ทฤษฎีปัญญาสังคมของ Bandura
กับการสอนภาษาไทย
“มาร่วมสร้างประชาคมการสอนภาษาไทย ให้มีหลักการ
มีทฤษฎีและมีชีวิต”
เฉลิมลาภ ทองอาจ
เรามักจะได้ยินท่านผู้ใหญ่หลายท่าน
เวลาที่ท่านตักเตือนเมื่อเราทำผิดว่า
“ทำไมไม่เอาอย่างคนนั้นบ้าง”หรือ “เธอควรทำอย่างที่คนนี้ทำ”
คำที่ท่านมักจะยกมาให้เราคิดไตร่ตรองในลักษณะเช่นนี้
แสดงให้เห็นว่าจริงๆ แล้ว
ท่านผู้ใหญ่เองก็ให้ความสำคัญของการเป็นตัวแบบ (model) ของบุคคล
และเชื่อว่า หากเราสามารถที่จะ “เลียน” ตัวแบบนั้นได้
เราก็ย่อมจะเจริญงอกงามและพัฒนาได้เช่นกัน
ซึ่งถ้าจะใช้ศัพท์ด้านหลักสูตรและการสอนก็คือ
เราจะเกิดการเรียนรู้ (learning) นั่นเอง
น่าสนใจว่าแนวคิดที่เชื่อว่า
การเรียนรู้เกิดขึ้นได้จากเพียงแค่การเลียนแบบตัวแบบนั้น Albert
Bandura นักจิตวิทยาชาวสหรัฐอเมริกา
ได้พัฒนาขึ้นและสร้างเป็นทฤษฎีการเรียนรู้ที่สำคัญ
ซึ่งสามารถใช้อธิบายการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมนุษย์ได้เรียกว่า
ทฤษฎีปัญญาสังคม (social cognitive theory)
ทฤษฎีดังกล่าวมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการพัฒนา
การเรียนรู้ของมนุษย์
Bandura
เป็นนักจิตวิทยาที่มีความเห็นแตกต่างจากนักจิตวิทยากลุ่ม Skinnerians
เพราะเขามองว่า พฤติกรรมของบุคคลคงจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามผล
(consequences) ที่ตามหลังพฤติกรรมนั้นแต่อย่างเดียว
กล่าวให้ง่ายขึ้นก็คือ
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลไม่ได้เกิดจากการวางเงื่อนไขหรือการจัดสภาพ
แวดล้อมด้วยการเสริมแรงเท่านั้น แต่ภายในของบุคคลแต่ละคนมีเชาว์ปัญญา
(cognition) อารมณ์และความรู้สึกต่างๆ
ซึ่งล้วนแล้วแต่ได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อม
และมีผลการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้
Bandura จึงเสนอแนวคิดว่า
การเรียนรู้เกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างระบบเชาว์ปัญญาของบุคคล
(personal cognition) ซึ่งเป็นปัจจัยภายในกับสิ่งแวดล้อม
(environment) ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอก
แนวคิดดังกล่าวได้พัฒนาขึ้นเป็นทฤษฎีหรือสมมติฐานที่เชื่อว่า
การเรียนรู้เกิดจากการสังเกต (observational learning)
หรือการเลียนแบบตัวแบบ (imitation/modeling) กล่าวคือ
บุคคลสามารถที่จะเรียนรู้จาก
การสังเกตและเลียนแบบพฤติกรรมของบุคคลอื่นๆ
ด้วยการซึมซับแบบแผนพฤติกรรม
การทดลองปฏิบัติตามและการสร้างเป็นชุดพฤติกรรมของตนเอง
และการเรียนรู้จากการเลียนแบบนี้
สามารถที่จะเรียนรู้พฤติกรรมของผู้อื่น
ทั้งที่มีลักษณะเป็นทักษะ ความคิด
อารมณ์หรือค่านิยมอีกด้วย (Santrock, 2010: 31)
แนวคิดของ Bandura
ดังกล่าวมีประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอนหลายประการ กล่าวคือ
ทำให้เราเข้าใจว่า
เราจำเป็นจะต้องจัดสภาพแวดล้อมในชั้นเรียนหรือในสถานศึกษาให้เป็นตัวแบบแก่
ผู้เรียน
ซึ่งการสร้างตัวแบบในระดับการจัดการเรียนการสอนนั้น
ตัวแบบที่สำคัญที่สุดก็คือตัวครูภาษาไทยนั่นเอง
ถ้าเราเชื่อทฤษฎีของ Bandura ดังที่ได้กล่าวมา
ผู้เรียนของเราย่อมเกิดการเรียนรู้หรือเกิดพฤติกรรมที่พึงประสงค์
เพียงแค่เราในฐานะที่เป็นครูผู้สอนแสดงพฤติกรรมนั้นออกมาเช่นกัน
สอดคล้องกับวาทกรรมเกี่ยวกับการสอนแต่โบราณว่า “จะสอนอะไร
ครูต้องทำสิ่งนั้นได้ก่อน”
การเป็นตัวแบบของครูจึงต้องเป็นตัวแบบแก่ผู้เรียน
ทั้งในด้านของทักษะปฏิบัติและตัวแบบของกระบวนการคิด
ตัวอย่างเช่น
หากครูจะสอนให้ผู้เรียนเกิดความสามารถในการวิเคราะห์ประโยคประเภทต่างๆ
(knowledge+skill) ครูก็จะต้องสามารถวิเคราะห์ประโยคได้อย่างช่ำชอง
รวมทั้งต้องแสดงให้เห็นกระบวนการหรือวิธีคิด
ที่ใช้วิเคราะห์ประโยคด้วยการอธิบายให้ผู้เรียนฟัง
เป็นต้น
หรือหากครูจะสอนเพื่อให้ผู้เรียนสามารถวิจารณ์วรรณกรรมได้
ครูก็จะต้องแสดงให้วิธีการวิจารณ์วรรณกรรมเพื่อเป็นตัวแบบให้ผู้เรียนได้
สังเกตก่อน
การสาธิตและการทำให้ชมในฐานะที่เป็นตัวแบบนั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก
หลายครั้งที่ครูภาษาไทยมักจะพบปัญหาในการสอนว่า
ผู้เรียนของเราขาดความสามารถในการอ่านจับใจความ
ไม่สามารถอ่านเชิงวิเคราะห์
ไม่สามารถตีความสารหรือแก่นเรื่องได้
ทั้งนี้หากตอบโดยใช้ทฤษฎีปัญญาสังคม ก็อาจจะตอบได้ว่า
ในฐานะที่เป็นครูซึ่งเป็นตัวแบบที่ดีที่สุดในชั้นเรียน
ในสถานการณ์การสอนจริง
เราอาจจะมิได้แสดงแบบหรือตัวอย่างในการจับใจความ
วิเคราะห์หรือตีความ สิ่งที่อ่านของตัวเราเองให้ผู้เรียนพิจารณาก็เป็นได้
แน่นอนว่าเมื่อครูทำไม่ได้
ผู้เรียนก็ย่อมทำไม่ได้ด้วย
ตัวแบบอีกอย่างหนึ่งที่มีความสำคัญก็คือ เพื่อนในชั้นเรียน
ครูจะต้องสนับสนุนให้ผู้เรียนที่มีศักยภาพหรือมีความสามารถในการเรียนรู้ได้
แสดงบทบาทในการเป็นตัวแบบให้เพื่อนๆ ปฏิบัติตาม
แต่มิใช่การที่ครูไปยกย่องและบอกแต่ว่า
ให้ผู้เรียนคนอื่นเอาอย่างเพื่อนคนนั้น โดยครูไม่อธิบายอะไร
การให้เพื่อนเป็นตัวแบบทำได้โดยการให้ผู้เรียนคนอื่นๆ
ที่ยังต้องพัฒนาการเรียนรู้ได้มีโอกาสที่จะเรียนรู้จากเพื่อนด้วยการช่วยกัน
ทำงานหรือการใช้ระบบเพื่อนช่วยสอน (peer tutoring)
ในการที่ให้เพื่อนที่มีศักยภาพช่วยอธิบายหรือเสริมความเข้าใจให้แก่เพื่อน
ที่ยังต้องพัฒนาเพิ่มเติม เช่นนี้
เมื่อผู้เรียนได้เห็นการปฏิบัติงานและวิธีคิดของเพื่อนที่เป็นตัวแบบ
ผู้เรียนกลุ่มนี้ก็จะค่อยๆ
เกิดพฤติกรรมเลียนแบบและเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเองเพื่อเอาเยี่ยง
อย่างเพื่อนที่มีศักยภาพบ้าง
เป็นที่น่าสนใจว่า
เป้าหมายสำคัญประการหนึ่งของการสอนภาษาไทยก็คือ
การพัฒนาให้เยาวชนสามารถใช้ภาษาสื่อสารได้อย่างมีคุณภาพและเกิดประสิทธิผล
ไม่ว่าจะเป็นในด้านการอ่าน การพูด การฟังและการเขียน
แต่หลังจากที่เราเข้าใจทฤษฎีปัญญาสังคม
เราในฐานะครูภาษาไทยคงจะต้องฉุกคิดสักนิดว่า
สังคมทั้งในระดับโรงเรียนและในระดับชาติ ได้ให้ “ตัวแบบ”
ของการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร “ที่ดี”
แก่เยาวชนเพียงใด
ผู้เรียนของเราคงจะไม่พัฒนาความสามารถในการอ่าน
หากเห็นว่าในห้องสมุดโรงเรียนไม่มีครูภาษาไทยหรือครูอื่นๆ
สักคนเข้าไปอ่านหนังสือหรือค้นคว้าข้อมูล
ผู้เรียนของเราคงจะพูดไม่ดี พูดไม่เก่ง
เพราะไม่เคยเห็นว่าครูภาษาไทยของตนเองจะแสดงให้เห็นวาทศิลป์ในการพูดอย่าง
ไร
ผู้เรียนของเราคงจะไม่สามารถเรียบเรียงความเรียงได้แม้สักย่อหน้า
เพราะไม่เคยเห็นเช่นกันว่า
ครูภาษาไทยของตัวเองจะได้มีผลงานการเขียนสักชิ้นในวารสารหรือในเอกสารอื่น
ใด และยิ่งไปกว่านั้น
ผู้เรียนของเราคงไม่ตระหนักและซาบซึ้งถึงสุนทรียรสในวรรณคดีไทย
เพราะไม่เห็นภาพความดื่มด่ำและการนำตนเองเข้าไปสัมผัสอารมณ์และเรื่องราวใน
วรรณคดีของครู ตัวอย่างเช่น หากครูสอนวรรณคดีเรื่อง
“แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์”
ด้วยการให้อ่านบทวิเคราะห์ในหนังสือเรียนแล้วกำหนดคำถามถามตอบกันระหว่างนัก
เรียน การจัดกระบวนการเรียนการสอนเช่นนี้
แท้จริงแล้วคือการสอนการอ่านจับใจความ
ซึ่งหากพิจารณาในมุมมองของทฤษฎีการเรียนรู้ปัญญาสังคม
ครูผู้สอนควรที่จะได้มีการแสดงแบบอย่างในการจับใจความของตนเองให้ผู้เรียน
พิจารณาก่อนว่า
ครูมีหลักการจับใจความอย่างไร เก็บข้อมูลอะไรบ้าง
เขียนหรือทำบันทึกสรุปใจความสำคัญอย่างไร เช่นนี้
นักเรียนจะสามารถพัฒนาทักษะกระบวนการอ่านไปด้วย อย่างไรก็ตาม
การสอนเช่นนี้อาจทำให้แก่นเรื่องถูกลบเลือนไปได้
เพราะที่จริงแล้วเป้าหมายในการสอนวรรณคดีเรื่องแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์
ก็คือทำให้ผู้เรียนเกิดค่านิยม (value) และความตระหนัก (awareness)
ในจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพที่ต้องมีคุณธรรมนำความรู้
ทั้งนี้ครูจะต้องแสดงให้เห็นตั้งแต่คาบแรก
เพื่อที่จะเชื่อมโยงกับประสบการณ์และความรู้เดิมของผู้เรียนเกี่ยวกับความ
สำคัญของจรรยาบรรณและมาตรฐานในวิชาชีพ เช่น
ครูอาจยกตัวอย่างข่าวหรือเรื่องราวของแพทย์ที่ปฏิบัติตนไม่ถูกต้องตาม
จรรยาบรรณ แล้วแสดงความคิดเห็น
มุมมองหรือประเด็นของตนเองออกมาให้ผู้เรียนฟัง
จากนั้นใช้คำถามเพื่อนำการสนทนาเพื่อให้ผู้เรียนได้กระจ่างค่านิยม
(clarifying value)
ว่าหลังจากที่ได้ฟังมุมมองความคิดของครูเป็นตัวแบบแล้ว
เขามีมุมมองต่อประเด็นนี้อย่างไร
การตอบสนองและการสะท้อนความคิดของตนเองกับครูและเพื่อน
จะนำนักเรียนไปสู่การอ่านวรรณคดีเรื่องแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์
และจะเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้เกิดการวิจารณ์วรรณกรรมตามมาตรฐานการเรียน
รู้ได้อย่างแท้จริง
การพัฒนาการเรียนรู้ด้วยการให้ผู้เรียนศึกษาและปฏิบัติตามตัวแบบนั้น
ถ้าจะสรุปให้เข้าใจได้ง่าย ก็คือ
“การทำให้ดูเป็นตัวอย่าง” เสียก่อน ด้วยเหตุนี้
การสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ในโรงเรียนเพื่อให้ผู้
เรียนเกิดการเรียนรู้ขึ้นมาได้นั้น
จำเป็นอย่างยิ่งที่ครูและบุคลากรทุกฝ่ายในโรงเรียนจะต้องสร้างตัวแบบที่ถูก
ต้องให้แก่ผู้เรียนให้เห็นชัดเจนให้จงได้
______________________________________
รายการอ้างอิง
Santrock, J.W. (2010). Children. 11th
ed. New York: McGraw-Hill.
การนำส่วนใดส่วนหนึ่งของบทความนี้ไปเผยแพร่หรือดำเนินการใดๆ
ก็ตาม
ควรดำเนินการตามหลักวิชาการ
จรรยาบรรณและความเป็นมนุษย์