เรื่องสั้น : รักที่ไม่มีเงื่อนไข (1)


เมื่อมีทุกข์ที่ใจ ก็จงแก้ไขที่ใจนะโยม ในโลกนี้ไม่มีความทุกข์หรือปัญหาใดหรอกที่เราจะแก้ไขไม่ได้ ขอเพียงให้เรามีจิตใจตั้งมั่น เข้มแข็งและอดทนเท่านั้น

 

 

 

 

 

 

 

          ในรอบหลายวันที่ผ่านมานี้มีเรื่องราวมากมายหลายเรื่องด้วยกันที่ทำให้ผมต้องคิดมาก  มีหลายครั้งที่รู้สึกลังเลสับสน และอยากจะหาทางออกที่ถูกต้องให้กับตนเอง เพื่อจะได้ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างคลี่คลายลงได้บ้าง

          ที่ผ่านมานั้น ยามใดก็ตามที่ผมมีความทุกข์หรือมีปัญหาทางใจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม สถานที่ที่ผมคิดถึงเป็นแห่งแรกก็คือวัด วัดซึ่งเป็นที่พึ่งทางจิตใจของชาวพุทธทุกๆ ชีวิต  ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยบวชมาก่อนเลยในชีวิต แต่ผมก็ชอบไปวัดเป็นประจำ ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะว่าตอนเด็กๆ ยายมักจะพาผมไปวัดเพื่อทำบุญเป็นประจำ ประสบการณ์ที่ดีงามเหล่านั้น เลยทำให้ผมเกิดความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับวัดอยู่ตลอดเวลา

          การไปวัดบ่อยๆ ทำให้ผมเกิดความสบายอกสบายใจและมีความเบิกบานใจขึ้นมาอย่างประหลาด ทำให้รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้น  หากวันไหนมีโอกาสได้กราบนมัสการพระภิกษุสงฆ์ในวัดและได้สนทนาธรรมกับท่านด้วยแล้ว วันนั้นยิ่งทำให้ตนเองเกิดกำลังใจ และพบแสงสว่างคือปัญญาที่สามารถจะนำไปส่องทางหรือนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาชีวิตได้อย่างยอดเยี่ยมทีเดียว

          ในมุมมองส่วนตัวของผมแล้ว ผมมองว่าวัดเป็นแหล่งพักพิงทางจิตวิญญาณหรือเป็นโรงพยาบาลที่สามารถจะเยียวยารักษาโรคทางจิตใจของทุกชีวิตได้เป็นอย่างดี โดยมีพระภิกษุสงฆ์ทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรหรือนายแพทย์ที่จะคอยรักษาโรคทางใจให้กับทุกๆ คนที่เข้าไปขอรับการรักษา และมีธรรมะเป็นยาขนานเอกที่จะช่วยรักษาโรคหรือบาดแผลทางใจของผู้ป่วยทุกชีวิตให้หายเป็นปรกติ

          วัดจึงเป็นสถานที่แห่งแรกที่ผมเลือกที่จะเข้าไปในยามที่ผมมีความทุกข์หรืออยากจะแสวงหาความสงบให้กับชีวิตของตนเอง

          เมื่อวันอาทิตย์สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากทำธุระเสร็จเรียบร้อยแล้ว ช่วงบ่ายผมก็ขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่าๆ แวะเข้าไปเที่ยวที่วัดอุโมงค์(สวนพุทธธรรม) จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นวัดป่าที่มีความร่มรื่นมาก เพราะมีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นเต็มไปหมด

          ผมจอดมอเตอร์ไซค์ที่อยู่ในสภาพเกือบจะเป็นเศษเหล็กของตนเองเอาไว้ใกล้ร้านค้าของคนพิการที่หน้าวัด จากนั้นก็เดินอ่านสุภาษิตที่ติดตามต้นไม้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงบริเวณพระอุโบสถ ผมก็เดินเข้าไปกราบพระประธานประจำอุโบสถ และนั่งนิ่งทำสมาธิเพื่อสงบจิตสงบใจเป็นเวลาประมาณสิบนาที จากนั้นก็กราบลาพระประธานและเดินไปที่สระน้ำเพื่อให้อาหารปลาที่มีอยู่เป็นจำนวนมากมายหลายหมื่นตัว

          เสร็จจากการให้อาหารปลาแล้ว ผมก็เดินลัดเลาะเข้าไปในบริเวณสวนสัตว์เปิดของกรมป่าไม้ที่อยู่หลังวัด ซึ่งกรมป่าไม้ได้นำเอาสัตว์หลายชนิดมาปล่อยไว้ในบริเวณดังกล่าว โดยในบริเวณนั้นมีกุฏิพระหลังเล็กๆ หลายหลังตั้งอยู่ และมีพระภิกษุที่ชอบความสงบวิเวกพักจำพรรษาอยู่

          ผมเดินไปนั่งที่ม้าหินใต้ต้นมะรื่นขนาดใหญ่ใกล้กับกุฏิของพระภิกษุรูปหนึ่ง ที่ผมมักจะมาสนทนากับท่านเป็นประจำ ผมนั่งพักผ่อนเงียบๆ อย่างมีความสุขใจใต้ต้นมะรื่นใหญ่ต้นนั้นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง สักครู่ก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งทักทายขึ้น

          “เจริญพร  โยมเพลิน”  ผมหันเหลียวไปมองทางขวามือ ก็พบพระภิกษุรูปหนึ่งกำลังยืนสำรวมและมองมาที่ผมด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา

          ผมลุกจากม้านั่งแล้วก้มลงกราบท่านด้วยความเคารพสามครั้ง พร้อมกับประนมมือกล่าวกับท่าน

          “กราบนมัสการครับท่านอาจารย์” 

          “เจริญพรๆ    อ้าว! เดี๋ยวเชิญลุกขึ้นนั่งบนม้านั่งอย่างเดิมน่ะ ไม่ต้องเกรงใจ” ท่านบอก

          “กราบขอบพระคุณมากๆ ครับ”   ผมประนมมือกล่าวขอบคุณ และค่อยๆ ลุกขึ้นไปนั่งที่ม้านั่งตัวเดิม ส่วนพระคุณเจ้าก็นั่งลงที่ม้านั่งอีกตัวซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน

          “เป็นอย่างไรบ้าง  ไม่ได้คุยกันเสียนาน  ตอนนี้สบายดีหรือเปล่า?”  ท่านถามผม

          “ผมสบายดีครับท่านอาจารย์  ผมต้องกราบขออภัยด้วยครับ ที่ไม่ได้มาเยี่ยมท่านอาจารย์เสียหลายเดือน ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์เป็นอย่างไรบ้าง  สบายดีหรือเปล่าครับ”    ผมถามท่านบ้างด้วยความห่วงใย

          “อาตมาสบายดีตลอดเวลาแหละโยมเพลิน  สบายทั้งกายและจิตใจ ไม่มีสิ่งใดน่าเป็นห่วง สบายๆ และเรียบๆ ง่ายๆ ตามรูปแบบของสมณะทั่วไปนะแหละน่ะ  อ้อ!  ว่าแต่โยมเถอะ  ตอนนี้เรื่องการเรื่องงานเป็นอย่างไรบ้าง?” ท่านถามขึ้นอีก

          “ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีครับ ไม่มีปัญหาอะไร เพราะผมได้ทำงานที่ตัวเองชอบ ได้เจ้านายใจดี และได้ทำงานกับลูกน้องที่มีความรับผิดชอบต่องาน ทุกอย่างก็เลยราบรื่นครับผม” 

          “แต่   เอ!  ดูเหมือนว่าแววตาของโยมเพิลนจะมีร่องรอยของความทุกข์แฝงอยู่น่ะ  ไม่ทราบว่ามีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า?”    ท่านถามผม

          “ทำไมท่านอาจารย์ถึงมองออกละครับว่าผมกำลังมีความทุกข์”    ผมสงสัยว่าทำไมท่านถึงมองออกทั้งๆ ที่ผมพยายามเก็บอาการเอาไว้อย่างดีแล้ว

