้กู้กับกิจการที่มีสาขาน้อย มีวันหยุดกิจการ เพราะกิจการประเภทหลังจะมีความสารถในการชำระหนี้ที่ต่ำกว่าประเภทแรก ส่วนในแง่บุคคลต้องพิจารณารายได้ว่ามีความมั่นคงและเพิ่มขึ้นพียงพอจะชำระหนี้ได้หรือไม่ รวมทั้งอาจตรวจสอบถึงหนี้สินเดิมที่ผู้ขอสินเชื่อมีอยู่ด้วยว่ายังมีภาระผูกพันอยู่มากน้อยเพียงใด เพราะในบางครั้งก็อาจพบว่าเป็นการกู้ไปเพื่อชำระหนี้สินเดิม ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อผู้ให้กู้รายใหม่

** สร้างระบบการเงินให้ดูดี กิจการมีกำไร มีอัตราส่วนทางการเงินดี อธิบาย Flow สามรถคืนหนี้ได้ ทำธุรกิจมาซัก 3 ปี (Capacity)

3. เงินทุน (Capital) เป็นคุณสมบัติอีกประการหนึ่งที่ผู้ให้สินเชื่อพิจารณาว่าผู้ขอสินเชื่อนั้นมีมูลค่าทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินในปัจจุบันอยู่เท่าได หรือถ้าพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ เจ้าหนี้มีมักให้กับลูกค้าที่มีเงินทุนอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งโดยปกติมีลักเป็นจำนวนเกินครึ่งของเงินที่ใช้ในวัตถุประสงค์นั้นๆ ซึ่งจะทำให้ผู้กู้มีความเสี่ยงต่ำนั่นเอง

** กู้เงินอย่าให้เกิน 80 % ของราคาประเมินราคาทรัพย์สินที่จะใช้เป็นหลักประกัน (Capital)

4. หลักประกัน (Collateral) เป็นคุณสมบัติประการถัดมาที่มีความสำคัญมากเช่นกันจนถึงกับมีคำกล่าวว่า “No Land No Loan” ซึ้งแปลว่า ถ้าไม่มีหลักประกันคุ้มมูลค่าหนี้โดยเฉพาะที่ดิน (อสังหาริมทรัพย์) ก็ไม่มีโอกาสได้รับสินเชื่อ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจย่ำแย่

** หลักประกันต้องดูโดดเด่นอยู่ในทำเลที่ดี มีสภาพคล่อง มีโอกาสเพิ่มมูลค่าในอนาคต (Collateral)

5. สภาพทางเศรษฐกิจ (Condition) เป็นคุณสมบัติในเชิงมหาภาคที่ผู้ให้สินเชื่อต้องมีความรู้ถึงภาวะแวดล้อมภายนอกที่ส่งผลกระทบทั้งในแง่บวกและลบต่อผู้ขอสินเชื่อ และจะส่งผลกลับมายังผู้ให้สินเชื่อในที่สุด โดยทั่วไปที่ต้องพิจารณาก็คือ กฎหมาย การเมือง เศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี อัตราภาษี อัตตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน ต้นทุนแรงงาน เป็นต้น ซึ่งหลายปัจจัยในการเปลี่ยนแปลงที่มีลักษณะเป็น วัฏจักรซึ่งอาจพยากรณ์ล่วงหน้าได้ในระดับหนึ่ง

** เงือนไขในการชำระคืนดอกเบี้ยและเงินต้น มาจากตัวเลข Cash Flow ทำให้ธนาคารเชื่อได้ว่าจะเหลือเงินแล้วคืนหนี้ให้ธนาคารตามแผน (Condition)

6. ประเทศที่ติดต่อด้วย (Country) เป็นคุณสมบัติประการสำคัญในปัจจุบันที่ต้องพิจารณา เพระถึงแม้จะเป็นการให้สินเชื่อภายในประเทศ แต่ถ้าลูกค้ารายนั้นทำธุรกิจนำเข้า ส่งออก ซึ่งมีความเสี่ยงจากกฎระเบียบในการค้าโลก อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินสกุล การกีดกั้นทางการค้า รสนิยมที่เปลี่ยนแปลงไป หรือภาวะโรคร้ายแรงซึ่งเป็นเหตุสำคัญในการค้าระหว่างประเทศไม่ราบรื่น ซึ่งก็จะส่งผลต่อประมาณการรายรับ และมีปัญหาไม่สารถชำระหนี้สินได้ตามที่ตกลงกันไว้

** ธุรกิจเจ๊งแล้วแต่มีอนาคตดี เจ้าของเดิมล้มละลาย ขายวากเครื่องจักรเก่า สอนวิธีใช้ให้ จึงจ้างเป้นที่ปรึกษาและให้เป็นผู้จัดการโรงงาน

ซื้อที่ดิน 15 ล้าน กู้ 8 ล้าน

ก่อสร้างแบงค์ให้กู้ 80%

เครื่องจักรแบงค์ให้กู้ 70%

นางสาวสุพัตรา ทองสาดี รหัส 53127312046 การเงินการธนาคาร

ข่าวน่ารู้ ประ ชุมครม.วันนี้ (20 ก.ย.) มีวาระที่น่าจับตามอง คลัง จะเสนอขอความเห็นชอบปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเพื่อตรึงราคา น้ำมันดีเซล ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ เสนอชะลอ หรือระงับการส่งออกไข่ไก่ 2 เดือน เพื่อแก้ปัญหาไข่แพง

ปล ขอโทษนะค่ะหนูส่งช้าเพราะว่าเมื่อวานหลังสอบเสร็จคอมโดนไวรัสค่ะต้องเอาเข้าร้านพึ่งได้ก้เลยส่งช้านะคะ

4.  จงอธิบายถึงอัตราส่วนทางการเงิน  (Financial Ratio) ที่จำเป็นในการพิจารณาสินเชื่อ พร้อมทั้งอธิบายลงไปในรายละเอียดด้วยว่ามีวิธีการพิจารณาอย่างไร อะไรคือประเด็นในการพิจารณาอัตราส่วนที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารใช้

ตอบ การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน (Ratio Analysis)

1.การวิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity Ratio)

1.1 อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนหรืออัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio)

อัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current Ratio) = สินทรัพย์หมุนเวียน (CA) /หนี้สินหมุนเวียน (CL)

วัด ความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น ถ้าค่าที่คำนวณได้สูงเท่าใด แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนที่ประกอบไปด้วย เงินสด ลูกหนี้ และสินค้าคงเหลือมากกว่าหนี้ระยะสั้น ทำให้คล่องตัวในการชำระหนี้ระยะสั้นมีค่อนข้างมาก โดยปกติ อัตราส่วน 2 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว

1.2 อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio or Acid Test Ratio)

อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio) = (สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงเหลือ) /หนี้สินหมุนเวียน

หรือ( Quick Ratio = CA - Inventory )/CL

เป็น การวัดส่วนของสินทรัพย์ที่ได้หักค่าสินค้าคงเหลือ ที่เป็นสินทรัพย์ระยะสั้นและมีความคล่องตัวในการเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ต่ำสุด ออก เพื่อให้ทราบถึงสภาพคล่องที่แท้จริงของกิจการได้ โดยปกติอัตราส่วน 1 : 1 ถือว่าเหมาะสมแล้ว

1.3 อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover)

อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover)

A/R Turnover = ขายเชื่อสุทธิ หรือใช้ยอดขายรวม (ครั้ง หรือ รอบ) /ลูกหนี้ถัว เฉลี่ย

ลูกหนี้ถัว เฉลี่ย = (ลูกหนี้ต้นงวด + ลูกหนี้ปลายงวด )/ 2

หากค่าที่คำนวณได้ มีค่าสูง แสดงถึงความสามารถในการบริหารลูกหนี้ให้แปลงสภาพเป็นเงินสดได้เร็ว

1.4 ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Average Collection Period)

ระยะเวลาถัวเฉลี่ยในการเรียกเก็บหนี้ (Avg. Collection Period) (วัน) = 365 วัน /อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้

ยิ่งต่ำยิ่งดี

แสดงให้เห็นถึงระยะเวลาในการเรียกเก็บหนี้ว่าสั้นหรือยาว เพื่อให้ทราบถึงคุณภาพของลูกหนี้

ประสิทธิภาพในการเรียกเก็บหนี้ และนโยบายในการให้สินเชื่อทางธุรกิจ

1.5 อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover)

อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover) = ต้นทุนสินค้าขาย (COGS) /สินค้าคงเหลือเฉลี่ย (Avg. Inventory)

สินค้าคงเหลือเฉลี่ย =( สินค้าต้นงวด + สินค้าปลายงวด )/ 2

หากค่าคำนวณได้สูง ย่อมแสดงถึงความสามารถในการบริหารการขายสินค้าได้เร็ว

1.6 ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า

ระยะเวลาในการจำหน่าย (ขาย) สินค้า(วัน) = 365 (วัน) /อัตราหมุนเวียนของสินค้า (Inventory Turnover)

ยิ่งขายได้เร็ว (ระยะเวลาสั้น) ยิ่งดี

2.ความสามารถในการหากำไร (Profitability Ratio)

1.1 อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)

1.2 อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit Margin)

1.3 อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)

1.4 อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Return On Equity or ROE)

อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)(%) = ขายสุทธิ - ต้นทุนขาย หรือ SALES - COGS / ขายสุทธิ SALES

= กำไรขั้นต้น หรือ Gross Profit /ขายสุทธิ SALES

ยิ่งสูงยิ่งดี

อัตรากำไรจากผลการดำเนินงาน(Operating Profit Margin)(%) = กำไรจากการดำเนินงาน(Operating Profit Margin) /ขายสุทธิ (SALES)

ยิ่งสูงยิ่งดี

อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)(%) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /ขายสุทธิ (SALES)

ยิ่งสูงยิ่งดี แสดงให้เห็นประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทในการทำกำไร หลังจากหักต้นทุนค่าใช้จ่ายรวมทั้งภาษีเงินได้หมดแล้ว

ผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE %) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity)

ยิ่ง สูงยิ่งดี แสดงให้เห็นว่าเงินลงทุนในส่วนของเจ้าของ จะได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาจากการดำเนินการของกิจการนั้นในอัตราส่วนเท่าไร หากมีค่าสูง แสดงถึงประสิทธิภาพในการหากำไรสูงด้วย

Dupont Equation

ROE (%) = NP (or EAT) = (EAT/SALES) (SALES/ASSETS) (ASSETS/EQUITY) /Equity

หรือ ROE (%) =รายได้จากการขาย สินทรัพย์ทั้งหมด= กำไรสุทธิ X รายได้จากการขาย X สินทรัพย์ทั้งหมด / ส่วนของผู้ถือหุ้น

= (ความสามารถในการหากำไร) (การใช้เงินทุน) (ความสามารถในการหาทุน)

หรือ สมการนี้เท่ากับ

ROE (%) = (Net Profit Margin) (Total Asset Turnover) (Financial Leverage)

3. อัตราส่วนแสดงประสิทธิภาพในการทำงาน (Efficiency Ratio)

อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม (ROA)(%) = กำไรสุทธิ (Net Profit) /สินทรัพย์รวม (Total Assets)

ยิ่ง สูงยิ่งดี เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรของสินทรัพย์ทั้งหมดที่ธุรกิจใช้ในการ ดำเนินงาน ว่าให้ผลตอบแทนจากการดำเนินงานได้มากน้อยเพียงใด หากมีค่าสูง แสดงถึงการใช้สินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ

อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ถาวร (ROFA) = กำไรสุทธิ (Net Profit or NP) /รวมสินทรัพย์ถาวร (Fix Assets)

อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Turnover)

อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Turnover)(ครั้ง) = ขายสุทธิ (SALES) /สินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset)

ยิ่งสูงยิ่งดี

อัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total Assets Turnover)

อัตราส่วนการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total Assets Turnover) (ครั้งหรือเท่า) = ขายสุทธิ (SALES) /สินทรัพย์รวม (Total Assets)

จำนวน ครั้งสูง ดี เป็นอัตราส่วนที่แสดงถึงประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ทั้งหมด (TA) เมื่อเทียบกับยอดขาย (SALES) ถ้าอัตราส่วนนี้ต่ำ แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์มากเกินความต้องการ

4. อัตราส่วนวิเคราะห์นโยบายทางการเงิน (Leverage Ratio or Financial Ratio)

เพื่อให้ทราบถึงแหล่งที่มาของเงินทุนว่ามาจากหนี้สินหรือส่วนของเจ้าของ ว่ามีมากน้อยเพียงใด

อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt/Equity Ratio) (เท่า) = หนี้สินรวม (Total Debt) /ส่วนของเจ้าของ (Equity)

ยิ่งต่ำ ยิ่งดี แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงในด้านเจ้าหนี้และเจ้าของกิจการ ถ้าอัตราส่วนสูง

แสดงว่า กิจการมีความเสี่ยงจากการกู้ยืมเงินมาใช้ในการดำเนินกิจการ

ความ สามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest Coverage) (เท่า) = {กำไรสุทธิ (NP) + ภาษีเงินได้ (Tax) - ดอกเบี้ยจ่าย(Interest)} /ดอกเบี้ยจ่าย (Interest)

เป็นการวัดความสามารถของธุรกิจในการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ ผลคำนวณออกมามีค่าสูง แสดงว่าธุรกิจมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยสูง

อัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout) = เงินปันผลต่อหุ้น (Dividend /share) /กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS)

แสดงถึงนโยบายการจ่ายเงินปันผลของธุรกิจ

อัตราส่วนที่กล่าวมาเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์หลักทรัพย์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน เพื่อท่านจะได้พิจารณางบการเงินได้ในระดับหนึ่ง

สัญญาณเตือนภัยจากการวิเคราะห์งบการเงิน

1.ขาดทุนมากๆ และติดต่อกันหลายปี

2.ระยะเวลาการเก็บหนี้นานขึ้น

3.อัตราหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของสูงขึ้นเร็วมาก

4.สินค้าคงคลังสูงมากผิดปกติ

5.ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น

6.ยอดขายสูงขึ้น แต่กำไรลดลง

7.หนี้สูญเพิ่มขึ้น

8.รายงานผู้สอบบัญชีผิดปกติ เปลี่ยนผู้สอบบัญชีใหม่

9.ขายสินทรัพย์ของบริษัท เพื่อสร้างกำไรให้เข้าเป้าในระยะสั้น

ขั้นตอนการอนุมัติสินเชื่อ    

1. ยื่นคำขอสินเชื่อที่สาขาของธนาคารสาขาใดก็ได้ที่ท่านสะดวกที่สุด เจ้าหน้าที่ธนาคารจะพิจารณาสินเชื่อเบื้องต้นจากข้อมูลของท่าน เช่น รายได้ ค่าใช้จ่ายครอบครัว หนี้สินอื่นๆ เพื่อประมาณความสามารถในการผ่อนชำระเงินกู้ ท่านสามารถรับทราบผลการพิจารณาสินเชื่อในเบื้องต้น ณ วันที่ท่านยื่นคำขอสินเชื่อ ธนาคารจะพิจารณาวงเงินกู้จากราคาประเมินของหลักประกัน เพื่อความรวดเร็วในการพิจารณาแจ้งผลอนุมัติสินเชื่อ ท่านควรยื่นเอกสารประกอบการขอสินเชื่อให้ครบถ้วน

