สอบปากคำพยานรับรองการอาศัยอยู่และการเป็นผู้มีความประพฤติดี ของวิษณุ
องค์ประกอบตามกฎหมายของ ม.23 พระราชบัญญัติสัญชาติ(ฉบับที่ 4)พ.ศ.2551 การได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามหลักดินแดนนั้น ผู้ยื่นคำขอลงรายการสัญชาตินอกจากจะต้องเป็นผู้ที่เกิดในประเทศไทยแล้วตามช่วงเวลาที่กฎหมายกำหนดแล้ว ยังต้องเป็นผู้ที่มีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่จริงในประเทศไทยเป็นเวลาติดต่อกัน และต้องเป็นผู้ที่มีความประพฤติดีหรือทำคุณประโยชน์แก่สังคม ซึ่งในสองประเด็นหลังนี้เจ้าหน้าที่ผู้รับคำขอลงรายการสัญชาติไทยต้องดำเนินการสอบปากคำพยานที่เจ้าตัวผู้ยื่นคำขอลงรายการสัญชาติไทยอ้างเป็นพยานบุคคล เพื่อให้ได้ความว่าผู้ยื่นคำขอลงรายการสัญชาติไทยนั้นมีคุณสมบัติในสองประเด็นหลังจริงหรือไม่
ซึ่งตามหลักของกฎหมายพยาน การเรียกพยานบุคคลเพื่อรับฟังประกอบข้อเท็จจริงที่กล่าวอ้างนั้น กฎหมายห้ามมิให้มีการเรียกพยานเกินความจำเป็น เพราะจะเป็นการยุ่งยากเกินสมควรสำหรับผู้ที่กล่าวอ้างข้อเท็จจริง และกรณีของนายวิษณุ ผู้ที่กล่าวอ้างว่าตนเองมีสิทธิในสัญชาติไทยตาม ม.23 พรบ.สัญชาติ(ฉบับ4)พ.ศ.2551 นั้นยังคงไม่บรรลุนิติภาวะ พิจารณาจากหนังสือสั่งการที่ มท 0309.1/ว1587 ที่วางหลักเกณฑ์ของพยานบุคคลที่จะมาให้ปากคำรับรองการอาศัยอยู่ในประเทศไทยและการเป็นผู้มีความประพฤติดี ดังนี้
ดังนั้นในกรณีของนายวิษณุ จึงอ้างพยานบุคคลมารับรองดังนี้
และในวันที่ 4 พฤษภาคม ผู้เขียนซึ่งเป็นนักกฎหมายประจำโครงการบางกอกคลินิก และพี่โอ๊ตนักกฎหมาย
ประจำโครงการบางกอกคลินิกอีกท่านหนึ่งได้เดินทางไปฟังการสอบปากคำพยานบุคคลของเคสวิษณุ ซึ่งเป็นเคสของผู้มีปัญหาสิทธิในสถานะบุคคลตามกฎหมายที่ขอความช่วยเหลือมายังโครงการบางกอกคลินิกและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
เจ้าหน้าที่สำนักทะเบียนของเทศบาลตำบลพระสมุทรเจดีย์ เริ่มต้นสอบปากคำนางปัจจรา ฯ มารดาของผู้วิษณุ ซึ่งจะต้องมีคำถามเกี่ยวกับสัญชาติของผู้มาเป็นพยาน ทำให้เกิดเป็นประเด็น ขึ้นว่า ในเอกสารประจำตัวของนางปัจจราฯ หลายฉบับ ระบุว่าปัจจรามีสัญชาติพม่า แต่โดยข้อเท็จจริงนั้นนางปัจจรามีสถานะบุคคลตามกฎหมายเป็นคนไร้สัญชาติ ยังไม่ถูกยอมรับเป็นคนสัญชาติใดของรัฐในโลก โดยนางปัจจราฯเพียงแต่มีสิทธิในสัญชาติไทยตาม ม.23 พรบ.สัญชาติ(ฉบับ4)พ.ศ.2551 แต่ยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการใช้สิทธิในสัญชาตินั้น เมื่อเป็นประเด็นเช่นนี้ การกรอกรายละเอียดของนางปัจจราในเรื่องสัญชาติลงในบันทึการสอบปากคำ (ปค.14)ควรบันทึกอย่างไร
1) บันทึกตามเอกสาร คือ ระบุสัญชาติพม่า ซึ่งผิดไปจากความเป็นจริง
2) บันทึกตามคำกล่าวอ้างของนางปัจจราเอง คือ ระบุเป็นคนไร้สัญชาติ
ซึ่งในประเด็นนี้ผู้เขียนและพี่โอ๊ตได้พยายามอธิบายกับทางเจ้าหน้าที่ว่าเราไม่ควรระบุว่านางปัจจราฯ มีสัญชาติ
พม่า เพราะนอกจากจะผิดจากความเป็นจริงซึ่งเป็นคนไร้สัญชาติแล้ว ยังเป็นการกระทำที่ประเทศไทยไปละเมิดอำนาจอธิปไตยของประเทศพม่าโดยการที่ประเทศไทยไปให้สัญชาติพม่ากับบุคคล ทั้งที่โดยหลักการแล้วสัญชาติของรัฐจะถูกให้กับบุคคลก็โดยที่รัฐเจ้าของสัญชาตินั้นยินยอม โดยการกำหนดกฎเกณฑ์ และบันทึก รวมถึงออกเอกสารระบุสัญชาตินั้นให้กับบุคคลถือไว้ [ตัวอย่างเช่น สัญชาติไทย รัฐไทยเท่านั้นที่จะเป็นผู้ออกกฎหมายกำหนดเงื่อนไขการได้สัญชาติไทยไว้ หากบุคคลใดมีคุณสมบัติตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดก็จะมีสิทธิในสัญชาติไทย และเมื่อมาใช้สิทธิ รัฐไทยก็จะบันทึก และออกเอกสารประจำตัวคนสัญชาติไทยให้กับบุคคลนั้น] ซึ่งในกรณีของนางปัจจราฯ รวมทั้งนายเล็ก บุญชา นั้นเมื่อไม่ปรากฎว่าทั้งสองมีเอกสารประจำตัวที่ประเทศพม่าออกให้โดยระบุว่าเป็นคนสัญชาติพม่ามาแสดงแก่เจ้าหน้าที่ ทางเจ้าหน้าที่ก็คงไม่สามารถระบุลงไปว่าทั้งสองมีสัญชาติพม่า แต่ควรระบุตามข้อ 2) คือ ระบุเป็นคนไร้สัญชาติ ตามที่นางปัจจราฯ และนายเล็ก บุญชากล่าวอ้าง และอาจจะเขียนข้อสังเกตไว้ข้างท้ายแบบบันทึกคำพยาน (ปค.14)ว่า “ในเอกสาร ที่ปรากฏชื่อของนางปัจจรา หรือนางบุญมี หรือนางปัญจรา กลับระบุว่ามีสัญชาติพม่า”
เจ้าหน้าที่สอบปากคำนางปัจจราฯ นายเล็ก บุญชา และป้าฑา
อย่างไรก็ตามยังมีประเด็นปัญหาในเรื่องชื่อมารดาของนายวิษณุ ซึ่งในหนังสือรับรองการเกิดของนายวิษณุระบุว่าชื่อ “นางปัจจรา หรือนางบุญมี หรือนางปัญจรา นามสกุลศรีวาร” แต่ในหนังสือรับรองการเกิดของนางปัจจราและสำเนาทะเบียนบ้าน ทร.13 ของนางปัจจรากลับระบุว่าชื่อ “นางปัจจรา (ไม่มีนามสกุล)” จึงเกิดเป็นประเด็นปัญหาว่าเจ้าของชื่อเหล่านี้เป็นบุคคลกันเดียวกันจริงหรือไม่ และเป็นมารดานายวิษณุจริงหรือไม่ เหตุผลที่ต้องสืบให้ได้ข้อเท็จจริงของความสัมพันธ์แม่ลูกของนางปัจจราฯ และนายวิษณุนั้น เนื่องจากการทรงสิทธิใน ม.23 ของนายวิษณุก็เนื่องมาจากการเป็นบุตรของมารดาที่เคยถูกถอนสัญชาติไทยโดย ปว.337 และกลับมามีสิทธิในสัญชาติไทย ตาม ม.23 ดังนั้น “ความสัมพันธ์แม่ลูก” และ “การมีตัวตนอยู่จริงของมารดา” จึงเป็นประเด็นสำคัญในเคสนี้
เมื่อนายวิษณุและมารดากล่าวอ้างว่าเจ้าของชื่อเหล่านั้นเป็นบุคคลเดียวกันจริง และเป็นมารดานายวิษณุจริง เช่นนี้ จะอ้างพยานเอกสารและพยานบุคคลใดเพื่อพิสูจน์ข้อกล่าวอ้างนี้
ซึ่งเราได้ปรึกษากับเจ้าหน้าที่ และข้อจำกัดบางประการเกี่ยวกับการแสวงหาพยานหลักฐานประกอบข้อกล่าวอ้างนี้ ดังนี้
- กรณีพยานเอกสาร นางปัจจราฯ ไม่มีเอกสารที่รับรองระบุชัดเจนว่านางปัจจรา หรือนางบุญมี
หรือนางปัญจรา นามสกุลศรีวาร นามสกุลบุญชา เป็นบุคคลคนเดียวกัน แต่เอกสารที่มีนั้นจะมีลักษณะคือปรากฏชื่อใดชื่อหนึ่ง พร้อมเลขประจำตัว ดังนั้นแนวทางการพิสูจน์ข้อกล่าวอ้าง คือ สืบจากพยานเอกสารทั้งหมดที่ปรากฎชื่อ โดยใช้เลขประจำตัวประชาชน รูปถ่าย ข้อมูลอื่นๆที่ปรากฎในเอกสารเหล่านั้นเป็นคีย์เวิร์ดนำมาประกอบกัน แล้วชั่งน้ำหนักพยานว่าน่าเชื่อถือเพียงใด
- กรณีพยานบุคคล ที่ทราบว่ามารดาของวิษณุมีชื่อหลายชื่อปรากฏอยู่ในเอกสารแต่ละช่วงเวลา ก็จะมีแต
ตัวนางปัจจราฯเอง และบุคคลในครอบครัว ส่วนเพื่อนบ้านหรือคนอื่นๆ ก็จะรู้ข้อเท็จจริงอยู่บ้างว่ามีหลายชื่อ แต่ก็ไม่ทราบครบทุกชื่อ และไม่ทราบทั้งหมดว่าใช้ในช่วงเวลาใดและเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
ดังนั้นถ้าจะอ้างเป็นตัวนางปัจจราฯ และบุคคลในครอบครัวเป็นพยานนั้นก็อาจทำได้แต่จะมีผลเรื่อง ความมีส่วนได้ของพยานที่ให้ถ้อยคำ
สำหรับกรณีของ อ.กิตติวรญา และ อ.ชลฤทัย ซึ่งเป็นผู้ที่ให้ความช่วยเหลือเคสวิษณุนั้น แม้จะทราบข้อเท็จจริงว่ามารดาของนายวิษณุมีหลายชื่อ แต่ละชื่อมีอะไรบ้าง และใช้ในช่วงเวลาใด แต่ก็เป็นเพียงการรับรู้โดยฟังจากการบอกเล่าของนางปัจจราฯ การรวบรวมพยานเอกสารเพื่อปะติดปะต่อ และการลงพื้นที่ที่นางปัจจราฯเคยอาศัยอยู่เพื่อสืบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการมีตัวตนอยู่ของนางปัจจราฯและชื่อของเธอ แล้วจึงบันทึกการสืบข้อเท็จจริงเหล่านั้น ดังนั้นหากอ.กิตติวรญา และ อ.ชลฤทัย จะเป็นพยานรับรองในเรื่องดังกล่าวก็เป็นพยานลำดับสองที่รับฟังมาจากการบอกเล่าอีกที
ด้วยเหตุนี้เองผู้เขียน พี่โอ๊ต และทางเจ้าหน้าที่ได้ปรึกษากันว่า ขอให้ผู้ที่เคยให้ความช่วยเหลือเคสนี้ ไม่ว่าจะเป็นโครงการบางกอกคลินิก หรือคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติก็ตาม ช่วยมีหนังสือถึงเทศบาลตำบลพระสมุทรเจดีย์ เรื่อง ชี้แจงเกี่ยวกับชื่อมารดาของนายวิษณุ โดยระบุรายละเอียดชื่อและเหตุผลที่ใช้ชื่อเหล่านั้นในช่วงเวลาต่างๆ พร้อมแนบเอกสารที่ปรากฏชื่อเหล่านั้น และบันทึกคำพยานบุคคลที่ได้จากการลงพื้นที่ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่ และทางอำเภอพระสมุทรเจดีย์เข้าใจถึงที่มาที่ไปของแต่ละชื่อได้ ถ้าการชี้แจงพร้อมเอกสารแนบฟังแล้วมีน้ำหนักก็จะทำให้เชื่อได้ว่า นางปัจจราหรือนางบุญมี หรือนางปัญจรา นามสกุลศรีวารหรือ นามสกุลบุญชา เป็นมารดาของนายวิษณุจริง
ประสบการณ์นี้อาจนำมาแลกเปลี่ยนกันในเวทีกรรมการสิทธิ์ฯ ที่จะสรุปงานตรงนี้