จากผลคะแนน O-NET ที่ประกาศออกมา ทั้งของนักเรียน ม. 3 และ ม. 6 คะแนนส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ต่ำ ในฐานะที่เป็นครูคนหนึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าผู้ใหญ่เขาทำอะไรกันอยู่ นโยบายและหลักการสอบดูดี แต่ปฏิบัติแล้วกลับตรงกันข้าม นี่แหละ การศึกษาไทย คนสอนคนหนึ่ง คนวัดและประเมินผลอีกคนหนึ่ง ผลออกมานักเรียนได้คะแนนต่ำ นักเรียนยังไม่ให้ความสำคัญกับการสอบ O-NET เพราะคะแนนไม่มีผลต่อตัวนักเรียน ถ้าให้นำคะแนนสอบ O-NET มามีผลต่อการเรียนจบ ชั้น ม.3 และ ม.6 ของนักเรียน ก็คงจะดี แต่ที่ทำกันอยู่ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า O-NET สอบแล้วได้อะไร นอกจากผลสัมฤทธิ์ของโรงเรียนต่ำ ไม่ผ่านเกณฑ์ระดับประเทศ แล้วจะจัดสอบให้เปลือง งบประมาณทำไม
ใช่ค่ะ เห็นด้วยกับบันทึกนี้ค่ะ เหนื่อยทั้งครูทั้งนักเรียน ถึงเวลาผู้บริหารก็เอาคะแนนมาแจ้งในที่ประชุม ปีนี้คะแนนโรงเรียนเราเป็นอันดับที่เท่าไร คะแนนวิชาไหนต่ำก็ปรับเปลี่ยนครูผู้สอน ...เหนื่อยค่ะ...สอบแล้วได้อะไร
"...ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า O-NET สอบแล้วได้อะไร นอกจากผลสัมฤทธิ์ของโรงเรียนต่ำ ไม่ผ่านเกณฑ์ระดับประเทศ แล้วจะจัดสอบให้เปลือง งบประมาณทำไม..."
ถ้าเราไม่รู้ว่า ไม้บรรทัด ยาวเท่าไร เราจะ เสียเงินเสียเวลา วัดไปทำไม
เราชอบเห็นนักเรียนเข้าแถว เรียงลำดับความสูง (เพื่อความสวยงาม ในสายตาของเรา?) เราอยากเห็น แถวตรง แถวนิ่ง ...
"นักเรียนทั้งประเทศ แถวตรง!"
การสอนหลากหลาย
การวัดผลตามความเป็นจริง..
แต่วัดผล..ข้อสอบเดียวกันทั้งประเทศ
จะเอายังไงกัน...?????
บันทึก ที่ครูอ้อบ แซ่เฮ เขียนเกี่ยวกับ O-net เผื่อเป็นข้อมูลให้เข้าใจ ยิ่งขึ้น
ก่อน....การประชุมเชิงปฏิบัติการพิจารณาเครื่องมือในการวัดและประเมินผล
ข้อคิดก่อนการประชุมพิจารณาเครื่องมือในการวัดและประเมินผล
เล็กน้อย....จากการประชุมเชิงปฏิบัติการสร้างเครื่องมือวัดและประเมินผล เสร็จแล้วกับการประชุมเชิงปฏิบัติการการสร้างเครื่องมือวัดและประเมินผล
ว่างๆๆ จะเข้ามาคุย เรื่อง O-net อีกนะคะ
ในประเทศนี้เขาลงทุนเรื่องกระจกสวย ๆ ราคาแพง ๆ เป็นเงินจำนวนมหาศาล
แต่ไม่ได้ลงทุนผู้ส่องกระจก ผู้ส่องกระจกทั้งหลาย ผอมเกร็ง ไร้เรี่ยวแรง
บ้างก็พยายามที่จะแต่งใบหน้าทีผอมเกร็งด้วยเครื่องสำีอางทั้งหลายเพื่อให้
กระจกนั้นสะท้อนภาพที่สุดยอดออกมา เราจะต้องเรียกร้องให้พวกเขาขาย
กระจกสวย ๆ แพง ๆ ที่มีพ่อค้าเจ้าเล่ห์แสวงหาผลประโยชน์จากกระจกนั้น
แล้วนำเงินลงทุนเรื่องกระจกสวย ๆ งาม ๆ นั้นมาบำรุงผู้ส่องกระจกก่อนให้
มีเรี่ยวแรง ให้สดใสตามธรรมชาติ แม้ไม่มีกระจกแต่ก็สะท้อนภาพและความงามได้
ตามความเป็นจริง
ผมไม่ปฏิเสธว่าในบรรดาคนส่องกระจกแล้วดูสวยสดใส ปิ๊ง ๆๆๆ นั้นล้วนแต่
เป็นผู้ได้รับการเอาใจส่วนน้อยมากจริง ๆ ตามหัวเมืองใหญ่ ซึ่งสามารถระดม
ทุนตกแต่งให้สวยเท่าไรก็ได้ และจริง ๆ แล้วบางทีการที่เห็นสดใส ปิ๊ง ๆ นั้น
ยังมีหน้ากากซ่อนความไม่สวยไว้ เพียงแต่โปะตีนกา ไม่ให้เห็น
แต่เมื่อเอาคนทั้งหมดมายืนเรียงกันให้เห็นหน้าทุกคน ก็ปรากฎว่า มีความน่าเกลียด
อันเนื่องมาจากสุขภาพไม่ดี แม้ว่าจะได้รับการบำรุงดีเพียงปีสองปี หลาย ๆ ปีที่
ไม่ได้บำรุง ก็ไม่ได้ทำให้ภาพดีขึ้น ภาพส่วนใหญ่จึงน่าเกลียด มีภาพสวยใสปิ๊ง
อยู่เพียงบางคน ที่สามารถคัดคนเข้าเรียนได้ มีคนสอนที่มีคุณภาพเสียส่วนใหญ่
เราไม่เอาเงินที่ซื้อกระจก ไปปรับปรุงบำรุงเลี้ยงร่างกาย เพื่อปรับสภาพก่อนหรือ
เมื่อปรับสภาพทุกอย่างตามความเป็นจริง เช่น
1.คนที่สวยปิ๊ง พร้อมแล้ว คนจำนวนเหล่านี้มีจำนวนน้อย งดงบประมาณ
2.คนที่สวยเพราะฉาบทา มีความพร้อมน้อย แต่มีจำนวนมากกว่าระัดับ 1 เพิ่มศักยภาพทุกด้าน
3.คนที่สวยแต่ไม่ได้รับการบำรุงเลี้ยงดี ให้เพิ่มศักยภาพทุกด้าน
4.คนที่ไม่สวยและไม่ได้รับการบำรุงเลี้ยงดี ที่อยู่ตามชายขอบ มีประวัติศาสตรที่อดอยากตั้งแต่ต้น ต้องบำรุงเลี้ยงให้มากทุกด้าน
เชืื่ี่อไหมว่า ทุกวันนี้เราไปบำรุงเลี้ยง คนที่สวยปิ๊งอยู่แล้ว เพราะอย่างไรกระจกก็ชอบ ประวัติของ
คนสวยปิ๊งก็ถูกบำรุงเลี้ยงอย่างดีมาอย่างเป็น สเต็ป ไม่มีประวัติศาสตรตอนไหนเลยที่คนสวยปิ๊งจะไม่ได้รับ
การบำรุงเลี้ยง เพราะเป็นหน้า เป็นตา ส่วนที่ไม่สวยและไม่ได้รับการบำรุงเีลี้ยง ส่องกระจกทีไรก็ไม่สวย
เมื่องส่องในภาพรวม กลับกลายเป็นว่า สวยปิ๊งกลับโดดเด่น
แล้วเราจะเอากระจกราคาแพง ๆ นั้นคืนไปก่อน แล้วบำรุงเลี้ยงให้สวยตามธรรมชาติ อย่างเท่าเทียมกันก่อน
แล้วกระจกราคาถูก ๆ ก็สามารถส่องได้ และจะสวยงามไปทั้งระบบ