 2. เจ้าหน้าที่สาขาธนาคารจะส่งใบคำขอสินเชื่อของท่านพร้อมเอกสารประกอบคำขอสินเชื่อไปที่ศูนย์สินเชื่ออุปโภคบริโภค เพื่อพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ โดยพิจารณา

•วัตถุประสงค์ในการขอสินเชื่อ

•คุณสมบัติผู้ขอกู้

•ความสามารถในการผ่อนชำระสินเชื่อ

•ประเภทและมูลค่าของหลักประกัน

3. การนัดหมายเพื่อประเมินหลักประกัน เจ้าหน้าที่ของธนาคารจะติดต่อท่านเพื่อนัดหมายเข้าไปประเมินมูลค่าหลักประกัน ตามวันและเวลาที่ท่านสะดวก โดยทั่วไปเจ้าหน้าที่ส่วนประเมินหลักทรัพย์จะติดต่อท่านภายใน 7 วันทำการหลังจากที่ท่านได้ยื่นใบคำขอสินเชื่อที่สาขา

4. ธนาคารจะติดต่อและแจ้งผลการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อให้ท่านทราบ ภายใน 14 วันทำการ นับจากวันที่ลูกค้ายื่นใบคำขอสินเชื่อ เพื่อเตรียมนัดวันทำสัญญา

5. หากท่านได้รับอนุมัติสินเชื่อ ธนาคารจะนัดหมายท่านเพื่อทำสัญญากู้เงิน สัญญาจดจำนอง ณ.กรมที่ดินในเขตท้องที่ที่โฉนดที่ดิน หรือ หลักประกันจดทะเบียนไว้ กรณีมีผู้กู้ร่วม หรือผู้ค้ำประกัน ท่านควรจะต้องนัดหมายให้บุคคลเหล่านั้นมาร่วมลงนามในสัญญาทุกฉบับ

6. ท่านควรเตรียมค่าใช้จ่ายที่เตรียมในวันทำสัญญาเงินกู้ คือ ค่าจดจำนอง ค่าเบี้ยประกันคุ้มครองเครดิต ค่าเบี้ยประกันภัย ซึ่งเจ้าหน้าที่ธนาคารจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งในวันที่นัดหมาย

หากมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับการอนุมัติสินเชื่อบ้านบัวหลวง โปรดค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คำถาม-คำตอบ หรือ ใช้บริการบัวหลวงโฟน โทร. 1333 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ ติดต่อเจ้าหน้าที่ สนใจ สมัครขอสินเชื่อบ้านบัวหลวง

การบริการงานสินเชื่อ และขั้นตอนในการอำนวยสินเชื่อ

ขั้นตอนในการอำนวยสินเชื่อ

การให้สินเชื่อเป็นธุรกิจ  ซึ่งจะต้องขายความเสี่ยงเป็นหลัก  เป็นการประกันความเสี่ยงในอนาคต  ไม่มีใครยืนยันได้ว่า สินเชื่อที่ปล่อยไปนั้น  จะได้รับการชำระคืนโดยครบถ้วน  ฉะนั้น การอำนวยสินเชื่ออย่างมีประสิทธิภาพ  จะช่วยให้ภาระหนี้เสียในอนาคต  อยู่ในระดับที่พอยอมรับได้  ซึ่งโดยทั่วไปจะมีพอยอมรับได้  ซึ่งโดยทั่วไปจะมีขั้นตอนใหญ่ ๆ ดังนี้

            1) การกำหนดนโยบายสินเชื่อ(CREDIT POLICY)

            2) การวิเคราะห์สินเชื่อ (CREDIT POLICY)

            3) พิธีการทางด้านสินเชื่อ

            4) การสอบทานสินเชื่อ

            5) การแก้ไขหนี้ที่มีปัญหา

            1) การกำหนดนโยบายสินเชื่อ(CREDIT POLICY)

            เป็นการกำหนดโดยผู้บริหารของสถาบันการเงิน  เพื่อกำหนดเป้าหมายให้แก่ผู้ปฏิบัติเช่นในปีนี้จะขยายตัวทางด้านสินเชื่อวงเงินเท่าไหร่  อัตราตอบแทนเป็นอย่างไร  และจะปล่อยสินเชื่อให้แก่ธุรกิจใดบ้าง  ซึ่งนโยบายสินเชื่ออาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ ตามผลการประกอบการของสถาบันการเงินนั้น ๆ เอง การกำหนดนโยบายสินเชื่อ จะต้องคำนึงถึงปัจจัยหลัก 3 ข้อ คือ

            1. กำไร (PROFIT)

            2. สภาพคล่อง (LIQUIDITY)

            3. ความเสี่ยง (RISK)

 

            1. การบริการกำไร (PROFIT MANAGEMENT)

            ในการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงินก็เช่นเดียวกับธุรกิจโดยทั่วไป  ที่มีผู้ถือหุ้น  ซึ่งได้นำเงินมาลงทุนโดยหวังผลตอบแทนคือ เงินปันผล  ฉะนั้น  ผู้บริการจำเป็นที่จะต้องตั้งเป้าหมายในการทำกำไร  เป็นหัวใจสำคัญในการบริหารงาน

            รายได้ของสถาบันการเงิน  สถาบันการเงินมีรายได้หลักที่สำคัญ  ดังนี้

1.      ดอกเบี้ย (INTERRST)

2.      ค่าธรรมเนียม (FEE)

3.      รายได้จากการขายหลักทรัพย์

4.      รายได้จากการปริวรรตเงินตรา

5.      รายได้จากการลงทุน

2. การบริหารสภาพคล่อง (LIQUIDITY MANAGEMENT)

            ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่ต้องอาศัยความไว้วางใจของผู้ฝากเงิน  ฉะนั้น  เมื่อใดก็ตามที่ผู้ฝากต้องการถอนเงิน  จะต้องได้รับเงินโดยไม่มีเงื่อนไข  ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อนั้น  ไม่สามารถได้รับการชำระเงินคืนจากลูกค้าได้ทันที  สถาบันการเงินจึงต้องบริหารสภาพคล่อง  ให้อยู่ในระดับที่ดีตลอดเวลา  และในขณะเดียวกัน  การดำรงเงินไว้ก็เป็นภาระที่สถาบันการเงิน  จะต้องจ่ายดอกเบี้ยให้ผู้ฝากซึ่งหากไม่สามารถปล่อยสินเชื่อได้  ก็จะทำให้ขาดรายได้ไป  ดังนั้น  จึงต้องคำนึงถึง

            MATCHING SOURCES OF FUND  คือ การจัดหาแหล่งเงินให้ได้สัดส่วนกับสินเชื่อที่จะปล่อย  หาแหล่งเงินสำรองในกรณีฉุกเฉิน  ในกรณีนี้  เป็นการปล่อยสินเชื่อวงเงินจำนวนมาก  มีระยะเวลาการชำระเงินต้นระยะยาว  ซึ่งอาจจะต้องหาแหล่งเงินกู้ระยะยาวมาใช้เพิ่ม  เพื่อให้ได้สัดส่วนกัน  การบริหารเงิน  จึงเป็นความสามารถอันหนึ่งของสถาบันการเงิน  เพราะถ้ามีการจัดการที่ดี  จะทำให้ได้ผลกำไรมาก

            MATURITY DISTRIBUTION เป็นการจัดสินเชื่อตามระยะเวลาการชำระเงินต้นที่เหมาะสม คือ มีทั้งสินเชื่อระยะยาว  ระยะปานกลาง  และระยะสั้น  ทั้งนี้ควรมีสินเชื่อที่สามารถเรียกชำระเงินต้นคืนได้ทุกขณะ (CALL LOAN) ด้วย  เพื่อเป็นการดูดซับสภาพคล่องที่มีมากเกินไป

            3. การบริหารความเสี่ยง (RISK MANAGEMENT)

            ธุรกิจธนาคาร  เป็นธุรกิจที่เกิดขึ้นจากการบริการความเสี่ยงเป็นหัวใจสำคัญ  ฉะนั้นถ้าสามารถลดความเสี่ยงลงได้มากเท่าไร  ก็จะมีสถานะมั่นคงมากเท่านั้น  และควรคำนึงถึงด้วยว่า  ถ้าเสี่ยงมาก  ควรได้รับผลตอบแทนมาก  ถ้าเสี่ยงน้อย  ผลตอบแทนน้อย  ก็ไม่เป็นไร  การบริหารความเสี่ยง  มีประเด็นที่ต้องคำนึงถึง คือ

            GOOD QUANLITY OF ASSET คือ การบริหารสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดี เลือกลงทุนในธุรกิจที่มีผลตอบแทนสูง  สินเชื่อที่ธนาคารปล่อยก็ถือว่าเป็นสินทรัพย์ด้วย  ฉะนั้น  การปล่อยสินเชื่อที่ดี  ก็จะสามารถลดความเสี่ยงได้

            INDUSTRIAL DISTRIBUTION คือ การกระจายสัดส่วนสินเชื่อใน PORTFOLIO ไปตามประเภทของธุรกิจต่าง ๆ  ไม่ควรปล่อยสินเชื่อธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งมากจนเกินไป  หากธุรกิจนั้น ๆ มีปัญหา  ผลกระทบก็จะรุนแรงตามไปด้วย           

            2) การวิเคราะห์สินเชื่อ (CREDIT ANALYSIS)

            การวิเคราะห์สินเชื่ออย่างรอบคอบจะช่วยให้ลดจำนวนหนี้ที่มีปัญหาไปได้มาก  ฉะนั้นความรู้ความสามารถของเจ้าหน้าที่สินเชื่อ  เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับองค์กร  ควรมีการพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ  เมื่อเกิดหนี้ที่มีปัญหาขึ้น  ผลการวิเคราะห์มักพบเสมอว่า  หลายกรณีเกิดจากการที่อนุมัติวงเงินสินเชื่อบกพร่อง  ซึ่งพอสรุปได้ ดังนี้

1.      การจัดวงเงินสินเชื่อไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ที่ใช้

2.      การขาดข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้

3.      การวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้คืนผิดพลาด

4.      การกำหนดระยะเวลาชำระคืนไม่เหมาะสม

5.      ขาดเงื่อนไขในการใช้วงเงินสินเชื่อแต่ละประเภท

6.      ขาดการควบคุมการใช้วงเงินสินเชื่อ

7.      ให้วงเงินสินเชื่อมากหรือน้อยเกินไป

8.      DOUBLE FINANCING

3) พิธีการทางด้านสินเชื่อ

            คือขั้นตอนการจัดทำสัญญา  จดจำนอง จำนำ  หลักประกัน  จำเป็นจะต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก  เพราะหากเกิดข้อผิดพลาดขึ้น  อาจทำให้ไม่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้ตามกฎหมาย  ควรดูเงื่อนไขและข้อตกลงในการอนุมัติวงเงินสินเชื่ออย่างละเอียดรอบคอบ  และต้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อตกลงนั้น  โดยคำนึงถึงปัญหาทางด้านกฎหมายเป็นหลักในการดำเนินการ  หากมีเงื่อนไขที่อาจจะเป็นปัญหาทางด้านกฎหมาย  ต้องสอบถามทางฝ่ายกฎหมายโดยด่วน  และจะพบว่า หากมีความบกพร่องทางด้านนี้  เมื่อเจรจาหนี้กับลูกค้า  จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และทำให้การแก้ไขหนี้ยากขึ้นมาก 

           4) การสอบทานสินเชื่อ (CREDIT REVIEW)

            คือ การติดตามผลการใช้วงเงินสินเชื่อ  ที่ได้รับการอนุมัติจากทางธนาคาร  ควรกระทำการสอบทานอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง  เพื่อที่จะได้ทราบว่า ลูกค้าได้ปฎิบัติตรงตามข้อตกลงหรือไม่  สถานะภาพของลูกค้าเป็นอย่างไร  หากลูกค้ามีปัญหาอย่างใด  ก็จะเป็นสัญญาณเตือนภัย (WARNING SIGN) ให้ทราบว่า  ถึงเวลาที่จะเพิ่มสินเชื่อให้กับลูกค้าแล้ว  ก็จะทำให้สามารถรักษาลูกค้าที่ดีไว้กับธนาคารได้ต่อไป

            ควรสอบทานสินเชื่อเมื่อไร

            การสอบทานสินเชื่อ  ควรเป็นระบบที่ต่อเนื่องไปโดยตลอด  นับตั้งแต่ลูกค้าได้รับวงเงินสินเชื่อจากทางธนาคาร  ไปจนกว่า  จะยกเลิกวงเงินสินเชื่อทั้งหมด  หากมีกำลังเพียงพอ  ควรสอบทานดังนี้

(1)   EVALUATE NEWLY GRANTED LOAN  เป็นการตรวจสอบการใช้วงเงินสินเชื่อที่

ได้รับอนุมัติใหม่  ว่าตรงตามวัตถุประสงค์หรือไม่  และทำตามข้อตกลงครบถ้วนหรือไม่  โดยตรวจสอบภายในระยะเวลา 1 เดือน  นับแต่วันที่ลูกค้าเริ่มใช้วงเงินสินเชื่อ

(2)   PERIODIC REVIEW (การตรวจสอบตามกำหนดเวลา) คือการสอบทานที่กำหนด 

อาจจะเป็น 6 เดือนต่อครั้งหรือปีละครั้งม

            (3) TRANFER  REVIEW กรณีสอบทาน  เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารในสายงานสินเชื่อ

            (4) CONTINGENCY REVIEW  เป็นการสอบทานเมื่อเกิดเหตุการณ์  ที่จะมีผลกระทบต่อธุรกิจของลูกค้าหรือมีผลกระทบต่อหลักประกันของลูกค้า

            5) การแก้ไขหนี้ที่มีปัญหา

            ในการปล่อยสินเชื่อนั้น  แม้ว่าจะมีการวิเคราะห์ที่ดีอย่างไรก็ตาม  แต่ก็มีหนี้บางส่วนที่เป็น หนี้ที่มีปัญหา (PROBLEM LOAN)

