พระมหาเทวีจิรประภา
ระยะเวลาครองราชย์
"พระมหาเทวีจิรประภา " หรือ "พระเปนเจ้ามหาจิรประภา" ทรงเป็นกษัตรีองค์แรกของอาณาจักรล้านนา ที่ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2088 - 2089 เป็นกษัตรีลำดับที่ 16 .แห่งราชวงค์มังราย โดยทรงขึ้นครองราชย์ต่อจากพญาเกส หรือ เกสเชษฐา หรือ พระเมืองเกส
พระประวัติ
จากการสืบค้นประวัติของ"พระมหาเทวีจิรประภา " หรือ "พระเปนเจ้ามหาจิรประภา" ยังไม่หลักฐานที่บ่งชี้ถึง วันเดือนปีเกิด สถานที่เกิดและพระบิดาพระมารดาของพระองค์ หากแต่จากตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ และศิลาจารึกวัดพระธาตุเมืองหลวงพระบาง รวมทั้งตำนานชินกาลมาลีปกรณ์ สามารถประมวลโดยสรุปได้ว่า
"พระมหาเทวีจิรประภา" ทรงเป็นพระมเหสีของพระเกส กษัตริย์ลำดับที่ 14 แห่งราชวงค์มังราย ซึ่งขึ้นครองราชสองสมัยคือ สมัยแรกระหว่างปี พ.ศ. 2069 - 2081 และสมัยที่สอง ระหว่างปี พ.ศ. 2086 - 2088 และเป็นพระมารดาของท้าวชาย กษัตริย์ลำดับที่.16 ของราชวงค์มังราย ซึ่งครองราชย์ในระหว่างปี พ.ศ. 2082- 2085
สันนิฐานว่า พระมหาเทวีจิรประภา น่าจะทรงเป็นหญิงที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์และมีอำนาจทางการเมือง ดังจะปรากฎจากขึ้นครองราชย์เป็น "กษัตรี " ที่มีอำนาจสิทธิ์ขาดเพียงผู้เดียว ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในการระบบการปกครองของล้านนาที่ล้วนแต่มี "กษัตริย์"
บทบาททางการเมือง
สวัสวดี อ๋องสกุล (2547) ได้เสนอพระราชประวัติของพระมหาเทวีจิรประภา กล่าวโดยสรุปดังนี้
ในช่วงปลายราชวงศ์มังราย อาณาจักรล้านนามีความอ่อนแอ เนื่องการแย่งชิงอำนาจระหว่างกษัตริย์และขุนนาง และขุนนางในสมัยนั้นมีอำนาจสูงมาก สามารถแต่งตั้งหรือปลดกษัตริย์ออกได้ตามความพึงพอใจ ทั้งนี้เป็นผลเนื่องจากปัญหาโครงสร้างของรัฐที่มีการกระจายการปกครองไปตามการตั้งถิ่นฐาน ประกอบกับลักษณะทางกายภาพให้เอื้อให้เมืองต่าง ๆ มีความสามารถในการพึงพาตนเอง มีความสามารถในการคุมกำลังคน และมีอำนาจทางเศรษฐกิจจากการเก็บส่วย ทำให้เมืองต่าง ๆ มีความเป็นอิสระค่อนข้างสูง ซึ่งที่ผ่านมานับตั้งแต่ช่วงตอนต้นและตอนกลางของราชวงศ์มังราย มีการจัดการควบคุมระบบเมืองขึ้นอย่างได้ผล หากแต่ก็เริ่มอ่อนแอลงตามลำดับ
ดังจะปรากฏในสมัยที่พญาเกส ขึ้นครองราชย์ครั้งที่ 1 ระหว่างปี พ.ศ. 2077 ที่เริ่มเกิดความขัดแย้งระหว่างพญาเกสกับขุนนาง โดยมีกลุ่มขุนนางลำปางเป็นแกนนำ และมีความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น ในที่สุด ปี พ.ศ. 2581 กลุ่มขุนนางได้ปลดพญาเกสออกและส่งไปอยู่เมืองน้อยจากนั้นจึงเชิญท้าวชาย ซึ่งเป็นโอรสของพญาเกส ขึ้นปกครองในระหว่างปี พ.ศ. 2081- 2086
ต่อมาท้าวชายได้ถูกขุนนางฆ่าตายในคุ้มพร้อมครอบครัว และกลุ่มขุนนางได้ไปเชิญพญาเกสให้กลับมาครองราชย์ครั้งที่สอง ในระหว่างปี พ.ศ. 2086 - 2088 และได้ถูกแสนคราวหรือแสนดาว ขุนนางใหญ่ ปลงพระชนม์ ช่วงระยะเวลาดังกล่าวจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งแตกแยกทางการเมือง เนื่องจากจารีตล้านนาที่เชื่อว่า กษัตริย์ต้องสืบเชื้อสายกษัตริย์ ดังนั้น ขุนนางแม้ว่าจะปลดกษัตริย์ได้แต่ก็ไม่สามารถครองราชย์ได้ นำสู่สงครามกลางเมืองและการชักนำกำลังจากภายนอกเข้าช่วย ทั้งนี้กลุ่มขุนนางที่มีบทบาทสำคัญมี 3 กลุ่มคือ
กลุ่มแสนคราวหรือแสนดาว เป็นกลุ่มที่ปลงพระชนม์พญาเกส และเชิญเจ้านายเมืองเชียงตุง ซึ่งมีเชื้อสายราชวงศ์มังราย ให้มาครองเมืองเชียงใหม่ แต่เจ้านายเมืองเชียงตุงไม่มา จึงไปเชิญเจ้าเมืองนาย
กลุ่มหมื่นหัวเคียน เป็นกลุ่มที่สู้รบกับกลุ่มแสนคราว และพ่ายแพ้จึงหนีไปลำพูน และไปแจ้งให้กรุงศรีอยุธยายกทัพขึ้นมายึดเมืองเชียงใหม่ และเป็นเหตุให้พระไชยราชา กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยายกทัพมาตีเมืองเชียงใหม่ในเวลาต่อมา
กลุ่มเชียงแสน เป็นกลุ่มของพระมหาเทวีจิรประภา ประกอบด้วยเจ้าเมืองเชียงแสน เจ้าเมืองเชียงราย เจ้าเมืองลำปาง และเจ้าเมืองพาน กลุ่มนี้สามารถกวาดล้างกลุ่มแสนคราวสำเร็จและอัญเชิญพระไชยเชษฐาจากล้านช้าง เพื่อมาปกครองเมืองเชียงใหม่
พระไชยเชษฐาเป็นโอรสของพระโพธิสาลราช กษัตริย์แห่งล้านช้างและพระนางยอดคำ ธิดาของพญาเกสและพระมหาเทวีจิรประภา ทั้งนี้ระหว่างที่รอการเสด็จมาของพระไชยเชษฐา บรรดาขุนนางได้อัญเชิญพระมหาเทวีจิรประภาขึ้นครองราชย์ ระหว่างปี 2088 - 2089 ซึ่งคาดว่าน่าจะทรงมีอายุประมาณ 45 - 46 ปี และแม้ว่าจะเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ในการครองราชย์ หากแต่พระมหาเทวีจิรประภาก็ได้ช่วยให้บ้านเมืองพ้นวิกฤตจากสงครามระหว่างเชียงใหม่และกรุงศรีอยุธยา
วันพุธ ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 7 พระไชยราชานำกองทัพจากกรุงศรีอยุธา มาถึงเชียงใหม่ในวันอาทิตย์ แรม 14 ค่ำ เดือน 7 ซึ่งขณะนั้นพระมหาเทวีจิรประภา เพิ่งขึ้นครองราชย์และเชียงใหม่ยังไม่พร้อมที่จะทำสงคราม จึงทรงเลือกใช้ยุทธวิธีทางการฑูต โดยการแต่งบรรณการไปถวายพระไชยราชา พร้อมทั้งเชิญพระไชยราชาให้ไปประทับที่เวียงเจ็ดลิน และเชิญพระไชยราชาร่วมทำบุญอุทิศให้พญาเกส ณ วัดโลกโมลี ซึ่งในครั้งนั้นพระไชยราชาได้ร่วมบริจาคเงินสมทบสร้างกู่บรรจุอัฐิพญาเกส พร้อมทั้งรางวัลแก่เจ้านายและขุนนางที่ไปต้อนรับ จากนั้นจึงเสด็จกลับกรุงศรีอยุธยา
ยุทธวิธีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความปรีชาสามารถของพระมหาเทวีจิรประภา ในการเจรจาหว่านล้อมชักชวนให้พระไชยราชายกทัพกลับไป โดยใช้เวลาประทับเชียงใหม่ไม่นาน และยังไม่ได้เสด็จเข้าเมืองเชียงใหม่ เพราะเวียงเจ็ดลินอยู่ห่างจากกำแพงเมือง 3 กิโลเมตร เช่นเดียวกับวัดโลกโมลี ซึ่งอยู่นอกกำแพงเมืองเชียงใหม่ด้านเหนือ ทั้งนี้การให้เกียรติอย่างสูงสุดของกษัตริย์ควรหมายถึงการอัญเชิญเข้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ โดยผ่านประตูช้างเผือกด้านหัวเวียง ดังนั้นนัยนี้ความจริงในครั้งนี้ จึงเป็นการแฝงถึงแนวคิดในการไม่ยอมรับอำนาจของกรุงศรีอยุธยา
ในปีเดียวกันนี้เอง หลังจากที่กองทัพกรุงศรีอยุธยายกกลับไป กองทัพ"เงี้ยว" จากเมืองนายและเมืองยองห้วย จากรัฐฉาน ยกทัพมาล้อมเมืองเชียงใหม่ แม้ว่าขณะนั้นเชียงใหม่กำลังประสบปัญหาความยุ่งยากจากภัยธรรมชาติจากแผ่นดินไหว จนเป็นเหตุให้เจดีย์หลวง เจดีย์วัดพระสิงห์ หักพังลงมา แต่กระนั้นพระมหาเทวีจิรประภาก็ได้ทำสงครามกับกองทัพ "เงี้ยว" จนได้รับชัยชนะ
และเหตุจากการที่เมืองเชียงใหม่มีศึกมาติดพันอยู่ตลอด พระมหาเทวีจิรประภาจึงได้ขอกำลังจากอาณาจักรล้านช้าง ซึ่งเป็นเมืองของพระโพธิสาลราชและพระนางยอดคำ ซึ่งเป็นพระธิดาของพระองค์มาช่วยป้องกันเมืองเชียงใหม่ สร้างความไม่พอใจแก่พระไชยราชา แห่งกรุงศรีอยุธยาเพราะเกรงการแทรกแซงอำนาจจากล้านช้าง จึงได้ยกทัพขึ้นมาปราบเชียงใหม่ โดยหวังจะตีเชียงใหม่ให้แตก จากการยกทัพใหญ่มีทหารและอาวุธจำนวนมากทำให้ได้เปรียบกว่าเมืองเชียงใหม่
หากแต่ในคราวนี้พระมหาเทวีจิรประภาทรงต่อสู้ศึก โดยมีกองทัพจากล้านช้างมาช่วยเหลือทำให้สามารถต้านทัพกรุงศรีอยุธยาและตีกองทัพกรุงศรีอยุธยาแตก ประกอบกับพระไชยราชาทรงพระประชวรมาก จึงถอยทัพกลับและสวรรคตในเวลาต่อมา
หลังจากสงครามได้สร้างความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างล้านนาและล้านช้าง ดังนั้นในปี พศ. 2089 พระโพธสาลราชและพระนางยอดคำ ได้แต่งขบวนเกียรติยศให้พระไชยเชษฐามาครองล้านนา ขณะที่มีอายุ 12 ปี ดังนั้นจึงยังเป็นยุวกษัตริย์ ที่พระมหาเทวีจริประภาย่อมให้คำแนะนำดูแลอยู่เบื้องหลังระหว่างการครองราชย์ใน ปี พ.ศ. 2089 -2090 และได้เสด็จกลับไปครองราชย์ที่ล้านช้างต่อจากพระโพธิสาลราชซึ่งสวรรคต
ในการนี้พระมหาเทวีจิรประภา ได้เสด็จไปล้านช้างพร้อมกับพระไชยเชษฐา และไม่ประสงค์จะยุ่งเกี่ยวกับการเมืองล้านนา แต่อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏหลักฐานว่า พระมหาเทวีประทับล้านช้างตลอดพระชนม์ชีพหรือเสด็จกลับมาประทับเชียงใหม่ยามชราภาพและไม่ทราบว่า สิ้นพระชนม์ลงเมื่อใด
ไม่มีความเห็น