๙.๓.๔.แนวความคิดแบบเปรียบเทียบหลักพุทธธรรมกับประชาธิปไตย
สำนักงานวัฒนธรรมแห่งชาติ (๒๕๒๖ : ๓๖–๕๐)
ได้เสนอตามรูปแบบของประชาธิปไตย ๓ สถาบัน ดังนี้
๑.สถาบันนิติบัญญัติ ก็คือรัฐสภาที่มีหน้าที่คือตราพระราชบัญญัติโดยวิธีประชุมกันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่สมาชิก หรือรัฐบาลเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภา ใช้ระบบเสียงส่วนใหญ่เป็นมติในการชี้ขาด พระวินัยเป็นพุทธบัญญัติทั้งหมด ส่วนคณะสงฆ์ไม่มีอำนาจในการบัญญัติ เพียงแต่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามพระวินัยหรือพุทธบัญญัติ
การตราพระราชบัญญัติ หรือออกกฏหมายของสถาบันนิติบัญญัติมี ๒ ลักษณะ คือ
ก.การตราพระราชบัญญัติ เพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำความผิดซ้ำอีก คือเมื่อมี เหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว จึงออกกฏหมาย
ข.การตราพระราชบัญญัติเพื่อป้องกันล่วงหน้า คือเหตุการณ์ที่จะก่อความเสียหายยังไม่เกิดขึ้น แต่คาดว่าจะเกิดขึ้นจึงออกกฏหมายไว้ล่วงหน้า
กฏหมายรัฐธรรมนูญ เป็นกฏหมายหลักของการปกครองในทางโลก ส่วนพระวินัยในพระปาฏิโมกข์ [1] เป็นหลักในการปกครองคณะสงฆ์ พระวินัยแต่ละสิกขาบทมีบทบัญญัติระบุโทษแก่ผู้ละเมิดไว้ แต่กฏหมายรัฐธรรมนูญ ไม่มีบทบัญญัติระบุโทษควบคู่ไปด้วย แต่ไม่ระบุโทษแก่ผู้ละเมิดไว้ในกฏหมายอื่นที่ออกตามความในกฏหมายรัฐธรรมนูญ จึงมีส่วนคล้ายประมวลกฏหมายมากกว่า การแบ่งกฏหมายทางโลกแบ่งเป็น ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ กฏหมายเอกชน และกฏหมายมหาชน แต่พระวินัยจะมีลักษณะของกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชนรวมกันอยู่
อาบัติปาราชิก ถ้าเป็นกฏหมายทางโลกจัดว่าเป็นความผิดทางอาญา ซึ่งละเมิดย่อมมีบทบัญญัติลงโทษตามควรแก่กรณี แต่พุทธบัญญัติทรงปรับอาบัติปาราชิกก็คือการขาดจากความเป็นภิกษุซึ่งจะเข้ามาบวชอีกมิได้ ซึ่งเท่ากับโทษประหารชีวิตนั้นเอง ส่วนเจตนารมณ์ในการบัญญัติกฏหมายและพระวินัย เจตนารมณ์ของการบัญญัติกฏหมายคือเพื่อเป็นหลักการปกครองประเทศ หรือบริหารสังคมให้ดำเนินไปอย่างมีระเบียบและมีความสงบสุขตลอดจนเพื่อให้สังคมเจริญรุ่งเรืองและก้าวหน้าไม่ได้อย่างไม่ติดขัด อันจะอำนวยให้ปัจเจกบุคคลสามารถดำรงและดำเนินชีวิตไปได้ตามปกติและอย่างมีความสงบสุขตามควรแก่อัตภาพ