            มีผู้บริหารธนาคารใหญ่ท่านหนึ่ง  เคยกล่าวไว้ว่า  การปล่อยสินเชื่อนั้น  เหมือนกันตักน้ำตาลจะต้องมีน้ำตาลบางส่วนล่วงหล่น  แต่จะทำอย่างไร  ให้ส่วนที่มีปัญหานั้น  น้อยที่สุดได้อย่างไรและหากเกิดหนี้ที่มีปัญหาแล้ว  จะต้องบริหารอย่างไร เพื่อให้ธนาคารเสียหายน้อยที่สุด

            ความหมายของหนี้ที่มีปัญหา

            คือหนี้ที่เกิดขึ้นเพราะการผิดข้อตกลง (DEFAULT)  กับผู้ให้สินเชื่อ  ซึ่งไม่ใช่เป็นหนี้เสียเสมอไป  หนี้ที่มีปัญหานั้น  มักจะถูกละเลยจากเจ้าหน้าที่สินเชื่อ  จึงทำให้รู้ปัญหานั้นว่าล่าช้า  และไม่ได้รับการแก้ไขตั้งแต่ต้น ทำให้ปัญหาลุกลามจนกว่าจะแก้ไขได้  ฉะนั้น  หากมีการ สอบทานสินเชื่อ (CREDIT REVIEW) โดยสม่ำเสมอแล้ว  ก็สามารถขจัดปัญหาต่างๆ  ตั้งแต่เริ่มต้น  ซึ่งมีโอกาสในการแก้ไขได้ดีกว่า  เปรียบเสมือนคนที่เป็นไข้ที่ได้พบแพทย์ตั้งแต่มีอาการเริ่มแรก  ย่อมมีโอกาสจะรักษาให้หายขาดได้  ดีกว่าปล่อยให้ทรุดหนักจนกว่าจะแก้ไขได้

            “หากต้องการสุขภาพที่ดี  ควรตรวจร่างกายทุก 6 เดือน

            สินเชื่อก็เช่นเดียวกัน  หากต้องการสินเชื่อที่ดี  ควรตรวจสอบทุก 6 เดือน”

            ฉะนั้น  จะเห็นได้ว่า  การสอบทานสินเชื่อ  มีความสำคัญกับธนาคารเป็นอย่างมาก  ผู้เขียนเคยเดินทางร่วมกับชมรมผู้บริหารสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ไทย  ไปดูงานที่ธนาคาร  HANGSENG BANK ที่ฮ่องกง  ซึ่งเขาให้ความสนใจด้านการควบคุมสินเชื่อเป็นอย่างมาก  โดยมีส่วนที่ทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะ  เรียกว่า CREDIT CONTROL DEPARTMENT โดยมี 2 ส่วนงาน  ที่สำคัญคือ

 

1)      FACILITY REVIEW SECTION

2)      RECOVERY SECTION

1) FACILITY REVIEW SECTION

            ทำหน้าที่  REVIEW สินเชื่อของลูกค้ารายใหม่  ซึ่งได้รับอนุมติแล้ว  จะส่งเรื่องมาให้ส่วนงานนี้  พิจารณาสอบทานการใช้วงเงินสินเชื่อ  โดยทำหน้าที่อิสระแยกจากฝ่ายสินเชื่อ  เป็นการคานอำนาจของฝ่ายสินเชื่อด้วย

            หน้าที่หลักของส่วนงานนี้

            1) ประเมินสถานะภาพของลูกหนี้รายใหม่  รวมทั้งการจัดเกรดของลูกค้า  โดยได้แบ่งระดับชั้นของลูกหนี้ออกเป็น 7 ระดับ ดังนี้

            GRADE 1        LOW RIST                             หนี้ความเสี่ยงต่ำ

            GRADE 2        SATISFACTOPY RISK         หนี้เสี่ยงต่ำอยู่ในระดับน่าพอใจ

            GRADE 3        FATR RISK                            หนี้ความเสี่ยงพอสมควร

            GRADE 4        WATCH LIST                        หนี้ที่อยู่ในรายการน่าจับตามอง

            GRADE 5        SUB-STANDARD                 หนี้ต่ำกว่ามาตรฐาน

            GRADE 6        DOUBTFUL & BAD             หนี้สงสัยจะสูญหรือหนี้เสีย

            GRADE 7        LOSS                                      หนี้สูญ

            2) ทำรายงานการตรวจสอบอย่างละเอียด  แสดงถึงหนี้ที่มีปัญหา  และแก้ไขหนี้ในเบื้องต้น

            3) วิเคราะห์งบการเงินของลูกค้า  โดยวิเคราะห์ตามระยะเวลาที่กำหนด  หรือรวมทั้งการให้ความคิดเห็น  สถานะทางการเงินและสมรรถนัของธุรกิจ

            4) กระทำการสอบทานสินเชื่อ

            5) ควบคุมดูแลรายงานข้อมูลสินเชื่อ

            6) จัดทำระยะการบันทึกรายละเอียดของลูกค้าและประวัติของลูกค้า

            2)      RECOVERY SECTION

            ส่วนงานแก้ไขหนี้  ซึ่งจะดูแลลูกค้า  ที่จัดอยู่ในระดับ SUB-STANDDARD (GRADE5) ขึ้นไป  ซึ่งถือว่า เป็นหนี้ต่ำกว่ามาตรฐาน  รวมทั้งดำเนินวิธีการเพื่อเรียกหนี้คืนจากลูกหนี้ ตลอดจนดำเนินการทางกฎหมายด้วย 

6. เมื่อท่านได้ศึกษาเพาเวอร์พอยท์ เรื่องจับกลโกงลูกค้ากู้เงินธนาคาร ไปนั้น ขอให้ท่านจับประเด็นให้ได้ว่ามีประเด็นใดบ้างที่ลูกค้ามักจะทำในการเตรียมตัวมากู้เงินจากธนาคาร และประเด็นเหล่านั้นธนาคารสามารถตรวจสอบได้อย่างไร

ตอบ  ลูกหนี้ชอบโกหก เริ่มตั้งแต่ตอนซื้อรถ อาจปิดบังสถานที่อยู่ที่แท้จริง ปิดบังการทำงาน บางครั้งออกจากที่ทำงานแล้วยังอ้างว่าทำอยู่คนซื้อคนค้ำบางครั้งเป็นสามีภรรยากัน ก็ปิดบังว่าเป็นญาติกัน

วิธีแก้ไข

กรณีนี้เจ้าหน้าที่สินเชื่อ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเครดิต หรือพนักงานขายต้องช่วยวิเคราะห์ ตรวจสอบข้อมูลที่ลูกหนี้ให้ว่าถูกต้องตรงกับความจริงหรือไม่ และไม่ให้ความร่วมมือกับลูกหนี้หรือแต่งตัวให้ลูกค้าเสียเอง โดยเขียนปิดบังอำพรางเอาไว้ (เพื่อให้ผ่านการอนุมัติให้สินเชื่อ) ทั้งๆ ที่ตนเองรู้ข้อมูลที่แท้จริงว่าไม่ถูกต้อง

บางราย สามีเป็นผู้เช่าซื้อรถ ให้ภรรยาเป็นผู้ค้ำประกัน (แต่งงานโดยไม่ได้จดทะเบียน)

วิธีแก้ไข

ปกติถ้าสามีภรรยาเป็นทั้งผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำประกัน จะทำให้การค้ำประกันไม่ดีพอ เพราะตามกฎหมายคือว่า สามี-ภรรยา เป็นบุคคลคนเดียวกัน และมีรายได้และรายจ่ายร่วมกัน เวลาย้ายหรือหลบหนีก็ไปพร้อมกัน ฝ่ายสินเชื่อที่ดีจะไม่ทำสัญญาในลักษณะนี้ แต่บางกรณีอยู่กินด้วยกันแล้ว แต่ทะเบียนบ้านและบัตรประชาชนไม่ได้เปลี่ยนนามสกุล (หรือเปลี่ยนจากนางสาวเป็นนาง) เพราะไม่ได้จดทะเบียนสมรสมาอ้างว่าเป็นเพื่อนแล้วออกรถก็มี กรณีนี้ต้องอาศัยประสบการณ์ของเจ้าหน้าที่สินเชื่อ ใช้เทคนิคสอบถาม ตรวจสอบข้อมูล และการสังเกตเพื่อได้ข้อมูลที่แท้จริง หรืออาจขอผู้ค้ำประกันเพิ่มเติม

 3.  การควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่สำคัญมาก ท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ และ บอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

ตอบ  แนวทางในการพิจารณาควบคุมสินเชื่อ

1.         การควบคุมในแนวดิ่ง (Vertical Control )

เป็นการควบคุมที่มีอยู่ ในลักษณะตามสายการบังคับบัญชาที่ผู้เป็นหัวหน้าต้องดูแลเอาใจใส่ ให้คำแนะนำ (Supervion) แก่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของตน และประการสุดท้ายก็คือ ผู้ทำการวิเคราะห์ที่อยู่ในสายการบังคับบัญชานั้นได้ใช้ดุลพินิจหรือวิจารณญาณอย่างรอบคอบสมเหตุสมผล และเป็นอิสระจากภาวการณ์กดดันได้ดีเพียงพอแล้ว ซึ่งทำให้องค์กรลดความเสี่ยงลงได้

2.         การควบคุมในแนวนอน (Horizontal Control)

เป็นการควบคุมในระดับเดียวกันแต่เป็นการควบคุมระหว่างหน่อยงานที่ทำหน้าที่แต่ละด้านให้กับองค์กร สิ่งที่มักพบเห็นเสมอก็คือ ธนาคารหลายแห่งจะมีเจ้าหน้าที่สินเชื่อทำงานด้านหารตลาด เพื่อพบประกับลูกค้าและเสนอแนะบริการด้านสินเชื่อ มีเจ้าหน้าที่ที่ต้องวิเคราะห์สินเชื่อที่ต้องออกไปพบลูกค้าพร้อมกับฝ่ายการตลาดเพื่อร่วมรับรู้ถึงธุรกิจของลูกค้า และขอเอกสารต่างๆ จากลูกค้าและรวมถึงหาข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ  เพื่อทำความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละราย มีเจ้าหน้าที่ประเมินราคาหลักประกัน ที่ต้องไปพบลูกค้าด้วยเช่นกัน เพื่อรวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องทางทรัพย์สินที่จะนำมาเป็นหลักประกัน สุดท้ายยังมีเจ้าหน้าที่ในงานพิธีกร ที่ต้องคอยทำหน้าที่เตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทำนิติกรรมระหว่างลูกค้ากับผู้ให้สินเชื่อคือธนาคาร เมื่อลูกค้าลงนามครบถ้วนแล้ว ก็ต้องจัดเก็บอย่างปลอดภัยมีระบบรักษาความลับลูกค้ามิให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องมารับรู้หรือค้นหา เพราะจะทำให้เกิดการสูญหายต่อธนาคารได้

3.         การควบคุมด้วยการตรวจสอบภายในองค์กร (Internal Audit Control)

ซึ่งจะต้องทำอย่างน้อยปีละครั้ง โดยใช้ระบบสุ่มตรวจและต้องไม่ให้ฝ่ายสินเชื่อทราบล่วงหน้า เพราะจะทำให้ไม่พบจุกบกพร่องในขณะที่ผู้เขียนทำงานอยู่ที่ธนาคารไทยพาณิชย์นั้น ฝ่ายตรวจสอบจะแบ่งทีมงานเป็นหลายชุด ที่จะออกตรวจในสาขาภูมิภาค

วัตถุประสงค์ในการควบคุมการให้สินเชื่อ

1.         ป้องกันหรือลดโอกาสการทำทุจริตประพฤติมิชอบของพนักงานสินเชื่อ

2.         ส่งเสริมการให้ความรู้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา โดยใช้ระบบการสอนงาน เพื่อให้ผู้อ่อนประสบการณ์ได้ใช้ความคิด

3.         เพื่อตรวจสอบเงื่อนไขในรายละเอียดการให้กู้ระหว่างกันให้ควบถ้วน รอบคอบก่อนอนุมัติให้เบิกถอนเงินกู้ออกไป

การกำหนดอำนาจอนุมัติและการลงนาม

เพราะบางครั้งผู้มีอำนาจลงนามติดธุรกิจ ผู้อื่นในระดับเดียวกันก็สามารถลงนามแทนกันได้ ซึ่งในการนี้เพื่อให้ลดความเสี่ยงลงไปอีก จึงมักจะกำหนดผู้มีอำนาจลงนามที่จะต้องร่วมกันอนุมัติมากกว่า 2 คนขึ้นไป

สถาบันการเงินมักกำหนดอำนาจอนุมัติ

1.         ตำแหน่งทางการบริหาร           เช่นระดับกรรมการ ก็จะลงนามเกือบทุกเรื่อง

2.         วงเงินและประเภทวงเงินสินเชื่อ          เช่นวงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท

3.         ระยะเวลาการกู้ ถ้าเป็นระยะเวลาสั้นๆ           เช่นวงเงินชั่วคราว 3 เดือน

4.         หลักประกัน     เช่นกรณีที่ได้รับหลักประกันเพิ่ม หัวหน้าสายงานสินเชื่อ2 คน ก็จะลงนามได้

5.         อัตราดอกเบี้ย  ที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาสินเชื่อของธนาคารอนุมัติสินเชื่อให้ลูกค้าแล้วในอัตราดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่า 2%

การควบคุมสินเชื่อของสถาบันการเงินหรือธนาคารโดยฝ่ายสินเชื่อ

1.         ธนาคารจะทบทวนผลการติดต่อกับลูกค้าทุกรายอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อทราบว่ามีการเดินบัญชีสม่ำเสมอหรือไม่ ชำระเงินต้นดอกเบี้ย ตรงตามเงื่อนไขหรือไม่

2.         ทบทวนผลการประกอบการลูกค้าจากการวิเคราะห์งบการเงิน ซึ่งเป็นการวิเคราะห์เชิงประมาณด้านอื่นๆ เช่น การบริการงาน การพัฒนาผลิตภัณฑ์

3.         ทบทวนหรือสำรวจหลักประกันว่ามีสภาพไม่ด้อยไปจากเดิม

4.         เยี่ยมชมกิจการของลูกค้า โดยปกติพนักงานสินเชื่อจะมีโอกาสในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่จะนำของขวัญไปอวยพรให้กับลูกค้า

การควบคุมสินเชื่อของสถาบันการเงินหรือธนาคารโดยฝ่ายตรวจสอบภายใน 3 ด้านคือ

1.         พิจารณาว่าได้จัดทำนิติกรรมตามระเบียบของธนาคารอย่างครบถ้วนก่อนลูกค้าเบิกเงินกู้หรือไม่ หลักประกันทุกสิ่งทุกต้องมีต่อกัน ได้จัดอย่างปลอดภัย ยากแก่การสูญหาย และยากต่อการเข้าถึงของผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

