บทที่ ๓
วัตถุประสงค์การใช้สหบท
การศึกษาเรื่องการสร้างความเป็นสหบท ในนวนิยายเรื่อง กรูกันออกมา ปริทรรศ หุตางกูร ประกอบสร้างความเป็นสหบทจากการกล่าวถึงตัวบทอื่นและการใช้ชุดสัญญะทางวัฒนธรรม ในการประกอบสร้างความเป็นสหบทนั้น ปริทรรศ มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างอารมณ์ขัน และเพื่อเสียดสีสภาพสังคมปัจจุบัน
ในบทนี้ ผู้วิจัยได้วิเคราะห์วัตถุประสงค์การใช้ความเป็นสหบทใน นวนิยาย เรื่อง กรูกันออกมา ของปริทรรศ หุตางกูร โดยแบ่งประเด็นการศึกษาออกเป็น ๒ ประเด็น คือ การใช้ความเป็นสหบทเพื่อสร้างอารมณ์ขัน และการใช้ความเป็นสหบทเพื่อเสียดสีวิพากษ์วิจารณ์สภาพสังคมในปัจจุบัน
๓.๑ กาสร้างอารมณ์ขัน
อารมณ์ขัน (humour) เป็นความรู้สึกทางอารมณ์ของบุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาจจะเป็นบุคคล เหตุการณ์หรือวรรณกรรม รอส (Ross, Alison.1998 : 1) ได้กล่าวให้คำจำกัดความของ Humour คือ สิ่งที่ทำให้คนหัวเราะหรือยิ้มได้ ซึ่งสอดคล้องกับ ทัศนีย์ กระต่ายอินทร์ (2521 : 11) ได้ให้คำจำกัดของอารมณ์ขัน คือ ความรู้สึกทางอารมณ์ของบุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นบุคคล เหตุการณ์ หรือวรรณกรรมอารมณ์ขันจะแสดงพฤติกรรมออกมาในรูปการหัวเราะ อย่างไรก็ตาม การหัวเราะไม่ได้เป็นพฤติกรรมที่มาจากอารมณ์ขันเพียงอย่างเดียว การหัวเราะอาจเกิดมาจากความรู้สึกเย้ยหยัน ความแค้น หรือความเศร้าได้ ลักษณะเช่นนี้ ตุ้ย ชุมสาย, ม.ล. (2516 : 138–139) เรียกว่า “การหัวเราะเทียม
ในนวนิยายเรื่อง กรูกันออกมา ปริทรรศ หุตางกูร ใช้ความเป็นสหบทเพื่อสร้างอารมณ์ขันด้วยกลวิธีต่างๆ (technique) ซึ่ง เจตนา นาควัชระ ได้จำแนกกลวิธีในการสร้างอารมณ์ขันไว้ดังนี้ การสร้างอารมณ์ขันจากการกระทำที่แตกต่างออกไปจากลักษณะปกติของสังคม การสร้างอารมณ์ขันจากการกระทำที่แข็งทื่อหรือการทำอะไรซ้ำซาก การสร้างอารมณ์ขันจากอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรง การสร้างอารมณ์ขันจากการแปรสภาพจากความลวงมาเป็นความจริง และการสร้างอารมณ์ขันจากการสร้างเหตุการณ์ให้ขบขัน[๑]
๓.๑.๑ การสร้างอารมณ์ขันจากการกระทำที่แตกต่างออกไปจากลักษณะปกติของสังคม
การสร้างอารมณ์ขันจากการกระทำที่แตกต่างออกไปจากลักษณะปกติของสังคม คือ การแสดงพฤติกรรมใดๆ ก็ตามที่คนส่วนใหญ่ไม่ปฏิบัติเพราะถือเป็นเรื่องแปลกประหลาด เช่น ถ้าในเมืองไทยมีใครสักคนหนึ่งที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าขนสัตว์แล้วไปเดินอยู่แถวตลาดนัดสวนจตุจักร ผู้พบเห็นคงอดที่จะหัวเราะมิได้