สำหรับเจตนารมณ์ของการบัญญัติพระวินัยก็คือ ๑) เพื่อความรับว่าดีงามแห่งสงฆ์ ๒) เพื่อความผาสุกแห่งสงฆ์ ๓) เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๔) เพื่อความอยู่ผาสุกแห่งเหล่าภิกษุผู้มีศีลอันดีงาม ๕) เพื่อปิดกั้นอาสวะทั้งหลายอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๖) เพื่อกำจัดอาสวะทั้งหลายอันจะบังเกิดในอนาคต ๗) เพื่อความเลื่อมใสของคนที่ยังไม่เลื่อมใส ๘) เพื่อความเลื่อมใสยิ่งขึ้นของคนที่เลื่อมใสแล้ว ๙) เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑๐) เพื้อเอื้อเฟื้อพระวินัย [2] ( พุทธบัญญัติที่มาในพระปาฏิโมกข์ คือศีล ๒๒๗ ข้อ ส่วนที่มานอกพระปาฏิโมกข์เรียกว่าอภิสมาจาร หรือกิริยามารยาทที่ควรประพฤติ) ส่วนการรักษากฏหมายกับการรักษาพระวินัย คือการละเมิด การละเมิดกฏหมายมีอยู่ ๒ ลักษณะคือ ละเมิดเพราะไม่รู้และละเมิดทั้ง ๆ ที่รู้ การละเมิดพระวินัย มีอยู่ ๒ ลักษณะคือ ละเมิดเพราะเจตนาและละเมิดโดยไม่เจตนา
๒.สถาบันบริหาร
ระยะเริ่มแรกทรงจัดการบริหารด้วยพระองค์เอง และทรงมีพระสารีบุตรอัครสาวกเบื้องขวา และพระมหาโมคคัลลานะอัครสาวกเบื้องซ้าย แบ่งเบาภาระ
ระยะหลังทรงมอบความเป็นใหญ่ให้กับคณะสงฆ์ในการทำสังฆกรรมต่าง ๆ เช่น พิธีอุปสมบท, การกำหนดเขตสีมา, กฐิน, ปาฏิโมกข์ เป็นต้น / มติทางโลกเสียงข้างมาก แต่มติคณะสงฆ์ต้องเป็นเอกฉันท์แม้ภิกษุทักท้วงเพียง ๑ รูปก็ต้องทบทวนมติใหม่ / ทรัพย์สินของสงฆ์ ภิกษุอยู่อาวาสเดียวกันเป็นเจ้าของร่วมกันภิกษุรูปใดรูปหนึ่งจะถือเอาทรัพย์สินเป็นส่วนตัวไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับการอนุมัติจากสงฆ์ / สงฆ์มีความหมายกว้าง ไม่มีลักษณะแน่นอนตายตัว เช่นภิกษุในอาวาสหนึ่งประชุมกันทำกิจกรรม ก็เป็นกิจของสงฆ์ ถ้ามี ๑๐๐ วัด สงฆ์ก็มี ๑๐๐ กลุ่ม หรือคณะ (โบราณถือว่าหนึ่งอาวาสก็คือหนึ่งประเทศ หรือองค์กรหนึ่ง)
๓.สถาบันตุลาการ
กระบวนการตุลาการในระบอบการปกครองฝ่ายอาณาจักรเรียกว่า คดี ในทางพระวินัยเรียกว่า อธิกรณ์ ศาลยุติธรรมทำหน้าที่ วินิจฉัยและพิพากษาอรรถคดีให้สอดคล้องกับกฏหมายสงฆ์ทำหน้าที่ วินิจฉัยและพิพากษาอรรถคดีให้สอดคล้องกับพระวินัย / การทำหน้าที่ของสงฆ์ในการเป็นสถาบันตุลาการเมื่อมีอธิกรณ์เกิดขึ้น ๔ ประการ
๑) วิวาทาธิกรณ์ การวิวาทกันของภิกษุในเรื่องพระธรรมวินัยสงฆ์จะวินัจฉัยว่าฝ่ายไหนผิดฝ่ายไหนถูก ๒) อนุวาทาธิกรณ์ การกล่าวโจทกันด้วยอาบัติ ๓) อาปัตตาธิกรณ์ อาบัติที่ภิกษุต้องแล้ว (ได้ทำลงไปแล้ว) ๔) กิจจาธิกรณ์ กิจที่เกิดขึ้นที่สงฆ์ต้องทำ ทั้งรับเข้าหมู่ เช่น พิธีอุปสมบท , การลงโทษ เช่น นิคหกรรม เป็นต้น..นอกจากนั้นแล้วถ้าภิกษุรูปใดกระทำผิด
พระพุทธองค์จะไต่สวนหาความผิด แล้วจึงตัดสิน(พิพากษา) ถ้าหากสิกขาบท (กฎหมาย)ใดไม่มี ก็ทรงเรียกประชุมสงฆ์แล้วแจงเหตุที่เกิดขึ้นและปรับแก้สิกขาบทนั้นใหม่ (ตรากฏหมายใหม่) การบัญญัติครั้งแรก เรียกว่า มูลบัญญัติ หรือบัญญัติเดิม ส่วนข้อแก้ไขเพิ่มเติมเรียกว่า อนุบัญญัติ [3]
ส่วนการตัดสินลงโทษ มี ๖ ประการ ดังต่อไปนี้ ๑) ตัชชนียกรรม กรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุอันจะพึงขู่ ได้แก่การตำหนิติเตือน ๒) นิยสกรรม กรรมคือการถอดยศ ลดฐานะทางวินัย ๓)ปัพพาชนียกรรม กรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุอันจะพึงไล่เสีย คือไล่ออกจากวัด ๔) ปฏิสารนียกรรม กรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุอันจะพึงให้กลับไปคือกลับไปขอโทษคฤหัสถ์ ๕) อุกเขปนียกรรม กรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุอันจะพึงยกเสีย คือการตัดสิทธิชั่วคราว ๖) ตัสสปาปิยสิกากรรม กรรมอันสงฆ์ทำด้วยความที่ภิกษุนั้นเป็นผู้ชั่วช้า คือการเพิ่มโทษ (อีกกระทง) ในสังคมบรรพชิตนอกจากจะปฏิบัติตามพระวินัยของสังคมตนเองแล้วยังต้องปฏิบัติตามกฏหมายของบ้านเมืองอีกด้วย
นอกจากนี้แล้วแนวคิดในเรื่องการบริหารบ้านเมือง หรือของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย ได้มีแนวคิดของนักวิชาการไทยได้เสนอแนวคิดแบบธรรมรัฐ (Good Governance) ขึ้น ธรรมรัฐ คือ แนวคิดเรื่องความชอบธรรมแบบใหม่ เนื่องจากคนไทยมีความคิดมาตลอดว่า รัฐสำคัญที่สุด นักการเมือง ข้าราชการ มีจำนวนสูงสุดเด็ดขาด แต่ในโลกยุคปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนความคิดเรื่องประชาธิปไตยไปมากพอสมควร กล่าวคือประชาธิปไตยอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป จะต้องมีธรรมรัฐด้วย [4] ดังนั้น จึงแสวงหาแนวทางในการบริหารบ้านเมืองในรูปแบบที่ใหม่ ๆ ขึ้นโดยการอยู่รวมกันของรัฐและสังคมด้วยความซื่อสัตย์ มีคุณธรรม มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และการมีส่วนร่วมในการปกครองและการบริหารประเทศ โดยมีความหมายรวมไปถึง
๑.กระบวนความสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐ ภาคสังคม ภาคเอกชนและประชาชน โดยทั่วไปในการที่จะทำให้การบริหารราชการแผ่นดินดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณภาพ คือโปร่งใส ยุติธรรม และตรวจสอบได้ หรือ
๒. การบริหารหรือการปกครองที่ดี หรือเป็นธรรมโดยมีองค์ประกอบ ๓ ประการคือ ความโปร่งใส (Trans Parency) ความรับผิดชอบและอธิบายได้ (Accountability) และความมีประสิทธิภาพ (Efficiency) [5]
๙.๓.๕.แนวคิดแบบธรรมะผสมการบริหาร
เป็นคำนิยามขึ้นตามลักษณะของพระราชาผู้ประกอบด้วยธรรม แม้ในยุคพุทธกาลจะมีรูปแบบการปกครองที่สำคัญ ๆ ถึง ๒ แบบแต่พระพุทธองค์ทรงเน้นตัวผู้นำที่ประกอบด้วยธรรมเป็นหลักมากกว่าตัวของระบบ
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (๒๕๓๔ :๖๖๓–๖๖๕)
ได้ให้ทัศนะไว้ดังนี้ ไม่ว่าระบบการปกครองแบบไหน หากผู้นำหรือประมุขของรัฐประกอบด้วยการยึดหลักการเหล่านี้ คือ [6] ๑) การได้มาซึ่งอำนาจ การใช้อำนาจ การขยายอำนาจ และการรักษาไว้ซึ่งอำนาจนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนมากที่สุด อำนาจของผู้ปกครองมิใช่เพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ของตนเอง แต่เพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชน ๒) ความมั่นคงของระบอบการปกครอง หรือของรัฐบาลและผู้ปกครอง มิใช่เป็นจุดหมายในตัวมันเอง หรือจุดประสงค์สุดท้ายของระบอบการเมืองการปกครอง แต่เป็นเพียงอุปกรณ์หรือเครื่องมือเพื่อใช้สร้างสรรค์ประโยชน์สุข สวัสดิภาพบูรณาการ และความสงบสุขของประชาชน ๓)ให้ความสำคัญแก่คุณค่าของความเป็นมนุษย์ โดยเน้นความเท่าเทียม การปราศจากชั้นวรรณะจากชาติกำเนิด ความเสมอภาคในทางเพศหมายความว่าไม่ถือว่าเพศหญิงมีสถานภาพต่ำกว่าเพศชาย เน้นเสรีภาพด้วยการห้ามการมีทาส รวมถึงการแนะนำให้ใช้หลักเหตุผลในการพิจารณาตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ดังปรากฏในกาลามสูตร ๔)ยึดธรรมเป็นแนวทางในการปกครอง คือผู้ปกครองต้องถือธรรมเป็นใหญ่ คือถือหลักแห่งความจริง ความถูกต้อง ความดีงามตามเหตุและผลโดยยึดหลักการ กฎ ระเบียบ กติกา
หลักธรรมในทางพระพุทธศาสนาจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะการปกครองผู้คน หรือการบริหารคน หากไม่มีแล้วบ้านเมืองก็จะไม่มีความสงบสุขประชาชนก็จะเดือดร้อน จนให้เกิดความสับสนวุ่นวายได้..ในสมัยใดผู้ปกครองตั้งอยู่ในธรรม ให้ความเป็นธรรม ใช้หลักธรรมเป็นหลักในการบริหารบ้านเมืองในสมัยนั้นประชาชนก็มีความสุข ความร่มเย็น แต่ถ้าตรงกันข้าม ผู้ปกครองไม่ตั้งอยู่ในธรรม ไม่ให้ความเป็นธรรม ไม่ใช้ธรรมเป็นหลักในการบริหารบ้านเมือง สมัยนั้นก็จะมีความทุกข์ระทมการถูกข่มเหงรังแกการปราศจากที่พึ่ง [7]
ซึ่งข้อความดังกล่าวนี้ ได้ชี้ให้เห็นว่า หลักธรรมกับการบริหาร หรือการปกครองนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบการเมืองไม่ว่าจะเป็นระบบการเมืองแบบไหนก็ตามซึ่งแท้ที่จริงแล้วอยู่ที่ตัวผู้ปกครอง หรือผู้นำเองทั้งสิ้น
๙.๓.๖. แนวคิดแบบปรัชญาการเมือง
สิทธิ์ บุตรอินทร์ (๒๕๒๓ : ๑๕๖–๑๕๗) ปรัชญาระบบนี้ถือ ธรรม (Righteousness) เป็นใหญ่ ยกเอาความจำเป็นและความสำคัญสุดยอดให้แก่ธรรม ที่จะนำมาใช้ให้เป็นแนวทางสร้างความสมหวังให้แก่ชีวิตและในการดำเนินกิจการทุกอย่าง ทุกระดับของรัฐ การใด ๆ ก็ตามหากไม่อิงอาศัยหลักธรรม การนั้น ๆ แม้ดำเนินไปได้ ก็ถือว่าขัดต่อเจตนารมณ์ของปรัชญานี้ ซึ่งเชื่อว่าหากมนุษย์ไม่อิงอาศัยหลักธรรมแล้ว มนุษย์จักไม่ประสบความเจริญและความสุขสมหวังอย่างแท้จริง ธรรมคือความถูกต้อง เพราะมาตรฐานการวัด ดังนี้ ๑) ทุกคนยอมรับและต้องการ ๒) ธรรมเป็นเครื่องค้ำจุนโลก ๓) ธรรมให้คุณประโยชน์แก่ทุกคนที่ปฏิบัติ ๔) ธรรมเป็นความจริงที่ขาดไม่ได้ในการดำเนินชีวิต ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม ถ้าทิ้งธรรมจะเกิดปัญหาขึ้นมาทันที ๕) อำนาจธรรมไม่เข้าใครออกใคร เป็นอำนาจที่แน่นอนกว่าอำนาจอื่น ๆ ๖) ธรรมเป็นคุณค่าที่ได้รับการเรียกร้องหาเสมอ ในหมู่มนุษย์ เช่น ยุติธรรม สามัคคีธรรม สันติธรรม ปัญญาธรรม และมนุษยธรรมอื่น ๆ
ประเด็น |
ประชาธิปไตย |
ธรรมาธิปไตย |
แนวคิด |
ประธานาธิบดีสหรัฐ ลินคอน ของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน |
อัตถะ ประโยชน์ ๓ อัตตัตถะ ประโยชน์ตน ปรัตถะ ประโยชน์ผู้อื่น อุภยัตถะ ประโยชน์ทั้งสอง |
ยึดหลัก |
สิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค |
ธรรมฐิติ หรือ ราชาผู้ทรงธรรม ธรรมนิติ หรือ ระบอบการปกครองด้วย ธรรม ธรรมมติ หรือ มติของมหาชนที่ประกอบ ด้วยคุณธรรม |
กระบวนการ |
เลือกตั้ง |
ไม่จำเป็น |
หลักการบริหาร |
ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ ฝ่ายนิติบัญญัติ |
ให้ครบองค์สงฆ์ (กลุ่ม/หมู่) |
ระบบการปกครอง |
ประชาธิปไตย, เสรีนิยม , ทุนนิยม |
ทุกระบอบ |
จะเห็นว่าแนวคิด หลักการ กระบวนการ การบริหาร และระบบการปกครองทางด้านประชาธิปไตย จะเน้นหลักการเป็นสำคัญ ส่วนธรรมาธิปไตยจะเน้นตัวธรรมเป็นหลัก ถ้ามีธรรมนำทางแล้วหลักการก็ตาม กระบวนการก็ตาม ระบบการก็ตาม ก็ไม่สำคัญเท่ากับคำว่าธรรมาธิปไตย
[2] วิ.มหา. (ไทย) ๑ / ๓๙ / ๒๘–๒๙.
[3] พระธรรมปิฎก. นิติศาสตร์แนวพุทธ. พิมพ์ครั้งที่ ๓. (กรุงเทพฯ : บริษัทสหธรรมิก จำกัด, ๒๕๔๑).
หน้า ๖๘.
[4] สิทธิพันธ์ พุทธหุน. แนวการศึกษารัฐศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ ๓. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๔๓). หน้า ๕๔๕.
[5] เรื่องเดียวกัน. หน้า ๕๔๖.
[6]มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ปรัชญาการเมือง. (นนทบุรี : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๓๔ ). หน้า ๖๖๓-๖๖๕.
[7] สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ. รัฐศาสตร์แนวพุทธศาสตร์. ( กรุงเทพฯ : กราฟิคอาร์ต, ๒๕๒๖). หน้า ๒.
ไม่มีความเห็น