อย่างน้อยก็เคยไปต่างประเทศ
สวัสดีท่านผู้อ่านที่เคารพนะคะ สำหรับวันนี้ดิฉันขอนำเสนอเรื่องราวที่ครั้งหนึ่งในชีวิตอย่างน้อยก็เคยไปต่างประเทศ สำหรับต่างประเทศที่ดิฉันกำลังจะเล่าดังต่อไปนี้ก็คือ ประเทศจีน ค่ะ เพราะว่าทางมหาลัยราชภัฏเชียงรายนั้นมีนโยบายว่านักศึกษาท่านไหนที่เรียนภาษาจีน เมื่ออยู่ปี 2 จะได้ไปเรียนที่ประเทศจีน 1 เทอม แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าเพราะได้ไปเรียนต่อที่จีนแล้วดิฉันก็เลยเข้ามาเรียนเลยนะคะ ไม่ค่ะก่อนที่จะมาสมัครเรียนเอกจีน ไม่เคยรู้เลยว่า จะได้ไปประเทศจีน แต่ที่เรียนคือ มองว่าในอนาคต อนางอ ภาษาจีนต้องมีงานทำไม่มากก็น้อยค่ะ ก็เลยตัดสินใจมาเรียนเอกจีน ยอมรับว่าตัวเองไม่มีพื้นฐานภาษาจีนแม้แต่ตัวเดียว ตอนที่เข้าไปใหม่บอกกับเพื่อนว่าไม่ไหวหล่ะ ไม่อยากเรียนยากๆมากๆ อาจารย์ก็สั่งงานเยอะและจะย้ายไปเรียนการจัดการทั่งไปเพราะเห็นเพื่อนๆเค้าเรียนกัน แต่ว่า ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย ผอ.ที่ดูแลเกี่ยวกับการเรียนเค้าไม่ให้ย้ายค่ะ เค้าบอกว่าย้ายไม่ได้แล้ว แค่นี้แหล่ะค่ะ ก็เลยสู้กับมันและก็จบที่สุด แต่ที่จะเล่าดังต่อไปนี้คือ ครั้งแรกในชีวิตที่ได้ไปต่างประเทศ นั่นก็คือประเทศจีนนั่นเอง แหมคนไม่เคยไปแค่ได้ไปแค่นี้ก็ดีใจแล้วหล่ะค่ะ
ก่อนที่จะไปเคยพูดกับตัวเองและคุยกับเพื่อนๆว่า ไปต่างประเทศเราต้องนั่งเครื่องบินไปสินะ แบบว่าดีใจมากๆๆๆๆๆ ค่ะ เพราะว่า เกิดมาได้แต่มองค่ะไม่เคยขึ้นไปนั่งซะทีก็เลยดีใจมากก็พูดกันว่า เอ้ แล้วเค้าต้องจำกัดน้ำหนักกระเป๋ากันกี่โลเอ่ย เค้าต้องทำยังไงกันต้องไปขึ้นที่ กทม.เลยเหรอ แหมนั่งเครื่องเป็นอาไรที่แบบว่า ดีใจแต่ว่า ได้นั่งเหมือนกันค่ะ เครื่องที่ว่า นั่นก็คือ ................... เครื่องดีเซลนั่นเอง น่านๆๆ งง กันเลย เครื่องที่ว่า เป็นเครื่องดีเซลค่ะ มี ตั้ง 6 ล้อแหน่ะ หารู้ไม่ นั่งรถบัสของประเทศลาวไป ถามว่าเสียใจใหมที่ไม่ได้นั่งเครื่องก็เสียใจนะแต่ว่าจะนั่งก็ได้แต่ว่ามันต้องอ้อมถ้าเกิดเดินทางรถจะประหยัดและถึงเร็วกว่าก็เลย ตัดใจและมานั่งรถแทน เพราะว่าสถานที่ที่ดิฉันไปเรียนมันไม่ไกลจากไทยมากเท่าไหร่ค่ะ กะประมาณเดินทางจากลาวไปยังชายแดนบ่อหาน (ชายแดนลาว – จีน ) ประมาณ 5 ชั่วโมงได้และจากชายแดนบ่อหานไปที่เมืองยวี่ซีก็ 1 คืน ไปถึงที่นั้น 6 โมงเช้า ตื่นเต้นมากๆๆ ค่ะ ได้เห็นวิถีชีวิตของคนจีนแล้วแตกต่างกับบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน การแต่งตัว และรถเมล์ รถมอเตอร์ไซค์ ไม่เหมือนบ้านเราเลย ตอนที่ลงรถรถไปจอดตรงที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัย ก็ต่างช่วยกันขนของลงจากรถบางคนของก็หายไม่ครบ ดิฉันกับเพื่อนๆก็ผลัดกันนำกระสำภาระของตนเองไปเก็บที่ห้องของตัวเอง ที่มหาลัยดังกล่าวพื้นที่จะเป็นเขา เวลาเดินออกไปซื้อของด้านนอกขอความกรุณาอย่าซื้อมามากเพราะเวลาเดินกลับมันหนัก
และเหนื่อยและทรมานค่ะ การแต่งกายของเค้า ก็คือเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ต้องสวมกางเกงยีนส์ หรือวอร์ม และรองเท้าไบหรือหุ้มส้นค่ะ เพราะว่า ส่วนมากแล้วนักศึกษาที่นั้นเค้าไม่มีมอเตอร์ไซค์ให้ขับเหมือนกับบ้านเรานะคะ ต่างคนต่างเดิน เดินอย่างเดียวค่ะ ลิฟท์ เลิฟอาไรไม่ต้องถามหา คุณเรียนชั้นไหนก็เดินไปเอง เฮ้อ ยอมรับว่าไปตอนแรกทรมานและท้อ อยากกลับบ้านที่ดิฉันจำได้มาโดยตลอดก็คือ เวลาเหงาหรือคิดถึงบ้านจะชอบมองไปทางที่รถโดยสารมาส่งวันแรกเพราะคิดว่าประเทศไทยต้องอยู่ทางนั้นแต่ที่จริงแล้วที่มองไปมันอาจจะไม่ใช่ประเทศไทยก็ได้ก็เห็นแต่ภูเขาลูก เบ่อเริ่มนี่คะ เวลาพ่อกับแม่โทรมาก็ดีใจแต่ก็ไม้ได้โทรมาทุกวันนะคะ นานๆทีโทรมา แต่พออยู่นานๆไปก็ชินและปรับตัวได้ คนจีนเป็นคนที่เดินเร็วมากๆ ก็เพราะว่าชีวิตส่วนใหญ่จะเดิน ปั่นจักรยานก็ส่วนน้อย และอีกอย่างที่อยากเล่าสู่กันฟังก็คือ ขนาดตอนที่ดิฉันไปมันก็ไม่ใช่หน้าหนาวนะ แต่คนจีนทำไมไม่ชอบอาบน้ำคะ บางคนนะ โดยเฉาะผู้ชายเพราะผู้ชายส่วนมากชอบออกกำลังกาย โดยเฉพาะบาสเกตบอลเป็นอาไรที่ว่า ชอบเวอร์ คือมีกลิ่นตัวแรงอ่ะค่ะ แรงมาก ๆๆๆ เวลาเดินผ่านนะ ต้องกั่นหายใจ เอาไว้พูดแล้วอยากจะเป็นลมเลยทีเดียว แต่ว่าเรื่องที่ยกย่องเค้าก็คือความขยัน นักศึกษาจีนขยันเรียนหนังสือมากๆ ตอนเย็นแต่ละตึกจะมีไฟฟ้าเกือบทุกตึกไม่ใช่ว่ามาทำอะไรนะคะ มาดูหนังสือติวหนังสือกันคะ นี่แหล่ะค่ะ คือสิ่งที่น่ายกย่อง
แล้วก็เรื่องห้องน้ำก็ไม่เหมือนบ้านเราเลย เวลาเข้าไปทำธุระถ้าเกิดเจอก็เจอมันอยู่ตรงนั้น เพราะต้องรอเวลาเครื่องส่งน้ำมันปล่อยน้ำ มีลักษณะเป็นร่องน้ำแล้วก็นั่งทำธุระแต่ที่ดีหน่อยคือห้องน้ำที่อยู่ในหอพักค่ะ มิดชิดหน่อยแหม จะเข้าห้องน้ำแต่ละทีต้องคอยลุ้นว่าจะเจออะไร ทรมารมากๆๆค่ะ ไปสัมผัสมาแล้วก็เลยอยากจะมาเล่าต่อให้กับผู้อ่านฟังนะคะ ที่จริงมีเรื่องที่จะเล่าอีกเพียบแต่ถ้าเกิดใครอยากสัมผัสก็เชิญได้นะคะ ที่ท่องเที่ยวก็สวยแปลกหูแปลกตาค่ะ