ตั้งแต่ผมเรียนวิชาเกษตรสมัยปริญญาตรี สิ่งแรกที่ผมได้รับรู้ ก็คือ การทำลาย
ในสมัยนั้นและก่อนหน้านั้น เรายังยกย่องว่า การทำลายคือการสร้าง
ใครที่ทำลายธรรมชาติมากเท่าไหร่ เป็นคนเก่ง สมควรแก่การยกย่องมากเท่านั้น
โดยการใช้คำว่า “หักร้าง ถางพง” สร้างบ้านแปงเมือง
พยายามสอนให้คนทั่วไปเชื่อว่า ธรรมชาติ เป็นสิ่งเลวร้าย เช่น มองว่า
แม้แต่เพลงของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็ยังใช้คำว่า “....เหล่าพี่ชายของเราสร้างมา ฝ่าฟันพงพี....”
ที่สะท้อนถึงวิธีคิดแบบเดิมๆ ว่าธรรมชาติ เป็นสิ่งเลวร้าย ต้องกำจัดให้หมด
แม้แต่ในกฎหมายการถือครองที่ดินยัง “บีบบังคับ” ทางอ้อม ให้คนทำลายป่าเสียก่อน จึงจะมีสิทธิ์ครอบครองที่ดินได้ โดยใช้คำว่า “จัดสรรที่ป่าเสื่อมโทรมให้เป็นที่ทำกินของราษฎร” ที่ทำให้คนที่อยากได้ที่ทำกิน ต้องทำลายป่าให้ “เสื่อมโทรม” เสียก่อน
ความคิดแนวนี้ได้ฝังลึกมาในความคิดของคนในระดับชาวบ้าน ประกอบกับเรามีนักกฎหมายและนักวางแผนการใช้ที่ดินที่แทบไม่เข้าใจความเป็นจริงของสังคมและธรรมชาติ จึงทำให้เกิดการทำลายป่าไม้และทรัพยากรอย่างต่อเนื่อง ที่เป็นผลเชิงประจักษ์ในระยะกว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา
แม้วันนี้ เราแทบไม่มีป่าเหลือ แม้ต้นไม้ในไร่นาก็แทบไม่เหลือ เราก็ยังใช้หลักการเดิมที่เคยใช้มาตั้งแต่สมัยธรรมชาติยังอุดมสมบูรณ์ คือ
ที่ทำให้เกิดผลในการ
เพียงเพราะเรามองว่า
ธรรมชาติ เป็น “ความรก” เป็นสิ่งที่ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ แบบเดิมๆ
ทั้งๆที่ธรรมชาติมีระบบที่พยายามรักษาตัวเอง และช่วยฟื้นฟูสิ่งที่เสื่อมโทรมในทุกมิติ
แล้วเราก็พยายามผลิต “สารพิษร้ายแรง เครื่องมือ เครื่องจักรกลขนาดใหญ่” เพื่อมาทำลายล้างระบบกู้ภัยของธรรมชาติ
จนระบบธรรมชาติถูกทำลายอย่างรุนแรงในทุกมิติ
แต่ธรรมชาติก็ไม่เคยยอมแพ้
จะค่อยๆปล่อย “หน่วยกู้ภัย” ออกมาอย่างต่อเนื่อง
ก็ลองดูซิว่า “ใครจะตายก่อนกัน”
นี่คือสิ่งที่ผมมองเห็นมาตลอดระยะกว่า ๕๐ ปีที่ผ่านมา
ผมจึงกลับมาทำนาแบบไม่ไถ ไม่ใช้สารพิษใดๆ
และวันนี้ผมก็อยู่กับธรรมชาติแบบพึ่งพาอาศัยกัน
ไม่ต้องลงทุนกำจัดระบบของธรรมชาติ ยกเว้นค่าจ้างเกี่ยวข้าว
ผมพยายามทำให้ดู แบบ “คนไม่กลัวหญ้า” เพื่อเราจะได้มีทางเลือกที่จะอยู่ร่วมกันแบบไม่ทำลาย
แต่อยู่อย่างเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
ที่น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่าครับ
แหม ท่านอาจารย์ครับได้กลิ่นควันจากการเผาเศษไม้ใบหญ้าเข้ามาในห้องคุมสอบเลยครับ
คนงานภารโรงกำลังเผาอยู่หน้าอาคารเรียนนี่เอง
แล้วกัน
เรียนท่านอาจารย์แสวงที่เคารพ
ฟังแล้วโดนใจวัยรุ่นจริงๆครับผม แต่ความจริงชีวิตมันก็เศร้าสลดใจ สังคมเราทำให้ "ตัณหาและความบ้าออนไลน์ในใจ" แล้วบ้านเมือง ประเทศชาติจะเหลืออะไรครับผม ก็ทำลายไปเรื่อยๆ จนจะทำลายไม่ได้ หรือตายก่อนที่จะได้ทำลายหมดเกลี้ยงมั้งครับผม
ด้วยความเคารพครับผม
นิสิต
เห็นด้วยค่ะ แต่ดิฉันคิดไม่ถึง คนส่วนใหญ่มักจะทำอะไรแบบตาม ๆ กันไป มีน้อยคนมากที่กล้าคิดกล้าลองวิธีใหม่ ๆ สมัยดิฉันเป็นเด็กมีพ่อของเพื่อนคนหนึ่งเก่งมาก สามารถหาวิธีทำให้สะตอของแกออกฝักนอกฤดูกาลได้ แถมฝักยาวและเมล็ดถี่อีกด้วย ขายได้ราคาดี เสียดายลูก ๆ ของแกไม่มีใครเป็นเกษตรกร เป็นหมอ เป็นนายอำเภอ ฯลฯ
เราต้องเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ แล้วจะมีทุกข์น้อยลงครับ
สวัสดีค่ะ ดร.แสวง รวยสูงเนิน..หากเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติจริงๆ...การเรียนรู้ความเป็นธรรมชาติเวลานี้ได้ถูกทำลาย(ด้วยตัวตน)โดยสิ้นเชิง...เมื่อไม่มีตัวตน..ความทุกข์จึง..สุดสิ้นลง...ยายธีคิดอย่างนั้น...เจ้าค่ะ...
เห็นการเผา..แล้วสะท้อนใจทุกทีค่ะ