2.         พิจารณาเจาะจงไปที่ฝ่ายสินเชื่อเลยว่า พนังงานสินเชื่อได้ทำตามนโยบายของธนาคารที่กำหนดให้ ณ ขณะนั้นๆ หรือไม่ เช่น นโยบายการให้กู้กับธุรกิจอสังหริมทรัพย์

3.         พิจารณาในแง่คุณภาพหนี้ว่าอยู่ในชั

ต่อจากข้อ 3

3. พิจารณาในแง่คุณภาพหนี้ว่าอยู่ในชั้นใด สัดส่วนเป็นอย่างไร

สินเชื่อปกติ

สินเชื่อที่ควรเอาใจใส่เป็นพิเศษ

สินเชื่อจัดชั้นตำกว่ามาตรฐาน

สินเชื่อจัดชั้นสงสัย

สินเชื่อจัดชั้นสงสัยจะสูญ

สินเชื่อชั้นสูญ

กรณีตัวอย่างที่ 1 การควบคุมภายในด้านการอนุมัติสินเชื่อของบริษัทเงินทุนประเด็นสำคัญในการพิจารณา

1. จะต้องรู้กฎระเบียบของบริษัททุกอย่าง

2. การพิจารณาวงเงินการอนุมัติแต่ละรายจะต้องเป็นไปตามกฎ ระเบียบ พิธีการ ปฎิบัติของบริษัทที่กำหนดทุกกรณี

3. การพิจารณาอนุมัติวงเงินสินเชื่อแต่ละรายจะต้องผ่านการลงนามอนุมัติจากผู้ที่มีอำนาจตามที่ได้แต่งตั้งเป็นลายลักษณือักษร ทุกครั้ง

4.ผู้มีอำนาจอนุมัติวงเงินสินเชื่อที่ได้รับการแต่งตั้งจะต้องไม่เป็นบุคคลซึ่งมีส่วนได้เสียกับลูกค้าผู้ขอวงเงินสินเชื่อ

5.บริษัทจะต้องจัดให้มีบัตรตัวอย่างลายมือชื่อของลูกค้าและจัดเก็บในที่ปลอดภัยภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ที่บริษัทกำหนดไว้

6.การให้กู้ยืม การรับซื้อ ซื้อลด และรับช่วงซื้อลด

7.จัดแฟ้มลูกหนี้รายตัวซึ่งควรมีรายละเอียดดังนี้

สำเนาภาพถ่ายหลักฐานแสดงตัวเป็นนายทะเบียนบ้านของลูกหนี้และผู้ค้ำประกัน

 กรณีตัวอย่างที่ 4 การควบคุมและการตรวจสอบสต๊อกสินค้าเกษตรของธนาคาร

คุณสมบัติของลูกค้า

1.ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการค้าและการผลิตสินค้าเกษตรเป็นอาชีพหลักและมีประสบการณืเกี่ยวกับสินค้าที่จะนำมจำนำเป็นอย่างดี

2.มีวงเงินสินเชื่อประเภทอื่นอยู่กับธนาคารอยู่ก่อนแล้ว

3.มีฉาง โกดัง หรือโรงเก็บสินค้า ที่ธนาคารพิจารณาแล้วว่าจัดเก็บสินค้าที่จะจำนำเป็นประกับกับธนาคารได้

4.ลูกค้าประวัติการติดต่อที่ดีกับธนาคาร มีความซื่อสัตย์ เชื่อถือได้ และมีเครดิตในวงการธุรกิจอยู่ในเกณฑ์ดี

จุดประสงค์หลักของการติดตามหนี้

1.พยายามเก็บหนี้ให้ได้เป็นเงินสด ตามเงื่อนไขในการชำระหนี้

2.ต้องรักษาภาพพจน์จากลูกค้าหรือลูกหนี้ให้มองในแง่ดี

3.ต้องควบคุมค่าใช้จ่ายในการเก็บหนี้ให้เหมาะสม

สินเชื่อหรือหนี้ที่มีอยู่นั้นมีกี่ประเภท

หลักประกันมีราคาประเมินในปัจจุบันเท่าใด

ผู้ประกอบการของลูกค้า

การดำเนินงานในปีที่ผ่านมามีผลประกอบการเป็นอย่างไร

ฐานะการเงินยังมีความมั่นคงไม่น้อยไปกว่าเมื่อตอนอนุมัติสินเชื่อ

เงินทุนหมุนเวียนในช่วงที่ผ่านมายังอยู่ในเกณฑ์ที่คล่องตัวหรือไม่

ในกรณีธนาคาร

ผลการให้บริการด้านต่างประเทศสูงหรือไม่เปรียบเทียบกับในอดีต

เช็คของผู้กู้เคยถูกปฎิเสธการจ่ายเงินบ้างหรือไม่

ผลการติดต่อกับธนาคารอื่นเป็นที่น่าพอใจหรือไม่

การชำระหนี้คืนเป็นไปตามข้อตกลงหรือไม่

ผู้บริหารชุดปัจจุบันมีความสามรถในการบริหารเป็นที่น่าพอใจหรือไม่

ภาวะตลาดของลูกค้าดีขึ้นหรือแย่ลง

สัญญาเตือนภัยของหนี้ที่มีปัญหา

สัญญาณเตือนภัย (WARNING SIGN)  และอาการของหนี้ที่ปัญหา

            ก่อนที่ลูกหนี้รายใดรายหนึ่งก็ตาม  จะเป็นหนี้ที่มีปัญหานั้น  จะมีลางบอกเหตุหรืออาการที่แสดงว่า  หนี้รายนั้น  เริ่มมีปัญหาแล้ว  ถ้าหากเจ้าหน้าที่สินเชื่อ (L/O) ได้ให้ความสนใจติดตามข่าวสารในวงการธุรกิจหรือติดตามดูการใช้วงเงินสินเชื่อของลูกค้าอย่างสม่ำเสมอแล้ว  ก็จะตรวจพบได้ไม่ยากนัก

            อาการของหนี้ที่มีปัญหา

            1. ลูกหนี้ไม่ให้ข้อมูลหรือหลบเลี่ยงการติดต่อ

            2. มีข่าวในทางลบของลูกหนี้

            3. โครงการล่าช้ากว่ากำหนดหรือเกิด COST OVER RUN

            4. ผิดนัดชำระเงินกู้ตามสัญญา

            5. การเคลื่อนไหวบัญชีน้อย และมีการเกินวงเงินบ่อยครั้ง

            6. เช็คการค้าเรียกเก็บเงินไม่ได้หรือนำเช็คส่วนตัวมาขายลด

            7. ใช้วงเงินสินเชื่อประเภท P/N  ผิดวัตถุประสงค์

            8. ถูก CLAIM L/G โดยไม่มีเหตุอันสมควร

            9. T/R OVER DUE หรือขอต่ออายุ โดยไม่มีเหตุอันสมควร

            10.PACKING CREDIT ไม่สามารถส่งสินค้า  ได้ตามกำหนด

            11.AVAL OVER DUE

            12.มีหนี้สินกับสถาบันการเงินอื่น ๆ มาก

            13.เกิดการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร

            14.ผลประกอบการ ขาดทุน

            เมื่อเกิดอาการของหนี้ที่มีปัญหาขึ้น  ถ้าหากเจ้าหน้าที่สินเชื่อ (L/O) สนใจติดตามหาสาเหตุว่าปัญหาเกิดขึ้นได้อย่างไรแล้ว  ก็จะช่วยทำให้การแก้ไขปัญหานั้น ได้เท่าทันต่อเหตุการณ์

            อาการของหนี้ที่มีปัญหา

            เมื่อตรวจพบอาการของหนี้ที่มีปัญหาแล้ว  ควรจะรีบดำเนินการ  เพื่อแก้ไขปัญหานั้น  โดยมีขั้นตอนการดำเนินการ ดังนี้

            1. ตรวจสอบภาระหนี้ทั้งหมดของลูกหนี้ และผลการติดต่อ

            2. ตรวจสอบเอกสาร และหลักประกัน

            3. ออกเยี่ยมเยียนลูกหนี้หรือเชิญพบเพื่อเจรจา

            4. วิเคราะห์ปัญหาของลูกหนี้

            5. หาสาเหตุของปัญหา

            6. กำหนดแนวทางการแก้ไข

            7. ดำเนินการแก้ไข

            8. ติดตาม และประเมินผล

            สาเหตุของปัญหา

            สาเหตุของปัญหาที่พบเสมอ ๆ มีสาเหตุสำคัญ 3 ประการคือ

            1) สาเหตุจากความบกพร่องของธนาคาร

            2) สาเหตุจากตัวลูกหนี้เอง

            3) ปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบต่อลูกหนี้

            1). สาเหตุจากความบกพร่องของธนาคาร

            - ขาดการวิเคราะห์สินเชื่อที่ดี

            - พนักงานธนาคารขาดประสบการณ์

            - เน้นเป้าหมายมากกว่าคุณภาพสินเชื่อ

            - ให้สินเชื่อโดยเกรงใจผู้แนะนำ

            - ไม่ควบคุมการใช้วงเงินสินเชื่อให้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์

            - ทิ้งปัญหาไม่ดำเนินการแก้ไขมาตั้งแต่ต้น

            - ขาดการประสางานระหว่างกัน

            - HUMAN ERROR

            - ความไม่ซื่อสัตย์ของพนักงาน

            2) สาเหตุจากตัวลูกหนี้เอง

            - สภาพธุรกิจโดยรวมเกิดปัญหา

            - สินค้าขายไม่ได้หรือผลิตสินค้าไม่ตรงตามความต้องการของตลาด

            - ใช้เงินผิดวัตถุประสงค์

            - เกิดการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร

            - มีภาระหนี้สินเกินตัว

            - จัดระบบงานไม่ดี  เกิดการรั่วไหล

            - เช็คการค้าของลูกหนี้เรียกเก็บเงินไม่ได้

            - OVER INVESTMENT

            - ลงทุนใน FIX ASSET มากเกินไป

            - เทคนิคการผลิตและเครื่องจักรล้าสมัย

            3) ปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบต่อลูกหนี้

            - ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ (ECONOMICS)

            - ปัจจัยทางด้านการเมือง (POLITICAL)

            - ปัจจัยทางด้านนโยบายของรัฐ (GOVERNMENT POLICY)

            - ปัจจัยทางด้านตลาดสินค้า (MARKETING)

            - การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค

            - UNFORSEEN FACTOR  (ปัจจัยที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า)

            การวางแนวทางเพื่อแก้ไขหนี้ที่มีปัญหา

            เมื่อทราบสาเหตุของปัญหาแล้ว  ก็จะสามารถหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ  เพื่อให้หนี้นั้นกลับคืนสู่สภาพปกติ  หรือทำให้ธนาคารเสียหายน้อยที่สุด  ซึ่งการแก้ไขปัญหานั้น จะต้องคำนึงถึงองค์ประกอบ ดังนี้

1.      ความจริงใจของลูกหนี้ในการแก้ไขปัญหา

2.      สภาพธุรกิจที่ดำเนินอยู่

3.      ความสามารถในการชำระหนี้

4.      หลักประกัน

5.      วิธีการควบคุม

เมื่อวิเคราะห์องค์ประกอบดังกล่าวแล้ว สรุปได้ว่า ธนาคารสามารถดำเนินการ

อย่างใดอย่างหนึ่งใน 2 แนวทาง ดังนี้

            1) ในกรณีที่เห็นว่า ธุรกิจยังคงดำเนินการต่อไปได้

            หากมีการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม ควรให้ลูกหนี้มีโอกาสในการพื้นฟูธุรกิจ  ซึ่งการแก้ไขหนี้วิธีนี้ มีดังนี้

            1. RESTRUCTURE หนี้ใหม่

            โดยเปลี่ยนหนี้ระยะสั้นเป็นระยะยาว ยืดเวลาการชำระหนี้ออกไป  เปลี่ยนดอกเบี้ยค้างชำระมาเป็นเงินต้น  แล้วให้ผ่อนชำระในระยะเวลา ให้ GRACE PERIOD  ตามความจำเป็น  กำหนดเงื่อนไขการผ่อนชำระเสียใหม่  ให้เหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้

            2. ลดเงินต้นหรือดอกเบี้ย

            เมื่อเห็นว่า ธุรกิจไม่สามารถชำระหนี้ได้ทั้งหมด และหลักประกันไม่เพียงพอ  ถ้าปล่อยให้เห็นปัญหายืดเยื้อถึงขั้นฟ้องร้องบังคับคดี  ก็ยิ่งทำให้ธนาคารเสียหายมากขึ้นด้วย  การลดเงินต้นบางส่วนหรือดอกเบี้ย  อาจจูงใจให้ลูกหนี้ขวนขวายหา  เจ้าหนี้รายใหม่หรือผู้ร่วมทุน  เข้ามาดำเนินการได้

            3. การเพิ่มทุน

            หากธุรกิจขาดสภาพคล่อง และลูกหนี้ยังมีความสามารถในการเพิ่มพูนหรือหาผู้ร่วมทุนอื่นมาได้  ก็อาจทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้  โดยกำหนดเงื่อนไขว่า  ถ้าลูกหนี้มีการเพิ่มทุนในสัดส่วนที่ธนาคารพอใจแล้ว  จะให้การสนับสนุนวงเงินสินเชื่อเพิ่มแก่ลูกหนี้อีก

            4. ให้กู้เพิ่ม

            ในกรณีที่เห็นว่า ธุรกิจขาดสภาพคล่อง  แต่ยังพอมีช่องทางในการดำเนินธุรกิจต่อไปได้  ธนาคารจะเพิ่มวงเงินสินเชื่อ  เพื่อแก้ไจสภาพคล่องของลูกหนี้ให้ดีขึ้น  โดยคำนึงถึงปัจจัย ดังนี้

            - วงเงินสินเชื่อที่เพิ่ม  สามารถทำให้ธุรกิจทำกำไรเพียงพอที่จะชำระหนี้ทั้งหนี้เก่าและหนี้ใหม่ได้

            - วงเงินสินเชื่อที่เพิ่ม ไม่มากเกินกว่า ความเสี่ยงที่ยอมรับได้

            - หลักประกันเดิมคุ้มกับวงเงินสินเชื่อใหม่หรือไม่  หรือให้ลูกหนี้หาหลักประกันใหม่เข้ามาเพิ่ม

            - สัดส่วนหนี้สินของธนาคารกับหนี้ภายนอกเป็นอย่างไร

            - ต้องแน่ใจว่า สามารถควบคุม การใช้วงเงินหรือกำหนดเงื่อนไขที่ควบคุมการใช้วงเงินของลูกหนี้ได้

            5. REORGANIZATION

            เมื่อเห็นว่า ธุรกิจเกิดจากปัญหาจากการบริหารงานที่ไม่ดี  อาจต้องมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร และจัดระบบการบริหารงานใหม่ หรือปรับปรุงโครงสร้างองค์กรใหม่  ซึ่งอาจควบคุมการใช้วงเงินที่ดีที่สุด ในการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีนี้  จะต้องได้รับความยินยอมจากลูกหนี้เสียก่อน

