“การมีโอกาสได้หยุดและทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิต ถือเป็นช่วงเวลาที่จำเป็นและมีคุณค่า”
เราใช้ชีวิตในโลกอันรีบรุด รวดเร็ว ต้องก้าวตามจังหวะของผู้คน สิ่งแวดล้อม และกระแสความนิยมที่รายรอบตัวเรา ช้าไม่ได้แล้ว จะตกยุค จะล้าหลังอยู่กับที่ได้อย่างไรล่ะ
เร่งมาก ๆ นาน ๆ เข้า เราก็เครียดอย่างไม่รู้ตัว
แม้จะยอมรับว่าเครียด แต่เรามักจะไม่ค่อยชอบให้ใครมาทักถามเราว่า “เครียด” หลายคนบอกว่ามัน “เสีย Self”
- เราไม่ชอบที่คนใกล้ตัวและเพื่อน ๆ พูดว่า เครียดไปหรือเปล่า พักบ้างก็ได้นะ จะเร่งไปไหนเล่า อย่าคิดมากน่า...
- เราไม่ชอบที่แพทย์บอกเราด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ ว่า หมอก็บอกไม่ได้ว่าคุณเป็นอะไร คงเพราะเครียดไป ไม่ได้พักผ่อนหรือเปล่า... (หมอก็คงเครียดเหมือนกันนั่นแหละ)
จะว่าไปแม้รู้ตัวว่าเครียด และความเครียดส่งผลไม่ดีกับเรา แต่มีน้อยคนที่จะสามารถจัดการกับ “ความเครียด” ได้อย่างอยู่หมัด ต้องงัดสรรพวิชาความรู้มาจัดการบ่อย ๆ แต่เผลอนิด เอาอีกแล้ว...เครียดอีกแล้ว...
ใครไม่เป็นกับตัวเอง อธิบายอย่างไร จ้างให้ก็ไม่ซึ้งใจ...ต้องลองเครียดเอง...แล้วจะรู้ (ฮา ๆ)
ครั้นพอจะอ้าปากเล่า ระบายความคับข้องใจทั้งหลาย (ที่อาจกลายเป็นความเครึยด) ให้เพื่อนฟัง ที่ทำท่าตั้งอกตั้งใจฟังได้พักเดียวก็รีบลูบหลังลูบไหล่ บอกเราว่า อย่าคิดมากน่า ใจเย็น ๆ เราโชคดีแล้ว...ฯลฯ
ยิ่งเล่ายิ่งระบายยิ่งเครียด ดีไม่ดีพาลรู้สึกผิดเข้าไปอีก...(เฮ้ออออออ)
แล้วทำยังไงดีล่ะหากรู้สึกเครียด?
ผู้เขียนเองเป็นพวกเครียดง่ายหายง่าย ได้นอนเต็มที่สักตื่นก็หายแล้ว วิธีการที่ใช้บ่อยและเคยเล่าไว้แล้วเมื่อรู้สึกเครียด ไม่สบายใจ เสียสมดุลทางความคิดก็คือ “การเดิน” และต้องเป็นการเดินคนเดียวในความเงียบเพื่อฟังเสียงภายในของตัวเองด้วย
สามสี่วันที่ผ่านมาผู้เขียนเสียสมดุลของสุขภาพคือเป็น "ไข้หวัด" ลองหลายวิธีการที่จะบรรเทาอาการโดยไม่ต้องไปพบแพทย์และทานยา แต่อาการยิ่งหนักมากขึ้น จนต้องไปพบแพทย์ในที่สุด ได้ยามา 6 ชนิด ทั้งยาลดน้ำมูก ยาแก้แพ้อากาศ ยาแก้ไอ (ทั้งชนิดน้ำและเม็ด) ยาปฏิชีวนะ และยาลดไข้แก้ปวด พอทานยาก็มึน ง่วงซึม ในขณะที่รู้สึกว่างานรออยู่อีกมากมาย ทำงานตามที่วางแผนไว้ไม่ได้ พอเป็นหวัดก็ไปออกกำลังกายไม่ได้อีก(กลัวไปแพร่เชื้อ) สรุปว่าต้องทานยา นั่งบ้างนนอนบ้างสะลึมสะลืออยู่ในบ้าน ทำอะไรก็ไม่ได้...รู้สึกสุดจะทานทนต่อไป (แล้ว)
เครียด...
