มูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดน
มูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดน มูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดน

บัตรวิเศษ


"เราไม่ได้สนใจว่าบัตรนี้จะให้สถานะทางกฎหมายอะไรกับเรา เราหวังแค่ว่าบัตรนี้จะทำให้เราไปทำงานข้างนอกได้ ให้สิทธิเราเดินทางได้อย่างอิสระ ...เพียงเท่านี้ชีวิตเราก็ดีขึ้นมากแล้ว"
บัตรวิเศษ สุวรรณ โกไลย์หิรัญ "ตั้งแต่เกิดจนอายุปูนนี้ ลุงยังไม่เคยถูกหลอกแล้วทำให้ชีวิตต้องลำบากถึงขนาดนี้เลย" ชายไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงวัยใกล้เกษียณที่หมู่บ้านชายแดน เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่ดวงตากลับแดงเรื่อ เขาใช้นิ้วมือเช็ดน้ำตาที่เอ่อหัวตา พลางเล่าถึงความทุกข์จากการที่เขาชักชวนให้ชาวบ้าน ที่เป็นคนไม่มีสถานะทางทะเบียนราษฎรและคนที่ยังไม่ได้การรับรองสัญชาติไทย ในละแวกบ้านและพื้นที่ใกล้เคียง มาถ่ายบัตรที่เขาเชื่อว่าจะช่วยให้คนเหล่านั้นสามารถเดินทางไปมาในประเทศไทยได้อย่างอิสระ โดยที่ไม่ต้องถูกตำรวจจับในข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย "ตอนแรกที่เขามาชวนลุงเป็นตัวแทนองค์กร ให้ลุงทำหน้าที่ชักชวนชาวบ้านมาทำบัตร ลุงไม่นึกเชื่อ เลยบอกปัดเขาไปว่าลุงเขียนอ่านภาษาไทยไม่ได้ แต่พอเขาพูดจาหว่านล้อมว่าบัตรนี้เป็นบัตรที่เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินอยากจะให้กับคนที่อยู่เมืองไทยมานานแล้วให้เดินทางไปทำงานได้ ลุงก็เริ่มใจอ่อน เอกสารต่าง ๆ ที่เขาเอามาให้ดูก็น่าเชื่อถือ เขายังบอกอีกว่าเงินค่าสมัครจะเอาไปซื้อข้าวให้กับผู้ลี้ภัยในค่ายผู้ลี้ภัย แล้วศาสนาจารย์ที่มาชวนลุงเขาก็มีตำแหน่ง มีการมีงานทำเป็นหลักแหล่ง และเป็นคนกระเหรี่ยงเหมือนกัน ลุงก็เลยรับเป็นตัวแทนทำบัตรนี้" ลุงเล่าถึงเหตุการณ์ที่ศาสนาจารย์คนหนึ่งจากต่างอำเภอ มาชักชวนให้เขาเป็นตัวแทนขององค์กร "The World Humanitarian NGO" เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2553 ศาสนาจารย์คนนั้นบอกว่าองค์กรที่เป็นผู้ดำเนินการออกบัตรชื่อว่า "The World Humanitarian NGO" เกิดจากความร่วมมือระหว่างองค์การสหประชาชาติและองค์การอิสระที่มีอำนาจตรวจสอบการทำงานของรัฐ โดยได้รับการเห็นชอบจากสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อให้โอกาสแก่ผู้ลี้ภัย คนที่อยู่ในราชอาณาจักรไทยอย่างผิดกฎหมายซึ่งไม่มีสิทธิ์เดินทาง และผู้ที่ยังไม่ได้รับการยอมรับสัญชาติไทยซึ่งเดินทางออกนอกเขตจังหวัดไม่ได้ ให้สามารถเดินทางทั่วประเทศไทยได้อย่างเสรี ต้นเดือนมกราคมปี 2554 ลุงจึงเริ่มชักชวนคนในหมู่บ้านมาทำบัตรนี้ จนกลางเดือนมกราคมลุงสามารถชักชวนคนที่สนใจทำบัตรนี้ได้ 21 คน เขาส่งใบสมัครที่มีรายละเอียดเพียงแต่ชื่อตัว ชื่อบิดามารดา วันเดือนปีเกิด สัญชาติ เบอร์โทรศัพท์ และอีเมล์ของผู้สมัคร พร้อมกับเงินค่าสมัครจำนวน 7000 บาทต่อคน ซึ่งสามารถผ่อนจ่ายงวดละ 3500 บาท ไปยังองค์กร"The World Humanitarian NGO" ผ่านศาสนาจารย์คนนั้น 10 วันต่อมา ผู้สมัครชุดแรกก็ได้บัตรกระดาษเคลือบพลาสติก ในบัตรระบุข้อความตัวใหญ่ที่พาให้เข้าใจว่าบัตรนี้ชื่อ "World Citizen" ในบัตรระบุชื่อเจ้าของบัตร สัญชาติ อายุ วันเดือนปีเกิด หมายเลขสมาชิก วันที่บัตรหมดอายุ และข้อความที่ว่า "บุคคลพึงมีสิทธิที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคคลตามกฎหมาย" แม้บนบัตรจะไม่ได้พูดถึงการเดินทางได้โดยเสรี ไม่ได้พูดถึงหน่วยงานรัฐบาลที่ให้การอนุญาต ไม่ได้บอกถึงจำนวนเงินที่ต้องจ่าย แต่ใครจะสนใจในเมื่อคำชักชวนของลุงที่ได้ข้อมูลมาจากศาสนาจารย์ได้ระบุถึงสิทธิต่าง ๆ ที่ผู้ถือบัตรจะได้รับ และกระแสข่าวที่บอกเล่ากันปากต่อปากว่าผู้ลี้ภัยที่ทำบัตรนี้สามารถเดินทางจากค่ายผู้ลี้ภัยแม่หละออกไปถึงกรุงเทพฯ ได้ นั่นทำให้ระยะเวลาเพียงเดือนกว่า มีผู้สนใจมาสมัครทำบัตรนี้กับลุงถึง 130 คน ถึงแม้ว่าบัตรใบนี้จะเป็นหัวข้อสนทนาที่อยู่ในความสนใจของคนในชุมชนชายแดน แต่จากประสบการณ์การถูกหลอกลวงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้หลายคนไม่เชื่อถือในบัตรนี้ ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่หมู่บ้านชายแดนยืนยันว่าอย่างไรเขาก็จะไม่สมัครทำบัตรใบนี้ เพราะกลัวว่าจะเหมือน "บัตรสมบัตร" ที่ชาวบ้านเรียกอย่างนี้เพราะว่าเมื่อสาม-สี่ปีก่อน มีชายคนหนึ่งชื่อสมบัตร มาชวนคนในหมู่บ้านสมัครบัตรที่มีคุณสมบัติแบบเดียวกันนี้ โดยเรียกเก็บเงินกับผู้ที่ต้องการทำบัตรสองถึงสามพันบาทต่อคน แต่ในที่สุดแล้วบัตรสมบัติก็ไม่สามารถใช้เดินทางได้จริง ครั้งนั้นมีผู้หลงเชื่อหลายร้อยคน ชายวัยกลางคนนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ต้นเดือนกุมภาพันธ์ลุงเริ่มได้ยินข่าวว่าบัตรที่เขาเป็นคนแนะนำให้ทำนั้นใช้เดินทางไม่ได้จริง ทุกครั้งที่เขาได้ยินข่าวลือเขาจะโทรศัพท์ไปปรึกษาศาสนาจารย์ และทุกครั้งเขาก็ได้รับคำยืนยันว่าบัตรนี้เป็นของจริง ศาสนาจารย์ยังบอกอีกว่าตำรวจที่จับผู้ที่ถือบัตรหรือทำลายบัตรจะต้องรับโทษ ส่วนเรื่องเงินค่าปรับนั้น ถ้าคนที่ถูกจับเสียค่าปรับ 10,000 บาท ทางองค์กรจะเป็นผู้ออกเงินให้ และให้เงินกับผู้ที่ถูกจับอีก 10,000 บาท ลุงจึงยังอุ่นใจว่าบัตรนี้เป็นของจริง จนต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาข่าวลือเริ่มหนาหูขึ้น ลุงจึงลองพิสูจน์ด้วยการส่งหลานสาวของเขาซึ่งทำบัตรนี้เดินทางไปยังจังหวัดใกล้เคียง ก่อนการเดินทางลุงได้โทรแจ้งกับเจ้าหน้าที่ขององค์กรเจ้าของบัตร คนที่รับสายก็รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าหลานของเขาจะเดินทางได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ระหว่างทางหลานสาวของลุงก็ถูกตำรวจจับ โชคดีที่ตำรวจคนนั้นรู้จักกับลุงและได้พาหลานสาวกลับมาส่งที่บ้าน พร้อมกับบอกว่าลุงโดนหลอกบัตรนี้ไม่มีผลทางกฎหมาย ลุงจึงลองสอบถามกับคนที่ทำบัตรแล้วเดินทางได้จริงว่าทำไมจึงไม่ถูกตำรวจจับ เขาจึงได้รู้ความจริงว่าคนที่เดินทางแล้วไม่ถูกจับนั้น เพราะวันที่เดินทางตำรวจไม่ได้ตั้งด่านตรวจ มาถึงตอนนี้ลุงจึงรู้ว่าถูกหลอกเสียแล้ว เมื่อชาวบ้านที่ทำบัตรนี้กับลุงรู้ว่าบัตรที่ถือไม่สามารถเดินทางได้จริง ต่างก็มาทวงเงินค่าทำบัตรคืนจากลุง บางคนถึงกับขู่ว่าถ้าลุงไม่ให้เงินคืนจะขึ้นไปรื้อค้นบ้านของลุงเพื่อหาเงินมาชดใช้ นี่เองเป็นต้นเหตุที่ทำให้ลุงนั่งทุกข์ใจอยู่ในตอนนี้ "ถ้าเป็นคนอื่นลุงคงไม่เชื่อหรอก แต่นี่เป็นคนของพระเจ้า มาพูดถึงความรักของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินที่มีให้คนในแผ่นดินไทย" "ลุงอยากจะได้เงินค่าทำบัตรคือกับชาวบ้าน ลุงอยากให้เรื่องมันจบ ไม่อยากให้ชื่อเสียงเสียหายไปมากกว่านี้ ต่อไปเวลาลูกหลานลุงโตขึ้นจะได้ไม่มีใครมาชี้หน้าว่า ปู่ ย่า ตา ยายของเขาเป็นคนโกหกหลอกลวง ส่วนคนที่มาหลอกลวงคนอื่นลุงก็อยากให้กฎหมายช่วยทำให้เขาเป็นคนดี เพราะถ้าลุงทำผิดลุงก็ควรที่จะถูกสั่งสอนด้วยกฎหมายเหมือนกัน ขบวนการทำบัตรที่ลุงคนนี้ถูกชักชวนให้เป็นตัวแทนรับสมัคร ไม่ได้มีเฉพาะในหมู่บ้านชายแดนที่ลุงอาศัย แต่ยังมีการรับทำบัตรนี้ที่ค่ายผู้ลี้ภัยแม่หละ และหมู่บ้านชายแดนในอำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ไล่มาจนถึงจังหวัดแม่ฮ่องสอน และมีการล่อลวงให้ทำบัตรลักษณะใกล้เคียงกันที่จังหวัดเชียงใหม่ ถึงแม้จะมีการจับกุมตัวแทนของขบวนการล่อลวงนี้ไปแล้วที่อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2553 แต่ขบวนการนี้ก็ยังคงมีเครือข่ายในจังหวัดอื่น ดั่งเช่นกรณีของลุงผู้นี้ที่ถูกล่อลวงเมื่อประมาณปลายเดือนธันวาคม จากบัตร"สมบัติ" ถึงบัตร "World Citizen" คนชายแดนที่ไม่ได้เป็นพลเมืองไทยตามกฎหมายยังคงกลายเป็นเหยื่อของกระบวนการต้มตุ๋นที่แสวงหาผลประโยชน์จากความทุกข์ยากของคนที่ถูกจำกัดสิทธิในการเดินทาง แต่อะไรคือสิ่งที่ทำให้พวกเขาพร้อมที่ใช้เงินเก็บที่มีทั้งชีวิตหรือหยิบยืมเงินจำนวนไม่น้อยเพื่อซื้อบัตรลวงโลกนี้มาครอบครอง ชายผู้ลี้ภัยคนหนึ่งให้คำตอบว่า "เราไม่ได้สนใจว่าบัตรนี้จะให้สถานะทางกฎหมายอะไรกับเรา เราหวังแค่ว่าบัตรนี้จะทำให้เราไปทำงานข้างนอกได้ ให้สิทธิเราเดินทางได้อย่างอิสระ ...เพียงเท่านี้ชีวิตเราก็ดีขึ้นมากแล้ว"
หมายเลขบันทึก: 431962เขียนเมื่อ 20 มีนาคม 2011 15:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 18:48 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท