เยี่ยมคนไข้มาร่วมปี พบเจอความประทับใจก็มากมาย แต่ไม่มีครั้งไหนที่ทำให้หัวใจผมพองโตได้ขนาดนี้ เรื่องราวประทับใจถ้าไม่ถ่ายทอดคงต้องทำให้เรายิ้มอยู่คนเดียวทั้งวันจนเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ อยากแบ่งปันความสุขครั้งนี้ให้ใครต่อใครได้สมผัส แม้อาจได้เพียงไม่ถึงเสี้ยวของความรู้สึกแต่ก็คงพอหล่อเลี้ยงใจคนทำงานกับคนไข้อย่างเราๆให้ทำงานอย่างมีความสุขต่อไปในเมื่อเรารู้ว่างานของเราที่ทำ มันมีค่าแค่ไหนในสายตาของคนที่แทบจะไม่มีคุณค่าหลงเหลืออีกแล้วในสายตาของคนทั่วไป ยกเว้นคนในครอบครัวเอง
ย้อนกลับไปก่อนครั้งเหตุการณ์ที่ประทับใจ ทีมงานเยี่ยมบ้านไม้เลื้อยได้เข้าไปดูแลครอบครัว ที่ป่วยด้วยโรคตับแข็ง ด้วยความยากจนของครอบครัว จึงไม่สามารถแสวงหาการรักษาที่ดีที่สุดในกับพ่อที่กำลังป่วย ทีมได้ดูแลตามแบบการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายเรื่อยๆมา จากครอบครัวที่กำลังสับสน สมาชิกในครอบครัวที่กำลังหาทางออกไม่ได้
จากเสียงร้องไห้ของลูกชายที่มาเยี่ยมพ่อและยังคงรับกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นครั้งนี้ไม่ได้ ผ่านมาถึงตอนนี้ก็เข้าเดือนที่ 3 ภาพน้ำตาเปลี่ยนไปร้อยยิ้มบางๆ ความหวังที่ครอบครัวมีเพียงแค่ให้พ่ออันเป็นที่รักสุขสบาย นอนหลับได้ในบั้นปลายของชีวิต แต่จะมีสักกี่คนที่มองดูและรับรู้ถึงความหวังของผู้ที่กำลังจะจากโลกนี้ไป
เรื่องราวต่างๆที่ถูกถ่ายทอดจากผู้ที่กำลังป่วยหนักทุกครั้งที่ทีมไปเยี่ยมบ้าน ให้ได้รับรู้ เป็นเหมือนอดีตที่ย้อนกลับไปอีกหลายปี น่าแปลกทั้งที่เรื่องราวที่แกเล่าให้ฟังเป็นเรื่องราวที่เกิดก่อนที่หมอเยี่ยมบ้านอย่างเราจะเกิดด้วยซ้ำไป แต่กลับดูมีความสุขไปกับการนั่งฟังเรื่องราวเหล่านั้น นี้หรือคือความสุขของคุณตา
จากวันนั้นถึงวันนี้ ปาฏิหาริย์ได้เกิดขึ้นจากที่คาดคะเนว่าคุณตาจะอยู่ได้ไม่นานในตอนครั้งแรกที่ไปเยี่ยม ที่แปลกกว่านั้นคือ คุณตาไม่ได้รับความเจ็บปวดใดๆทางร่างกายเลยทั้งที่โรคที่เป็นน้อยคนนักที่เราจะพบเจอว่าไม่มีอาการปวดใดๆ และส่วนใหญ่ต้องพึ่งยาหมอตลอดเวลา มาวันนี้วันที่ผมประทับใจจนกลั้นน้ำตาลูกผู้ชายแทบไม่ไหว ก่อนการเยี่ยมครั้งสุดท้าย ด้วยอาการของคุณตาที่ดูสงบเกินคำว่าปกติ พูดน้อย เสียงแหบแห้งจนแทบไม่มีเสียง มันชวนให้ใจนึกว่าคุณตาคงเหลือเวลาในโลกใบนี้อีกไม่นานแล้ว ก็เลยถามไปว่าคุณตาอยากได้อะไร อยากทำอะไร ถ้าหมอทำได้หมอจะทำ
จากตาที่ปิดเพราะไม่มีเรี่ยวแรงแม้จะลืมตามอง ค่อยๆลืมตาช้าๆ แล้วบอกด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ คุณหมอ ปี๋นต้นไม้เป็น บ ” ผมชำเรืองไปทางภรรยาและลูกสาวคุณตา ภรรยาแกบอกว่า “ตาชอบกินมะแหง๋ว” และตอนนี้ก็เป็นฤดูที่มะแหง๋วป่า ออกลูกเต็มต้น สีแดงสด พอดี แกคงอยากให้เราได้กินของอร่อยๆอย่างที่แกเคยได้กิน ผมตอบไปว่า “คุณตามันสูงหมอปีนไม่ไหว”แล้วคุณตาชอบกินอะไรอีกมั้ย คราวนี้เสียงที่แกตอบผมมันเบาซะจน ผมต้องถามอีกทีและต้องเงี่ยหูไปฟังจนแทบจะแนบกับปากของแกได้พอดี เพราะมันเบามาก แต่ก็พอจับได้ว่า “ ดีโด้”
หลังจากวันนั้นอีกหนึ่งสัปดาห์ผมได้แต่บอกน้องๆว่าอย่าลืมเตือนพี่ให้เอาดีโด้ไปฝากคนไข้นะ จนทุกคนรู้จักและเรียนคุณตาว่า คุณตาดีโด้ พอวันที่ต้องลงเยี่ยม พอรถจอดถึงที่หน้าบ้านคุณตา ทุกคนลงไปเยี่ยมเหมือนทุกๆครั้ง เหลือผมคนเดียวที่มือจับถุงดีโด้สองถุง กำจนมือชุ่มไปด้วยเหงื่ออยู่บนรถ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตื่นเต้นขนาดนี้
ผมลงจากรถเป็นคนสุดท้ายเหมือนกับว่าเราเป็นคนสำคัญที่สุดของงาน และก็เป็นแบบนั้นจริงๆ พอเดินไปถึงทุกคนต่างพูดพร้อมกันว่า คุณหมอต๋อมเอาดีโด้มาฝากตาด้วยนะ ผมเดินไปและนั่งลงตรงแคร่ที่คุณตานอนอยู่ จับมือตาเบาๆพร้อมลบไปมาแล้วบอกว่าหมอเอา ดีโด้ มาฝากนะคุณตาตอนที่คุณตาเห็นดีโด้ สายตาแกดูอ่อนโยนมาก น้ำตาผมซึมออกมาอย่างไม่รู้ตัวต้องรีบเช็ดและทำเหมือนมีอะไรเข้าตาเพราะกลัวน้องๆที่ไปด้วยจะแซวเอา แล้วทุกคนก็บอกให้ผมป้อนคุณตา ผมหยิบออกจากถุง 2 ชิ้นเลือกสีเขียวอันที่ตาชอบ แล้วยื่นให้ลูกสาว ด้วยใจที่อยากให้คนที่แกรักและคนรักแกที่สุดได้ดูแล ได้ทำในสิ่งที่คุณตาอยากได้เป็นสิ่งสุดท้าย
ปาฏิหาริย์เหลือเกิน จากคนที่แทบจะกินอะไรไม่ได้เลย แต่กลับกินดีโด้ได้อย่างเอร็ดอร่อยไม่มีทีท่าว่าเหนื่อยหรือเหมือนคนที่กำลังป่วยหนักแต่อย่างใด และปฏิหาริย์ก็ใช่ว่าจะมีเกิดได้เพียงครั้งเดียว จากที่คุณตาไม่ถ่ายอุจจาระมาหลายวัน จากที่กินอะไรไม่ได้มาหลายวัน หลังกินดีโด้ไปได้ไม่นาน คุณตาเอื้อมมือช้าๆสะกิดที่ขาลูกสาว คำพูดที่ดังราวๆกับการกระซิบบอกลูกสาวให้ก้มลงมา ตอนแรกหัวใจผมเต้นแรงมากคิดว่าคงจะหมดเวลาแล้วแน่ๆ คิดว่าคงจะสุดท้ายแล้วแน่ๆ แต่แล้วแกบอกลูกสาวให้ก้มลงและเอามือสองข้างคล้องที่คอลูกสาว ใจเราเต้นแรงขึ้นและหันมาสบตาคุณยาย แล้วคำตอบที่ได้ คุณยายบอกว่าเวลาที่คุณตาแกปวดถ่ายอุจจาระ แกจะทำแบบนี้ เพื่อที่จะได้มีแรงเบ่งถ่าย จากใจที่เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ จากคนที่นั่งตัวเกร็งพูดอะไรไม่ออก ทุกคนเริ่มมีรอยยิ้มตามด้วยเสียงหัวเราะออกมา
ก่อนกลับ พี่ที่ออกเยี่ยมบ้านด้วยกัน บอกว่า คุณตาต้องเข้มแข็งนะ ครั้งหน้าจะได้อยู่รอกินดีโด้อีก… ประทับใจเหลือเกินกับวันนี้...คุณตาดีโด้
บทเรียนครั้งนี้ สอนให้เภสัชกรอย่างผมจากที่เคยหาแต่ยาไปให้ผู้ป่วย palliative care แต่คราวนี้ต้องหาซื้อ ดีโด้ แถมต้องเป็นสีเขียวอีก ทำให้ชวนคิดว่า นอกจากยาแล้ว ยังมีอีกหลายอย่างที่รักษาคนไข้ได้....ใช้ยารักษากาย แต่ใช้ใจรักษาคน.
เรื่องโดย เภสัชกรฉัตรพงษ์ วิเศษสอน นะครับ
อ่านแล้วน้ำตาคลอเลย พี่ต๋อมคงได้กำลังในการทำงานอีกเพียบเลย
ประทับใจมากค่ะ
"...ยังมีอีกหลายอย่างที่รักษาคนไข้ได้....ใช้ยารักษากาย แต่ใช้ใจรักษาคน....."
ขอบคุณมากๆค่ะ
งานเชิงรุก ช่วงแรก มองบทบาทของเภสัชกร ไม่ออกจริงๆ
แต่ พอช่วงนี้ กลับเป็นสีสัน เสริมศักยภาพ และเพิ่มมุมมอง
ในการแคร์ได้ครอบคลุม ในบริบทที่แตกต่างมากขึ้น
ตัวเขาเอง เคยพูดว่า " นอกจากจะจ่ายยาให้คนไข้กินตามแผน
การรักษาแพทย์แล้ว ผมรู้สึกดีมากกับการ Designs วิธีการ
บริหารยา ในผู้ป่วยที่มีข้อจำกัดในการใช้ยา"
ยอดเยี่ยมจริงๆ
ชื่นชมน้องต๋อม ยินดีกับทีมไม้เลื้อยทุกท่านครับ ประทับใจมากๆ