ในที่สุดก็เลิกสนใจอาการไข้หวัดที่รุมเร้าอยู่ และเลิกมองงานที่กองพะเนินเทินทึกตรงหน้า ไปเดินเล่น ทั้งที่ได้รับการห้ามปรามว่าควรจะนอนพัก (นอนจนเบื่อจะแย่แล้ว...เจ้าข้าเอ้ย)
เลือกไปเดินเล่นในสวนสาธารณะที่ใกล้บ้านที่สุด ต้นไม้มากมาย แดดอุ่น ๆ ทำให้รู้สึกดีขึ้น (ไม่กลัวดำ กลัวฝ้า) เกิดความผ่อนคลายและได้หยุดความคิด ความวิตกกังวลจากการทำงานไม่ทัน...ลงไปได้ในชั่วขณะนั้น...
ที่บรรยายมาเสียยืดยาวก็เพื่อบันทึกไว้เป็นบทเรียนกับตนเองว่า ไม่ควรคาดหวังกับตัวเองว่าจะต้องแข็งแรงเข้มแข็งทั้งร่างกาย จิตใจอยู่ตลอดเวลา (เป็นไปไม่ได้หรอก) และต้องรู้จักวิธีการผ่อนพักให้พอเหมาะพอดีกับตัวเอง รวมทั้งการเรียนรู้ที่จะ “ทบทวน” ความรู้สึก ความคิดของตนเองเป็นระยะ ๆ ทั้งนี้เพื่อสร้าง “สมดุล” ให้คงอยู่กับเรา
ความสมดุลทางอารมณ์ ความคิด และร่างกาย เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ความเจ็บป่วยทุกชนิดทั้งทางกายและจิตเกิดจากการขาด “สมดุล” ในชีวิตนี่เอง
และ...วันนี้ขอบคุณ "ไข้หวัด" ที่ทำให้ผู้เขียนได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นในการปรับ “สมดุล” ในชีวิต
ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพดีค่ะ
❤•♥♥•●٠·˙(◠‿◠✿)
ตามครูแป๋ม มาให้ดอกไม้ไว้ก่อน นะครับ
สวัสดีค่ะคุณ ครูแป๋ม
ดีใจที่ได้ทักทายกันค่ะ
และขอบคุณนะคะที่สรุปไว้ได้อย่างใจคิดเลย... ไม่คาดหวัง (ทั้งตัวเองและผู้อื่น) หมั่นทบทวนตัวเอง... เพื่อนำไปสู่ สมดุล ชีวิต
มีความสุขมาก ๆ ในวันหยุดค่ะ
สวัสดีค่ะคนไม่มีราก
สวัสดีครับ
สวัสดีครับ
พระท่านให้ท่องว่า เครียดหนอ..... เครียดหนอ...... แล้วจะหายเครียด
แต่...ผมไม่ทันได้ท่อง กิเลสมันก็พาเตลิด รู้ตัวอีกทีก็อยู่ร้านเหล้าแล้ว ฮ่า ฮ่า
ที่ว่านี้ ก็....เมื่อนาน นานมาแล้วครับ
สุขสันต์วันอาทิตย์ครับ
สวัสดีค่ะคุณ ณัฐวรรธน์
ดีใจที่ได้ทักทายกันค่ะ
หายหวัดแล้วค่ะ เหลือเพียงไออีกเล็กน้อย ๆ ค่ะ
ขอบคุณค่ะ
คนที่รักษาสมดุลย์ของชีวิตได้ดีนั้น
รับรองว่าสุขภาพทั้งกายและใจดีแน่นอนค่ะ
ขอบคุณมากมายที่แวะไปทักทายกัน....
หวังว่าคงหายดีแล้วนะคะ
สวัสดีค่ะคนไม่มีราก
สวัสดีค่ะคุณ krugui Chutima
ขอบคุณค่ะ หายดีแล้วค่ะ