พูดกันเรื่องไอน้ำทำให้ชื้น ชื้นก็คือเปียกน้อยๆ เปียกน้อยกว่าก็คือแห้ง ทำให้ไอน้ำแห้งก็คือลดไอน้ำ ไอน้ำมากเมื่อมีน้ำมาก อย่างนี้ก็ต้องตามไปดูว่าตึกนี้มีเรื่องเกี่ยวกับน้ำที่ไหน เมื่อไร อย่างไรบ้างก่อนเนอะ จะได้ลดน้ำให้ไอน้ำน้อยลง
คราวก่อนนึกไว้เรื่องลมเป่า โดยหลักของการเจือจางอะไรก็แล้วแต่ที่ไหลได้ คำแนะนำคือเติมเพิ่มอะไรที่สิ่งนั้นไปปนอยู่ ลมเป่าสามารถใช้เติมเข้าไปที่ตึกแห่งนี้อย่างไร ก็ต้องไปดูก่อนละมัง
จะไปดูก็ต้องรื้อความรู้ก่อนไปซะหน่อย เรื่องลม เรื่องเป่า จะได้สังเกตว่าที่คิดจะทำนั้นโอเคแค่ไหน
ธรรมชาติสร้างลมขึ้นจากความต่างกันของอุณหภูมิในอากาศ ๒ จุด ความเย็นทำให้อากาศจากที่ร้อนกว่าเคลื่อนไหวเข้าไปหาเหมือนหนุ่มร้อนเจอสาวใจเย็นดูดเข้าไปหา เวลาไปเจอกันก็ผ่องถ่ายความร้อนให้จนอุณหภูมิเท่ากัน เมื่อไรที่อุณหภูมิเท่ากัน ลมก็หยุดพัด (ธรรมชาติตรงนี้เหมือนอารมณ์คนเลยนะ)
ก็คงจะต้องไปดูทั้ง ๒ ตึกเพื่อมาหาคำตอบว่าจะทำยังไงต่อกับเงื่อนไขของความเป็นตึกเดียวกันแม้จะอยู่คนละชั้น แล้วทำำให้คนสบายกับอากาศรอบตัวพร้อมๆกับไม่เป็นอากาศที่เลี้ยงเชื้อโรคในทั้ง ๒ ตึก
ก่อนเป่าก็ต้องรู้ก่อนว่า ตรงไหนอากาศนิ่ง ตรงไหนลมพัดอยู่แล้ว จะได้นำมาตัดสินใจว่า ตรงไหนควรกรองอากาศ ตรงไหนติดแอร์แล้วดี ตรงไหนควรปรับอะไรอีก แหงละว่าควรดูเรื่องน้ำที่เกี่ยวข้องกับตึกทั้ง ๒ ชั้นด้วย
เคยเห็นน้ำร้อนเดือดมั๊ย สิ่งที่เห็นจะเห็นน้ำมันหมุนวนแล้วก็มีน้ำเดือดกระเซ็น เห็นไอที่ลอยขึ้นเหนือน้ำเนอะ ไอน้ำที่ลอยขึ้นจากผิวน้ำนี่แหละที่ปนในอากาศแล้วให้ผลเป็นความชื้นสัมพัทธ์ และใช่ว่าจะมีแต่น้ำเดือดเท่านั้นที่ให้ไอ น้ำอะไรก็ให้ไอน้ำได้เพียงแต่ไม่หนาพอให้ตาเรามองเห็นเท่านั้นเอง
ยิ่งร้อนยิ่งไอเยอะ ยิ่งอากาศเย็นยิ่งเห็นเยอะใช่ไหม แปลว่าอุณหภูมิของน้ำและอากาศเข้ามาเอี่ยวด้วยกับการเกิดความชื้นสัมพัทธ์เนอะ
แกะรอยค้นหาต่อก็ไปเจอคำอธิบายว่า “ทุกอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น ๑๐ องศาเซนติเกรดของอากาศ จะเพิ่มที่ให้ไอน้ำปนเพิ่มได้อีกเป็น ๒ เท่าของที่ปนอยู่แล้วเดิม”
อย่างนี้แปลว่า อากาศที่อุณหภูมิต่างกันเพิ่มไอน้ำที่ปนเนอะ ยิ่งร้อนยิ่งเพิ่มด้วยซิ ลมเกิดจากความต่างของความดันอากาศด้วย ยิ่งร้อน ยิ่งเพิ่มไอน้ำ
ความดันอากาศก็มีรอบตัวทั้งอยู่กับที่นิ่งๆ แนวดิ่ง และแนววิ่ง
จำได้ว่าเมื่อเรียนเรื่องเมฆ ครูสอนว่า เมื่อไรที่แดดร้อน น้ำจะกลายเป็นไอลอยไปเกาะกันบนฟ้า มากเข้าๆก็จะกลายเป็นเมฆ แปลว่ายิ่งร้อน ยิ่งมีไอน้ำมาก
ไอน้ำที่เพิ่มนั้นลอยจากพื้นที่ต่ำกว่าขึ้นไปหาฟ้าที่สูงกว่า แปลว่าอากาศร้อนมันเบา แรงกดทับบนอากาศน้อยจึงลอยสูงได้เนอะ
อย่างนั้นน่าไปตามดูอุณหภูมิในตึกทั้ง ๒ ตึกซะหน่อยแล้ว จะได้เข้าใจทิศทางลมกับความเกี่ยวข้องในตึก เผื่อว่าจะเติมลมเป่าเข้าไป จะได้กำหนดจุดเป่าได้ตรง
เอาละได้เรื่องน่าสนุกไปลองค้นหาความจริงดูแล้ว ไปเรื่อยๆอย่างนี้แหละ ค่อยๆสางค่อยๆคิดแล้วจึงมาตัดสินใจเรื่องแก้ให้ดีกว่า ปัญหามีมานานแรมปีแล้วไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินขนาดคอขาดบาดตาย ค่อยๆตามสางดูก็แล้วกัน