ศาสนาพระศรีอาริย์ใช่เรื่องเฟ้อฝัน


เสนอแนวคิดผลักดันสังคมอยู่อย่างมีความสันติสุข และยั่งยืน "ธรรมชาติอธรรมค้ำจุนโลก"

                ศาสนาพระศรีอาริย์ใช่เรื่องละเมอเพ้อฝัน

                                      ตอนที่ 1

 

          ทีนี้ก็จะได้ปรารภถึงคำว่า พระศรีอาริย์  ซึ่งเราเคยได้ยินได้ฟังอยู่เสมอว่าศาสนาพระศรีอาริย์บ้าง  โลกยุคพระศรีอาริย์บ้าง  มันจะเป็นอย่างไรถ้าเข้าใจข้อนี้ถูกต้อง  ก็จะมองเห็นได้ทันที่เหมือนกันว่า  ถ้าโลกนี้มีระบบปกครองที่ดี  คือศีลธรรมเป็นรากฐานแล้ว  โลกของพระศรีอาริย์นั้นจะไม่ไปไหนเสีย  วันนี้เราจะพูดกันถึงเรื่องนี้โดยเฉพาะเรื่องสุดท้าย

 

          ข้อแรกก็จะขอร้องเพียงว่า  อย่าถือว่าเรื่องพระศรีอาริย์นี้เป็นเรื่องนิยาย  หรือเป็นเรื่องเทพนิยาย  เป็นเรื่องว่าไว้สำหรับหลอกให้คนทำบุญทำทานเพียงเท่านั้น  แต่ที่แท้จริงแล้วมันเป็นเรื่องสำหรับมนุษย์โดยตรง  เป็นเรื่องจุดหมายปลายทางของมนุษย์ในโลกนี้โดยตรง

 

      ถ้าจะกล่าวตามที่มีอยู่ในพระคัมภีร์ชั้นบาลี  ชั้นพระไตรปิฎกก็ยังมีเรื่องที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า  จักมีพระพุทธเจ้าพระนามว่า  เมตไตรยนี้ขึ้นในอนาคต  แล้วก็ทรงบรรยายรายการที่น่าสนใจเช่นว่า  เมื่อคนอายุแปดหมื่นปี  ก็จะมีพระศรีอารยเมตไตรย นี้เกิดขึ้น  นี้ก็ข้อหนึ่ง  แล้วยังตรัสในศาสนาหรือธรรมวินัยของพระเมตไตรยนั้น จะมีพระอรหันต์เป็นจำนวน พัน ๆ เช่นเดียวกับที่ในธรรมวินัยของคถาคตนี้  มีพระอรหันต์เพียงจำนวนร้อย อย่างนี้เป็นต้น

 

          ทีนี้เรื่องราวที่นอกพระบาลีก็ยังมีอีกมาก  เช่นว่า  ในโลกในยุคพระศรีอาริย์นั้น  ทั้งสี่มุมเมืองก็มีต้นกัลปพฤกษ์  บางทีเรียกว่า  กัลป์ปดรูมะ  ต้นไม้กัลป์ปะ คือให้สำเร็จประโยชน์  ทั้งสี่มุมเมืองไม่มีคนยากจน  เพราะว่าต้องการอะไรก็ไปเอาได้ที่ต้นไม้นั้น  เสมอกันหมด  แล้วยังได้กล่าวต่อไปว่า  ในสภาพของศีลธรรมนั้น  พอคนออกไปนอกบ้านแล้ว  ก็จำไม่ได้มันดีเหมือนกันหมด  จนจำหน้าจำตากันไม่ได้  มันเหมือนกันหมด  มีแต่คนที่สุขยิ้มแย้มแจ่มใส  ไม่มีอันธพาล  ต่อกลับมาถึงบ้านจึงรู้ว่าเป็นคนในครอบครัวของตน  อย่างนี้นอนไม่ต้องปิดประตูเรือน  ไม่มีทุกข์ร้อนอะไร  มารดาเอาแต่ให้ลูกน้อยเต้นรำอยู่บนอก

 

      แล้วก็ยังกล่าวถึงธรรมชาติ เช่นว่า  มันมีแผ่นดินสะอาด  สม่ำเสมอเหมือนหน้ากลอง  และในที่บางแห่งยังแถมมีลักษณะพิเศษ เช่นว่าไม่มีการเบียดเบียน  กระทั้งสิงโตกับลูกแกะ  มาเล่นหัวกันได้  เสือกับเนื้อนี้มาเล่นหัวเป็นเพื่อนกันได้  หรืองูกับเขียดนี้มันเป็นเกลอกันได้  แมวกับหนูเป็นเกลอกันได้  จระเข้กับปลาเล่นหัวกันไปมาได้  อย่างนี้เป็นต้น

 

        นี่ก็ลองคิดดูว่ามันเป็นเทพนิยายหรืออย่างไร  คนสมัยนี้มองกันแต่วัตถุ  ก็เลยเห็นว่า  มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  เพราะในทางวัตถุมันเป็นไปไม่ได้  แต่ถ้าในทางความหมายในธรรมะแล้ว  มันเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์  คำกล่าวนี้เป็นคำกล่าวเปรียบเทียบ  หรือเป็นหลักสำหรับคำนวณอะไรสักอย่างหนึ่ง เช่นว่า  คนอายุแปดหมื่นปี  พระศรีอาริย์จึงจะเกิด  นี่เคยอธิบายให้ฟังบ้างแล้วว่า  หมายความว่าอย่างไร  แต่ก็ไม่เบื่อที่จะอธิบายซ้ำ ๆ ซาก ๆ ว่า  มันเกี่ยวกับความมากน้อยของความต้องการ  ความอยาก  ความกระหายในจิตใจของคน

 

      ถ้าคนมีความยากมีความหิวโหยมาก  เวลามันเหมือนกับสั้นมาก  ถ้าเราไม่มีความอยาก ความกระหายมาก  เวลาก็เหมือนกับยาวออกไป  ถ้าเราไม่มีความหิวกระหายเลย เวลามันก็ยาวไม่มีที่สิ้นสุด  ถ้าเดี๋ยวนี้มนุษย์มีความหิวกระหาย  ในเรื่องกิน  เรื่องกาม  เรื่องเกียรติ  อะไรก็ตามขนาดนี้  แล้วเราก็ถือกันว่า  มีอายุร้อยปีตาย  แต่ถ้าเราหิวกระหายน้อยลงไปกว่านั้น  เรา จะรู้สึกว่ามีอายุยืนกว่านั้น   ยาวออกไปกว่านั้น  หมายความว่ามีกิเลสน้อยลงเท่าไร  เรารู้สึกว่าอายุของเรามันยาว  คือวันคืนมันยาวเพราะว่า  เราไม่ต้องการอะไร  ถ้าเราต้องการอะไร  วันคืนมันสั้นโดยความรู้สึกของเรา  ถ้าเราไม่ต้องการอะไรเลย  วันคืนมันยาว ไม่สิ้นวันสิ้นคืนลงไปง่าย ๆ 

 

      นี่เดี๋ยวนี้มนุษย์กำลังอายุสั้นลง ๆ  ถ้าตามพระบาลีนั้นก็แปลว่ามนุษย์กำลังมีอายุสั้นลง ๆ คือเขาจะมีความอยากมากขึ้นเรื่องกิน  เรื่องกาม  เรื่องเกียรติ  เรื่องวัตถุนิยมนี้  จนวันคืนมันเหมือนกับว่ามันสั้น ๆ  สั้นลงเหลือ 50 ปี  คนที่เกิดมาอายุ  50  ปี  ก็ตาย  คนที่เกิดมา  40 ปีตาย  30 ปีตาย  กระทั้ง 10 ปีตาย  นี่คำนวณค่าทางความหิวความกระหาย  ในทางจิตใจมันมากถึงขนาดนั้นแล้ว ก็เรียกว่า  คนนั้นมีอายุ  10  ปีตาย  ก็เป็นพอดีกับเวลา  ที่เรียกว่า  มิคสัญญี  คือคนอยากมาก  หิวกระหายมาก  เห็นแก่ตัวมาก  จนไม่เห็นแก่หน้าใคร  ก็ฆ่าผู้อื่นได้เหมือนกับฆ่าเนื้อฆ่าปลา  อย่างนี้เขาเรียกว่ายุคมิคสัญญีเกิดขึ้นแล้ว  เมื่อมนุษย์มีอายุประมาณ 10 ปี

 

ก็ลองอยากในทางกิน  ทางกาม  ทางเกียรติ  อะไรมากเข้า ๆ  วันคืนรู้สึกว่าสั้นเข้า ๆ เหลือสัก  10  ปีเห็นจะได้  ตอนนี้แล้วมนุษย์ก็ไม่ดูหน้าใคร  แต่จะฆ่าฟันกันอย่างมิคสัญญี  เรียกอย่างหนึ่งว่า  สัตถันตรกัปป์  คือกัปป์ที่ใช้ศาตรา  เป็นเครื่องทำลายล้างกันถึงที่สุด
 
     ยังมีอีกหลายตอนจะทยอยลงครับ

         กระผมนำเสนอแนวคิดผ่านเว็บของผมเอง

              http://www.mature-dhama.ob.tc

         ท่านคลิกเว็บที่ให้ไว้สู้เนื้อหาได้เลยครับ

         ขอท่านสัมผัสแนวคิดของกระผม และร่วม

         แสดงข้อคิดเห็นฝากกระผมด้วย เป็นพระคุณยิ่งครับ

           จาก... นายประทีป  วัฒนสิทธิ์

 

หมายเลขบันทึก: 442537เขียนเมื่อ 5 มิถุนายน 2011 18:07 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:45 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท