ทำไมจึงว่า Survey Research เป็นประเภท Qualitative Research ก็เพราะว่าอย่างนี้ครับ
ถ้าสมมุติว่า ท่านอยากรู้ว่า ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นเพศหญิงหรือเพศชายอย่างละเท่าไร ท่านก็ไปเลือกกลุ่มตัวอย่างมาจากชาวนครฯ กลุ่มหนึ่ง จำนวน ๑๐๐๐ คน แล้วท่านก็ ดู และนับ ทีละคน ได้ชาย 500 คน หญิง 500 คน (สมมุติ) แล้วท่านก็บันทึกเป็นความรู้ว่า การสำรวจครั้งนี้พบเพศชาย 500 คน เพศหญิง 500 คน ความรู้นี้ก็เป็น ข้อเท็จจริงหรือ Facts เพราะมีความเฉพาะ
ถ้าท่านแปลงข้อมูลนี้เป็น % และท่านบันทึกว่า การสำรวจครั้งนี้พบว่าชาวนครฯมีเพศหญิง 50 % เพศชาย 50 % แล้ว ความรู้นี้ก็ยังคงเป็น Fact อยู่ เพราะยังมีความเป็นเฉพาะอยู่ คือเป็นข้อเท็จจริงของจังหวัดนครฯ
ถ้าท่านนำข้อมูลนี้ไปคำนวณเชิงสถิติ เปรียบเทียบกับ Confidence Interval ใน Normal Curve สมมุติว่าที่ระดับความมั่นใจ 95 % (95% Confidence ) แล้ว บันทึกว่า ที่ระดับความมั่นใจ 95% ชาวนครฯ มีเพศหญิง และเพศชาย อย่างละ 50 % ความรู้นี้ก็ยังเป็น ข้อเท็จจริง เพราะมีความเฉพาะ เกี่ยวกับจังหวัดนครฯ
แต่ถ้าพูดใหม่ว่า ที่ระดับความมั่นใจ 95% กลุ่มคนทั่วไปจะมีเพศหญิงและเพศชายอย่างละ 50% ก็เป็น หลัก ทันที เพราะว่ามีความทั่วไป
หรือถ้าท่านเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างเพศ แล้วเปรียบกันโดยอาศัยโค้งปรกติและสรุปว่า ที่ระดับความมั่นใจ 95% หรือ 99% ในกลุ่มคนทั่วไปจะมีเพศชายเท่ากันกับเพศหญิง ความรู้ที่ได้ก็ยังคงเป็น Principle ยังไม่ถึง Law เพราะว่า ข้อความนี้มีความทั่วไปเฉยๆ แต่ Sample ที่กล่าวนี้เป็นพวก Nonprobability sample ผลที่ได้จึงยังขาดความเป็น Probability อยู่
และถึงแม้ว่าเป็น ตัวเลข และทดสอบเชิงสถิติ ก็ตาม ก็หาเป็น Law หรือเป็น Quantitative Research ไม่ !!!
ขอให้สังเกตว่า ความเป็นเพศหญิง เพศชาย และความเท่ากันนี้ เป็น "ผล" ของ "สาเหตุ" จาก Genes ซึ่งได้เกิดขึ้นก่อนแล้วในอดีต และเราไม่ได้ศึกษาในครั้งนี้ และดังนั้นจึงเป็นการวิจัยอยู่ในกลุ่มใหญ่ที่เรียกว่า Ex Post Facto Research