          “ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจนะโยมเพลิน  หากเราอยากจะรู้ว่าใครมีความสุขหรือความทุกข์ ก็ขอให้สังเกตดูที่ดวงตาหรือแววตาของเขา  แล้วเราก็จะทราบความในใจของเขาทุกอย่าง  ดวงตาของโยมเองก็เหมือนกัน  มันกำลังบ่งบอกว่าโยมกำลังมีความทุกข์อยู่ในใจ   โยมอาจจะปิดบังคนอื่นได้ แต่ไม่สามารถปิดบังอาตมาได้หรอกน่ะ!”  ท่านกล่าว

          “ครับ!  ตอนนี้ผมกำลังมีบางเรื่องที่ทำให้ผมเกิดความไม่สบายใจ  และผมก็กำลังพยายามหาทางออกอยู่ครับ”  ผมบอกท่านตามตรง

          “ถ้าเดาไม่ผิด  อาตมาคิดว่าคงจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักกระมัง”   ท่านพูดอย่างรู้ทัน

          “ใช่ครับ   ผมกำลังมีความทุกข์กับความรักของตัวเอง  ซึ่งนับวันก็ยิ่งจะกัดกร่อนจิตใจผมขึ้นเรื่อยๆ “ 

          “ไหนโยมลองเล่าให้อาตมาฟังหน่อยซิว่ามันเป็นยังไง  ความรักแบบไหนที่ทำให้โยมต้องมีความทุกข์มากมายขนาดนี้” 

          ท่านบอกให้ผมเล่าเรื่องราวให้ท่านฟัง โดยที่ท่านนั่งฟังอย่างเงียบๆ

          หลายครั้งแล้วที่ผมต้องเล่าเรื่องราวของตัวเองให้ท่านฟัง ซึ่งท่านก็เข้าใจในสิ่งที่ผมเล่าให้ท่านฟังเสมอ และทุกครั้งที่ผมมีปัญหาในชีวิตขึ้น ท่านก็จะช่วยแนะนำทางสว่างให้ จนทำให้ผมสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเหล่านั้นให้สำเร็จลุล่วงลงได้ด้วยดีทุกครั้ง

          ผมไม่ทราบว่าท่านมีชื่อหรือนามสกุลจริงว่าอย่างไร รู้แต่เพียงว่าท่านเป็นคนอีสาน ท่านเกิดที่จังหวัดนครพนม เดินทางไปจำพรรษามาแล้วหลายแห่ง อายุของท่านอยู่ในราว 60 ต้นๆ เห็นจะได้ คงจะบวชมาแล้วไม่ต่ำกว่าสามสิบพรรษา เห็นพระรูปอื่นเรียกท่านว่า “ท่านปิยะนันโท” 

          ท่านเป็นพระภิกษุที่มีจริยาวัตรงดงาม ท่านปฏิบัติกิจของสงฆ์สมบูรณ์แบบทุกอย่าง จำวัดตอนสี่ทุ่ม ตื่นตีสี่ ออกบิณฑบาตทุกเช้า ฉันอาหารเพียงมื้อเดียว ปฏิบัติธรรมโดยการนั่งสมาธิ ยืนสมาธิ และเดินจงกรมทั้งกลางวันและกลางคืนวันละหลายชั่วโมง  ภายในกุฏิของท่านมีเพียงเสื่อหนึ่งผืน หมอนไม้ กลด บาตร หนังสือธรรมะ สมุดบันทึกเก่าๆ เล่มหนึ่ง และบริขารที่จำเป็นสำหรับบรรพชิตเท่านั้นเอง

          ท่านเป็นพระสงฆ์ที่มีความเรียบง่าย อยู่อย่างต่ำ แต่มุ่งกระทำอย่างสูง  พูดตรงไปตรงมา ไม่เสแสร้ง ไม่อ้อมค้อม แต่ก็ไม่ใช่แบบขวานผ่าซาก  ท่านพูดเฉพาะในสิ่งที่เห็นว่าจำเป็นเท่านั้น และคำพูดของท่านฟังแล้วก็เข้าใจง่าย หากแต่มีความลุ่มลึกน่าคิดอย่างยิ่ง

          ผมเล่าปัญหาและระบายความในใจให้ท่านฟังฝ่ายเดียวเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง  ในขณะที่ท่านนั่งหลับตาฟังอย่างสงบนิ่ง โดยไม่ได้พูดอะไรแทรกขึ้นมา จะมีบ้างก็แค่บอกว่า “อ้าว! เล่าต่อๆ” เท่านั้นเอง

          “ท่านอาจารย์ครับ   เรื่องราวของผมก็มีเพียงเท่านี้แหละครับ  ขอท่านอาจารย์ได้โปรดช่วยแนะนำทางสว่างให้ผมด้วยครับ”    ผมประนมมือกล่าวกับท่านด้วยความเคารพ

          “ เท่าที่ฟังมาทั้งหมด ปัญหาทุกอย่างอยู่ที่ตัวโยมเพลินเพียงคนเดียวน่ะ  มันเกิดขึ้นเพราะว่าโยมยังไม่เข้าใจความรักดีพอ  หากโยมเข้าใจความรักอย่างแท้จริงเสียแล้ว  โยมจะไม่ต้องมานั่งเศร้าสร้อยอมทุกข์อย่างนี้แน่นอน”  

          “แล้วความรักที่แท้จริงเป็นอย่างไรครับท่านอาจารย์?”   ผมถามท่านด้วยความอยากรู้จริงๆ

          “ความรักเป็นตัวแทนของความดีและความงดงามแห่งจิตใจของมนุษย์ทุกคน  เป็นสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับความเกลียดชัง  ความโกรธแค้น  ความพยาบาท  หรืออิจฉาริษยาต่างๆ  ความรักเป็นสิ่งที่สื่อแสดงออกมาให้เห็นถึงความเจริญสูงสุดทางด้านจิตใจของมนุษย์ ในขณะที่ความเกลียดชังหรือความโกรธแค้นก็คือสื่อที่แสดงให้เห็นถึงความเสื่อมโทรมทางจิตใจของมนุษย์เช่นกัน 

          ความรักมีอยู่หลายรูปแบบด้วยกัน  มีทั้งความรักในทัศนะของศาสนา ความรักของพ่อแม่กับลูก ศิษย์กับอาจารย์ เพื่อนกับเพื่อน พี่กับน้อง  หรือแม้แต่ความรักแบบหนุ่มสาว

          แต่ในที่นี้อาตมาอยากจะพูดถึงความรักแบบหนุ่มสาวให้โยมเพลินฟังเพียงอย่างเดียวก่อน เพื่อจะทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง จะได้ไม่ต้องกลายเป็นคนที่แบกโลกเอาไว้บนบ่าเพียงคนเดียวอย่างนี้ต่อไปอีก”

          “ครับ! ผมจะตั้งใจฟังครับ” ผมกล่าว

          “ความรักแบบหนุ่มสาวนั้น  สามารถที่จะเกิดขึ้นได้กับคนในทุกเพศทุกวัย  ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม โดยจุดจบของมันก็มีอยู่สองอย่าง คือการได้แต่งงานแล้วได้อยู่ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข  ในกรณีที่มันดำเนินไปด้วยดีทุกอย่าง ส่วนอีกอย่างหนึ่งนั้น ก็คือการจบลงด้วยการเลิกรากันไปด้วยความเจ็บปวดของทั้งสองฝ่าย ในกรณีที่มันมีความขาดตกบกพร่องหรือเกินเลยเกิดขึ้น

          ในส่วนของโยมเพลินนั้น  โยมมีความทุกข์เพราะโยมคาดหวังอะไรจากความรักมากเกินไป  คาดหวังอยากจะให้คนที่ตนรักเป็นอย่างที่ตนปรารถนา รักเขาแบบมีเงื่อนไข อยากให้เขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้  รักเขาแบบหวังผลตอบแทน  คือคาดหวังว่าจะให้เขารักตอบ พอเขาเฉยๆ หรือไม่แสดงอาการอย่างไรออกมาให้เห็น ก็เลยทำให้คิดมากและเกิดความทุกข์กังวลใจขึ้นมา

          โยมเพลิน!  ความรักนี้มีอยู่สองแบบน่ะ  แบบแรกก็คือความรักแบบมีเงื่อนไข  เป็นความรักที่ต้องการผลตอบแทน  เป็นความรักที่เห็นแก่ตัว รักเขาแล้วก็อยากให้เขารักตอบ  รักเขาเพราะว่าเขาทำในสิ่งที่ตนชอบได้  รักเพราะเขาสวยเขาหล่อ  รักเพราะเขาเก่งเขาเด่น  รักแล้วก็อยากให้เขาเป็นในสิ่งที่ตนเองอยากให้เป็น  อยากให้เขาทำในสิ่งที่ตนเองอยากให้เขาทำ พอเขาไม่สามารถจะเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น หรือไม่สามารถที่จะทำในสิ่งที่เราอยากจะให้เขาทำได้ ก็เลยทำให้เราเกิดความทุกข์ขึ้นมา  ทั้งนี้ เพราะว่าเราคาดหวังอะไรจากความรักมากเกินไปนั่นเอง

          ส่วนความรักแบบที่สองนั้น  ก็คือความรักแบบไม่มีเงื่อนไข  ความรักที่ปราศจากเงื่อนไขหรือกฎเกณฑ์ใดๆ ทั้งสิ้น เป็นความรักที่บริสุทธิ์ ไม่เรียกร้องผลตอบแทน  เข้าใจซึ่งกันและกัน ให้อิสระเสรีภาพแก่กันและกัน โดยไม่สร้างกรงขังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเอาไว้ เป็นความรักที่ประเสริฐ รักกันแบบไร้เงื่อนไข  รักโดยไม่คิดอยากให้เขาเป็นอย่างที่เราอยากให้เขาเป็น รักที่ไม่ต้องมีเงื่อนไขว่าเขาจะดี ชั่ว ฉลาด  โง่ ขาว ดำ เตี้ย  อ้วน ผอม สูง สวย หล่อ ร่ำรวยหรือยากจน  หากแต่รักเขา เพราะเขาเป็นตัวของเขาเอง รักในสิ่งที่เขาเป็นอยู่  รักโดยที่ไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา  รักโดยที่ไม่ต้องสร้างกฏเกณฑ์ใดๆ เพื่อที่จะทำให้เขาหมดอิสระภาพหรือมารักเราเพียงผู้เดียว

          ในจำนวนความรักทั้งสองรูปแบบนั้น  ความรักที่มีเงื่อนไขเป็นความรักที่ทำให้เกิดความทุกข์หรือทำให้มีเรื่องราวที่ต้องหวาดระแวงกังวลใจอยู่ตลอดเวลา  ในขณะที่ความรักแบบไม่มีเงื่อนไขนั้นจะไม่สร้างความทุกข์ใดๆ ขึ้นเลย  มีแต่จะทำให้เรามีความสุขและเข้าใจชีวิตมากยิ่งๆ ขึ้นเท่านั้น

          โยมเพลิน!  ถึงตอนนี้โยมรู้หรือยังล่ะ ว่าความทุกข์ที่มีอยู่ในใจของโยมนั้น เกิดขึ้นเพราะสาเหตุใด?”   ท่านอธิบายความรักในมุมมองของท่านให้ผมฟัง แล้วก็ถามผม

“          ถึงตอนนี้ผมพอจะรู้แล้วละครับว่าความทุกข์ของผมเกิดมาจากสาเหตุอะไร?

          “แล้วอะไรล่ะ ที่เป็นสาเหตุ?”  ท่านถามอีก

          “ผมคิดว่าผมมีความทุกข์  เพราะผมไม่เข้าใจในนิยามหรือความหมายของความรักอย่างแท้จริงนะครับ  ความรักของผมเป็นความรักที่เต็มไปด้วยเงื่อนไข  ผมสร้างกรงขังคนที่ผมรัก ผมสร้างกรงขังตัวเองไว้ ไม่ให้มีโอกาสออกไปสู่อิสระเสรีภาพ  ผมรักผู้หญิงคนนั้น  เพราะผมอยากให้เธอเป็นอย่างที่ผมคิด  รักเธอแบบหวังผลตอบแทนคือหวังที่จะให้เธอกลับมารักผมตอบ  แต่ไม่ได้รักเธอด้วยความจริงใจเลย  ผมรักเธอเพราะผมรักตัวผมเองมากกว่า”   ผมบอกท่านถึงความรู้สึกในใจที่ผ่านมาของผม

         “สิ่งที่ทำให้โยมเศร้าหมองตอนนี้ ก็คือ โยมรักเขาแล้ว กลัวว่าเขาจะหมางเมินและไม่รักตอบ ใช่หรือเปล่า?”  

         “ใช่แล้วครับท่านอาจารย์  สิ่งที่ผมกังวลใจมากตอนนี้ ก็คือผมกลัวว่าความรักที่ผมมีต่อเธอเสมอมานั้น เป็นความรักที่สูญเปล่า  เพราะจนถึงบัดนี้ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าเธอคิดอย่างไรกับผมบ้าง  เธอจะรักผมอย่างที่ผมรักเธอบ้างหรือเปล่า?”   ผมบอกท่านอย่างรู้สึกเหงาจับใจ

         “แล้วโยมเพลินรู้จักกับเขามานานหรือยังล่ะ?”

          “รู้จักกันมา 10 ปี แล้วครับท่านอาจารย์”  ผมบอกท่าน

          “อ้อ!  ด้วยเหตุนี้ก็เลยทำให้โยมคิดมากว่างั้นเถอะ?”

          “ครับ  จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ ท่านอาจารย์”

          “ตกลงแล้ว  ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะใครล่ะ  เกิดขึ้นเพราะคนที่โยมรัก  หรือว่าเกิดขึ้นจากตัวของโยมเองล่ะ?” ท่านถามแบบยิ้มๆ

         “สาเหตุเกิดจากตัวผมเองครับท่านอาจารย์  มันไม่ใช่ความผิดของเธอเลยครับ ผมคิดมากไปฝ่ายเดียวเอง  คิดไปต่างๆ นานา  เอ่อ!  แล้วผมควรจะทำอย่างไรดีครับ?”  ผมถาม เพื่อให้ท่านช่วยแนะนำหนทางสว่างให้

          “เมื่อมีทุกข์ที่ใจ  ก็จงแก้ไขที่ใจนะโยม  ในโลกนี้ไม่มีความทุกข์หรือปัญหาใดหรอกที่เราจะแก้ไขไม่ได้ ขอเพียงให้เรามีจิตใจตั้งมั่น เข้มแข็งและอดทนเท่านั้น 

          สำหรับในกรณีของโยมนั้น  อาตมาคิดว่าโยมควรจะเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับความรักเสียใหม่  เมื่อความรักแบบมีเงื่อนไขทำให้โยมเกิดความทุกข์  ก็จงเปลี่ยนจากความรักแบบมีเงื่อนไขไปเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไขแทน  จงรักเธอด้วยความจริงใจ  รักด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ต้องคาดหวังอะไรจากเธอ  รักในความเป็นตัวของเธอเอง ให้อิสระเสรีภาพแก่เธอ รักโดยไม่ต้องมีการครอบครอง  รักโดยไม่ต้องไปสนใจว่าเธอจะรักเราตอบหรือไม่  รักโดยไม่ต้องสนใจว่าเธอจะอยู่หรือเป็นอย่างไร  จงทำหน้าที่ของความรักให้สมบูรณ์ จงรู้จักการยอมแพ้ และให้อภัยแก่คนอื่นอยู่เสมอ  แล้วโยมจะไม่ต้องมานั่งแบกโลกอยู่อย่างนี้อีก”

         ท่านพูดและหนมามองผมแบบขำๆ ซึ่งอาการของผมตอนนี้มันก็น่าขำจริงๆ นั่นแหละ

          “ท่านอาจารย์ครับ  ความรักจำเป็นต้องลงเอยด้วยการแต่งงานไหมครับ?”    ผมถามท่านในสิ่งที่ตนเองสงสัยและอยากจะรู้มานาน

หมายเลขบันทึก: 443725เขียนเมื่อ 12 มิถุนายน 2011 18:09 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 มิถุนายน 2012 10:38 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท