วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่ผู้เขียนโชคดีได้สัมผัสบรรยากาศการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของคณาจารย์ ณ ห้องประชุมวิทยสนเทศ CAI ชั้น 6 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
กลุ่มผู้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ นำทีมโดย รศ.ประนอม บุพศิริ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิชาการ
โดยมี รศ.จิตเจริญ ไชยาคำ เป็นผู้นำการเรียนรู้
อาจารย์นำเทคนิคการสอนศิษย์โดยแทรกจริยธรรมในทุกช่วงจังหวะขณะสอน การสอนโดยเลือก VDO หนังเรื่องที่มีเนื้อหาที่สอดแทรกจริยธรรม ตามบทพูดของตัวละครมิได้ทำได้ง่ายๆ ผู้เขียนเคยเสียเวลาหลายวันในการสรรหา VDO หนังดีๆสักเรื่องมาประกอบการบรรยายซึ่งกระทำได้ยาก
ท่าน อ.จิตเจริญ ไชยาคำ เป็นอาจารย์ผู้ทุ่มเทกับการสรรหาบทเรียนดังกล่าว บทเรียนของอาจารย์เป็นตัวอย่างของเทคนิคการสอนโดยใช้ Student Center ด้วยการเติมเต็มในส่วนที่เด็กแต่ละคนขาด
“...ผมให้เด็กดูฟิล์ม เด็กคนไหนขาดเยอะ เติมให้เยอะ ขาดน้อย เติมให้น้อย...” อ.จิตเจริญกล่าว
นอกจากนั้น อาจารย์สอนให้เด็กเรียนรู้จากผู้อื่นแล้วหัดคิดวิเคราะห์ภายหลัง เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นระยะๆ การทำแบบฝึกหัด After Action Report ทำให้เห็นแนวคิด วิธีคิดของเด็กๆได้ในทันทีทั้งด้านวิชาการ ทัศนคติ เจตคติ และจริยธรรมในตนเอง การเข้าเติมเต็มในส่วนที่เด็กขาดจึงทำได้ทันทีเช่นเดียวกัน
ผู้เขียนชื่นชม ผศ.นภา หลิมรัตน์ ผู้เข้ามามีส่วนอย่างมากในการกระตุ้นให้กลุ่มสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างทั่วถึงแม้จะมีอาจารย์ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจากหลายภาควิชาฯและจากต่างสถาบันซึ่งมีความต่างทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิ ช่องว่างระหว่างอาจารย์ผู้อาวุโสที่มากด้วยประสบการณ์ระดับ“คุณปู่-คุณย่า” กับนักศึกษารุ่น “หลาน” ลดน้อยลงเพราะมีกลุ่มอาจารย์รุ่น “คุณพ่อ-คุณแม่”หรือรุ่น“คุณน้า-คุณอา”เป็นตัวแทนถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกและพฤติกรรมของเด็กๆในช่วงวัยนักศึกษาดังกล่าวร่วมอุดช่องโหว่ให้ได้
ประเด็นสำคัญที่หยิบยกมาพุดคุยอย่างชัดเจนภายหลังการนำเสนอ Best Practice ของท่าน อ.จิตเจริญ คือประเด็นของการที่ “เด็กนักเรียนไม่เข้าเรียน” รวมถึง “เด็กนักเรียนเข้าห้องเรียนช้า” จนถึงระดับ “เด็กนักเรียน เข้าห้องเรียนช้า..แต่ยังไม่รู้สึกผิด...” และ “นักเรียนไม่เคารพอาจารย์”
มุมมองเรื่องนี้ถูกหยิบยกมากล่าวในหลายประเด็น มีความหลากหลายของความคิดเห็นด้วยเป้าหมายเดียวกันคือ การวิเคราะห์หาสาเหตุการเข้าเรียนสายของเด็กๆ
เช่น
- การกำกับ ควบคุมดูแลนักเรียนในห้องเรียนไม่ทั่วถึงเพราะมีจำนวนมาก
- เด็กไม่อยากเรียนแพทย์
- อยากเรียนแพทย์เพราะเป็นเพียงทางผ่านเพื่อไปใช้วิชาชีพที่หาเงินรายได้ที่สูงกว่า
- อาจารย์สอนน่าเบื่อ เข้านั่งฟังบรรรยายก็หลับ ไปอ่านเอาเองก็ได้หรือลอกเลคเชอร์ของเพื่อนไปอ่านก็ได้
- อ่านตามทีหลังก็ทัน
- ปัจจุบันค่านิยม/ทัศนคติที่เปลี่ยนไป
- Role Model ของอาจารย์เปลี่ยนไป
- อาจารย์ที่มีภาระงานบริการด้วยทำให้บทบาทของครูผู้สอนที่สมบูรณ์แบบลดลง
- การมีความแตกต่างในเกณฑ์ประเมินที่หย่อนหรือเอื้อมากไปในบางสถานการณ์ เป็นจุดอ่อนสำหรับเด็กที่ขาดความพร้อมในการเผชิญสถานการณ์ที่ยากขึ้นในชั้นปีถัดไป
- การสอนแบบที่คิดว่า “นักศึกษาเป็นผู้ใหญ่แล้ว” ทำให้เกิดการปล่อยเด็กเป็นอิสระมากไป เป็นเหตุให้มิได้มีโอกาสสอดแทรกจริยธรรม จนกลายเป็นว่าเด็กๆขาดคุณธรรม จริยธรรมโดยไม่ตั้งใจ
- เราประนีประนอมมาก เราเคยถูกดุตอนเป็นนักศึกษาแพทย์ ทำให้เราไม่อยากดุน้อง กลายเป็นน้องขาดสิ่งที่ควรได้รับ
- ยังพบการแต่งกายที่ไม่เหมาะสม ไม่ถูกกาลเทศะ
แนวทางการแก้ไข
- การปฐมนิเทศที่ต้องบอกกติกา/ข้อตกลงกับเด็กไว้ก่อนการใช้จริง เช่น อาจารย์ผู้สอนอาจมีการสอบเก็บคะแนนระหว่างการสอนในชั่วโมง เป็นต้น
- การ random เรียกชื่อของนักเรียน
- ต้องเข้มงวด ฝึกฝนให้เด็กตระหนักเรื่องที่ควรรู้ เช่น รู้ว่าต้องทำอะไร หรือรู้ว่าควรทำอะไร
- การทบทวนการประเมินผลของสถาบันสมทบต้องยึดมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด
- ความเด็ดขาดยังควรทำ แต่บางคราวตัวอาจารย์ก็ไม่กล้าให้เด็กตก
- เราปล่อย ทำให้การตัดเกรดอ่อนลงมากๆ
- การประเมินบัณฑิตเป็น individual
- การกลับมาทบทวนการประเมิน Competencyในด้านต่างๆ
- เรื่องของวินัยควรเข้มงวด
ผู้เขียนประทับใจมากในช่วงท้ายของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ที่คณาจารย์หลายท่านแสดงความคิดเห็นที่ตรงกันในเรื่องของการปรับวิธีคิดเรื่องการเรียนการสอน เช่น
- ไม่ใช่เด็กเขาพูดไม่รู้เรื่อง... แต่เราน่ะต้องสอนให้ได้ มันเป็นหน้าที่
- ครูต้องมี attitude ว่าเด็กสอนได้
- เด็กทุกคนเรียนได้ สอนได้ แต่เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน
- ยังไงก็ต้องปลุกครูให้ตื่น
- Professional Behavior
- วิธีการสร้างที่ดีที่สุดคือ Role Model, การสร้าง “สถาบันนิยม”
และประโยคเด็ดทิ้งท้าย จากท่าน อ.ประนอม บุพศิริ
“...ยากที่จะสอนให้คนดีพร้อม...แต่คนเป็นครู ยังไงก็ต้องทำ”
ผู้เขียนขอขอบพระคุณ ท่านอาจารย์จิตเจริญ ไชยาคำ ท่านที่ปรึกษา KM คณะแพทย์ มข.ที่ชักชวนให้ผู้เขียนได้พบกับประสบการณ์ที่ดีมากๆอีกวันหนึ่ง และขอขอบพระคุณคณาจารย์ผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุกท่านที่แบ่งปันความรู้ที่มีในตัวตนของทุกท่านอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะ รศ.ประนอม บุพศิริ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิชาการ และ ผศ.นภา หลิมรัตน์ อาจารย์ภาควิชาชีวเคมี ผู้มีส่วนอย่างมากในการกระตุ้นให้เกิดบรรยากาศที่เอื้อต่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ขอผลบุญคราวนี้ส่งผลให้บรรดาศิษย์ของครูทุกท่านประสบแต่ความสำเร็จในวิชาชีพ สมดังที่ทุกท่านห่วงใย
(ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่บันทึก "...จริยธรรมสร้างได้ต้องวิเคราะห์สาเหตุ..." จากท่านอ. JJ ค่ะ
ถ้ามีการ KM เช่นนี้ จะทำให้เกิดการกระตุ้นให้บุคลากรเราได้คิด แล้วนำสิ่งที่ถกกันไปปฏิบัติต่อ องค์กรเราน่าจะดีขึ้นเรื่อยๆๆค่ะ
ชื่นชมกลุ่ม KM ที่หาวิธีดีที่สุดในการจัด KM forum ได้ตรงประเด็นค่ะและ...
ที่สำคัญมีเลขาฯ คือ คุณติ๋ว
น่าสนุกนะครับ ผมชอบประชุมสัมมนาการเรียนการสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบรรยากาศกัลยาณมิตร (ไม่ได้แปลว่าพูดหวาน แต่เป็นพูดกุศล) ยิ่งมี อ.JJ และพี่นภา (เจอะเจอกันหลายเวที) ยิ่งน่าจะได้อะไรหลากหลายมิติมาก
ผมยังเป็นฝ่าย pro-choice อยู่ อาจจะไม่ถูก sense ของฝ่ายวินัย แต่ก็เข้าใจในความปราถนาดีครับ การเรียนรู้อาจจะมีหลายวิธี ยิ่งสนทนากัน ยิ่งหยั่งรากผลิใบแตกฉานไปเรื่อยๆ
เรียน พี่แก้วค่ะ
การจัดให้มีKM ด้วยการสอดแทรกเข้าไปในกิจกรรมเดิมที่ทำกันอยู่ โดยที่ทำให้ผู้เข้าร่วมไม่รู้สึกเกร็งหรือไม่เป็นภาระที่เพิ่มเป็นสิ่งสำคัญมากค่ะ เมื่อใดก็ตามที่ KMไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเพียงเครื่องมือปรับกระบวนการให้ทุกคนได้มีส่วนแสดงความคิดเห็นต่อยอดไปเรื่อยๆทีละคน เรียกว่าคิดและพูดกันอย่างทั่วถึง ทำให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมรู้สึกสนุก ค่อยเป็นค่อยไป ต่อยอดกันไปเรื่อยๆ ไม่มีเบรคกันก็ไม่มีอะไรยากค่ะ
ผลลััพธ์ของความรู้ที่ร่วมกันแสวงหาและจัดเก็บชัดเจนขึ้น เกิดประโยชน์ต่อทุกฝ่ายยิ่งน่าจะได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทุกคนค่ะ
หัวใจสำคัญนั้นคือ ตั้งประเด็นในเรื่องนั้นๆให้ได้ชัดในแต่ละครั้ง ผู้เข้าร่วมจะไม่หลงประเด็นค่ะ...และที่สำคัญคือ เทคนิคดีๆที่ได้รับทราบในครั้งนี้มีการลองนำกลับไปทดลองใช้เอง ได้ผลอย่างไร... กลับมาเล่าให้กันฟังในคราวหน้า น่าจะยิ่งสนุกค่ะ
...ผลลััพธ์ที่ได้ในจุดเริ่มต้นนี้แม้ยังไม่มากมายอะไรแต่เชื่อว่าถ้าทำอย่างต่อเนื่อง...เราจะได้สนุกในระยะยาวค่ะ
งานที่ปรากฏที่ผ่านมาเป็นผลงานของทีมค่ะ ...ไม่ใช่ติ๋ว... เรียกว่าเราเริ่มเล่นเข้าขากันมากขึ้นโดยไม่ต้องมีการกะเกณฑ์บทบาทมากมายค่ะ ทุกคนทำโดยไม่ยึดติดรูปแบบมากนัก ยืดหยุ่นสูงโดยหวังเพียงให้กลุ่มได้สิ่งที่อยากได้ตามเป้าหมายขอกลุ่มเท่านั้นค่ะ...เรียกว่า ใช้ KM เป็นเครื่องมือจริงๆค่ะ
หากในทีมมีตัวตั้งเรื่อง ตัวกระตุ้น ตัวเก็บ และตัวประสาน/ถ่ายทอด สิ่งที่กลุ่มอยากได้จะปรากฏโดยผู้ร่วมไม่รู้ตัวค่ะ
ขอบคุณพี่แก้วมากๆนะคะที่ให้กำลังใจเสมอมา ทำให้ติ๋วทำงานไม่เหน็ดเหนื่อยค่ะ
ขอบคุณค่ะ
เรียนพี่ติ๋วกราบขอบพระคุณครับ งานนี้ดีมากมาก เพราะมี อาจารย์ จาก อุดร และ หนองคาย มาแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ ครับ
เรียน ท่านอ.Phoenix ค่ะ
ติ๋วเห็นด้วยค่ะที่ว่าบรรยากาศที่เป็นกัลยาณมิตรมิใช่บรรยากาศการพูดจาหวานแต่พูดเป็นกุศลทำให้สนุกในการร่วมแลกเปลี่ยนความรู้กัน
การพูดจาเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นการนำเนื้อหาหรือประสบการณ์ที่พบมาเล่าสู่กันฟัง มุมมองของการเล่าหรือต่อยอดอาจมีทั้งด้านดีหรือไม่ดีมาเสนอซึ่งเป็นสิ่งที่ดีในการมองอย่างรอบคอบหลายๆมุม จึงควร "มองเจตนาการเล่าเป็นมุมบวกเป็นหลัก" มองว่าผู้เล่ามีเจตนาที่ดี หวังที่จะพัฒนาหรือปรับปรุงให้ดีขึ้น เพื่อให้ผู้เล่าสบายใจที่จะเล่าเพราะผู้ฟังเข้าใจ...การเล่าเรื่องดังกล่าวจึงเป็นกุศลจริงๆค่ะ
การเป็น pro-choice หรือไม่นั้นติ๋วว่าสำคัญที่คนใกล้ตัวและผู้เกี่ยวข้องเข้าใจเท่านั้นน่าจะพอ อาจารย์มีเอกลักษณ์และผลงานที่เป็นตัวตนของอาจารย์ชัดเจนจึงทำให้บทบังส่วนที่อาจารย์พูดว่า"sense ของฝ่ายวินัย"ไปได้ค่ะ
ติ๋วจำได้ว่าตอนเป็นนักศึกษาถูกสอนให้พร้อมที่จะเข้าช่วยผู้ป่วยได้ทันทีเมื่อประสบเหตุฉุกเฉินบน ward ดังนั้นจึงต้องแต่งกายที่รัดกุมเสมอเมื่อไปทำงาน อีกทั้งป้องกันอันตรายจากการยั่วยุทางอารมณ์ของผู้พบเห็น โดยเฉพาะลงเวรตอนดึกๆด้วยค่ะ การใส่รองเท้าเดินแต๊กๆๆ หรือลากรถยาเสียงดังก็เป็นสิ่งที่ถูกตักเตือนเพราะผู้ป่วยต้องการการพักผ่อนยามดึก... บางคราวสิ่งเหล่านี้ถูกมองข้ามไป ไม่ได้ถูกนำมาสอนอธิบายเหตุผลเพิ่มเติมให้เด็กเข้าใจ เด็กๆจึงอาจจะไม่ทำในสิ่งที่ควรทำค่ะ
ในส่วนของเด็กๆนั้นปัจจุบันมีแบบอย่างหลากหลายจริงๆค่ะ คณาจารย์เป็นแบบอย่างทางเลือกหนึ่งที่เด็กเลือกที่จะทำตามหรือไม่ทำตามค่ะ ... เคยพบลูกที่ไม่สูบบุหรี่ทั้งๆที่พ่อสูบบุหรี่ทุกวันเพราะเขาไม่อยากเป็นเหมือนพ่อในส่วนนี้ก็มีค่ะ... จะอย่างไรก็ตามก็ต้องวกกลับมาที่วัฒนธรรมองค์กรของตนอีกนั่นแหละค่ะ ว่าอยากให้เด็กๆของเราเป็นอย่างไร
...การพูดคุยกันในวันนั้น เป็นมองและวิเคราะห์ผลลัพธ์ของวิธีการสอนแบบเก่าที่ผ่านมาค่ะ... ผลลัพธ์ที่ทำให้ศิษย์บางคนเห็นความสำคัญของเงินหรือค่าตอบแทนมากกว่าหัวใจของผู้ปฏิบัติที่พึงกระทำต่อมนุษย์ด้วยกันหรือกระทำให้สังคมโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน และคณาจารย์กำลังจะพยายามหาทางทำให้ดีขึ้น
... การเรียนรู้มีหลายวิธีจริงๆค่ะ...สุดแท้แต่ใครจะมีเทคนิคอย่างไร จึงควรนำมาเล่าแบ่งปันต่อยอดกันก็จะสนุก เกิดการผลิดอก แตกใบ และหยั่งรากดังที่อาจารย์กล่าวค่ะ
ขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ
ด้วยความเคารพ
เรียน ท่านอ.JJ ค่ะ
คราวหน้าคงได้บรรยากาศของการเล่าว่า สิ่งที่ได้จากการเล่าเทคนิคของอาจารย์ และ"เทคนิคการแก้ปัญหาการไม่เข้าเรียนของเด็กๆ" ในคราวนี้ถูกนำไปปรับใช้ ได้ผลอย่างไรบ้างหรือไม่... ต่อยอดคราวนี้เพื่อให้เกิดเรียนรู้ทั้งองค์กรอย่างต่อเนื่อง
คราวหน้าคงสนุกมากขึ้นค่ะ
ขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