มาร่วมสร้างประชาคมการสอนภาษาไทย ให้มีหลักการ มีทฤษฎีและมีชีวิต
เฉลิมลาภ ทองอาจ
ภาษามีความสัมพันธ์กับความคิด และขณะเดียวกันความคิดก็มีความสัมพันธ์กับภาษา จากหลักการนี้ทำให้เราได้หลักการเกี่ยวกับการสอนภาษาว่า ต้องมุ่งเน้นผู้เรียนใช้กระบวนการคิดเพื่อการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ปัญหาที่เรามักพบเกี่ยวกับการเรียนการสอนภาษาไทยก็คือ ครูภาษาไทยมุ่งสอนเนื้อหาโดยลืมไปว่า เนื้อหาหรือสาระการเรียนรู้คือมโนทัศน์ (concepts) ข้อเท็จจริง (facts) หลักการ (principles) ที่ได้มีผู้สังเคราะห์และกำหนดไว้แล้ว แต่ผู้เรียนหาได้เป็นผู้สร้างความหมายต่อสิ่งเหล่านี้ (construct meaning) ด้วยตนเองไม่ การสร้างความหมายที่กล่าวถึงนี้ ก็คือการเชื่อมโยงข้อมูลใหม่ เข้ากับประสบการณ์เดิมของตนเองได้ คำถามที่สำคัญคือ เราจะสามารถทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ภาษาและเกิดกระบวนการคิดระดับสูง ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างความหมายไปพร้อมๆ กันได้อย่างไร และจะทำอย่างไรให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้และประสบการณ์เดิมของตนเอง กับความรู้และประสบการณ์ของผู้อื่น คำตอบของคำถามเหล่านี้ก็คือกลยุทธ์ การสอน (teaching strategies) ที่สำคัญ ซึ่งได้มีการศึกษาวิจัยแล้วว่า สามารถที่จะพัฒนาความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ได้แก่ การใช้คำถามหรือปัญหา การอภิปรายและการเรียนรู้ร่วมกัน ซี่งแต่ละกลยุทธ์ มีรายละเอียดดังนี้
1. การใช้คำถามเชิงวิจารณญาณ (critical questioning techniques) คำถามที่ดีย่อมส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ความคิดไตร่ตรอง วิเคราะห์ ประเมินและสังเคราะห์วิธีการในการดำเนินการสิ่งต่างๆ ซึ่งการเรียน การสอนในชั้นเรียนภาษาไทยส่วนใหญ่ มุ่งเสนอเนื้อหาความรู้มากกว่าการใช้คำถามเพื่อให้ผู้เรียนสร้างความรู้ ด้วยเหตุนี้ การคิดเกี่ยวกับประเภทของคำถามและวิธีการใช้คำถามจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิด ครูควรใช้เทคนิคการใช้คำถามเชิงวิจารณญาณเพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณของผู้เรียน ซึ่งคำถามดังกล่าวมีลักษณะเป็นคำถามปลายเปิด (open end questions) เพื่อให้ผู้เรียนได้ระดมความคิดอย่างเป็นอิสระและมีความหลากหลาย ตัวอย่าง เช่น 1) นักเรียนมีความคิดในเรื่องหรือประเด็นนี้อย่างไร เหตุใดนักเรียนจึงความคิดเช่นนั้น 2) นักเรียนใช้ความรู้ หลักการหรือแนวคิดอะไรในการคิด/ตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ 3) นักเรียนคิดว่าเรื่องนี้มีนัยสำคัญที่สื่อถึงอะไร เพราะเหตุใด 4) นักเรียนมีมุมมองหรือความคิดเห็นต่อเรื่องหรือประเด็นนี้อย่างไร และจากประเด็นเดียวกันนี้ นักเรียนสามารถพิจารณาโดยใช้มุมมองอื่นๆ ได้หรือไม่ อย่างไร (Brown และ Kelley, 1986 อ้างถึงใน Snyder และ Snyder, 2008: 95) นอกจากคำถามที่ครูตั้งขึ้นแล้ว นักเรียนเองก็ควรได้รับโอกาสให้เป็นผู้ที่ตั้งคำถาม เพื่อเป็นข้อสังเกตหรือข้อโต้แย้งต่อประเด็นหรือข้ออ้างต่างๆ ด้วยตนเอง ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงประเด็นที่กำลังพิจารณากับปัจจัยต่างๆ ที่มีความเป็นไปได้ว่ามีความเกี่ยวข้อง หรือส่งผลกระทบซึ่งกันและกันอย่างไร
2. การใช้ปัญหาที่มีโครงสร้างไม่สมบูรณ์ (ill-structured problems) เป็นการกำหนดสภาพปัญหา ประเด็นหรือหัวข้อที่ยังคงมีความคลุมเครือ ซึ่งเปิดกว้างให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นต่อไปในหลากหลายแง่มุมได้ ดังนั้นครูสามารถกระตุ้นหรือส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความคิดอย่างมีวิจารณญาณได้จากการให้ผู้เรียนได้เผชิญประเด็นปัญหา ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบของคำถาม กรณีศึกษา เรื่องราวหรือเหตุการณ์สมมติ ซึ่งต้องมีโครงสร้างที่ไม่สมบูรณ์ กล่าวคือ เป็นประเด็นปัญหาที่ยังไม่มีวิธีการแก้ไขหรือยังไม่มีทางออกที่ชัดเจน และปัญหานั้นจะต้องมีประเด็นที่จะนำไปสู่การถกเถียง โต้แย้ง หรือทำให้ใช้ความคิดไตร่ตรองด้วยเหตุและผล คำตอบที่ผู้เรียนได้กลั่นกรองขึ้นจะไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผิด แต่ในการพิจารณาความเป็นไปได้ของคำตอบ จะต้องคำนึงถึงเหตุผลและหลักฐานต่างๆ ที่นำมาประกอบหรือมารองรับเป็นสำคัญ (Snyder และ Snyder, 2008: 94) ตัวอย่างเช่น ในการเรียนการสอนวรรณคดี ผู้เรียนอาจจะหยิบยกประเด็นหรือเหตุการณ์ในวรรณคดีเพื่อนำมาให้ผู้เรียนได้อภิปรายถกเถียงกัน โดยใช้คำถามในข้อ 1 เข้ามาช่วยเสริมให้ผู้เรียนใช้กระบวนการคิด ตัวอย่างเช่น ประเด็นเหตุการณ์ที่สมิงพระรามละทิ้งภรรยาและบุตรหนีกลับไปหงสาวดี เพียงเพราะ พระเจ้ามณเฑียรทองผิดสัญญาที่เรียกว่า “เชลย” หรือประเด็นที่พระยาลิไท นำเสนอโลกอุดมคติของคนใน อุตรกุรุทวีปนั้น แท้ที่จริงต้องการแต่เพียง “นำเสนอ” หรือมีวัตถุประสงค์เบื้องหลังอย่างไรกันแน่ ประเด็นเหล่านี้ล้วนแต่เป็นประเด็นที่จะทำให้ผู้เรียนตอบสนอง (response) กับวรรณคดี ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิดในเชิงวิพากษ์ และมีวิจารณญาณต่อประเด็นต่างๆ มากยิ่งขึ้น
3. การใช้วิธีการสอนแบบอภิปราย (discussion) เมื่อศึกษาเกี่ยวกับการสอนเชิงประวัติ (history of teaching) จะพบว่า การสอนแบบอภิปรายมาจากวิธีสอนที่ Socrates นักปรัชญากรีกใช้ในการสอนสานุศิษย์ เขามีความเชื่อว่า ผู้เรียนจะสร้างคำตอบที่ดีหรือคำตอบที่มีเหตุมีผล ก็ต่อเมื่อผู้สอนใช้คำถามที่เหมาะสม ซึ่งได้แก่ คำถามที่สามารถนำความรู้และประสบการณ์เดิมของผู้เรียนแต่ละคนออกมา ลักษณะของคำถามจึงเป็นคำถามที่มีลักษณะการโต้แย้ง หรือการสนทนาในเชิงวิพากษ์ (dialectic) เพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้มุมมองที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น การพยายามตอบคำถามของผู้เรียน จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมุมมอง ความเชื่อหรือความคิดที่มีต่อประเด็นที่กำลังอภิปราย ด้วยเหตุนี้ วิธีสอนนี้จึงมีเป้าหมายที่สำคัญคือ การพัฒนาความคิดอย่างมีวิจารณญาณของผู้เรียน การใช้วิธีสอนแบบอภิปราย ผู้เรียนจะสามารถเรียนรู้และเกิดความเข้าใจในสิ่งที่เรียนอย่างลุ่มลึกยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเกิดคุณลักษณะในด้านการมีใจเปิดกว้าง การมีค่านิยมต่อความคิดเห็นที่แตกต่าง ด้วยการที่ครูจัดสภาพบรรยากาศที่เป็นประชาธิปไตย และให้เวลาที่เพียงพอแก่ผู้เรียน เพื่อใช้ในการสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันภายในกลุ่ม หรือระหว่างครูกับผู้เรียน ทั้งนี้ การใช้วิธีสอนแบบอภิปรายจะต้องมีการวางแผนอย่างรัดกุม กล่าวคือ จะต้องมีการจัดเตรียมสถานการณ์ที่จะนำมาซึ่งประเด็นการอภิปราย ในรูปแบบต่างๆ และมีการใช้ชุดของคำถามปลายเปิดหรือคำถามเชิงวิจารณญาณ ซึ่งสนับสนุนให้ผู้เรียนเแสดงความคิดเห็นของตนเองออกมา
4. การใช้วิธีการเรียนรู้ร่วมกัน (collaborative learning) การเรียนรู้ร่วมกันเป็นวิธีสอน วิธีหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะที่สำคัญคือ การให้ผู้เรียนที่มีระดับความสามารถแตกต่างกันมาทำงานร่วมกัน ในลักษณะเป็นคู่หรือเป็นกลุ่มเล็ก ผู้เรียนจะต้องมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการเรียนรู้ของตนเอง และรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของเพื่อนสมาชิกในกลุ่ม เนื่องจากความสำเร็จของสมาชิกในกลุ่มยอมหมายถึงความสำเร็จของสมาชิกทุกๆ คน การสอนวิธีนี้มีผลการวิจัยยืนยันว่า สามารถพัฒนาความสามารถในการคิดระดับสูงและทำให้ผู้เรียนเกิดความคงทนในการเรียนรู้เนื้อหาต่างๆ มากกว่าผู้เรียนที่เรียนรู้ตามลำพัง ทฤษฎีซึ่งเป็นพื้นฐานของวิธีการสอนนี้คือ ทฤษฎีการเรียนรู้การสร้างความรู้เชิงสังคม (social constructivist learning of theory) ของ Vysotsky (1978) ซึ่งมีสาระสำคัญสรุปได้ว่า ผู้เรียนจะพัฒนาความสามารถในการคิดระดับสูงจากการทำงานร่วมกับผู้เรียนคนอื่นๆ ซึ่งมีความรู้และประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ในการทำงานกลุ่ม ผู้เรียนจะได้ใช้ทักษะทางปัญญา เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลหรือข้ออ้างต่างๆ การสร้างความกระจ่างในประเด็นที่พิจารณา การสังเคราะห์หรือการสร้างข้อสรุปและการประเมินความคิดของตนเองและผู้อื่น เป็นต้น กิจกรรมเหล่านี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญของการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ซึ่งบทบาทของครูตามวิธีการเรียนรู้ร่วมกันคือ ครูจะต้องเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเกิดการอภิปรายและมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันในการทำงานให้มากที่สุด
5. การใช้วิธีสืบสอบ (inquiry methods) วิธีการสืบสอบเป็นวิธีการสอนที่มีหลักการที่ สำคัญคือ ผู้เรียนต้องสร้างและทดสอบสมติฐานเกี่ยวกับปัญหาที่พิจารณาจากการใช้คำถามอย่างต่อเนื่อง จากหลักการดังกล่าว ผู้เรียนจะต้องใช้ทักษะการสังเกต การสรุปอ้างอิง การทำนาย การจำแนกและการสื่อสาร โดยกิจกรรมสำคัญจะเริ่มจากการที่ครูนำเสนอประเด็นที่ทำให้ผู้เรียนเกิดความขัดแย้งทางปัญญา (intellectual conflict) หรือทำให้ผู้เรียนเกิดความสนใจใคร่รู้ จากนั้นผู้เรียนตั้งคำถามต่อประเด็นหรือหัวข้อที่ตนเองสงสัย แล้วใช้วิธีการต่างๆ ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อมากำหนดสมติฐานเบื้องต้น และตั้งคำถามเพื่อทดสอบสมมติฐานต่อไป กระทั่งสามารถสรุปหรือสร้างคำตอบได้ด้วยตนเอง ในระหว่างขั้นตอนของการสืบสอบนี้ นักเรียนจะได้พัฒนาทักษะทางปัญญาและทักษะกระบวนการคิดระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ปัญหา (problem solving) และการตัดสินใจ (decision making) เกี่ยวกับการสร้างข้อสรุปหรือการสร้างความหมายต่อตนเอง ซึ่งเป็นกระบวนการคิดที่เป็นพื้นฐานของการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
ครูภาษาไทยที่จะนำกลยุทธ์การสอนข้างต้นไปใช้ จะต้องคำนึงว่า กลยุทธ์ต่างๆ มิได้ใช้แยกกัน แต่จะต้องใช้อย่างประสาน เพื่อสนับสนุนกันและกัน ตัวอย่างเช่น ครูสามารถให้ผู้เรียนเข้ากลุ่มเพื่อที่จะร่วมกันสืบสอบปัญหาหรือประเด็นใดประเด็นหนึ่งในเนื้อหาของวิชาภาษาไทย โดยครูจะใช้เครื่องมือสำคัญเพื่อให้เกิดการอภิปรายก็คือ การใช้คำถามหรือปัญหา เป็นต้น ทั้งนี้จะต้องถือหลักที่สำคัญเสมอว่า การสอนภาษาไทยเพื่อพัฒนากระบวนการคิด จะต้องสามารถทำให้ผู้เรียนเกิดการสร้างหรือสังเคราะห์ความรู้ โดยอาศัยความรู้และ ประสบการณ์ของตน ผสมผสานกับความรู้และประสบการณ์ของผู้อื่น ด้วยเหตุนี้ เราสามารถที่จะสรุปได้ว่า การเรียนการสอนที่ปราศจากการใช้คำถามหรือปัญหา และไม่มีการให้ผู้เรียนอภิปราย ถกเถียงหรือโต้แย้งทางความคิด ย่อมเป็นการเรียนการสอนที่ไม่อาจอาจพัฒนากระบวนการคิดระดับสูงของผู้เรียนได้
__________________________________
รายการอ้างอิง
Snyder, L. G. and Snyder, M. J. 2008. Teaching critical thinking and problem solving skills. Delta Pi Epsilon Journal. (50)2: 90-99.
น่าสนใจค่ะ ขอบคุณที่แบ่งปันความรู้ค่ะ ^^ ดีใจที่เด็กสาธิตจุฬารุ่นหลังๆก็ยังมีอจ.ที่มีความสามารถค่ะ