            6. การเจรจาให้ขายทรัพย์สิน

            ในกรณีที่มีปัญหา  อันเกิดจากลูกหนี้มี FIX ASSET มากเกินไป  อาจเสนอให้ลูกหนี้ขายทรัพย์สินที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ  เพื่อนำเงินชำระหนี้บางส่วน เป็นการลดภาระหนี้ของลูกหนี้ลงและ  ช่วยให้ไม่ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยมากเกินไป

           7. เปลี่ยนหนี้เป็นทุน

            เมื่อเห็นว่า ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้  โดยต้องการเพิ่มทุน แต่ลูกหนี้ไม่สามารถเพิ่มทุนได้  อาจจะเปลี่ยนหนี้สินเป็นทุน  เพื่อลดภาระหนี้ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ธุรกิจต้องล้มพับได้ แต่กรณีนี้ ต้องระมัดระวังให้มาก  มิฉะนั้น  อาจถูกมองว่า ธนาคารเข้าไปฮุบ (TAKE OVER) กิจการของลูกหนี้ได้

            2) ในกรณีที่เห็นว่า ธุรกิจอาจต้องมีการเยี่ยวยารักษา

            ควรรีบดำเนินการ  เพื่อให้ธนาคารได้รับการชำระหนี้โดยเร็วที่สุด  ซึ่งการแก้ไขหนี้วิธีนี้ มีดังนี้

            1. SPLIT หนี้

            โดยให้ผู้ที่ต้องรับผิดชอบในหนี้  เป็นผู้ส่งจ่ายเช็คผู้ค้ำประกัน  หรือบุคคลที่ต้องรับผิดชอบอื่น  แบ่งการชำระหนี้ตามส่วนความรับผิดชอบ  ก็อาจจะทำให้การเรียกหนี้คืนง่ายขึ้น

            2. รับโอนทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้

            เพื่อตัดปัญหาในการฟ้องร้อง อาจจะชวนให้ลูกหนี้  โอนทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้ก็ได้

            3. การดำเนินคดี

            หรือใช้ขบวนการทางกฎหมายอื่น ๆ  เพื่อให้ได้รับการชำระหนี้คืนโดยเร็วที่สุด

สาเหตุของหนี้มีปัญหา

ผู้บริหารกิจการที่ทำธุรกิจแบบครอบครัว มักไม่ได้พัฒนาผู้บริหารระดับรองขึ้นมาทดแทนคนรุ่นเดิม เมื่อผู้บริหารระดับสูงเสียชีวิต จะเกิดปัญหาขึ้นในการดำเนินงานที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาคำคัญได้

ปัญหาด้านการเงิน     

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน     (cost overrum) ซึ่งอาจเป็นปัญหาต่อเนื่องจากการล่าช้าในการผลิต หรือค่าใช้จ่ายต่างๆ

ตั้งเป้ากำไรไว้สูงเกินไปจากการคาดคะเนผิดพลาด    โดยลดค่าใช้จ่ายไว้เมื่อดำเนินกิจการจริงๆ

ขาดแคลนเงินทุนหมุนเวียน     บางครั้งเกิดผู้บริหารไม่เข้าใจลักษณ์การบริหารเงิน โดยนำเงินกู้ระยะสั้นไปลงทุนในทรัพย์สินถาวรทำให้เงินที่จะนำมาจ่ายประจำวันหายไป

ลงทุนในทรัพย์สินหมุนเวียนมากเกินไป           ทั้งนี้ในแง่เก็บสินค้าคงคลังมากเกินไปและให้เครดิตเทอมกับลูกค้านานเกินไป

หนี้สินมากเกินไปวัดจากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน          ขาดทุนมากและขาดทุนติดต่อกันทำให้ส่วนทุนลดลงมาก หรือเกิดขึ้นเพราะราคาวัตถุดิบสูงขึ้นมากโดยไม่คาดมาก่อนล่วงหน้าจึงต้องกู้เพิ่มขึ้น

Traning  คือการส่งพนักงานออกไปอบรมนอกสถานที่

Inhouse  คือการอบรมพนักงานภายในกิจการ

ค่าเสี่ยมราคา คือ การสะสมเงินที่เราได้มา แล้วนำมาซ่อมอุปกรณ์ที่มีปัญหา ส่งผลให้ทำกำไรน้อยลง

ปัญหาด้านการผลิต

ด้านวัตถุดิบ     การใช้สินค้าเกษตรกรรมซึ่งออกเป็นฤดูกาลเป็นวัตถุดิบถ้าวางแผนการผลิตไม่ดี จะเกิดปัญหาว่างงานบางช่วง

ด้านเครื่องจักร กิจการขาดผู้รอบรู้อย่างแท้จริง ไม่มีการตรวจสอบล่วงหน้า อาจต้องหยุดการผลิตอย่างกะทันหัน เสียค่าบำรุงรักษาสูงเกินจำเป็น

ประสิทธิภาพการผลิตต่ำ        เนื่องจากขาดการวางแผน ขาดการควบคุมการผลิตขาดการควบคุมคุณภาพ

ทำเลที่ตั้งโรงงานไม่เหมาะสม  ห่างจากแหล่งวัตถุดิบ ห่างจากตลาดมาก

ปัญหาด้านการตลาด

ผลิตภัณฑ์คุณภาพไม่แน่นอน ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ทำให้ลูกค้าไม่สั่งซื้อยอดขายตกต่ำ

ด้อยประสิทธิภาพด้านการขาย           แม้ว่าคุณภาพจะดีเพียงใดก็ตามก็ไม่สามารถทำเงินได้

ราคาสูงเกินไป

การแข่งขันรุนแรง

ปัญหาด้านแรงงาน

            ถ้าพนักงานหยุดงานเพื่อเรียกร้องค่าจ้างสวัสดิการบ่อยๆ ทำให้โรงงานต้องหยุดการผลิต สินค้าทำได้ไม่ทันกำหนดส่ง อาจถูกปรับหรือยกเลิกการซื้อในที่สุด

ปัญหาทางเศรษฐกิจ

            ถ้าเป็นลูกค้าผู้ส่งออกส่งสินค้าได้น้อยลง หรือถ้าเป็นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแล้วมีชาวต่างประเทศเข้ามาน้อยลงก็ส่งผลกระทบถึงฐานะทางการเงิน

การลดลงของค่าเงินบาท มีผลดีต่อการส่งของไปต่างประเทศ

การจำกัดโควตาการส่งออก มีผลกระทบอย่างไร ความสามารถในการชำระน้อยลงไม่สามารถส่งนำขายได้

นโยบายรัฐบาล

เช่น การลดค่าเงินบาท จำกัดการนำเข้า – ส่งออกสินค้าบางประเภท การควบคุมราคาขายขณะที่ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น

มาตรการที่จะดำเนินการควบคุมกับลูกหนี้มีปัญหา ( Measurement )

เพิ่มหลักประกัน          เพิ่มบุคคลค้ำประกัน เพิ่มการจำหน่ายหุ้น

ไม่ให้ส่วนลด    หรือไม่ลดดอกเบี้ยให้

กรณีเป็นกิจการค้าใช้วิธีลดวงเงินเครดิต         งดขายสินค้าให้

ทำความตกลงกับลูกหนี้ให้จำกัดการลงทุน     จำกัดค่าใช้จ่ายดำเนินงาน

ปรับปรุงระบบคุณภาพและความถี่ของรายงานทางการเงินให้ได้อย่างสม่ำเสมอและถูกต้อง            เช่นรายงานด้านการเงิน

กำหนดให้ปรับปรุงการดำเนินงาน

กำหนดให้ดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สิน

ปรับโครงสร้าง (Restructure)             เปลี่ยนหนี้ระยะสั้นเป็นหนี้ระยะยาว

เพิ่มวงเงินสินเชื่อเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด   ระวังลูกหนี้มีปัญหา

การปรับโครงสร้างองค์กร        แนะนำให้ปรับที่โครงสร้าง

แนะนำให้เปลี่ยนทีมงานบริหารคนใหม่           พร้อมจัดตั้งองค์กรใหม่

การแบ่งหนี้      กรณีกรรมการบริษัทลูกหนี้เป็นผู้ค้ำประกันและไม่ประสงค์จะทำธุรกิจต่อ ก็ให้รับสภาพหนี้ตามความสำคัญของกิจการ

ระงับสินเชื่อทุกชนิดของลูกหนี้และเรียกเก็บหนี้คืนเท่านั้น      โดยให้ลูกหนี้จ่ายเช็คล่วงหน้า 3-6 ฉบับ สำหรับงวดที่จะถึงกำหนดชำระต่อไป ซึ่งลูกหนี้เกรงปัญหาคดีเช็คถ้าไม่มีเงินชำระเพียงพอ

ดำเนินคดี        ไม่สามารถแก้ไขปัญหาหนี้สินของลูกหนี้ได้แล้ว

Aging คือการแบ่งอายุลูกหนี้ ลูกหนี้คนนี้จ่ายชำระแบบไหนบ้างดูปัญหาของลูกหนี้แต่ละราย

นโยบายการเรียกเก็บหนี้

1.         จัดชั้นลูกค้า Classification of Debtors  โดยทั่วไปแล้วแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม เสี่ยงน้อย ปานกลาง น้อย แบ่งตามพฤติกรรมของลูกหนี้ 3 กลุ่มคือ กลุ่มที่มีความสามารถในการชำระหนี้ได้ดีและชำระตรงเวลา กลุ่มที่มีความสามารถชำระหนี้ได้แต่ไม่ตั้งใจชำระ กลุ่มลูกค้าที่ไม่มีความสามารถในการชำระหนี้

2.         แบ่งกลุ่มลูกหนี้ตามลักษณ์หรือประเภทธุรกิจ เช่น ลูกหนี้ค้าส่ง ลูกหนี้ค้าปลีก ลูกหนี้บุคคล

3.         อัตรากำไรของลูกหนี้   กรณีกิจการลูกหนี้มีกำไรสูง ก็มักจะถูกจัดไว้ในกลุ่มเดียวกัน

4.         การแข่งขันและความสามารถในการแข่งขันของลูกหนี้           กรณีลูกหนี้อยู่ในกิจการที่มีการแข่งขันสูง ความเสี่ยงในการเรียกเก็บหนี้จะสูง

วิธีการติดตามทวงหนี้ที่ได้ผล กรณีลูกค้าเป็นผู้มีชื่อเสียงและได้รับการสนับสนุนจากผู้นำชุมชน

หลักในการทวงหนี้อันดับแรกคือการเขียนจดหมาย

       • เลือกใช้ข้อความและสำนวนให้เหมาะกับลูกค้าและโอกาส จะต้องระมัดระวังคำพูดมิให้เป็นการดูหมิ่นลูกค้า แต่ควรเขียนด้วยภาษาสุภาพและแสดงความคาดหวังว่าลูกค้าจะชำระค่าสินค้าโดยเร็ว

       • จดหมายทวงหนี้ในครั้งแรก ควรเขียนเพียง เตือนลูกค้าว่าครบกำหนดชำระหนี้แล้วขอให้รีบชำระด้วย

       • หากเขียนจดหมายทวงหนี้ไปครั้งหนึ่งแล้วยังไม่ได้รับคำตอบจากลูกค้าแต่อย่าง ใด อาจเขียนจดหมายติดตามเป็นครั้งที่สอง โดยขอให้ลูกค้าแจ้งเหตุผลอันสมควร และเขียนอย่างสุภาพนุ่มนวลที่สุด โดยเขียนอ้างถึงความปรารถนาดีที่จะรักษาชื่อเสียงและความเชื่อถือทางการเงิน ที่ดีของลูกค้า

       • หากส่งจดหมายทวงหนี้ไปแล้ว 2-3 ฉบับ แต่ยังไม่ได้รับคำตอบ อาจจะยื่นกำหนดเวลาชำระเงินให้เป็นคำขาดและอาจอ้างอิงถึงการดำเนินงานตาม กฎหมาย

ถ้าเกิดไม่ได้ผลจริงก็ไปทวงเองเลยวิธีนี้ได้ผลแน่ 100%

วิธีที่ 1 การทวงหนี้เถ้าแก่ใหญ่บริษัทรับเหมาชื่อดัง ลูกหนี้รายนี้หาตัวยากชมัดโกงทรัพย์พายเออร์ตั้งแต่ตะปูไปจนถึงเสาเข็ม ค่าแรงพนักงาน พูดหยาบ ๆ โกงครบวงจร ผมบอกว่ามันว่าไงรู้ไหมครับ มึงต้องหาตัว เถ้าแก่ใหญ่ให้ได้ ลูกน้องผมตอบว่า ไม่รู้แม่งไปอยู่ไหน ไม่รู้ไปซุกอยู่รูไหน   ผมบอกว่า มึงส่งนักสืบไปเฝ้าที่บ้านมัน 24 ชั่วโมง หาตัวมันให้เจอ ไปทวงมันในสนามกอล์ฟเลย วิธีการที่ผมว่าเป็นผล ลูกน้องผมเจอมันจนได้ มันกลับบ้านตี 2 อาบน้ำแต่งตัว ตี 4 มันออกจากบ้าน ลูกน้องผมขับรถตามไปทันที่สนามกอล์ฟแถวรามอินทรา พอรู้ว่ามันตีกอล์ฟผมบอกลูกน้องผมให้ไปขอแรงตำรวจท้องที่มาคนหนึ่งประกาศเรียกมันเลยบอกว่ามีเรื่องด่วน พอมันมาเท่านั้นเอง เราก็เปิดสงครามการทวงหนี้เลย ลูกน้องผมเล่าให้ฟังว่า หน้ามันถอด สีเห็นได้ชัดเลย พอมันเพรี่ยงพร้ำ ลูกน้องด่าว่ามันรุนแรงเสีย ๆ หาย ๆ ว่ามันตั้งใจโกง คนได้ยินกันทั้งสโมสร วิธีการของผมได้ผลจริง ๆ มันยกมือไหว้เลย แล้วบอกว่าให้พูด เบาหน่อยอายคน และไปคุยในห้องส้วม สุดท้ายจ่ายเช็คมาเป็นอันจบเรื่อง

วิธีที่ 2  ลูกหนี้ตัวแสบไม่เคยกลับบ้านเลยเหลือแต่ภรรยาและลูก ลูกหนี้ประเภทนี้สร้างความปวดหัวมือไม่ถึงทวงไม่ได้ปากไม่จัดก็ทวงไม่ได้  พอไปทวงภรรยาบอกเรื่องของผัวสามีไม่เกี่ยว  ไม่รู้เรื่องไม่ได้เอาเงินมามันพูดแบบหน้าด้าน ๆ ไม่กลัวบาปกลัวกรรมด่าเท่าไหร่ก็ไม่อายไม่รู้สึกแถมบอกว่า มีคนมาทวงกูทุกวันและก็ท้าให้ฟ้องอีกด้วย  งานนี้ลูกน้องผมปวดขมับบอกว่านายทำไงดี ผมบอกว่า ลูกหนี้ประเภทนี้ต้องประจาน เช่น ตอนเช้าไปจ่ายตลาดไปทวงมันกลางตลาดเลยด่ามันให้เสียเลยแม้งานนี้เรียบร้อยหน้ามันเหลือ 2 หุน ดูไม่จืดเลยผมยังนึกหน้ามันออกเลยมันรีบกลับบ้านแล้วเตรียมเงินเตรียมทองจ่ายผมเลยมันด่าผมเสียหมาเลยมันบอกว่าผมเล่นแรงผมบอกว่าผมทำตามหน้าที่ต้องขอโทษด้วยวันหน้าอย่าลืมใช้บริการผมนะถ้าคุณถูกเบี้ยว

วิธีที่ 3 ลูกหนี้บริษัทรับเหมา รับงานราชการต้องสืบให้รู้ว่ารับงานที่ไหนแล้วเข้าไปก่อกวนร้องเรียนแบบนี้ไม่นานต้องจ่ายแน่ เพราะประวัติเสื่อมเสียราชการไม่เอา เมื่อเจอลูกหนี้ต้องขู่ลูกหนี้ว่าถ้าคุณไม่จ่ายผมจะเอาคำสั่งศาลมาระงับเงินที่ส่วนราชการทันที คุณต้องมีประวัติเสื่อมเสียราชการจะขึ้นบัญชีดำคุณ คุณจะอับอายขายขี้หน้าให้รีบจ่ายเป็นการด่วน หากไม่จ่ายเดือดร้อนแน่ คนอย่างผมไม่เคยขู่ใครพูดแล้วต้องทำไม่ต้องท้าผมถ้าใช้มุขนี้โดยทั่วไปลูกหนี้ยอมจ่ายสถานเดียว

2.  การที่เกิดภาวะเงินบาทมีค่าลดลงมาก  (เงินบาทอ่อนตัว) มีผลต่อการที่ธนาคารของท่านในการให้สินเชื่ออย่างไรบ้าง  และการที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่นั้น  จะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในประเด็นใดบ้าง

ตอบ    ค่าเงินบาท หมายถึง จำนวนเงินบาทที่ใช้นำไปแลกเปลี่ยนกับเงินตราต่างประเทศ หรือที่เรียกว่าเงินสกุลอื่นๆ เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ ดอลลาร์สิงคโปร์ เยนญี่ปุ่น ปอนด์สเตอร์ลิง เป็นต้น ซึ่งที่ค่อนข้างคุ้นเคยก็คือ การนำเงิน 33 บาทไปแลกกับดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือการนำเงิน 30 บาทไปแลกได้ 100 เยนญี่ปุ่น หรือ นำเงิน 63 บาท ไปแลกได้ 1 ปอนด์สเตอร์ลิง เป็นต้น

ค่าเงินบาทแข็ง หรืออ่อน จะเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น หากสมมติให้ปัจจัยอื่นๆ คงที่ การที่อยู่ ๆ ก็มีเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาในประเทศไทยมาก ๆ เช่น เข้ามาในตลาดหุ้น ซึ่งเวลาเข้ามานั้น นักลงทุนต่างประเทศจะไม่สามารถเอาเงินตราต่างประเทศที่เค้าถืออยู่มาลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้โดยตรง โดยเค้าต้องขอแลกเป็นเงินบาทก่อน ดังนั้น กรณีนี้ ความต้องการในเงินบาทก็จะสูงขึ้น ซึ่งเวลาที่ความต้องการในเงินบาทสูงขึ้น ขณะที่ปริมาณเงินบาทที่มีในระบบเศรษฐกิจอยู่คงที่ กลไกตลาดก็จะทำงาน โดยทำให้เงินบาทมีค่าสูงขึ้น หรือที่เราเรียกว่าค่าเงินบาทแข็งขึ้นนั่นเอง

สำหรับกรณีของค่าเงินบาทอ่อนลง ก็อาจจะเกิดได้ในกรณีที่ไทยต้องการนำเข้ามาก ๆ เช่น ต้องการนำเข้าน้ำมัน หรือกรณีการนำเข้าวัตถุดิบหรือเครื่องจักรจากต่างประเทศ ดังนั้น ในกรณีนี้ ก็จะต้องมีการนำเงินบาทไปแลกเป็นเงินตราต่างประเทศ เพื่อที่จะได้เอาเงินไปจ่ายต่างประเทศ ความต้องการในเงินตราสกุลต่างประเทศก็จะสูงขึ้น กลไกตลาดก็จะทำให้ค่าของเงินบาทอ่อนลง เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า ค่าเงินบาทสามารถที่จะแข็งขึ้นและอ่อนลงได้ด้วยหลายๆ ปัจจัย แม้กระทั่งหากนักเก็งกำไรมีความรู้สึกว่าค่าเงินบาทน่าจะอ่อนกว่าที่เป็นอยู่ จึงต้องการที่จะถือเงินบาทน้อยลง และหากนักเก็งกำไรทุก ๆ คน คิดและทำเหมือนกันหมด ก็จะมีส่วนทำให้ค่าเงินบาทสามารถอ่อนค่าลงได้เช่นกัน

 (ผลต่อการส่งออก เราใช้เงินซื้อมากขึ้นในขณะที่เราได้ของเท่าเดิม และขายของได้เยอะขึ้นเพราะต่างประเทศใช่เงินซื้อน้อยลงจึงมีกำลังซื้อเยอะขึ้น ซื้อของเรามากขึ้น)

เวลาจะดูผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็ง หรืออ่อน รวมทั้งการสรุปว่าค่าเงินบาทอ่อนเป็นเรื่องดี ค่าเงินบาทแข็งเป็นเรื่องไม่ดี จึงอาจจะไม่จริงเสมอไป แต่จะต้องดูผลดีและผลเสียในหลายๆ ด้านประกอบกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนว่าจะเลือกมองจากด้านใด ทั้งนี้ โดยส่วนใหญ่แล้ว อาจไม่มีใครตอบได้ว่าค่าเงินบาทที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจไทยควรจะอยู่ที่ระดับใด เพราะขึ้นอยู่กับสภาพของเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่สิ่งที่เห็นตรงกันเป็นส่วนใหญ่คือ ค่าเงินบาท ควรจะมีเสถียรภาพ กล่าวคือ ไม่ควรจะผันผวนเปลี่ยนแปลงขึ้นลงอย่างรวดเร็วมากเกินไป เพราะการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว คาดเดาได้ยาก จะมีผลต่อการตัดสินใจของผู้ที่เกี่ยวข้องต่างๆ และส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ

1.  ให้เปรียบเทียบประเด็นพิจารณาในการให้สินเชื่อระหว่าง สินเชื่อพาณิชยกรรม (Modern Trade)  และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Development) รายใหญ่ๆในประเทศไทย

ตอบ  พิจารณาจากตัวสินค้านั้นมีลักษณะต่อไปนี้จะมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง เป็นสินค้าแฟชั่น  เป็นสินค้าบอบบาง  เสียหายง่าย  มีฤดูกาลในการขาย  สินค้าผิดกฎหมายหรือไม่ได้มาตรฐาน  แหล่งสินค้า มีการผูกขาดกับผู้ค้ารายใหญ่  มีความผันผวนในเรื่องราคาซื้อขาย  การเก็บรักษาเก็บในปริมาณที่มาก  มีมูลค่าสูง  ด้านการตลาด มีวิธีขายเดิมๆ ไม่มีจุดเด่นในการขาย ด้านการเงินในกรณีที่ต้องค้าขายกับต่างประเทศ ต้องระมัดระวังในแง่อัตราแลกเปลี่ยน ภาวะเศรษฐกิจมหภาค ทั้งระดับโลกระดับภูมิภาค  และในประเทศ

 

 

   

                                                                

 

 

 

 

 

 

 

2.  การที่เกิดภาวะเงินบาทมีค่าลดลงมาก  (เงินบาทอ่อนตัว) มีผลต่อการที่ธนาคารของท่านในการให้สินเชื่ออย่างไรบ้าง  และการที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่นั้น  จะส่งผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในประเด็นใดบ้าง

ตอบ1. วิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของค่าเงินบาท อ่อนค่าและแข็งค่า

ค่าเงินอ่อนตัว 

ข้อดี: ของนอกรับเข้ามาถูก คนไทยใช้จ่ายกันเยอะ น้ำมันถูก แต่คนส่งออกไม่ได้กำไร 

ค่าเงินบาทอ่อนตัวเป็นผลดีต่อผู้ส่งออกของไทย

ค่าเงินแข็งค่า 

ของนำเข้าแพง น้ำมันแพง แต่เป็นช่วงโอกาสของผู้ส่งออกเพราะจะขายของต้นทุนถูก 

การแข็งค่าของค่าเงินบาท  หรือเงินบาทแข็งค่า  หมายถึงอัตราแลกเปลี่ยนลดลง  อาทิเช่น เดิมอยู่ที่ 40 บาท/ดอลล่าร์สหรัฐฯ  ต่อมาลดลงเป็น 35 บาท/ดอลล่าร์สหรัฐฯ  ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะมีผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ(การนำเข้าและการส่งออก)  โดยจะมีผลทำให้การนำเข้าเพิ่มขึ้น  แต่การส่งออกลดลง  เนื่องจากประเทศคู่ค้าหรือพ่อค้าชาวต่างชาติ  จะมองเห็นว่าสินค้าที่ส่งออกจากประเทศไทยมีราคาแพง  ในขณะที่ประเทศไทยหรือพ่อค้าชาวไทยจะมองว่าสินค้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศมีราคาถูกลง  จึงสั่งสินค้าเข้ามามากขึ้น  แต่การส่งสินค้าออกไปขายของไทยลดลง  เพราะเมื่อนำเงินบาทไปแลกเป็นเงินดอลล่าร์สหรัฐฯจะใช้เงินบาทในจำนวนที่น้อยลง  แต่ชาวต่างชาติจะมองว่าเงิน 1 ดอลล่าร์        ใช้แลกเปลี่ยนเป็นเงินบาท  หรือซื้อสินค้าได้น้อยลง  ดังนั้น การที่เงินบาทแข็งค่าจะทำให้ธุรกิจการส่งออกของไทยได้รับผลกระทบ  ถ้าหากอัตราแลกเปลี่ยนยังคงลดลงเรื่อยๆ  และเกิดเป็นเวลานานจะทำให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ  ท้ายที่สุด  กิจการใดที่ไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ก็ต้องปิดตัวลงในที่สุด  ยิ่งไปกว่านั้น  การที่ส่งออกได้น้อย  แต่นำเข้ามากขึ้น  ทำให้ดุลการค้าขาดดุล  และยิ่งเป็นช่วงที่สถานการณ์ทางการเมืองไม่คงเช่นนี้  ทำให้เงินทุนไหลเข้าประเทศลดลง  บัญชีทุนอาจขาดดุลได้  และก็อาจจะส่งผลให้ขาดดุลการชำระเงินได้ ส่วนกรณีของการอ่อนค่าของค่าเงินบาท  หรือเงินบาทอ่อนค่า  หมายถึงอัตราแลกเปลี่ยนสูงขึ้น  เช่น  เดิมอยู่ที่ 40 บาท/ดอลล่าร์สหรัฐฯ  ต่อมาเพิ่มขึ้นเป็น 45 บาท/ดอลล่าร์สหรัฐฯ  ซึ่งจะมีผลทำให้การนำเข้าลดลง  แต่การส่งออกเพิ่มขึ้น  เนื่องจากพ่อค้าชาวไทยจะมองว่าสินค้าจากต่างประเทศมีราคาสูง  เพราะต้องใช้เงินบาทในปริมาณที่มากขึ้นในการแลกเปลี่ยนเป็น 1 ดอลล่าร์สหรัฐฯ  จึงลดการนำเข้าสินค้าลง  ส่วนประเทศคู่ค้าหรือพ่อค้าชาวต่างชาติจะมองว่า 1 ดอลล่าร์สหรัฐฯสามารถใช้ซื้อสินค้าได้มากขึ้น  หรือสินค้าไทยมีราคาถูกลง  จึงสั่งซื้อสินค้าไทยมากขึ้น  ประเทศไทยจึงส่งออกได้มากขึ้น  เมื่อการส่งออกเพิ่มขึ้น  ในขณะที่การนำเข้าลดลงส่งผลให้ดุลการค้าของไทยเกินดุล และมีผลต่อดุลการชำระเงิน  ทำให้ดุลการชำระเงินเกินดุลด้วย   จะพบว่า เงินบาทแข็งค่าจะมีผลดีกับธุรกิจและอุตสาหกรรม ที่มีการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ  อาทิเช่น  เครื่องจักร  แต่จะก่อให้เกิดผลเสียกับธุรกิจและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการส่งออก  ส่วนเงินบาทอ่อนค่า  จะมีผลในทางตรงข้ามคือ  มีผลดีกับธุรกิจที่มีการส่งออก  แต่เกิดผลเสียกับธุรกิจที่นำเข้าวัตถุดิบ                                  

ดังนั้น การที่เราจะดูว่าอัตราแลกเปลี่ยนและค่าเงินบาทในระดับที่เหมาะสมกับประเทศไทย  จะต้องดูว่าอุตสาหกรรมที่เป็นปัจจัยหลักในการส่งเสริมสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจนั้น  ต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศมากน้อยเพียงใด  หรือเน้นไปที่การส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ  แต่โดยสถิติที่ผ่านมารายได้หลักจากต่างประเทศของไทยก็คือการส่งออก  เป็นกิจกรรมหลักที่ช่วยผลักดันการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ  เพราะฉะนั้นการที่เงินบาทแข็งค่าเป็นเวลานาน  ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยได้  แต่อุตสาหกรรมบางส่วนของประเทศก็ต้องอาศัยการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ  ดังนั้นหากเงินบาทอ่อนค่ามากเกินไปก็อาจจะส่งผลกระทบที่รุนแรงได้เช่นกัน  เงินบาทแข็งค่าและเงินบาทอ่อนค่า  ถ้าหากว่าเกิดขึ้นในระดับที่สูงเกินไป  หรือเกิดขึ้นต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน  ก็ไม่ส่งผลดีกับประเทศไทยทั้งนั้น  จึงไม่สามารถสรุปได้ว่าในกรณีใดที่จะให้ผลดีกับประเทศไทย  แต่รัฐบาลไทยและธนาคารแห่งประเทศไทยควรที่จะรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนและค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่แข็งค่าหรืออ่อนค่าจนเกินไป  นี่คือวิธีที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทย

ที่มา...www.google.com, http://archive.htg2.net

2. วิเคราะห์การเกิดปัญหาเงินเฟ้อและเงินฝืด ใครได้ประโยชน์ แบงค์ชาติและกระทรวงการคลังจะใช้นโยบายแก้ไขอย่างไร

            เงินเฟ้อ หมายถึง สภาวะทางเศรษฐกิจที่ระดับราคาและบริการโดยทั่วไปเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วผิดปกติ  หรือเป็นสภาวะที่ค่าของหน่วยเงินตราลดลงไปเรื่อย  ๆ  เป็นเหตุให้เงินจำนวนเดียวกันนี้ไม่สามารถจะซื้อสินค้าและบริการจำนวนเดียวกันได้เมื่อเวลาล่วงเลยไป  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ  ปริมาณเงินมากกว่าปริมาณสินค้า

            เงินฝืด (เงินฟุบ เงินแฟบ) หมายถึง สภาวะที่ระดับสินค้าและบริการลดลงเรื่อย ๆ แม้สินค้าจะมีราคาถูก แต่ก็ขายไม่ออกเพราะประชาชนยากจนไม่มีเงินซื้อ เมื่อเกิดสภาวะนี้จะไม่มีใครอยากลงทุนลงทุนแล้วสินค้าที่ผลิตก็ขายไม่ออก กรรมกรจะว่างงานเป็นจำนวนมาก

 

            เงินเฟ้อ เกิดขึ้นได้จากหลายๆ สาเหตุ แต่ส่วนใหญ่ในทางวิชาการมักจะแบ่งสาเหตุการเกิดเงินเฟ้อได้เป็น 2 สาเหตุหลักๆ ได้แก่ Cost-push inflation และ Demand-pull inflation

             1) เกิดจากต้นทุนในการผลิตสินค้าสูงขึ้น หรือที่เรียกว่า Cost-push inflation ซึ่งต้นทุนที่ใช้ในการผลิตสินค้าอาจจะสูงขึ้นได้จากทั้งส่วนผสมหรือวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้า ค่าจ้างแรงงาน รวมทั้งค่าขนส่งสินค้า มีราคาแพงขึ้น เช่น กรณีของราคาน้ำมันที่แพงขึ้นก็เป็นตัวอย่างได้ หรือการที่มีการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงาน หรือเกิดน้ำท่วม ภัยแล้ง ทำให้ผลผลิตเกษตรเสียหาย ราคาสินค้าเกษตรก็แพงขึ้น เป็นต้น หรือแม้แต่ในกรณีที่ค่าเงินบาทอ่อนลง จาก 35 บาท เป็น 40 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ ซึ่งหมายถึงว่าเราต้องใช้เงินบาทจำนวนที่มากขึ้นเพื่อไปซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศมาผลิต) หรือแม้แต่การที่รัฐบาลเก็บภาษีเพิ่มขึ้น เช่น การเก็บภาษีบุหรี่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา หรืออาจเกิดจากผู้ผลิตต้องการกำไรที่สูงขึ้นจึงขึ้นราคาสินค้า ซึ่งไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม ก็จะมีส่วนทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้นได้

ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ อาจจะเกิดขึ้นเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ หรืออาจเกิดขึ้นพร้อมๆ กันก็ได้ ซึ่งหากเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน และทำให้ราคาสินค้าและบริการหลายๆ ชนิดแพงขึ้นพร้อมๆ กัน ความรุนแรงของเงินเฟ้อก็จะมากขึ้นด้วย

            (2) เกิดจากความต้องการสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้น หรือที่เรียกว่า Demand-pull inflation ส่วนใหญ่ในช่วงที่ปกติ ผู้ผลิตสินค้าส่วนใหญ่ก็ย่อมจะวางแผนการผลิตสินค้าโดยดูว่ามีคนต้องการซื้อสินค้าของเราเท่าไรในแต่ละช่วงเวลา ดังนั้น ปริมาณสินค้าที่มีในตลาดก็น่าจะอยู่ใกล้เคียงกับความต้องการซื้อสินค้า แต่หากความต้องการสินค้าและบริการสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่สินค้าและบริการที่เป็นที่ต้องการมีอยู่ในตลาดมีไม่พอ ก็ย่อมทำให้ราคาสินค้าและบริการแพงขึ้นได้ ซึ่งเมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้น คนจะยิ่งรีบใช้เงินซื้อสินค้าและบริการมาตุนไว้ ก่อนที่ค่าเงินที่มีอยู่จะลดลง เพราะซื้อสินค้าได้น้อยลง ราคาสินค้าและบริการจะยิ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นไปกว่าเดิม เพราะคนจะยิ่งรีบใช้เงินที่มีอยู่

อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้ว หน่วยงานของทางการก็มักจะไม่ปล่อยให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อรุนแรง โดยทางการอาจจะเข้ามากำกับดูแลการปรับขึ้นราคาสินค้า ตัวอย่างเช่น การขอความร่วมมือให้ ขสมก. เลื่อนการขึ้นค่ารถเมล์ไปก่อน หรืออนุญาตให้ค่ารถเมล์ปรับขึ้นราคาได้บ้างนิดหน่อย เป็นต้น หรือในส่วนของธนาคารแห่งประเทศไทย อาจใช้นโยบายการเงินเพื่อดูแลปัญหาเงินเฟ้อ ทั้งนี้ ก็เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนน้อยที่สุด

            เงินฝืด     เป็นภาวะที่อุปทานมวลรวมของระบบเศรษฐกิจมีมากกว่าอุปสงค์มวลรวม เนื่องจากปริมาณเงินที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจมีไม่เพียงพอกับความต้องการถือเงินหรือความต้องการใช้เงินของประชาชน ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุดังนี้

1.         ธนาคารกลางพิมพ์ธนบัตรออกมาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจน้อยไป ไม่เพียงพอกับความต้องการ

2.         การที่ประเทศมีฐานะดุลการค้า ดุลการชำระเงินขาดดุลอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานทำให้ประเทศต้องสูญเสียเงินตราให้กับต่างประเทศ ส่งผลให้ปริมาณเงินที่หมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจมีน้อยลง

3.         รัฐบาลเก็บภาษีในอัตราสูง ทำให้ปริมาณเงินจำนวนหนึ่งถูกดูดออกจากระบบ (ปริมาณ เงินน้อยลง)

4.         สถาบันการเงินชะลอการปล่อยสินเชื่อให้แก่ระบบเศรษฐกิจ ทำให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจมีไม่เพียงพอกับความต้องการ

5.         ธนาคารกลางดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด เช่น การที่ธนาคารกลางประกาศเพิ่มอัตราเงินสดสำรองที่ธนาคารพาณิชย์จะต้องดำรงตามกฎหมาย หรือการประกาศใช้นโยบายควบคุมการปล่อยสินเชื่อ ฯลฯ ซึ่งนโยบายดังกล่าวจะส่งผลให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจน้อยลง

6.         รัฐบาลใช้นโยบายงบประมาณแบบเกินดุล กล่าวคือ รัฐบาลมีรายได้มากกว่ารายจ่ายทำให้มีปริมาณเงินจำนวนหนึ่งถูกดูดออกจากระบบเศรษฐกิจ (ปริมาณเงินลดลง)

ห้องสมุดวิทยพัฒน์ : ตำราออนไลน์: เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น

 

         www.price.moc.go.th , www.bot.or.th

 

-เงินเฟ้อส่งผลกระทบทำให้อำนาจซื้อลดลง เพราะค่าเงินแท้จริงลดลงทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นอาทิ เช่น สมมติว่าเราเคยซื้อพัดลมตัวละ 200 บาทในปีที่แล้ว หากเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 5% ต่อปี ราคาของพัดลมตัวนั้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 210 บาทในปีนี้ ถ้าเงินเดือนเราเท่าเดิม นั่นหมายความว่าเรามีกำลังซื้อน้อยลงหรือจนลงนั่นเอง

- เงินเฟ้อทำให้มูลค่าที่แท้จริง (real value) ของทรัพย์สินที่เป็นตัวเงินลดลง ในขณะที่มูลค่าของทรัพย์สินที่ไม่เป็นตัวเงินอาจเพิ่มขึ้น มีผลทำให้ผู้ที่มีทรัพย์สินเป็นเงินมีรายได้ที่แท้จริงลดลง ในขณะที่ผู้ที่มีทรัพย์สินที่ไม่ใช่ตัวเงิน เช่น อสังหาริมทรัพย์ มีรายได้ที่แท้จริงมากขึ้น เงินเฟ้อจึงมีผลกระทบ อาทิ คนถือครองทรัพย์สินรวยกว่าคนถือเงินสด คนมีรายได้ประจำจนลงลูกหนี้ได้เปรียบกว่าเจ้าหนี้เพราะจำนวนเงินเท่าเดิมมีมูลค่าที่แท้จริงลดลง จึงทำให้เมื่อจ่ายหนี้คืนเจ้าหนี้ก็เสมือนจ่ายคืนในมูลค่าที่ลดลง

- ในส่วนของภาครัฐเมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อ จะทำให้รัฐเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น ทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีซื้อ ภาษีขาย เป็นต้น

รัฐบาลมักจะแก้ไขภาวะเงินเฟ้อโดยใช้นโยบายการเงินเพื่อลดปริมาณเงินที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เช่น ขายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อประชาชนนำเงินบางส่วนมาให้รัฐบาลยืม เพิ่มอัตราเงินสำรองตามกฎหมายของธนาคารพาณิชย์ ปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากให้สูงขึ้นเพื่อคนออมทรัพย์มากขึ้น เป็นต้น หรืออาจใช้นโยบายการคลัง อาทิ การเก็บภาษีประชาชนเพิ่ม เป็นต้น หรืออาจใช้นโยบายอื่น ๆ เช่น ควบคุมราคาสินค้า ควบคุมต้นทุนการผลิต ควบคุมค่าจ้างแรงงานไม่ให้สูงขึ้น เป็นต้น

 โดยสรุปคือ ภาวะเงินเฟ้อใช้เพื่อวัดค่าครองชีพของประชาชน ภาวะเงินเฟ้อจะเกิดขึ้นต่อเมื่อราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปสูงขึ้นต่อเนื่อง หากสูงขึ้นแล้วปรับลดลง จะไม่นับว่าเกิดภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งเงินเฟ้อในระดับอ่อนๆ จะไม่สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ แต่หากเกิดภาวะเงินเฟ้อสูงๆ จะทำให้ค่าของเงินที่เรามีอยู่ด้อยค่าลงไป ทำให้ซื้อของได้น้อยลง ธุรกิจไม่สามารถผลิตหรือลงทุนได้เพราะมีความไม่แน่นอนเรื่องราคาอยู่สูง ซึ่งจะมีผลกระทบทางลบต่อระบบเศรษฐกิจในที่สุด

3.  การควบคุมสินเชื่อถือเป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่สำคัญมาก ท่านจงอธิบายแนวทางการควบคุมสินเชื่อที่สำคัญ และ บอกตัวอย่างการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพมา 2 ตัวอย่าง

โครงสร้างการบริหารความเสี่ยงของธนาคาร

             ธนาคารได้มอบหมายให้คณะกรรมการชุดต่างๆได้แก่ คณะกรรมการธนาคาร คณะกรรมการบริหาร

คณะกรรมการตรวจสอบ และคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง มีหน้าที่ความรับผิดชอบดูแลนโยบายการบริหาร

ความเสี่ยงของธนาคาร อีกทั้งได้แต่งตั้งคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงขึ้นมาอีกหลาย

ชุด เพื่อให้รับผิดชอบในการกำหนดนโยบาย กลยุทธ์และการบริหารความเสี่ยงด้านต่างๆ ของธนาคาร อาทิ

  คณะกรรมการผู้บริหารสายงาน 

             มีหน้าที่ หลักในการกำหนดนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ของธนาคาร การกำหนดนโยบายด้านสินเชื่อ

การบริหารสภาพคล่อง การลงทุนในตลาดการเงินตลาดทุน เรื่องอัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน การ

พัฒนาผลิตภัณฑ์ และการกำกับดูแลการปฏิบัติตามนโยบายที่ คณะกรรมการธนาคารและคณะกรรมการ

บริหารกำหนดรวมทั้งการดำเนินงานในด้านต่างๆ ของธนาคาร โดยจัดให้มีการประชุมเป็นประจำทุกสัปดาห์

  คณะกรรมการการลงทุน                    

             มีหน้าที่ในการพิจารณากรอบและแผนการลงทุนในตราสารทุนและตราสารหนี้ การอนุมัติการลงทุน

ภายใต้วงเงินที่ ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการธนาคาร การกลั่นกรองการลงทุนที่ เกินอำนาจของ

คณะกรรมการการลงทุนเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการบริหารและ/หรือคณะกรรมการธนาคาร และการควบคุม

การบริหารการลงทุน รวมถึงการควบคุมความเสี่ยงในการค้าตราสารให้เป็นไปตามนโยบายและเป้าหมายการ

ลงทุน โดยจัดให้มีการประชุมอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง 

คณะกรรมการบริหารสินทรัพย์และหนี้สิน 

มีหน้าที่ในการกำหนดกลยุทธ์การบริหารโครงสร้างสินทรัพย์ หนี้สิน และเงินกองทุนของธนาคารให้เหมาะสมกับปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องและการทำกำไรของธนาคาร รวมทั้งการพิจารณานำเครื่องมือการวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพมาใช้ในการกำหนดอัตราดอกเบี้ย ผลตอบแทนด้านสินเชื่อและเงินฝาก รวมทั้งการลงทุนในสินทรัพย์ เพื่อให้สอดคล้องกับการบริหารจัดการสภาพคล่องของธนาคารโดยคณะกรรมการฯ จะมีการประชุมกันอย่ างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง และนำเสนอรายงานต่อคณะกรรมการบริหาร/คณะกรรมการธนาคารเพื่อรับทราบ และ/หรือ

เพื่อตัดสินใจ

  คณะกรรมการสินเชื่อ                        

มีหน้าที่พิจารณาอนุมัติเกี่ยวกับการขอวงเงินสินเชื่อการปรับปรุงโครงสร้างหนี้การรับโอนหลักทรัพย์ประกัน

ชำระหนี้ และการซื้อทรัพย์จำนองจากการขายทอดตลาดตามอำนาจที่ธนาคารกำหนด โดยจัดให้มีการประชุมอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง            

  คณะกรรมการกลั่นกรองสินเชื่อ

             มีหน้าที่ พิจารณากลั่ นกรองงานที่ อยู่ ในอำนาจของคณะกรรมการบริหาร และคณะกรรมการธนาคารได้แก่ การขอวงเงินสินเชื่อ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้การซื้อขายทรัพย์สินรอการขาย และการเข้ารับประกันการจำหน่ายและ/หรือการลงทุนในตราสารหนี้ ยกเว้นตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาล ธนาคารแห่งประเทศไทยและหน่วยงานของรัฐที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน รวมถึงการพิจารณาอนุมัติการขอวงเงินสินเชื่อ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้และธุรกรรมสินเชื่อตามอำนาจที่ธนาคารกำหนด รวมทั้งปฏิบัติหน้าที่อื่นใดตามที่ได้รับมอบหมายจากกรรมการผู้จัดการ โดยมีการประชุมอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง                

สำหรับการบริหารความเสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงิน คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง จะกำหนดนโยบายการบริหารความเสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงินตามแนวทางการกำกับแบบรวมกลุ่ม (Consolidated Supervision) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ตลอดจนมีการควบคุม ติดตาม และประเมินความเสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงินให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ขณะเดียวกันคณะกรรมการตรวจสอบ ก็จะทำหน้าที่ กำกับ ดูแลและติดตาม เพื่อให้มีการปฏิบัติตามแนวนโยบายการบริหารความเสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงิน รวมทั้งสอบทานรายงานทางการเงินของกลุ่มธุรกิจทางการเงินให้ถูกต้องและเพียงพอ                

หลักการบริหารความเสี่ยง

 เพื่อให้การบริหารความเสี่ยงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ธนาคารได้กำหนดหลักการบริหารความเสี่ยงด้านต่างๆ ไว้ดังนี้

 1. ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ (Strategic Risk)

     ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ คือ ความเสี่ยงที่เกิดจากการกำหนดแผนกลยุทธ์แผนดำเนินงาน และการนำไปปฏิบัติที่ไม่เหมาะสมหรือไม่สอดคล้องกับปัจจัยภายในและสภาพแวดล้อมภายนอก อันส่งผลกระทบต่อรายได้เงินกองทุน หรือการดำรงอยู่ของกิจการ

     ในปี 2552 ปัจจัยเสี่ยงด้านภาวะเศรษฐกิจมีผล กระทบต่อการดำเนินธุรกิจของธนาคารมากกว่าในปีที่ผ่านมา เนื่องจากวิกฤติSub-prime ที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯตั้งแต่ปลายปี2551 ได้ขยายไปสู่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย เมื่อภาคส่งออกหดตัวลงอย่างรวดเร็วจากความต้องการที่หายไปของตลาดหลัก ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตแลการจ้างงานในอุตสาหกรรมสำคัญหลายหมวด ขณะเดียวกันยังมีปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศเกิดขึ้นอย่างยืดเยื้อ และการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ซึ่งล้วนส่งผลให้อุปสงค์ในประเทศ    ทั้งการบริโภค และการลงทุนซบเซาลง     ทำให้ธนาคารอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านกลยุทธ์อย่างไรก็ตาม ธนาคารได้มีการติดตามสถานการณ์และกำหนดแนวทางเพื่อรองรับเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของธนาคารยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี                       

     สำหรับมาตรการในการบริหารความเสี่ยงด้าน

กลยุทธ์ของธนาคาร สรุปได้ดังนี้

1)     การบริหารความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ของธนาคารเป็นไปตามแนวทางการตรวจสอบของธนาคารแห่งประไทย

ไทย และแนวทางการบริหารจัดการองค์กร ด้านการบริหารความเสี่ยงของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.)

2)     กระบวนการจัดทำแผนกลยุทธ์ของธนาคารมีลำดับขั้นตอนที่ชัดเจน ซึ่งกรรมการและผู้บริหารระดับ

สูงได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำแผนกลยุทธ์ของธนาคาร รวมทั้งมีกระบวนการสื่อสารและนำแผนกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติตามความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงานเพื่อให้แผนกลยุทธ์นั้นมีประสิทธิภาพสูงสุด                       

3)     มีการพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างครอบคลุมทั้งสภาพแวดล้อมภายในและภายนอก โดยนำข้อมูลเชิงลึกอาทิ

ข้อมูลเปรียบเทียบกับคู่แข่ง ผลการสำรวจความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ และข้อมูลจากการทำ SWOT Analysis มาใช้ในการกำหนดกลยุทธ์เป็นต้น

4)     ธนาคารมีกระบวนการติดตามผลการดำเนินงานเปรียบเทียบกับเป้าหมายเป็นระยะๆ และมีกาปรับเปลี่ยน

แผนการดำเนินงานให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวะที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้มั่นใจว่าผลการดำเนินงานด้านต่างๆ ของธนาคารจะเป็นไปตามเป้าหมาย

 2. ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk)

ความเสี่ยงด้านเครดิต คือ ความเสี่ยงที่เกิดจากการที่คู่สัญญา (Counterparty) ของธนาคารไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขและข้อตกลงในสัญญาที่ ได้ตกลงร่วมกันไว้ได้ ทำให้ไม่สามารถชำระหนี้เมื่อครบกำหนดซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อธนาคาร

 ธนาคารได้ตระหนักถึงการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิต ทั้งในระดับลูกค้า และระดับ Portfolio โดยระบบ

การบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตของธนาคาร ประกอบด้วยกระบวนการที่ สำคัญ คือ การระบุความเสี่ยงการประเมินความเสี่ยง การติดตามและควบคุมความเสี่ยงและการรายงานความเสี่ยง

ในปี2552 ธนาคารได้ทำการปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิต โดยการทบทวนแลปรับปรุงนโยบายและคู่มือบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตรวมถึงกระบวนการที่ เกี่ยวข้องกับการให้สินเชื่อของธนาคาร เช่น การปรับปรุงกระบวนการ นโยบายสินเชื่อและเครื่องมือสำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อย โดยการนำระบบLoan Origination    และ Credit Scoring เข้ามาใช้นอกจากนี้ ธนาคารมีการจัดทำรายงานการทดสอบภาวะวิกฤติ(stress testing) เพื่อรองรับการปฏิบัติตามกระบวนการ ICAAP และมีการติดตาม/รายงานผลการบริหารความเสี่ยง เพื่อควบคุมความเสี่ยงด้านสินเชื่อให้เป็นไปตามแผนการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตของธนาคาร และเพื่อให้สอดคล้องกับแนวนโยบายการกำกับดูแลความเสี่ยงด้านเครดิตของธนาคารแห่งประเทศไทยรวมทั้งหลักเกณฑ์Basel II                                

ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของการให้สินเชื่อ

ธนาคารมีนโยบายดูแลความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของการให้สินเชื่อ ที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์กำกับลูกค้ารายใหญ่ของทางการ นอกจากนี้ธนาคารมีการกำหนดวงเงินสินเชื่อสูงสุดสำหรับอุตสาหกรรมแต่ละประเภท(Sector Limit) เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงและควบคุมไม่ ให้เกิดการกระจุกตัวของสินเชื่ออย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งได้มีการติดตามดูแลความเสี่ยงนี้อย่างใกล้ชิดทั้งนี้ ณ สิ้นปี2552 ไม่พบว่าเงินให้สินเชื่อของธนาคารมีการกระจุกตัวในลูกค้ารายใดรายหนึ่ง หรืออุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งอย่างมีนัยสำคัญ โดยสินเชื่อที่ให้แก่ลูกค้ารายใหญ่ 10 อันดับแรก เป็นลูกค้าหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ มีฐานะการเงินที่น่าเชื่อถือ ขณะที่สินเชื่อที่ให้แก่อุตสาหกรรมต่างๆ ส่วนใหญ่กระจายอยู่ในภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการพาณิชย์สาธารณูปโภคและบริการ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง

• ความเสี่ยงจากคุณภาพสินเชื่อ

 ธนาคารบริหารคุณภาพลูกหนี้สินเชื่อใหม่ ในปี2552 อย่างรัดกุมและรอบคอบ ทั้งยังทำการป้องกัน

ความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อภายใต้Credit Policy และ Credit Risk Indicator ที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงกำหนดให้มีการติดตามดูแลสินเชื่อหลังการอนุมัติอย่างใกล้ชิด และตรวจสอบคุณภาพสินเชื่อของลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้สินเชื่อดีกลายเป็นสินเชื่อที่มีปัญหา นอกจากนี้ ธนาคารยังให้ความสำคัญกับการลดปริมาณสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Non-Performing Loans: NPLs) ตามโครงการเร่งดำเนินการกับลูกหนี้ NPL ทุกราย โดยเร่งรัดปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เร่งรัดดำเนินคดีและบังคับคดีกับลูกหนี้ที่ มีปัญหา กำหนดแผนการขาย NPA ในเชิงรุก รวมทั้งปรับปรุงการMonitor และ Implementation เพื่อให้แผนการลดNPL และการขาย NPA บรรลุผลตามเป้าหมาย ทำให้ยอดสินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคารในปี 2552 มี จำนวนลดลง โดยมียอด NPLs (net) จำนวน 52,209ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปีก่อน จำนวน 6,604 ล้านบาทหรือลดลงถึงร้อยละ 11.23 ส่งผลให้สัดส่วน NPLs(net)/Loans ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 4.11 จากร้อยละ 5.42ณ สิ้นปีก่อน                            

• ความเสี่ยงจากมูลค่าหลักประกัน        

 การให้สินเชื่อของธนาคารโดยทั่วไปจะต้องมีหลักประกัน ได้แก่ เงินฝากธนาคาร ตั๋วเงิน พันธบัตรรัฐบาลพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ อสังหาริมทรัพย์ที่ปราศจากภาระผูกพัน เครื่องจักรจดทะเบียน สิทธิการเช่าที่ดิน หรือ อาคาร และสินค้าในคลังสินค้าของลูกหนี้หรือบุคคลอื่นโดยส่วนใหญ่เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่อาจได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาตามภาวะตลาด ธนาคารจึงกำหนดให้มีการดูแลควบคุมการประเมินราคาหลักประกันอย่างเข้มงวด และติดตามการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าหลักประกันอย่างใกล้ชิด รวมทั้งประสานงานกับหน่วยงานภายในและภายนอกเพื่อประเมินราคาให้เป็นปัจจุบันตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยและทำการกันเงินสำรองไว้ให้เป็นไปตามเกณฑ์IAS 39

• ความเสี่ยงจากการเกินวงเงินของคู่สัญญา

 ธนาคารได้กำหนดเพดาน/วงเงินของคู่ สัญญา(counterparty limit) ไว้ เพื่อควบคุมความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการที่คู่ค้าของธนาคารปฏิเสธหรือไม่สามารถชำระราคาหรือส่งมอบหลักทรัพย์ให้แก่ธนาคารได้ตามที่ตกลงกันไว้โดยมีการติดตามและบริหารจัดการไม่ให้เกินจากวงเงินที่กำหนดไว้นั้น

 3. ความเสี่ยงด้านตลาด (Market Risk)

             ความเสี่ยงด้านตลาด หมายถึง ความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าของตราสารทางการเงินเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยตลาด ได้แก่ การเคลื่อนไหวของอัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และราคาตราสารทุน ที่มีผลกระทบในทางลบต่อรายได้และเงินกองทุนของธนาคาร โดยมอบหมายให้ฝ่ายบริหารความเสี่ยงด้านตลาด ซึ่งเป็นอิสระจากหน่วยงานที่ทำธุรกรรม (Front Office) ทำหน้าที่บริหารความเสี่ยงด้านตลาด ทำให้การควบคุมดูแลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส                                   

• ความเสี่ยงที่มีต่อฐานะในบัญชีเพื่อการค้า (Trading Book)

 ธนาคารใช้เครื่องมือวิเคราะห์เชิงสถิติคือ Valueat  Risk (VaR) ในการประเมินความเสี่ยงด้านตลาดโดย VaR คือ มูลค่าสูงสุดที่ธนาคารมีโอกาสที่จะได้รับความเสียหายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยตลาด(Risk Factors) ภายใต้ระดับความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 99ในช่วงระยะเวลาถือครอง 1 วัน นอกจากนี้ธนาคารยังกำหนด Sensitivity กับ Risk Factor แต่ละประเภทเป็นเพดานความเสี่ยงเพื่อใช้ในการควบคุม เช่น การกำหนดค่า Delta, PV01 เป็นต้น โดยในปี2552 ภาพรวมความเสี่ยงด้านตลาดของธนาคารอยู่ ในระดับต่ำและอยู่ในกรอบเพดานความเสี่ยงที่ธนาคารยอมรับได้ทั้งนี้ สามารถจำแนกความเสี่ยงที่ มีต่อฐานะในบัญชีเพื่อการค้าได้ดังนี้

1)     ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย (Interest RateRisk)

ในปี2552 อัตราดอกเบี้ยโดยรวมไม่ค่อยความผันผวน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของประเทศสำคัญไม่มีการเปลี่ยนแปลง อาทิ ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา           คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 0 - 0.25 ตลอดทั้งปี ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยก็ทรงตัวในระดับร้อยละ 1.25 มาตั้งแต่เดือนเมษายน 2552 และอัตราเงินเฟ้อเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยของธนาคารในปี2552 จึงมีค่อนข้างต่ำ และอยู่ภายใต้ระดับความเสี่ยงที่ธนาคารยอมรับได้

2)     ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ(Foreign Exchange Rate Risk)

ธนาคารได้ควบคุมธุรกรรมการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศประจำวัน ทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับรายการซื้อขายเงินทันที(Spot) และรายการซื้อขายเงินล่วงหน้า (Forward) รวมถึงสิทธิในการซื้อและขาย (Options) โดยในปี2552 เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนน้อยกว่าในปี2551 แม้ในช่วงครึ่งปีหลังจะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นจากช่วงต้นปี ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนของธนาคารในปี2552 จึงมีค่อนข้างต่ำและอยู่ภายใต้ระดับความเสี่ยงที่ธนาคารยอมรับได้

3)     ความเสี่ยงจากราคา (Price Risk)

ในปี2552แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะค่อนข้างผันผวน และทรุดตัวลงในช่วงต้นปี ซึ่งเป็นภาวะที่ต่อเนื่องมาจากปลายปีก่อนหลังจากได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก แต่การปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องของ SET Index ในช่วงครึ่งหลังของปี ทำให้ธนาคารได้รับผลในเชิงบวกมากกว่าความเสี่ยงจากราคาตราสารทุนของธนาคารในปี 2552จึงมีค่อนข้างต่ำ และอยู่ภายใต้ระดับความเสี่ยงที่ธนาคารยอมรับได้ นอกจากนี้ ธนาคารยังมีมาตรการบริหารความเสี่ยงด้านตลาดสำหรับธุรกรรมที่ จัดอยู่ ในบัญชีเพื่อการค้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นมาตรการเดิมที่ใช้ได้ดี

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท