ขอจงทรงพระเจริญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า นางสาวบุญช่วย ภักดี
จาก พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัว ทำให้ดิฉัน ตระหนักถึงคำว่า "อาชีพครู" ดิฉันเป็นครูชนบทอยู่ในโรงเรียนขยายโอกาส ที่ค่อนข้างอยู่ห่างไกลกับความเจริญทางด้านวัตถุหรือเทคโนโลยี
คำว่า "ครู" จะมีใครสักกี่คนเข้าใจคำๆ นี้ ทั้งผู้ที่อยู่ในอาชีพนี้และคนที่ไม่ได้อยู่ในอาชีพ ฉันเองเป็นคนที่ไม่ได้จบมาโดยตรงทางด้านสายวิชาชีพครู เพราะ ณ ตอนนั้นก็ไม่ได้มุ่งหวังในสายอาชีพนี้ อีกทั้งคงยังไม่เข้าใจแก่นแท้ของคำว่า "ครู"
และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสายงานบนเส้นทางที่ก้าวเข้ามาสู่อาชีพครูของดิฉันก็เริ่มมาจาก เมื่อครั้งที่ดิฉันได้สัมผัสกับเด็กนักเรียนที่มีทั้งเด็กเก่ง เด็กอ่อน ความอยากรู้สำหรับเด็กเก่งและความไม่อยากรู้สำหรับเด็กอ่อน ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ชวนให้ดิฉันพยายามค้นหาคำตอบเพื่อมาพัฒนา และแก้ไข ณ เวลานั้นเองที่ดิฉันได้ก้าวเข้ามาโดยหวังมาหาประสบการณ์ของงานที่เรียกว่า "อาชีพครู" ดิฉันก็ติดใจจนมิอาจที่จะก้าวออกมานอกอาชีพนี้ได้
ด้วยประสบการณ์ในครั้งนั้น คือเมื่อปี พ.ศ.2546 จนถึงปัจจุบัน ประสบการณ์ตต่างๆ มากมายทั้งในหน่วยงาน และห้องแห่งความรู้คือ "ห้องเรียน" ย่อมทำให้ดิฉันได้เกิดการเรียนรู้มากมาย เรียนรู้ที่จะพัฒนาและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
"นักเรียน มีครูเป็นผู้สอน แล้วครูหละใครเป็นคนสอน"
คำตอบของประโยคนี้ไม่ยากเลย เพราะคนที่สอนครูที่ดีที่สุดก็คือ "ภาพสะท้อนของเด็กนักเรียน" นั้นเอง
การจัดการเรียนการสอน ไม่มีที่จะไม่พบปัญหา และปัญหาก็เป็นสิ่งที่ครูจะเป็นผู้ช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้ดีขึ้น การแก้ปัญหา คุณครูหลายท่านก็แก้ปัญหาเหล่านี้เป็นปัจจุบันอยู่แล้ว แต่ก็กลับมองว่าคุณครูไม่มีหลักฐานในการแก้ปัญหา ซึ่งหลักฐานในการแก้ที่ว่า ปัจจุบันนี้ก็ "วิจัยในชั้นเรียน"
ปัจจุบันการทำ "วิจัย" เพื่อแก้ไขปัญหาในชั้นเรียนถือเป็นส่วนสำคัญสำหรับครูผู้สอน อีกทั้งในการประเมินผลงานครูผู้สอนก็จะต้องมีวิจัยที่เป็นหลักฐานในการพัฒนาผู้เรียนด้วยเครื่องมือที่ตนเองสร้างและพัฒนา
แต่ปัญหาหนึ่งที่ไม่แพ้ไปจากปัญหาในชั้นเรียน ก็คือ ปัญหาที่จะทำวิจัยของครูผู้สอน คุณครูหลายท่านรู้สึกหนักอกหนักใจเกี่ยวกับการทำวิจัย เพราะด้วยปัจจัยในตนเองต่างๆ มากมาย เช่น ไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำวิจัย ต่อให้อบรมเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ ,ความถนัด/เชี่ยวชาญทางด้านการวิเคราะห์ที่เป็นสถิติ เป็นต้น
บางท่านประสบกับปัญหาเหล่านี้ ก็ต้องมองหาผู้ช่วยที่เรียกว่า เป็นมือวิจัย ปัญหาลักษณะ เช่นนี้ ดิฉันเข้าใจ เพราะได้รับรู้ถึงปัญหาในลักษณะนี้โดยตรง จริงๆ แล้วเป็นสิ่งที่น่าเห็นใจมาก ดิฉันนึกถึงครูอาจารย์ที่อายุค่อนข้างมากแล้ว และก็ไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องเหล่านี้ บางท่านแม้แต่การใช้คอมพิวเตอร์ก็ไม่มีความชำนาญหรือเชี่ยวชาญเท่ากับคุณครูสมัยใหม่ๆ ซึ่งตรงส่วนนี้ดิฉันเข้าใจคุณครูเหล่านี้นะคะ สมัยก่อนๆ เทคโนโลยีต่างๆ ก็ยังไม่ค่อยมี ดังนั้นการที่จะให้ครูซึ่งไม่ค่อยได้สัมผัสมาแต่ต้นมาใช้ให้เชี่ยวชาญหรือชำนาญเลยนั้นก็คงยาก
เหตุผลและความตั้งใจ ในการสร้างเว็บบล็อกอันนี้ขึ้นมาก็เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ดิฉันจะได้ใช้ความรู้เกี่ยวกับการวิจัยที่ได้ศึกษามา มาเป็นส่วนหนึ่งในการไขข้อข้องใจหรือปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับวิจัย ในกรณีที่ดิฉันนั้นตอบได้ ไม่มากก็น้อย
ดังนั้น ดิฉัน จะใช้สถานที่อันนี้คือ เว็บบล็อก ที่ชื่อว่า "คุยวิจัยกับครูหนู" เป็นสถานที่แลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจ ปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับการทำวิจัย หากบุคลใดสนใจแสดงความรู้ หรือแสดงปัญหาทางด้านวิจัย ก็มาตั้งเป็นกระทู้ข้อความได้เลยค่ะ
ด้วยความยินดีที่จะรับใช้ และให้ความรู้ค่ะ ^_____________^
ครูภูธร(ครูหนู)
สวัสดีค่ะ
เห็นด้วยกับหนูนาค่ะ
"นักเรียน มีครูเป็นผู้สอน แล้วครูหละใครเป็นคนสอน"
คำตอบของประโยคนี้ไม่อยากเลย เพราะคนที่สอนครูที่ดีที่สุดก็คือ "ภาพสะท้อนของเด็กนักเรียน" นั้นเอง
ขอบคุณและเป็นกำลังใจให้นะคะ
ดีใจด้วยคะ ที่ครูหนู ผู้อันเป็นทีรักของลูกศิษย์ ได้พัฒนาเว็บขึ้นมาอีกเว็บหนึ่ง ดีใจด้วยที่ได้เห็นการพัฒนาการอย่างต่อเนื่องมาตลอดแลเฝ้ามองเห็นความก้าวหน้าของครูมาตลอด ขอ จงก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และสังคม ขึ้นไปเลื่อย ๆ นะคะ มีกำลังใจให้เสมอ
ครู คือ ผู้สร้างโลก ด้วยการสร้างศิษย์
เป็นกำลังใจให้คุณครูนะครับ
ขอบคุณครับ...
ใช้กระจกเป็นคันฉ่องส่องเห็นหน้าและอาภรณ์ ใช้ประวัติศาสตร์เป็นคันฉ่องส่องส่องเห็นความรุ่งเรืองและเสื่อมโทรม ใช้คนเป็นคันฉ่องส่องเห็นความสำเร็จและล้มเหลว ใช้ภาพพิมพ์เป็นคันฉ่องส่องประสิทธิภาพของแม่พิมพ์ ดังนั้นคันฉ่องส่องครูย่อมต้องเป็นภาพสะท้อนของเด็กนักเรียนแน่นอนครับ เป็นกำลังใจให้ครับ สู้ๆครับ
สวัสดีจ๊ะ เป็นอีก blog หนึ่ง ที่น่าสนใจ ตอนนี้กำลังเตรียมการเพื่อทำวิจัยในชั้นเรียน คงต้องขอใช้บริการน้องหนูในอนาคตอันใกล้นี้แน่นอนจ๊ะ
สวัสดีค่ะ ครูหนู
รู้สึกชื่อจะเหมือนกันเลยนะคะ ต่างตรงภาษาเท่านั้นเอง และที่สำคัญที่คงต่างคือความรู้ด้านวิจัยในชั้นเรียนที่ Noona ไม่ค่อยมีความรู้ด้านนี้ดีสักเท่าไร เพราะทำส่งผู้บริหารกี่ครั้งก็จะถูกคอมเม้นต์ทุกที คะแนนเต็ม 3 ก็จะได้ 2 ตรงนั้นขาดตรงนี้ไม่สมบูรณ์อะไรประมาณนี้ เพราะผอ.ค่อนข้างเก่งเรื่องวิจัย ก็อย่างท่ี่ครูหนูว่านั่นแหละค่ะ อบรมกี่ครั้งก็ไม่เข้าใจดีสักเท่าไรนี่แค่วิจัยในชั้นเรียนธรรมดานะคะ ถ้าวิจัย 5 บทล่ะก็คงต้องอาศัยเวลาศึกษาอย่างจริงจังอีกนานเลยค่ะ แต่คงอีกหลายปีค่ะกว่าจะได้ทำ 5 บทเพื่อเลื่อนเป็นชำนาญพิเศษ เพราะตอนนี้แค่จะยื่นชำนาญการก็ยังไม่ได้ยื่นเลยค่ะทั้งที่มีสิทธิ์ตัั้งนานแล้ว ตอนนี้อายุราชการ 8 ปีแล้ว เงินเดือนก็เลยเกณฑ์ยื่นแล้ว ก็ สมศ.จะเข้าน่ะค่ะที่โรงเรียนมีครู 5 คน รวมผอ.ก็ 6 คน ที่สำคัญเอกสารทั้งหลายแหล่ก็กองอยู่ที่ Noona ค่ะ เลยไม่อยากเครียดจนเส้นเลือดในสมองแตกตายก่อนวัยอันควรค่ะ ก็รอให้ผ่านสมศ.(ประมาณมิถุนายน) ไปก่อนก็จะย่ื่นดูค่ะ
คงจะได้สอบถามเกี่ยวกับวิจัยจากครูหนูในโอกาสหน้านะคะ ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ เพราะเราเป็นครูชนบทเหมือนกันค่ะ