ในนวนิยายเรื่อง กรูกันนอกมา ปริทรรศ ใช้ความเป็นสหบทเพื่อสร้างอารมณ์ขันในลักษณะนี้ปรากฏตอนที่ พิมพ์โรจน์ ผู้เข้ารอบสุดท้ายในการประกวด โครงเรื่องบทภาพยนตร์ รางวัล “เดอะไพเร็ตอะวอร์ดส์” ซึ่งในรอบนี้ เธอต้องมาเล่าโครงเรื่องบทภาพยนตร์ให้กรรมการฟังด้วยตนเอง ก่อนการเล่าเรื่อง กรรมการซักถามประวัติส่วนตัวเล็กน้อย ดร.พิศเมรี อ่านเหตุผลที่พิมพ์โรจน์เขียนไว้ในใบสมัครเรื่องการเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยแล้วอดขำไม่ได้จึงมีการพูดคุยในประเด็นนี้
“คุณพิมพ์โรจน์ เพชรจันทร์ ในใบสมัครบอกเรียนไม่จบศิลปกรรมประสานมิตร เหตุผลที่แจงไว้เพราะต้องการตามหาอาละดิน ฮ่ะฮ่ะ ๆ ๆ ๆ ขอโทษที่หัวเราะ เหตุผลคุณพร่ำเพ้อดี นี่หมายความว่าอะไรค่ะ”ที่แจ้งไว้เพราะต้องการตามหาอาละดิน ฮ่ะฮ่ะ ๆ ๆ ๆ ขอโทษที่หัวเราะ เหตุผลคุณพร่ำเพ้อดี นี่หมายความว่าอะไรค่ะ” พิมพ์โรจน์อายุราว ๆ ๒๔ เธอดูตื่นเต้น ยิ้มประหม่าตอบ “คือฉันอยากนั่งพรมไปกับอาละดินเที่ยวแคว้นแคชเมียร์ ฉันว่าเปเปอร์มาเช่ที่นั้นสวยที่สุด พวกเขาเขียนลวดลายประดับดอกไม้ด้วยเส้นขนเล็ก ๆ ที่ดึงจากแขนของตัวเอง ฉันอยากเรียนกับเขา และอยากรู้ว่าถ้าเป็นขนหน้าแข้ง เส้นผม หรือขนอื่น ๆ ลายเส้นจะเป็นยังไง” (กรูกันออกมา หน้า ๕)
|
จากคำตอบของ พิมพ์โรจน์ทำให้รู้สึกขำ เพราะคำตอบของเธอนั้นเป็นความคิดที่แตกต่างไปจากความคิดของคนปกติทั่วไปในสังคม เพราะสาเหตุที่เธอลาออกจากการเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ซึ่งคนส่วนใหญ่มีความเชื่อว่าการได้เรียนในมหาวิทยาลัยนั้น หมายถึง การมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่พิมพ์โรจน์กลับลาออกด้วยเหตุผลเพียงเพื่อต้องการไปนั่งพรมกับอาละดินไปเที่ยวแคว้นแคชเมียร์ เพราะมีความคิดว่าเปเปอร์มาเช่ที่นั่นสวยและอยากลองทำบ้าง ดังนั้นคำตอบของพิมพ์โรจน์ จึงเป็นคำตอบที่มีลักษณะแตกต่างไปจากไปจากแนวคิดของคนปกติซึ่งคนฟังคงอดที่จะหัวเราะไม่ได้
นอกจากการสร้างอารมณ์ขันจากการกระทำที่แตกต่างออกไปจากลักษณะปกติของสังคม ของพิมพ์โรจน์ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น ยังพบการแสดงพฤติกรรมที่แปลกแตกต่างจากลักษณะปกติหรือบุคลิกภาพที่ควรจะเป็นของตัวละคร คือ ดร. พิศเมรี โดยปกติแล้วบุคคลที่มีการศึกษาสูงถึงระดับปริญญาเอกต้องมีลักษณะที่ทันสมัยหรือเชี่ยวชาญในงานวิชาการ ดังที่ปริทรรศ สร้างตัวละคร ดร. พิศเมรี ให้ตรงกับความคาดหวังของสังคมโดยตลอดทั้งเรื่อง จนกระทั่งถึงการตัดสินเรื่องสุดท้ายจบ ปริทรรศใช้ความเป็นสหบทจากตัวบทเพลง เลิกแล้วค่ะ ของ อาภาภรณ์ นครสวรรค์ เปลี่ยนบุคลิกภาพ ดร. พิศเมรีให้เธอร้องเพลงนี้
ดร.พิศเมรี : พิศเบื่อฟังการเทศนาแบบเด็กอมมือ (แล้วพิศเมรีก็ร้องเพลงส่งท้าย) เลิกแล้วค่ะ หนูเลิกกับเขาแล้วค่ะ (กรูกันออกมา หน้า ๑๕๑)
|
จากตัวอย่างข้างต้น ดร.พิศเมรี ร้องเพลงนี้นอกจากเป็นการปฏิเสธการตัดสินรางวัล “เดอะไพเร็ตอะวอร์ดส์ ของหม่อมแม่แล้วการกระทำดังกล่าวนั้น เป็นการกระทำที่แปลกและแตกต่างสำหรับคนที่มีการศึกษาสูงถึงระดับปริญญาเอก จึงสร้างความขบขันให้กับผู้อ่าน
๓.๑.๒ การสร้างอารมณ์ขันจากการกระทำที่แข็งทื่อหรือลักษณะที่คล้ายกับเครื่องจักร
การสร้างอารมณ์ขันจากการกระทำที่แข็งทื่อหรือลักษณะที่คล้ายกับเครื่องจักร คือ การแสดงพฤติกรรมที่ซ้ำซาก ในหลายๆครั้ง หลายตอน เช่น พูดซ้ำซากอยู่แต่ในเรื่องเดียว หรือใช้คำพูดแบบเดียวในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน
ในนวนิยายเรื่อง กรูกันออกมา ปริทรรศ ประกอบสร้างความเป็นสหบทโดยใช้เรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ โดยให้หม่อมกู้กล่าวถึงเรื่องเล่าในประวัติศาสตร์ซ้ำซากถึงแม้สถานการณ์จะต่างกันหม่อมกู้ก็ยังคงโยงเข้าสู่เรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์เสมอ
ขณะที่พิมพ์โรจน์กำลังเล่าเรื่อง ถึงตอนสินค้าแบรนด์เนม หลั่งไหลเข้ามาในเมืองที่เธอกำลังเล่าถึงอยู่นั้น หม่อมกู้ถามเป็นลักษณะเปรียบเทียบแต่การเปลี่ยนเทียบของหม่อมกู้นั้นไม่ค่อยสมเหตุสมผล เท่าใดนัก เพราะหม่อมกู้นำเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์มาเปรียบเทียบกับเรื่องสมัยใหม่
หม่อมกู้ตาปรือในแว่นดำกับพล็อตแบบนี้ เขารู้สึกมันเริ่มมีอะไรแปลกไป และจะแปลกแค่ไหนนะ เพราะเรื่องแบบนี้ช่างต่างจากฉากประวัติศาสตร์อันคุ้นเคยเหลือเกิน หม่อมสะบัดหัวถามอีก “เธอบอกมีสินค้าแบรนด์เนมบุกเข้าไป มันคล้ายทัพพม่าบุกกรุงศรีอยุธยาไหม” (กรูกันออกมา หน้า ๗)
|
ในอีกหนึ่งตอนที่ปริทรรศ ให้ตัวละครหม่อมกู้นึกถึงเรื่อง ประวัติศาสตร์ คือ ขณะที่พิมพ์โรจน์เล่าถึงเมืองของเธอนั้นไม่ใช้ระบบเงินตราในการแลกเปลี่ยน แต่เธอกลับบอกว่ามีคนจน คนรวยในเมืองนี้ ดร.พิศเมรีจึงตั้งคำถามว่า “ไหนบอกว่าไม่มีระบบเงินตราไง แล้วทำไม่มีคนรวยคนจน” หม่อมกู้เห็นด้วยกับคำถามของ ดร.พิศเมรี แต่ขณะรอฟังคำตอบจากพิมพ์โรจน์ หม่อมกู้ได้นึกถึงว่าถ้าให้สองคน คือ ดร.พิศเมรีและ พิมพ์โรจน์ แต่งตัวเป็นท้าวศรีจุฬาลักษณ์ใครจะคลาสสิกกว่ากัน
“ใช่ ๆ ๆ ไม่เข้าใจ ตามไม่ทัน” หม่อมกู้เลิกคิ้วเสริม ดร.พิศเมรี ในแวบหนึ่งเขาแอบเทียบความงามระหว่างสองสาวไม่ได้ว่าใครจะดูคลาสสิกกว่า หากจับทั้งคู่มาแต่งเป็นท้าวศรีจุฬาลักษณ์ สนมเอกในสมัยพระร่วง ผู้เป็นกวีหญิงคนแรกของประเทศ (กรูกันออกมา หน้า ๘)
|
อีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นการพูดซ้ำซากของตัวละครหม่อมกู้ คือ ตอนที่ พิมพ์โรจน์เล่าว่า เมืองที่เธอ เล่าถึงนี้กำลังจะมีความสุข ดังเมืองสวรรค์ แต่ในอีกวันหนึ่งชาวเมืองตื่นมาพร้อมกับข่าวเมืองถูกวางกับระเบิด ๗๐๐ ลูก จึงไม่มีใครกล้าออกจากบ้าน ดร. พิศเมรี ซึ่งชอบเรื่องลักษณะนี้จึงถึงกับตบโต๊ะเสียงดัง พิมพ์โรจน์เล่าต่อว่ากลุ่มผู้ค้าสินค้าแบรนด์เนมจึงปรึกษากันและเลือกไฮโซสาวสวยชื่อว่า มุกมาลัย มาจัดแสดงโชว์สายเดี่ยวประกอบเพชร พลอยและสินค้าแบรนด์เนมและใช้ภาพวาบหวิวส่งให้กรมตำรวจเพื่อมาเคลียทางให้เธอและเพื่อนๆมาร่วมงานมหกรรมโชว์สายเดียว ได้อย่างปลอดภัย หม่อมแม่จึงทุบโต๊ะเสียงดังและพูดดูถูกความคิดของพิมพ์โรจน์ ดร. พิศเมรีจึงถกเถียงกับหม่อมแม่ ขณะนั้น หม่อมกู้ด้วยความดีใจกับความคิดใหม่ของตน คือ เรื่องการวางระเบิดรอบกรุงสุโขทัย
“หม่อมแม่ไม่มีสิทธิ์ไปบีบความคิดพิมพ์โรจน์นะคะ นี่เป็นเรื่องฟิกชั่นในแดนสมมุติ ไม่ใช่ยุคสุโขทัยถูกวางระเบิด” ดร.พิศเมรีไม่ยอมให้ท่านลบหลู่เกียรติพิมพ์โรจน์ เป็นเวลาเดียวกับที่หม่อมกู้อุทาน “เฮ้ย ดร.พิศ นี่ผมปิ๊งไอเดียเลยนะ วางกับระเบิดรอบกรุงสุโขไทยสมัยพ่อขุนศรีนาวถม” (กรูกันออกมา หน้า ๑๐)
|
จากที่กล่าวมาข้างต้น ปริทรรศ ให้หม่อมกู้พูด นึก คิด ถึงเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ ซ้ำๆ อยู่แต่เรื่องเดียว ซ้ำซาก แม้ในสถานการณ์ที่แตกต่างกันทั้งการเปรียบเทียบการหลั่งไหลของสินค้าแบรนด์เนม กับทัพพม่าบุกกรุงศรี หรือการนึกถ้าให้ดร.พิศเมรีกับพิมพ์โรจน์ แต่งตัวเป็นท้าวศรีจุฬาลักษณ์ใครจะสวยกว่ากัน หรือกระทั่งการคิดสร้างภาพยนตร์เรื่องใหม่โดยวางระเบิดรอบกรุงสุโขทัย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องทางประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น จากการกระทำดังกล่าวจึงมีลักษณะการสร้างอารมณ์ขันโดยการกระทำที่แข็งทื่อหรือลักษณะที่คล้ายกับเครื่องจักร หรือ การทำอะไรที่ซ้ำซากในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน
๓.๑.๓ การสร้างอารมณ์ขันจากการสร้างเหตุการณ์ให้ขบขัน
การสร้างอารมณ์ขันจากการสร้างเหตุการณ์ให้ขบขัน คือ คือ การสร้างสถานการณ์ในเรื่องโดยใช้เหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน เข้ามาผูกติดกับสถานการณ์ในเรื่อง
ขณะที่วาณพ กำลังเล่าโครงเรื่องบทภาพยนตร์เรื่อง ไม่รักต้องฆ่า ของเขาถึงตอนที่เจ้าอ้วนผิดหวังในเรื่องความรักกับมาเรีย ลูกพี่ลูกน้องเขา ซึ่งหากเจ้าอ้วนผิดหวัง เขาต้องฆ่าอะไรสักอย่าง เพื่อล้างแค้น เจ้าอ้วนจับนกเอี้ยงขากะเผลกและขณะที่กำลังจะฆ่าตามสัญชาติญาณฆ่าที่ซุกซ่อนในจิตใจนั้น เขาเห็นแมวอีกตัว หนึ่ง เข้าถึงกับขนลุกซู่ นกกลายเป็นสิ่งเล็กๆเหมือนกับกบ เขียด ที่เขาเคยฆ่า ดร.พิศเมรีจึงร้องเสียงแหลมด้วยความซะใจที่เจ้าอ้วนจะฆ่าแมว อยู่ดีๆ นางอรุณในชุดสวมชฎาและชุดสไบก็ผลักประตูเข้ามาและตะโกนบอกหม่อมแม่ว่า หวยออก ๔๘๑
ดร.พิศเมรีร้องเสียงแหลมสะใจ นางอรุณเพิ่งจะเดินถือถ้วยกาแฟสวมชฎาในชุดสไบเข้ามา เธอตะโกนบอกหม่อมแม่ว่า “หวยออก ๔๘๑ เจ้าค่ะ พลิกล็อกเลยคราวนี้” “หึ หึ “ หม่อมแม่พยักหน้าเครียดๆ ยกมือปางห้ามมารใส่ นางอรุณจึงก้มหน้าเสิร์ฟกาแฟจนครบทุกคนแล้วร้องเพลง ติดรอวิชารัก เดินออกไป (กรูกันออกมา หน้า ๒๙)
)
|
จากตัวอย่างข้างต้น ปริทรรศ สร้างความขบขันโดยสร้างเหตุการณ์ให้มีความขบขัน กล่าวคือ ให้นางอรุณสาวใช้มาตะโกนบอกหม่อมแม่ว่าหวยออก ๔๘๑ จากสถานการณ์ในเรื่องเล่าของวาณพที่กำลังจะฆ่าแมวซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ตึกเครียดเพราะทุกคนต่างก็รู้นอยู่ว่า วาณพจะฆ่าแมวด้วยวิธีไหน อยู่ดีๆ นางอรุณก็ผลักประตูเขามา ความเครียดจึงถูกขัดจังหวะ กลายเป็นความงงกับความไม่รู้กาลเทศะของนางอรุณ
อีกหนึ่งตัวอย่างที่ปริทรรศใช้ความเป็นสหบทเพื่อสร้างอารมณ์ขันด้วยการใช้เหตุการณ์ที่ชวนให้ขบขัน คือ ตอนเพื่อนไฮโซของคุณหญิงแม่นัดสังสรรค์กันบนอาคารระดวงเดือน หรือสำนักงานกู้แก้วพิกเจอร์ชั้น ๗ ที่ห้องทำงานของหม่อมแม่ ตามแบบฉบับไฮโซ แต่เรื่องที่ชวนให้ขันคือ เพื่อนไฮโซของหม่อมแม่แต่ละคนจะใส่เครื่องเพชร เครื่องทอง มาอวดกันและพยามจัดตำแหน่งให้เครื่องเพชรของตนสะท้อนแสงแวววาวกันอยู่ตลอดเวลา
คุณหญิงวงศ์รัตน์พูดทั้งกระดิกนิ้วใส่แหวนทองฝังเพชร ๓ กะรัต ยกคาเวียร์คำโตใส่ปาก จากนั้นกระดกนิ้วยกวอดก้าเพื่อปล่อยประกายแสงเพชร “แปลบๆ “เข้าตาเพื่อนๆ โดยเฉพาะคุณหญิงนิภาเบือนหน้าหนี “แต่เดี๊ยนเบื๊อเบื่อกับไอพวกนักวิจารณ์ปากสุนัข ชอบว่ากู้แก้วพิกเจอร์ ไม่เคนมีประเด็นอะไรร่วมสมัย “ หม่อมแม่พูดเสร็จขยับมือให้สร้อยทองคำประดับจี้รูปม้าทำงาน ก่อนเกิดแสงสะท้อนวูบวาบจนทั้งวงหลบแทบไม่ทัน โดยเฉพาะคุณหญิงนิภาดา ฝั่งตรงข้ามหัวใจหดหู่ “ ฮ่ะ ๆ หม่อมแม่คงหวั่นไหวละสิ แต่สนอะไรคะกับคำวิจารณ์ของไอ้พวกชอบหามุกมากว่าประเด็น แต่ไม่เคยลงทุนและรับผิดชอบอะไรคนพวกนั้นไม่มีชาติตระกูลอย่างพวกเราร้อก “ คุณหญิงบี้ให้ความเห็นเผ็ดร้อนเหมือนเมาวอดก้า เธอทำไม้ทำมือ เขย่ากำไลแหวนชุดทองคำขาวประดับเพชร ประกอบขณะบรรยายเมื่อมันทำมุมกับโคมไฟหลุยส์โบราณสมัยรัชการที่ ๕ ก็เกิดแสงแปลบ ๆ โต้ตอบไปโดยเฉพาะคุณหญิงนิภาดา แทบลุกหนีไปเลย “ความจริงพวกเราคือ กลุ่มคนหญิงที่มียศถาบรรดาศักดิ์ มีหัวทันสมัยที่สุด [...] คุณหญิงจิตติมาพูดพลางเอามือเสยผมโชว์ตุ้มหูดอกไม้ประดับเพชรเล็กล้อมเม็ดใหญ่ เกิดแสงวาบก่อกวนทุกกิจกรรมให้ค้างไว้ และผู้หงอยจ๋อยที่สุดยังคงเป็นคุณหญิงนิภาดา (กรูกันออกมา หน้า ๔๖ -๔๗)
)
|
จากตัวอย่างข้างต้น พบว่า ปริทรรศ สร้างความเป็นสหบทจากชุดสัญญะทางวัฒนธรรมเป็นเครื่อง เพชร เครื่องทอง ต่างๆ เพื่อสร้างอารมณ์ขัน เพราะทุกคนพยายามจัดตำแหน่งเครื่องเพชรของตนเองเพื่อให้สะทอนกับแสงไฟ แวบวาบ อยู่ตลอดเวลา และจะเห็นภาพของคุณหญิงนิภาดา ที่ต้องคอยลบแสงแวบวาบจากเพชรของเพื่อนๆ ตลอดเวลา
๓.๒ การเสียดสี
“เสียดสี” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้ให้ความหมายไว้ว่า อาการที่กระทบกระเทียบเหน็บแนม[2]จากความหมายข้างต้นจะเห็นได้ว่า การเสียดสี มิได้เป็นการตำหนิอย่างตรงไปตรงมาหากแต่เป็นการตำหนิแบบอ้อมซึ่งสอดคล้องกับความหมายทางวรรณคดีที่ให้ความหมายของของคำว่า เสียดสีหรือภาษาอังกฤษใช้คำว่า Satire ไว้ว่า ศิลปะการเขียนที่ใช้กลวิธีทำเรื่องสำคัญให้เป็นเรื่องขบขันเพื่อเสียดสีล้อเลียนความเขลาหรือความไม่ถูกต้องของมนุษย์และสังคม[3]จากความหมายข้างต้นจะเห็นว่าคำว่า เสียดสี มีขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์วิพากษ์วิจารณ์ กระทบกระเทียบสภาพสังคม ในปัจจุบัน
การศึกษานวนิยายเรื่อง กรูกันออกมา พบว่า นอกจากปริทรรศใช้ความเป็นสหบททั้งจากตัวบทอื่นหรือชุดสัญญะทางวัฒนธรรม เพื่อสร้างอารมณ์ขันดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น ปริทรรศ ยังใช้ความเป็นสหบทเพื่อเสียดสี วิพากษ์วิจารณ์สภาพสังคมในปัจจุบัน ซึ่งผู้วิจัยแบ่งออกเป็น ๓ ประเด็น ได้แก่ การเสียดสีสถาบันต่างๆในสังคมไทย การเสียดสีสภาพสังคมเมืองและการเสียดสีสังคมไทยในประเด็นอื่นๆ
๓.๒.๑ การเสียดสีสถาบันต่างๆในสังคมไทย
นวนิยายเรื่อง กรูกันออกมา ปริทรรศ หุตางกูรใช้ความเป็นสหบทเพื่อเสียดสีสถาบันการเมือง สถาบันการสื่อสารมวลชน สถาบันการศึกษา และสถาบันทางวรรณกรรม เพื่อวิพากษ์วิจารณ์ การทำหน้าที่ของสถาบันต่างๆที่ไม่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง โดยจะนำเสนอตามลำดับต่อไปนี้
๓.๒.๑.๑ การเสียดสีสถาบันการเมือง
ในนวนิยายเรื่อง กรูกันออกมา ปริทรรศนำเสนอความเป็นสหบทโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ เสียดสี กระทบกระเทียบ วิพากษ์วิจารณ์สถาบันทางการเมืองหรือนักการเมืองไว้หลายตอน เช่น
ในโครงเรื่องบทภาพยนตร์ของพิมพ์โรจน์ เรื่อง ซึนามิมันนี่ ปริทรรศ ให้พิมพ์โรจน์เล่าถึงการต่อรองอำนาจรัฐเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง จอร์จ โซรอส ตัวละครที่พิมพ์โรจน์เล่าถึง ใช้ความสวยของผู้หญิงเพื่อแลกกับอำนาจของรัฐ และการคุมอำนาจทางเศรษฐกิจ
อดีตพ่อมดการเงินจอร์จ โซรอส ที่บินมาร่วมงานโดยตรง เขายังมองเห็นความอุดมทว่าไร้เดียงสาในเชิงธุรกิจของประเทศนี้เมืองนี้อย่างเด็ดขาด เขาเสนอมุกมาลัยให้ใช้เสน่ห์ความงามต่อขั้วอำนาจรัฐและเสนอให้นำระบบตลาดหุ้นเงินตรามาใช้ (กรูกันออกมา หน้า ๑๒)
|
ปริทรรศ เสียดสีสถาบันทางการเมืองไทยปัจจุบัน ที่ใช้ผู้หญิง ความงามของผู้หญิง ก็สามารถที่จะยึดอำนาจได้ เพราะนักการเมือง ไม่ว่าสมัยไหนๆ ก็ถูต่อรองเรื่องผลประโยชน์ และยอมแลกกับผลประโยชน์ของประเทศ เพื่อครอบครองผู้หญิง
นอกจากปริทรรศ จะใช้ความเป็นสหบทเพื่อ เสียดสี วิพากษ์วิจารณ์ สถาบันการเมืองแล้ว ยังพบว่า
ปริทรรศใช้ความเป็ฯสหบทเพื่อ เสียดสีถึงนักการเมืองบางกลุ่ม ที่มีพฤติกรรม ขายหุ้น ปั่นหุ้น ซุกหุ้น ในตลาดหุ้น หรือ นักการเมืองบางคนยอมเป็นหุ้นเชิดให้กับอดีตนักการเมือง เพื่อต้องการอำนาจหรือผลประโยชน์ของตนเอง
แจ็ซซี่ : คุณกำลังเครียดเรื่องอะไรครับ มุกมาลัย นี่เราไม่ใช้แค่จะทำสำเร็จนะ แต่เราทำสำเร็จและชนะแล้ว เราเปลี่ยนระบบไดโนเสาร์คร่ำครึอนุรักษนิยมของประเทศคุณโดยสิ้นเชิง เป็นการปฏิวัติแบบไม่ต้องมีปืน แค่ระดมเงินในตลาด ขายหุ้น ปั่นหุ้น ซุกหุ้น นอมินี นี่คือเกมที่เราชำนาญที่สุดใช่มั้ย เราสามารถรวยแค่ข้ามคืนเป็นพันล้าน ขณะที่คนอื่น ๆ ต้องใช้เวลาเป็นปี มันเหมือนเราค้นเจอรูหนอนจักรวาลข้ามมิติจากปลายเอกภพข้างหนึ่งไปสู่อีกข้างอย่างรวดเร็ว (กรูกันออกมา หน้า ๑๓) |
ในโครงเรื่องบทภาพยนตร์ เรื่อง ซึนามิมันนี่ ของพิมพ์โรจน์ “แจ็ซซี่” เป็นตัวละครที่ปริทรรศใช้เพื่อเสียดสีนักการเมืองบางกลุ่มที่มีพฤติกรรม ขายหุ้น ปั่นหุ้น ซุกหุ้น หรือ การยอมเป็นนอมินี ของใครก็ได้เพื่อผลประโยชน์ของตน
อีกหนึ่งตัวอย่างที่ปริทรรศ ใช้ความเป็นสหบทเพื่อ เสียดสีวิพากษ์วิจารณ์ พรรคการเมือง โดยให้พิมพ์โรจน์ผู้เล่าโครงเรื่องบทภาพยนตร์ ใช้คำขวัญของพรรคการเมือง เพื่อเปรียบเทียบเรื่องซึนามินันนี่ของเธอกับคำขวัญพรรคการเมือง
พิมพ์โรจน์เล่าโครงเรื่องบทภาพยนตร์ของเธอ ว่า ในเมืองที่ไม่เคยใช้เงินเป็นระบบแลกเปลี่ยนแต่ต้องเปลี่ยนจากระบบการแลกเปลี่ยนแบบเดิมมาสู่ระบบที่ใช้เงินเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน พิมพ์โรจน์จึงเปรียบเงิน เหมือนกับ งูพิษที่คอยชกกัดผู้คน ดร.พิศเมรี หัวเราะกับการเปรียบเทียบของพิมพ์โรจน์ ที่ทันสมัยแต่คงไม่มีใครคิดเช่นนั้น เพราะทุกคนเห็นเงินเหมือนกับพระเจ้าอยู่แล้ว พิมพ์โรจน์จึงเถียงดร. พิศเมรีด้วยคำขวัญของอดีตพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง
“เงินกลายเป็นงูพิษ เป็นการเปรียบเทียบที่ทันสมัยมาก แต่คิดไหมว่าไอ้หน้าโง่คนไหนในโลกจะเชื่อคุณ ฮะฮะฮะ กั๊ก ๆ ๆ ๆ” ดร.พิศเมรีหัวเราะเบรกแตก “หึ หึ หึ หึ” “ไอ้บ้านั่นต้องคิดใหม่ทำใหม่สิคะ” (กรูกันออกมา หน้า ๑๕) |
ปริทรรศ ประกอบสร้างตัวบทด้วยคำขวัญของพรรคการเมือง คือ พรรคไทยรักไทย โดยให้พิมพ์โรจน์กล่าวเพื่อโต้ตอบดร. พิศเมรี ว่าคนที่คิดว่าเงินไม่ใช่งูพิษก็ คือคนที่มีแนวคิดเช่นนี้ การใช้ตัวบทนี้ปริทรรศ ไม่ได้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาแต่เป็นการเสียดสี กระทบกระเทียบเพื่อวิจารณ์ พฤติกรรมของนักการเมืองที่เห็นเงินเป็นพระเจ้าเสมอ
นอกจากปริทรรศ จะใช้ความเป็นสหบทเพื่อเสียสีนักการเมืองแล้ว ยังพบการใช้ความเป็นสหบทเพื่อเสียดสีระบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่เน้นความเป็นเสรีภาพส่วนบุคคลจนลืมเสรีภาพส่วนบุคคลของคนอื่น ผ่านการเล่าโครงเรื่องบทภาพยนตร์ ๒๐๒๐/๒๕๖๓ ของภาวุธ ที่เล่าถึง การต่อสู่ของดร.มนตราเพื่อเรียกร้องสิทธิความเป็นส่วนตัวในที่สุด ดร.มนตราก็ต้องแกล้งยอมแพ้ แต่วิรัญดา ดาราสาวที่โดนล้วงลับ ข้อมูลและถูกติดตามโดยเครื่องมือที่ทันสมัยที่สุด คิดว่า ดร. มนตราต้องการยอมแพ้จริง จึงบุกเข้าไปในบ้านของดร.มนตรา ดร.มนตราจึงมีโอกาสอธิบายความคิดของเข้าให้ วิรัญดาฟัง ว่า
ดร.มนตรา : ฟังแผนผม ผมเอือมกับประเทศนี้เต็มที่ จนมาค้นพบมิคาเอล กอร์บาชอฟ วัย ๕๔ ปี อดีตประธานาธิบดีรัสเซียผู้เป็นนักความจริงนิยมในสมัยคอมมิวนิสต์รัสเซียคลอนแคลนจากพายุทุนนิยมอย่างหนัก จนเขาเลิกประท้วงหรือต่อต้านพายุทุนที่โหมกระหน่ำลัทธิคอมมิวนิสต์แล้วหันมาใช้นโยบายอิสระเปเรสทรอยก้า ซึ่งแปลว่า “เปิดรับเสรีภาพ ยินดีต่อการแฉ สนับสนุนการสะสมทุน” ซึ่งนั่นล้วนเป็นความหวานมันที่สุดต่างจากรสชาติน่าเบื่อแบบคอมมิวนิสต์ซึ่งครอบงำประเทศนี้มาตลอด จนเขาได้รับรางวัลโนเบล ได้รับการเชียร์ แต่เขาต้องเจอปัญหาความวุ่นวายเมื่อทุกกลุ่มติดใจรสชาติเปเรสตรอยกา หลายกลุ่มกล้าเล่นเลยเถิดถึงกับแยกประเทศประกาศเอกราช อ้างความจำเป็นเฉพาะกลุ่มสำคัญว่า แล้วอาณาจักรรัสเซียก็ล่มสลายเหมือนคนตัวใหญ่แตกร่างเป็นคนแคระ คุณก็คงพอรู้ ยูเครนเอย มอลดาเวีย ลัตเวีย มันคือความแตกหักจากรสชาติแห่งเสรีภาพที่ถูกโยนเข้าให้ผู้โหยหิว เหมือนเทฝนใส่ความร้อนแล้ง โยนเป็ดย่างให้นักโทษที่หิวทรมานในคุกนาน ๘ ปี มันคือวิกฤติการณ์สำลักภายในจิตใจและกายที่ไม่พร้อมของตัวเอง (กรูกันออกมา หน้า ๕๔) |
ปริทรรศ ใช้ความเป็นสหบทโดยการกล่าวถึงตัวบทอื่น เพื่อเสียดสีระบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ทุกคนมีเสรีภาพในทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ในความมีสิทธิเสรีภาพนั้นทำลาย ลดทอน สิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ปริทรรศ จึงเปรียบเทียบแผนการที่ ดร. มนตราจะทำกับ ระบบการปกครองที่เปิดรับเสรีภาพของ คาเอล กอร์บาชอฟ แต่ในที่สุดระบบนี้ทำให้ประเทศสหภาพโซเวียต ต้องลงสลายไปในที่สุด เหมือนกับการปกครองในประเทศไทย หากความมีเสรีภาพมิได้ถูกจำกัดแม้ละเมินสิทธิของผู้อื่น ก็คงอาจเหมือนกับประเทศรัสเซีย ก็เป็นได้
ในอีกหนึ่งตอนที่ปริทรรศเสียสี นักการเมือง ที่มุ่งรักษาแต่ผลประโยชน์ของตนจนหลงลืมผลประโยชน์ของประเทศชาติ คือ ตอนดร. มนตรา อธิบายแผนการของตนเองใน วิรัญดา ฟัง ว่า
ดร.มนตรา : เราจะไม่ยอม แต่จะตั้งสภาปฏิรูปหรือสภาทุกเหล่าทัพแห่งชาติ สภาสุดเนี้ยบสุดมั่นคง สภารัฐบาลกูแห่งชาติ หรือสภาอย่างหนึ่งอย่างใดแน่นอน ทั้งที่ไม่รู้จะปฏิรูปอะไร นอกจากความเป็นรัฐบาลนิยม ดังนั้นเมื่อความวุ่นวายเกิดขึ้นมากๆ แบบเฮกันยึดสนามบิน หรือเฮกันยึดจังหวัดทั้งจังหวัด ก็จะมีแต่คนปฏิเสธ และวันนั้นผมเกรงว่าจากประเทศจะเหลือแค่เมืองหลวง และตอนนั้นผมอาจหลบออกมาหาจังหวัดสักจังหวัด หรือตำบลสักตำบล แล้วบุกยึดทำการปฏิวัติก่อตั้งเป็นประเทศขึ้นมา ฮะฮะฮะ ชื่อว่าประเทศมนตรา ฮ่าฮ่าฮ่า แล้วมีคุณเป็นรองนายกฯ ฮ่าฮ่า (กรูกันออกมา หน้า ๕๖) |
ไม่มีความเห็น